ตอน ปราบปีศาจหมู ได้โป๊ยก่ายศิษย์ร่วมเดินทาง
ฝ่ายเห้งเจียเมื่อเหาะกลับมาถึงวัดกวนอิมเซียนยี่ ก็ลอยลงยังพื้นดิน เดินเข้ามาคำนับพระอาจารย์ แล้วก็เล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ตามที่พระกวนอิมได้มาช่วยให้พระอาจารย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียเล่าแลได้ผ้ากาสาวพัสตร์คืนมาดังนั้น ก็มีความยินดี จึงตั้งจิตน้อมนมัสการไปยังเขาน่ำไฮ้ พวกหลวงจีนทั้งหลายก็พากันมีความยินดีทุกคน แล้วจัดแจงทำเครื่องแจที่โอชารสถวายพระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียให้ฉันเสร็จแล้ว เห้งเจียจึงผูกม้านิมนต์พระอาจารย์ขึ้นม้า เห้งเจียก็ยกหาบขึ้นบ่า พร้อมกันออกเดิน หลวงจีนทั้งหลายก็ตามมาส่งจนพ้นเขตวัด ต่างคนคำนับซึ่งกันแลกันแล้วก็กลับไป
เห้งเจียเดินนำหน้าพระอาจารย์ไปในเวลานั้น เป็นเวลากำลังฤดูเดือนสี่ ต้นไม้ออกผลอุดมตามแนวทางออกดาดาษ บ้างผลิดอกออกช่ออรชรระรื่นหอมไปทั้งป่า ครั้นเดินมาได้หกเจ็ดวันทางก็เปลี่ยวเข้าทุกที
วันหนึ่งเดินมาก็จวนจะค่ำ มองหาที่พักนอน พระถังซัมจั๋งแลไปแต่ไกลเห็นมีหมู่บ้าน จึงบอกแก่เห้งเจียว่า ที่ข้างหน้านั้นมีภูเขาและหมู่บ้านคนอยู่ จำเราจะเข้าไปอาศัยพักสักคนหนึ่ง เห้งเจียแลไปก็เห็นบ้านมีรั้วไม้ไผ่ล้อม บ้านเรือนสลับสลอนเรียงรายกันอยู่เป็นอันมาก เมื่อเห็นนั้นเวลาก็โพล้เพล้จวนค่ำ
เห้งเจียว่าที่แห่งนี้มีหมู่บ้านคนควรจะต้องพักอาศัย พระถังซัมจั๋งก็ชักม้ารีบเดินบัดเดี๋ยวก็มาถึงปากช่องทาง แลไปเห็นเด็กหนุ่มน้อยคนหนึ่งถือร่มเดินออกมา สวมเสื้อกั๊กนุ่งกางเกงขาวเท้าสอดเกือกหญ้าท่วงทีเหมือนจะมีธุระไปข้างไหน
เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงเดินไปสกัดหน้ายึดข้อมือไว้แล้วถามว่า พ่อหนุ่มน้อยจะไปข้างไหน ฉันจะขอถามสักหน่อยเถิดว่า ที่หมู่บ้านนี้เขาเรียกว่าบ้านอะไร อยู่ในเขตแขวงเมืองใด
หนุ่มน้อยนั้นมีสีหน้าเหมือนมีทุกข์ไม่ใคร่จะพูด แต่จำใจขัดไม่ได้จึงบอกว่าบ้านนี้ไม่มีคนพูดเท่านั้นก็สบัดมือจะไป
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พ่อหนุ่มน้อยอย่าวุ่นไปเลยเราเห็นเจ้ามีทุกข์อยู่เป็นแน่ เราจะช่วยแก้ทุกข์ร้อนให้เจ้าอย่าดิ้นรนไปเลย
หนุ่มน้อยได้ฟังดังนั้นมีความโกรธแต่ไม่พูดว่าอะไร จะกระโดดหนีก็เห็นจะไม่พ้น แล้วกลับคิดโกรธนายของตัวเป็นที่สุด เพราะใช้ให้มาจึงได้มาพบอ้ายหัวขูดจับรั้งไว้ตามชอบใจ
