ดาวน์โหลด PDF คำนำ (เล่ม ๒)
เนื้อความตามลำดับเรื่องในไซอิ๋วเล่ม ๒ นี้ ดำเนินวจนะเบื้องต้นตั้งแต่โป๊ยก่ายหลงกลพระโพธิสัตว์ โดยเหตุโป๊ยก่ายเป็นผู้หนาแลหนักอยู่ในเรื่องกามคุณตามนิสัยของโป๊ยก่าย
ที่สุดความในเล่ม ๒ นี้ไปหมดเพียงเห้งเจียรบแก่นางล่อซัว ซึ่งเป็นภรรยาของงู่ม่ออ๋อง ตามนิทานในท้องเรื่องของเล่ม ๒ นี้มีรูปภาพ ๒๔ รูป ประจำตามชุด เพื่อให้ท่านผู้อ่านผู้ฟัง เมื่อทราบเรื่องแล้วจะได้เห็นรูปด้วย แต่ลักษณะและกิริยาของรูปภาพ คงแสดงให้ผู้เห็นถือเอาความได้ว่า ผู้เรียงความเรื่องไซอิ๋วไว้แต่โบราณนั้นเป็นจีนแท้ เพราะฉะนั้น ที่สุดแต่ชั้นพระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แลพระอรหันต์ หรือพระโพธิสัตว์ และชฎิลดาบส นักพรต นักบุญ จึงมีสำเนียงเป็นภาษาจีนไปทั้งสิ้น
ที่สุดจนชั้นวัดวาอารามแม่น้ำภูเขาก็พลอยหมุนความมีกิริยาและชื่อเสียงเป็นภาษาจีนไปทั้งสิ้นด้วย จึงกระทำให้ผู้เรียงภาษาไทยในชั้นนี้ รู้สึกได้ในความจริงและความเท็จทุกประการ แต่จะอย่างไรก็ดี คงเกี่ยวหนักในเรื่องพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นถ้าเข้าที่ยากและขัดข้องในที่สำคัญด้วยประการใดๆ คราวไร เทพยดามารพรหมหรือใครๆ ที่มีอำนาจและบุญฤทธิ์ ก็ต้องช่วยเป็นธุระให้สำเร็จตลอดไปได้ทุกๆ ครั้ง โดยอำนาจที่พระถังซัมจั๋งและเห้งเจียกระทำการเพื่อประโยชน์จะแผ่พระพุทธศาสนาในทิศตะวันออก พาให้ท่านผู้มีปัญญาเกิดศรัทธาเลื่อมใสสูงขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
(บทที่ ๒๓ )
เห้งเจียพูดว่ายังจะไตร่ตรองอะไรต่อไปอีกเล่า ข้างหลังบ้านได้นัดแนะพูดจากันไว้แล้วก็เป็นที่ตกลงกันแน่นอนแล้วนะซิ อาจารย์เป็นเจ้าสาวข้าพเจ้าเป็นเจ้าบ่าวให้ซัวเจ๋งเป็นเถ้าแก่ ไม่ต้องหาฤกษ์วันคืนอะไรแล้ว วันนี้ก็เป็นวันธงชัยได้ฤกษดีแล้ว ควรจะแต่งงานวิวาหะมงคลอยู่กินด้วยแล้ว โป๊ยก่ายไปไหว้อาจารย์แล้วจะได้ส่งตัวเข้าไป โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อย่าทำเล่น ๆ ดังนั้นไม่สำเร็จเอาที่ไหนมา ยังไม่ทันไรก็จะเอาลงเป็นแน่นอนอย่างนี้ไม่ได้
เห้งเจียจึงพูดว่าทำไมจะไม่สำเร็จเล่า เจ้ากับแม่หญิงได้ยินยอมตกลงกันแล้ว ทำไมจึงว่าไม่สำเร็จ เจ้าจงรีบเร็ว ๆ ไปด้วยนาง เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว ก็เข้ามาจับมือโป๊ยก่ายจูงมาให้นางแม่หญิงหม้ายแล้วพูดว่า คนนี้คือบุตรเขยท่าน ๆ จงพาไปจัดแจงแต่งเถิด