เห้งเจียจึงอ้อนวอนถามว่า การขัดข้องในใจอย่างไรจงบอกเราทราบแล้ว เราก็จะปล่อยท่านไปดอก หนุ่มน้อยก็ไม่พูดจาสิ่งใด เห็นว่าหนีไม่พ้นแน่แล้ว ก็เกิดโทษะมากขึ้นจึงเอาร่มที่ถือตีเห้งเจีย ๆ ปัดร่มกระเด็นไปแล้วก็ยังไม่วางข้อมือ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงร้องห้ามเห้งเจียว่า คอยคนอื่นมาจึงค่อยถามไม่ได้หรือ จำเพาะถามคนนี้ทำไมเล่า เห้งเจียจึงว่าจะถามคนอื่นนั้นไม่ได้ความ จะต้องถามคนนี้จึงจะได้ทราบเหตุผล
หนุ่มน้อยเห็นเห้งเจียไม่ปล่อยข้อมือแน่แล้ว จึงบอกว่า ที่นี้คืออาณาเขตเมือง (โอซือจั๋งก๊ก) ตำบลนี้เรียกว่าบ้าน (เกาเล้าจึง) ท่านจงปล่อยให้ข้าพเจ้าไปเถิด
เห้งเจียว่าเราดูกิริยาเจ้ามิใช่คนเดินทาง จงบอกแก่เราโดยตรงจะไปข้างไหน มีกิจธุระอะไรให้ทราบแล้วเราจะปล่อยให้ไป
หนุ่มน้อยนั้นไม่รู้แห่งที่จะทำประการใดเป็นที่จนใจยิ่งนัก ก็บอกความตามจริงว่า เจ้าของบ้านข้าพเจ้า ชื่อเกาท้ายกง ข้าพเจ้าชื่อเกาใช้ ท่านท้ายกงมีบุตรสาวคนหนึ่งอายุได้ยี่สิบปียังหามีผัวไม่ เมื่อแต่ก่อนสามปีมาแล้ว มีปีศาจยักษ์ตนหนึ่งมาข่มขืนนางนั้นเอาเป็นภรรยา ท่านท้ายกงไม่ชอบใจด้วยได้บุตรเขยเป็นปีศาจยักษ์ จะเสาะหาหมอดีมาขับไล่ปีศาจยักษ์ให้ไปเสีย บัดนี้ปีศาจยักษ์จับเอานางไปขังไว้ในห้องเรือนข้างหลังบ้าน ประมาณสักครึ่งปีผู้ใดมิได้เห็นหน้านางไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายประการใด ท่านท้ายกงมีความทุกข์ร้อนยิ่งนัก จึงเอาเงินให้ข้าพเจ้าสองสามตำลึงให้ไปหาหมอมาขับไล่ปีศาจ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้ามิได้หยุดเดินเลย
เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าได้ไปหาหมอทั้งหลวงจีนและคฤหัสถ์มาตั้งพิธีทำการขับไล่ ก็ไม่อาจจะปราบปรามปีศาจลงได้ ท้ายกงโกรธข้าพเจ้าว่าไม่เอาธุระช่วยแก้ทุกข์ร้อน จึงด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ บัดนี้ใช้ให้ข้าพเจ้าไปตามเชิญหาหมอที่ดี ๆ อันมีเวทย์มนต์เชี่ยวชาญให้จงได้ บังเอิญมาพบท่านกั้นกางเราไว้อย่างนี้จะมิเสียเวลาของข้าพเจ้าไปหรือ ข้าพเจ้าได้รับซึ่งความอยาบคายของท้ายกงเหลือที่จะพรรณา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจะได้รีบไปอย่างเดียว ขอท่านได้กรุณาโปรดปล่อยข้าพเจ้าไปเถิด
เห้งเจียครั้นได้ฟังหนุ่มน้อยเล่าให้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่าบังเอิญเป็นเคราะห์ของเจ้าดีเอ็ง แล้วจึงพูดแก่เกาใช้ว่าเจ้าอย่าไปหาหมอให้เสียเงินเลย เราจะช่วยเจ้าไม่เห็นแก่สินจ้างสินบนของเจ้าดอก อันความจริงเรามีฝีมือเข้าใจการที่จะปราบปรามยักษ์ ผี ปีศาจ ได้โดยแท้ เจ้าจงกลับไปบอกให้นายเจ้ารู้ว่าบัดนี้มีพระมาแต่เมืองใต้ถังกับสานุศิษย์คนหนึ่ง จะไปยังไซทีนมัสการพระยูไล แล้วขออาราธนาพระคัมภีร์พระไตรปิฎกไปไว้สั่งสอนมหาชนในเมืองถัง และเข้าใจในการขับไล่ ผี ปีศาจโดยเชี่ยวชาญ จะขอรับรักษาคนไข้ให้หายโรคที่ปีศาจสิง เจ้าจงเร่งไปบอกแก่นายของเจ้าดังคำข้าสั่งนี้เถิด เจ้าอย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย
เกาใช้ พูดว่าท่านอย่าท่าพูดเล่นคล่อง ๆ เพราะข้าพเจ้าก็ได้เคยรับความโกรธของท้ายกงมามากแล้ว ถ้าฝีมือท่านไม่พอที่จะปราบปีศาจนั้นได้แล้ว ก็จะทำให้ข้าพเจ้าได้รับความเดือดร้อนอีก
เห้งเจียจึงพูดว่าเจ้าอย่าวิตกเลยเรามิให้ผิดถึงตัวเจ้าได้ จงพาเราไปที่บ้านเถิดจะได้แก้ไขให้เห็นจริงในทันตาทีเดียว
เกาใช้ได้ฟังดังนั้นไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด จำใจจำพาพระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียเดินกลับมายังประตูบ้าน ครั้นถึงเกาใช้ก็ตรงขึ้นบนตึกพอพบกับเกาท้ายกง ๆ จึงด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานใช้ให้ไปหาหมอยังจะกลับมาทำไมเล่า เกาใช้คุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า ขอท่านได้ทราบบัดนี้ข้าพเจ้าไปพบพระและสานุศิษย์ ทั้งสองพูดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในสรรพวิชาต่าง ๆ เป็นชาวเมืองใต้ถัง บัดนี้จะไปเมืองไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก เธอพูดว่าเข้าใจในการกำราบปีศาจและยักษ์ร้ายต่าง ๆ ได้ บัดนี้ข้าพเจ้าพามาคอยอยู่นอกประตูบ้านแล้ว
ท้ายกงได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าพระเดินทางอวดว่ามีเวทย์มนต์เชี่ยวชาญ วิตกแต่จะไม่ดีจริง ว่าดังนั้นแล้วพร้อมด้วยเกาใช้เดินออกมาหน้าประตู แล้วร้องว่าเชิญท่านทั้งสองเข้ามาข้างในเถิด
พระถังซัมจั๋งเห็นเจ้าของบ้านมาเชิญดังนั้น ก็ขึ้นไปบนตึกกับเห้งเจีย ครั้นถึงเกาท้ายกงเชิญให้นั่งที่อันสมควรแล้ว ยกน้ำชามาถวายพระถังซัมจั๋งฉัน เห้งเจียก็นั่งนิ่งอยู่ข้างริมนั้น ท้ายกงแลไปเห็นรูปร่างเห้งเจียลักษณะดุร้ายน่ากลัวดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกเกาใช้มาถามว่าทำไมเจ้าจึงพาอ้ายยักษ์มาอีกเล่า อ้ายคนที่อยู่ในห้องของเราก็น่ากลัวอยู่แล้วจะคิดแก้ไขก็ยังหาได้ไม่ ยังมิหนำซ้ำไปพาเอามาใหม่อีกเล่า เจ้าแกล้งจะให้มาฆ่าข้าหรือ
เห้งเจียเห็นเจ้าของบ้านพูดดังนั้น อดอยู่ไม่ได้จึงพูดว่า ท่านผู้เฒ่ามีอายุมากเสียเปล่า ๆ ไม่รู้จักอะไรเลย ถ้าจะคิดเลือกเอารูปลักษณะดีทั้งนั้น ท่านจะเอารูปไปต้มแกงกินหรือ เหมือนอย่างข้าพเจ้ามีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวก็จริง แต่จะช่วยท่านเป็นธุระจับปีศาจเอาบุตรสาวกลับคืนให้ท่านได้ อย่างนี้จะดีหรือไม่ดี ทำไมท่านจึงเอาแต่รูปร่างเป็นประมาณเล่า