ฝ่ายนางแม่หญิงหม้าย เห็นเห้งเจียมอบตัวโป๊ยก่ายมาให้แล้ว นางก็รับพาโป๊ยก่ายไป
ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อเห้งเจียมอบตัวให้ตามนางแม่หญิงหม้ายไปเวลานั้น ร่างกายให้ไหวติงไปทั้งตัวมีความยินดียิ่งนัก ก็เดินตามนางเข้าไปข้างใน นางหญิงหม้ายจึงเรียกเด็กคนใช้ให้เอาเครื่องแจน้ำร้อนน้ำชาไปเลี้ยงเห้งเจียกับซัวเจ๋งข้างนอก แล้วเรียกพวกทำเครื่องโต๊ะให้ตระเตรียมจัดแจงทำเครื่องโต๊ะในการวิวาหะมงคลในเวลาพรุ่งนี้ ครั้นนางสั่งการเสร็จแล้วก็พาโป๊ยก่ายเดินไป
ฝ่ายพระอาจารย์กับศิษย์ทั้งสามนั่งอยู่ข้างนอก ครั้นเสร็จธุระแล้วก็พากันหลับนอนตามสบาย
เมื่อโป๊ยก่ายเดินตามแม่หญิงเข้าไปนั้น เห็นหอห้องเป็นชั้นเรียบร้อยเรียงรายมากมาย จึงถามว่าท่านมารดา ในชั้นนี้เห็นเป็นห้องหอแลมีประตูเป็นชั้น ๆ นั้นจะเป็นห้องสำหรับใส่อะไรไว้หรือ
นางบอกว่านี่ไว้สำหรับใส่ของกินแลเครื่องใช้ต่าง ๆ โป๊ยก่ายจึงชมว่า บ้านผู้ดีแท้ ๆ เดินไปอีกก็เลี้ยวมุมตึก ข้างนั้นมีทางเดินไป จึงมาถึงตึกใหญ่ แม่หญิงหม้ายพาโป๊ยก่ายเดินตรงขึ้นบนเต๊งสูง ครั้นถึงนางจึงบอกโป๊ยก่ายว่า เมื่อกี้นี้เห้งเจียพี่ของเจ้าบอกว่าวันนี้เป็นวันธงชัย ก็เป็นการด่วนจัดแจงไม่ทัน เจ้าจงไหว้พอเป็นกิริยาแล้วจึงได้เข้าร่วมห้อง
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นนึกดีใจก็ทำตาม จึงจุดธูปเทียนมาปักโต๊ะเทวดาและปู่ย่าตายาย แล้วคำนับไหว้ตามธรรมเนียม ครั้นเสร็จแล้วจึงมาไหว้แม่ยาย แล้วโป๊ยก่ายจึงถามว่า ท่านมารดาจะให้บุตรคนไหนเป็นภรรยาข้าพเจ้าเล่า
นางจึงตอบว่า แม่นี้ยังมีความสงสัยอยู่ ด้วยคนทั้งสามนี้จะมีความเสียใจบ้างดอกกระมัง จะยกคนใหญ่ให้คนกลางคนเล็กจะเสียใจ จะยกคนกลางให้คนใหญ่คนเล็กจะเสียใจ จะยกคนเล็กให้คนใหญ่คนกลางจะเสียใจ เพราะฉนั้นจึงเป็นความลำบากอยู่ยังไม่แน่ลงไปได้
โป๊ยก่ายว่า ถ้ากระนั้นท่านมารดาโปรดยกให้เสียทั้งสามคนก็แล้วกัน ไม่ต้องวุ่นวายอะไรเลย นางจึงพูดว่าทำอย่างนั้นจะมิเสียธรรมเนียมไปหรือ บุตรเขยคนหนึ่งจะเอาบุตรสาวสามคนนั้นไม่ได้ โป๊ยก่ายว่าท่านพูดดังนั้น ก็ที่ท่านเป็นขุนนางหรือผู้มีทรัพย์ บ้านเรือนใหญ่โต เขามีเมียมาก ๆ ก็มีอยู่ถมไปจะผิดชอบอะไรไป ตัวข้าพเจ้าตั้งแต่ยังเล็กเคยไปเรียนวิชาแปลงกายได้ ถึงจะมีภรรยาหลายคนก็จะผ่อนผันให้พอใจได้ทุก ๆ คน นางจึงพูดว่าทำอย่างนั้นก็ไม่ดี แม่มีผ้าแพรขาวผืนหนึ่ง เจ้าเอาปิดตาปิดหูเสียแล้ว เสี่ยงทายให้หญิงทั้งสามนั้นมายืนตรงหน้าเจ้าถ้าเจ้าจับถูกคนใดแม่จะยกคนนั้นให้เป็นภรรยา
โป๊ยก่ายได้ฟังแม่ยายพูดดังนั้นก็นึกดีใจ จึงรับเอาผ้าแพรขาวมาแล้ว ก็คลุมหัวปิดตาปิดหูเสร็จแล้วก็ร้องบอกว่า ขอท่านมารดาได้บอกแม่น้องให้มายืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเถิด นางจึงร้องบอกบุตรสาวทั้งสามว่าเจ้าจงออกมาให้เขาเสี่ยงทายเถิด เมื่อเป็นบุญของใครแม่จะได้ยกให้มีผัว นางทั้งสามได้ฟังมารดาสั่งดังนั้น ต่างก็พร้อมกันออกมายืนอยู่ โป๊ยก่ายได้กลิ่นหอมมาเข้านาสิกก็รู้ว่านางทั้งสามออกมายืนอยู่แล้ว จึงเดินตรงเข้าไปใกล้คว้าซ้ายคว้าขวาไล่จับก็มิได้ถูกต้องนางคนใด จนหน้าตาโดนประตูแลน่าต่างฝาผนัง ตาหูปากคางฟกบวม จับใครก็ไม่ได้แต่สักคนเดียว จนไปโดนบานประตูหกล้มลงนั่งอยู่กับพื้น แล้วร้องบอกว่าบุตรสาวของท่านมารดาวิ่งเร็วนักจับไม่ได้จะทำอย่างไรดี
นางแม่ยายเห็นดังนั้น จึงมาแก้ผ้าที่ผูกตาออกเสียแล้ว พูดว่าไม่ใช่นางน้องทั้งสามนั้นวิ่งเร็ว เพราะเขาเป็นผู้ดีจึงหลบหลีกไม่กล้าให้เจ้าจับตัวได้ เขาจะไม่ยอมเป็นภรรยาเจ้า โป๊ยก่ายจึงว่า ถ้านางทั้งสามเขาไม่ยอมเป็นภรรยาข้าพเจ้าแล้ว ท่านแม่ยอมก็ใช้ได้เหมือนกัน ท่านแม่ยายจึงพูดว่า ลูกเขยอะไรอย่างนี้จึงจะคิดเล่นแม่ยายเล่า เห็นไม่สมควรจะคิดเลย นางจึงพูดว่าบุตรสาวทั้งสามคนนี้มีฝีมือได้ปักเสื้อประดับด้วยพลอยต่าง ๆ สี งามที่สุดมีอยู่คนละตัว แม้ว่าเจ้าใส่ได้สมตัวเสื้อตัวใดแล้ว จะยกคนนั้นให้แก่เจ้า
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า ถ้ากระนั้นขอท่านแม่เอาเสื้อออกมาข้าพเจ้าจะลองใส่ดู แม่ยายจึงเดินเข้าไปข้างในหยิบเสื้อออกมาตัวหนึ่ง ส่งให้โป๊ยก่าย ๆ ก็รับเอาเสื้อมาแล้วก็เปลื้องเสื้อเดิมออกเสีย เอาเสื้อใหม่สวมตัวเข้าลองใส่ดู พอยกเสื้อสอดมือทั้งสองเข้าไปไนแขนเสื้อ ๆ กลายเป็นเชือกมัดผูกไว้ทั้งมือแลท้าว โป๊ยก่ายก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น มีความเจ็บปวดเป็นอันมาก หญิงก็อันตรธานสูญหายไป