ท้ายกงได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เห็นจริง จึงเชิญเห้งเจียขึ้นมานั่งข้างบน แล้วท้ายกงจึงพูดว่า เกาใช้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่าท่านทั้งสองอยู่เมืองถัง เดินทางมาจะไปไซทีหรือ
พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่า จริงดังท่านถาม ด้วยอาตมภาพจะไปมัชฌิมประเทศนมัสการพระยูไล แล้วจะเชิญพระไตรปิฎกไปยังเมืองใต้ถัง บัดนี้อาตมภาพมาถึงตำบลนี้ จวนจะพลบค่ำอยู่แล้ว ขอพักอาศัยสำนักท่านสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จะลาไป
เกาท้ายกงจึงพูดว่า ท่านจะมาพักอาศัยนอนเราก็ไม่ว่า แต่ทำไมท่านจึงอวดว่ามีฝีมือ แลเชี่ยวชาญอาจสามารถจะจับยักษ์และปีศาจได้ด้วยเล่า
เห้งเจียจึงตอบว่า ซึ่งท่านให้พักอาศัยนอนนั้น ก็เป็นพระเดชพระคุณอยู่แล้ว แต่ข้อที่จะให้จับปีศาจนั้น ต้องดูท่าทางปีศาจก่อน ควรจับก็ต้องจับควรฆ่าก็จะต้องฆ่า ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ในตำบลนี้มีปีศาจสักกี่ตน
ท้ายกงตอบว่ามันไม่มีกี่ตัวดอก มีอยู่ตัวเดียวก็เป็นบุตรเขยเสียแล้ว ทำวุ่นวายให้ชาวบ้านได้ความเดือดร้อนรำคาญไปทั้งนั้น
เห้งเจียจึงว่า ขอท่านจงเล่าให้ข้าพเจ้าทราบว่าปีศาจมันทำอิทธิฤทธิ์นั้น คือมันทำอย่างไรโปรดให้ฃ้าพเจ้าทราบตลอดเรื่องด้วยเถิด
ท้ายกงจึงเล่าว่า เดิมเราอยู่กินกับภรรยามาช้านานหามีบุตรชายไม่ มีแต่บุตรหญิงสามคน ๆ ที่หนึ่งชื่อเฮียงลั้น คนที่สองชื่อเง็กลั้น คนที่สามชื่อ จุ่ยลั้น สองคนได้สามีอยู่ในตำบลบ้านนี้เอง แต่นางจุ่ยลั้นคนเล็ก เราหมายว่าจะหาบุตรเขยที่ดีให้มาอยู่กับบ้านของเรา ๆ จะได้พึ่งเมื่อเวลาแก่เฒ่า
ครั้นอยู่มาได้ประมาณสามปีมาแล้ว ยังมีชายคนหนึ่งมาหาข้าพเจ้า บอกว่าบ้านเรือนของเขาตั้งอยู่ที่เขาฮกลินซัว แซ่ตือประสงค์นางจุ่ยลั้นจะขอเลี้ยงเป็นภรรยา ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนดี จึงได้ยกบุตรสาวของเราให้เป็นภรรยาคนแซ่ตือ ข้าพเจ้าก็มีความรักใคร่อย่างธรรมดาบุตรเขย ครั้นอยู่มาไม่นานนัก เจ้าแซ่ตือบุตรเขยของข้าพเจ้า ก็กลับกลายผิดคนธรรมดาไป คอปากคางก็ยาวออกมาดูน่าสงสัยนัก
เห้งเจียถามว่าท่านดูลักษณกิริยาจะเป็นอย่างไรบ้าง
ท้ายกงจึงบอกว่า แต่แรกนั้นรูปร่างดำท้องโต ที่ท้องมีขนเหมือนแปลงหมู ปากคางยื่นออกมา ใบหูใหญ่ดุจหูสัตว์ บนท้ายทอยมีผมขนรุงรังคล้ายกับหมูป่า เมื่อแรกมาอยู่ก็กินแจมาภายหลังกลับกินเหล้า แลกินเนื้อสัตว์ไม่ว่าเนื้ออะไรกินทั้งสิ้นกินก็จุเหลือประมาณ ตั้งแต่นั้นมาในบ้านข้าพเจ้าก็มีแต่ความขัดสนลงทุกที
พระถังซัมจั๋งพูดว่าเพราะเขาได้ที่อยู่เป็นสุขจึงกินใหญ่
ท้ายกงพูดว่าการกินนั้นเป็นการเล็กน้อยไม่สู้กระไรนัก แต่บัดนี้มันแผลงฤทธิ์จะไปจะมาทำให้เป็นลมพายุพัด เป็นหินกรวดทรายสาดหวั่นไหวไปทั้งนั้น ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงพากันไม่เปนสุข แล้วเอาบุตรสาวข้าพเจ้าขังอยู่ในห้องหลังบ้านมาครึ่งปีแล้ว ไม่เห็นน่าเห็นตาไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด ข้าพเจ้าทราบว่ามันเป็นปิศาจยักษ์แท้แล้ว จึงได้ใช้ให้เกาใช้ไปหาหมอที่มีเวทย์มนต์คาถาอันเชี่ยวชาญจะได้ขับไล่ให้ไปเสีย
เห้งเจียจึงพูดว่าท่านตาอย่าวิตกวางใจข้าพเจ้าเถิด คืนวันนี้ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระจับปีศาจ จะขับไล่ให้ไปเสียพ้นบ้านท่านจะเป็นอย่างไร
เกาท้ายกงจึงพูดว่าท่านจะช่วยสงเคราะห์แล้ว ขอท่านจงกำจัดให้สิ้นรากเหง้าจึงจะได้
เห้งเจียพูดว่าการอย่างนั้นไม่เป็นไร คืนวันนี้คงจะได้เห็นกันดอก
ท้ายกงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด จึงสั่งคนใช้ให้ยกเครื่องแจมาถวายพระถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย ก็พอเวลาประมาณยามเศษ เห้งเจียจึงบอกแก่เกาท้ายกงว่าขอท่านไปเชิญคนที่มีอายุมาสักสามสี่คน จะได้นั่งเป็นเพื่อนพระอาจารย์ ตัวข้าพเจ้าจะไปจับปีศาจมาให้คนเหล่านั้นดู จะได้สิ้นความร้อนใจของท่าน
ท้ายกงได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็ให้เกาใช้ไปเชิญผู้เฒ่ามาสี่คน ครั้นผู้เฒ่าเหล่านั้นมาแล้ว เห้งเจียก็ถือไม้กระบองบอกท้ายกงให้นำทางไป ท้ายกงก็พาเห้งเจียเดินไปที่เรือนหลังบ้าน
ครั้นถึงเห็นบานประตูปิดแน่นอยู่ เห้งเจียจึงเดินมาคลำประตูผลักดูเห็นใส่กุญแจแน่นเปิดไม่ได้ เห้งเจียจึงเอากระบองกะทุ้งกุญแจ ๆ ก็หักหลุดลงทันที เห้งเจียผลักประตูเปิดเข้าไปในห้อง ดูดุจในถ้ำ เห้งเจียจึงบอกแก่ท้ายกงว่า จงเรียกบุตรสาวดูทีหรือจะเป็นประการใด ท้ายกงจึงอุตส่าห์แข็งใจร้องเรียกว่า จุ๋ยลั้นลูกของพ่อเอ๋ยอยู่หรือเปล่า
นางจุ๋ยลั้นได้ยินเสียงบิดาก็ขานรับเสียงเบา ๆ ว่าฉันอยู่นี่ค๊ะ เห้งเจียเขม่นมองเข้าไปในห้องเห็นนางจุ๋ยลั้นผมหัวรุงรัง หน้านางออกโทรมซีดเหมือนคนใช้ ขณะนางจุ๋ยลั้นเดินออกมาแลเห็นท้ายกงผู้บิดาก็เข้ายึดไว้แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นไปเป็นอันมาก เห้งเจียจึงห้ามว่าอย่าร้องไห้ไปเลยจะเสียเวลาไป แล้วจึงถามนางว่าเดี๋ยวนี้ปีศาจมันไปข้างไหน นางบอกว่ามันจะไปจะมาก็เป็นพายุไม่มีร่องรอยจะรู้ได้ เพราะมันรู้ว่าบิดาข้าพเจ้าเที่ยวหาหมอจะมาขับไล่มัน ๆ คอยระวังอยู่เสมอ ๆ เช้าก็ไปค่ำก็มาดังนี้