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย ซัวเจ๋งนอนอยู่ที่น่าหอนั่ง พอรุ่งสว่างตื่นขึ้นเหลียวซ้ายแลขวา ก็มิได้เห็นบ้านเรือนแลห้องหอ นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกเห้งเจียกับซัวเจ๋งให้ตื่นขึ้น ซัวเจ๋งจึงถามเห้งเจียว่า พวกเราเห็นจะถูกปีศาจอสูรกายหลอกลวงดอกกระมัง จึงได้เป็นประหลาดอัศจรรย์ดังนี้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เข้าใจแน่ จึงหัวเราะแล้วพูดว่า ซึ่งบังเกิดมีป่าไม้อยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่าอ้ายสัตว์กินรำมันจะไปต้องโทษอยู่ที่ไหน
หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า โป๊ยก่ายจะต้องโทษด้วยเหตุอะไร เห้งเจียจึงพูดว่า เมื่อวานนี้มีห้องหอตึกบ้านและมีหญิงหม้ายหญิงสาวนั้น ไม่ทราบว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์ใด มาบันดาลแปลงกายพอครึ่งคืนก็อันตรธานไปเสีย ถ้ากระนั้นก็เห็นว่าโป๊ยก่ายคงจะต้องทรมานอยู่เป็นแน่แล้ว
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ยกมือนมัสการเนื่องไป บัดเดี๋ยวแลไปข้างริมต้นไม้สน เห็นกระดาษตกลงมายังพื้นดิน ซัวเจ๋งก็วิ่งไปเก็บมาอ่านดู ในกระดาษนั้นมีคำโคลงเขียนด้วยอักษรจีนอยู่แปดบท เป็นคำอรรถว่า (ลี่ซัวเล่าโป๊ปุ๊ดซือฮ้อม) แปลว่าเจ้าแม่เล่าโป๊ไม่ใช่รักทางโลก
คำที่สองว่า น่ำไฮ้กวนอิมลงมาจากเขา แปลว่าพระโพธิสัตว์เสด็จมาจากเขาน่ำไฮ้
คำที่สามว่า บุญซู้เทาเฮี้ยนกายสี้แปะ แปลว่าพระโพธิสัตว์ทั้งสองแปลงกายมา
คำที่สี่ว่า ห่วยเซ้งมุ้ยนิ้งต้อลีมตัง แปลว่าพระโพธิสัตว์ทั้งสามแปลงเป็นนางรูปสวย
คำที่ห้าว่า เซ้งเจงพ้ามเป๊าะเสี้ยนกีเตี้ย แปลว่าจะมาลองใจหลวงจีนถังซัมจั๋งว่าจะมั่นคงเพียงไร
คำที่หกว่า โป๊ยก่ายทามเอิ้มเหลียกแส่ง้วน แปลว่า โป๊ยก่ายนั้นจิตมากด้วยความกำหนัด
คำที่เจ็ดว่า ส่งจี๊เซ้ยซิมซูเก๊ยก่วย แปลว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปภายหลังให้ขมาโทษอย่าได้คิดต่อไป
คำที่แปดว่า หยอดแซต๊ายมั่นโล่โต้ลั้น แปลว่า แม้มีความเกียจคร้านไปข้างหน้าจะมีความลำบากมาก
เมื่อเวลาลูกศิษย์กับอาจารย์กำลังดูคำโคลงอยู่นั้น ได้ยินเสียงร้องเรียกว่า พระอาจารย์ช่วยข้าพเจ้าด้วยสักครั้งหนึ่งเถิด ต่อไปข้าพเจ้าไม่กล้ากระทำอีกแล้ว
พระอาจารย์ถังซัมจั๋งจึงถามว่า เสียงที่ร้องเรียกนั้นเสียงโป๊ยก่ายมิใช่หรือ ซัวเจ๋งบอกว่าใช่ เห้งเจียบอกแก่ซัวเจ๋งว่า ช่างเขาอย่าเป็นธุระถึงเขาเลยพวกเราจัดแจงไปเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า แม้โป๊ยก่ายมีความโฉดเขลาดังนั้นก็จริงอยู่ แต่ต้องเห็นแก่พระโพธิสัตว์ ต้องช่วยแก้สักครั้งหนึ่งก่อน
(บทที่ ๒๔)
ซัวเจ๋งยกหาบใส่บ่า เห้งเจียจูงม้านำหน้าพระอาจารย์เดินเข้าไปยังพุ่มไม้ในป่ารกค้นหาโป๊ยก่าย แหวกหญ้าบุกรกเข้าไปบัดเดี๋ยวก็แลเห็นโป๊ยก่ายถูกมัดอยู่บนต้นไม้ เสียงร้องครางไม่หยุด เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ทำแกล้งพูดเยาะว่า โป๊ยก่ายลูกเขยป่านนี้ยังไม่มาเคารพนบน้อมวงศ์เพื่อนฝูงทั้งหลาย แลทำไมจึงไม่มาบอกให้พระอาจารย์ยินดีบ้างเล่า ขึ้นไปนอนอยู่บนที่ตึกสูงตามสบายใจ ได้ดีแล้วก็ไม่ทักไม่ทายกันบ้างเลย จะลืมกันเสียทีเดียวหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดเยาะเย้ยดังนั้น ให้มีความละอายเป็นที่สุด สู้อุตส่าห์กัดฟันไม่ร้องคราง
ฝ่ายซัวเจ๋งยืนอยู่ข้างนั้น เห็นโป๊ยก่ายถูกมัดมีความเจ็บปวดครางอยู่ดังนั้น ก็นึกสงสารจึงขึ้นไปแก้มัดให้โป๊ยก่ายแล้วก็พากันลงมา จึงมีคำกลางว่ารูปศรีอันงาม ดุจอาวุธอันบุคคลไว้สำหรับฆ่าตัวเอง ความกำหนัดโลภหลง จะต้องด้วยภัยอันใหญ่ หญิงแรกรุ่นกำดัด ดุจยักษ์และปีศาจรากษสอันร้ายแรงฉะนั้น
โป๊ยก่ายครั้นซัวเจ๋งแก้มัดให้ลงมาถึงแผ่นดินได้แล้ว ก็จุดธูปนมัสการขมาโทษ เห้งเจียถามว่ารู้ว่าโพธิสัตว์องค์ใดแกล้งแปลงมาหรือไม่ โป๊ยก่ายบอกว่า ข้าพเจ้าต้องมัดเจ็บปวดมืดมัวหารู้ว่าองค์ใดไม่ เห้งเจียจึงหยิบกระดาษที่เก็บได้นั้นมาส่งให้โป๊ยก่ายดู
โป๊ยก่ายรับกระดาษมาดูก็รู้ชัดว่าพระโพธิสัตว์แปลงกายมา ยิ่งมีความอดสูแก่ใจหาที่เปรียบมิได้ ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่านี่โป๊ยก่ายมีนิสัยอันใหญ่ ได้ร่วมญาติกันกับพระโพธิสัตว์ทั้งสี่องค์ โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ตั้งแต่นี่ไปน้องอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ต้องตั้งจิตหาบหามตามพระอาจารย์ไปกว่าจะสำเร็จการเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สมควรแล้ว