เห้งเจียจึงว่าถ้าดังนั้นท่านท้ายกงจงพาบุตรไปเสียหน้าบ้าน ตัวข้าพเจ้าจะรอคอยอยู่ในห้องนี้ ท้ายกงมีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ ก็รีบพาบุตรออกจากห้องมาที่เรือนใหญ่โดยเร็ว
ฝ่ายเห้งเจียเห็นท้ายกงพาบุตรไปแล้ว ก็ร่ายมนต์แปลงกายให้เหมือนรูปนางจุ๋ยลั้นไม่ผิดเพี้ยน แล้วก็นั่งคอยอยู่บนเตียงในห้อง พอประมาณสักครู่หนึ่ง ก็บังเกิดลมพายุพัดมืดมัวไปทั้งท้องฟ้า บัดเดี๋ยวก็แลเห็นปีศาจยักษ์เหาะมาบนอากาศ รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวคางดำขนสั้นปากยาวหูใหญ่ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะอยู่ในใจ จึงคิดว่าเราจะนอนอยู่บนเตียงนี้ จะได้ฬ่อลวงเอาความเท็จความจริงให้จงได้ ถ้ามันจะมานอนเราจะทำเป็นเจ็บครางไม่หยุด จะดูหรือว่ามันจะทำเป็นประการใด คิดดังนั้นแล้วก็เอนตัวลงนอนคอยดูอยู่
ทางไปไซทีพบวัดเข้าวัดหนึ่งมีนามว่าวัดกวนอิมเซียนอี้ ชนทั้งหลายมีความเลื่อมใสมาสักการบูชาด้วยธูปเทียนดอกไม้อยู่
ฝ่ายปิศาจเข้ามาในห้องหาได้พูดจาว่ากระไรไม่ ตรงเข้าคร่อมนางทำกิริยาเหมือนจะทำการสังวาส พอชะเง้อยื่นปาก
เข้ามาจะจูบ เห้งเจียก็เอากำหมัดตุ้ยถูกปากก็ตกลงไปข้างเตียงดังโครมใหญ่
ปีศาจผุดลุกขึ้นจับข้างเตียงแล้วจึง
ถามว่า วันนี้ทำไมเจ้าขัดเคืองพี่ด้วยเหตุไรหรือ ๆ ว่าพี่มาช้าไปเป็นประการใด
เห้งเจียบีบเสียงทำเหมือนเสียงนางตอบว่า ไม่ได้ขัดเคืองอะไรพี่ดอก วันนี้ตัวข้าพเจ้าไม่สบาย
เธอจงถอดเสื้อมานอนด้วยกันเถิด
ปิศาจหมูได้ฟังนางปลอมพูดดังนั้นก็ดีใจ ลุกเดินไปถอดเสื้อแขวนไว้ เห้งเจียก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
ฝ่ายปีศาจถอดเสื้อแล้วก็กลับมาขึ้นบนเตียง นางแปลงจึงคร่ำครวญร้องไห้ว่าเหลือกำลังแล้ว
ปีศาจถามว่าเหลือกำลังอย่างไร ตั้งแต่เรามาอยู่ในบ้านนี้กินข้าวกินน้ำเท่านั้น และได้ช่วยทำการงานทำไร่ไถนาปลูก
ผักปลูกต้นไม้ต่าง ๆ จนบัดนี้ผลไม้ก็มีบริบูรณ์อุดมทั้งสิ้นในสี่ฤดู อย่างนี้แล้วเจ้ายังไม่พอใจหรือ จึงได้คร่ำ
ครวญร้องทุกข์ว่าเหลือกำลังอยู่ดังนี้
นางแปลงว่ามิใช่การดังนั้น ด้วยบัดนี้บิดามารดาข้าพเจ้า จะกั้นปิดมิให้ไปมาหากัน ท่านพูด
ว่าข้าพเจ้ากับท่านเป็นภรรยาสามีกันดูไม่สมควรกันเลย แล้วบ่นว่าได้ลูกเขยมาคนหนึ่งหน้าตาก็หน้าเกลียด ทั้ง
ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมอะไรเลย บ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่ไหนแซ่ชื่ออะไรก็ไม่รู้ จะทำให้เชื้อวงศ์ตระกูลมีความอับอาย
แก่ชาวบ้าน บิดามารดาจึงได้ตัดพ้อต่อว่าด่าตีข้าพเจ้า เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเศร้าหมองไม่มีความสบาย
ยักษ์หมูได้ฟังนางปลอมพูดดังนั้น จึงพูดว่าอันตัวข้านี้รูปร่างไม่งามก็จริง แม้จะใคร่ให้งามก็จะไม่
สู้ยากอะไรนัก เมื่อแรกมาขอก็ได้พูดตกลงกันแล้ว บิดาเจ้าพอใจแล้ว จึงได้รับไว้เป็นบุตรเขย นี่ทำไมจึงจะมายกเอา
เหตุนี้ขึ้นมาพูดอีกเล่า เราได้บอกแล้วว่าบ้านนั้นอยู่ที่ภูเขาฮกลิ่นซัว ถ้ำหุ่นจันต๋อง ข้าตั้งแซ่ตามลักษณะเรียกว่าแซ่
ตือ ตำแหน่งที่เป็นขุนนางนั้น เรียกว่าตือกังเจีย ถ้าบิดาจะถามจงเอาแซ่แลชื่อนี้บอกให้ฟังเถิด
นางแปลงบอกว่า ได้ยินบิดาว่าจะไปเชิญหมอมาจับตัวท่าน
ปิศาจยักษ์หมูได้ฟังดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า การที่จะไปหาหมอนั้นเราหาวิตกไม่ ถึงบิดาจะเชิญ
เทพยดาเทพาอารักษ์และเจ้าอะไร ๆ ไหนที่ศักดิ์สิทธิ์มาเราก็ไม่กลัว เจ้าและเทวดาก็จะไม่
อาจสามารถทำอะไรแก่เราได้
เห้งเจียจึงตอบว่า บัดนี้บิดาได้เชิญหมอมาคนหนึ่งชื่อซีเทียนใต้เซีย เมื่อครั้งห้าร้อยปีมานั้นได้ทำ
การวุ่นวายจลาจลบนดาวดึงส์มีฝีมือยิ่งนัก บัดนี้เขาเชิญมาแล้วจะมาจับตัวท่าน
ปิศาจยักษ์หมูเมื่อได้ฟังดังนั้นสะดุ้งจิตดุจศรีษะจะแตกออกไป จึงพูดว่าถ้าดังนั้นเราจะต้องหนีไป
เห็นจะอยู่มิได้แล้ว ข้ากับเจ้าจะต้องจากกันเป็นแท้แล้ว
นางแปลงจึงถามว่า ทำไมจึงจะต้องหนีเจ้ากลัวเขานักทีเดียวหรือ
ปีศาจยักษ์ตอบว่า ตัวเจ้าไม่รู้ที่เขาทำจลาจลบนดาวดึงส์นั้น คือตัวเป๊กเบ๊อุนมีฝีมือเข้มแข็งนัก
เหลือกำลังข้าจะสู้ความรู้เขาไม่ได้ พูดดังนั้นแล้วก็ลุกมาหยิบเสื้อสวมเปิดประตูจะออกไปนอกบ้าน
เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงกระโดดมาจับข้อมือปีศาจยักษ์หมูไว้แล้วก็กลับเป็นรูปเดิม แล้วร้องว่าอ้ายหมูหูยาวมึงจะหนี
ไปไหน จงหันหน้ามาดูว่านี่ใคร
ปิศาจยักษ์หมูได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจ จึงหันหน้ากลับมาดูเห็นรูปเห้งเจียดุจรามสูรย์ก็สิ้สติ
มือแลท้าวอ่อนไปหมด ก็ร้องด้วยเสียงอันดัง แล้วกระชากเสื้อสบัดขาดหลุดจากมือเห้งเจียแล้วก็เผ่นหนีไป
เห้งเจียก็วิ่งติดตามจะจับตัว ปีศาจยักษ์หมูก็บันดาลเป็นไฟมีแสงสว่างแล้วก็หนีไปยังเขาที่อยู่ เห้งเจียก็เหาะติดตามไปร้อง
เรียกด้วยเสียงอันดังว่าเองจะหนีไปข้างไหน บนฟ้าหรือใต้ดินเราก็คงจะตามไปจับตัวเจ้ามาให้จงได้ แม้ที่สุดเจ้าจะไป
ในนรกเราก็คงจะตามไปจงได้ ร้องพลางเหาะตามพลางมาจนใกล้เขาฮกลีนซัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น