เห้งเจียเห็นการเรียบร้อยแล้ว จึงเดินนำหน้าพากันออกเดินมายังทางใหญ่ หมายระยะทางตรงไปยังทิศปราจิณ ครั้นเดินตามระยะทางตามแนวป่าเช้าค่ำก็พักนอน วันหนึ่งเดินมาตามทางแลไปข้างน่าเห็นภูเขาใหญ่มีต้นไม้ขึ้นเป็นช่อชั้นงาม บนยอดเขามีเมฆห้อมล้อมมีรัศมีต่าง ๆ อาจารย์กับศิษย์เดินพลางชมพลาง หลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นก็มีความรื่นเริง จึงพูดว่าเราข้ามเขาข้ามน้ำมาก็มากแล้ว ยังไม่เห็นเหมือนภูเขานี้ พิเคราะห์ดูชัยภูมิงดงามยิ่งกว่าทุกเขา เห็นจะใกล้เขตวัดลุ่ยอิมยี่ดอกกระมัง เราทั้งหลายจงตั้งจิตสำรวมกิริยาให้เรียบร้อย จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า จะเร็วดังนั้นทีเดียวหรือ ซัวเจ๋งจึงถามเห้งเจียว่าวัดลุ่ยอิมยี่นั้นหากพวกเราจะไปนั้น หนทางจะไกลใกล้ประมาณสักเท่าใด เห้งเจียตอบว่าหนทางนั้นหมื่นแปดพันโยชน์สิบส่วนเรามายังไม่ได้หนึ่งส่วน โป๊ยก่ายถามว่าหากจะไปนั้นสักกี่ปีจึงจะถึง เห้งเจียตอบว่าถ้าน้องทั้งสองไปสิบวันจึงจะถึง ถ้าพี่จะไปวันหนึ่งไปมา
ห้าสิบรอบก็ยังเห็นแสงตะวันไม่ค่ำ ถ้าเปรียบพระอาจารย์ไปเมื่อไรจะถึงอย่าเพิ่งคิดเลย
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ถ้าเห้งเจียพูดดังนั้นก็เมื่อไรจึงจะถึงเล่า
เห้งเจียตอบว่าเปรียบพระอาจารย์ไปนั้นตั้งแต่เล็กจนแก่อย่างนี้พันหนก็ยังไม่ถึง หากพระ
อาจารย์ มีมูลสันดานผ่องไสยบริสุทธิ์ ชั่วระลึกหยุดก็ถึงที่เขาเล่งซัวนั้นเอง
ซัวเจ๋งจึงถามว่าแม้ตำบลนี้มิใช่วัดลุ่ยอิมยี่พิจารณาดูในแห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ของผู้วิเศษจะอาศัยอยู่ดอกกระมัง
เห้งเจียว่าน้องเห็นความดังนั้นก็จะเป็นได้บ้างเห็นเกือบจะถูกต้อง สมควรจะเป็นสำนักของผู้วิเศษจริงไม่กระนั้น
ก็จะเป็นสำนักเซียน และ อิสีดาบสอยู่เป็นแน่ พวกเราค่อย ๆ เดินพิศดูเล่น
ตอน ต้นไม้ทารก (ช่วงที่ 1)
จะกล่าวมูลเหตุของภูเขานี้ มีนามเรียกว่าเขาบ้วนซี่วซัวบนเขานั้นมีสำนักเรียกว่า เหงาจึงกวนสำนัก ๆ นี้มีเซียน
ฤๅษีองค์หนึ่งนามเรียกว่า ติ๋นหงวนจื้อในภูมิที่นั้น เกิดของวิเศษอยู่สิ่งหนึ่ง
ของสิ่งนี้คือตั้งแต่เริ่มตั้งโลกยังไม่ปันฟ้าปันดิน ก็บังเกิดมีของกายสิทธิ์อย่างนี้ คือในใต้หล้านี้ทั้งสี่ทวีปมีแต่
อุดรทวีปนั้นแรกมี ต่อมามีชมพูทวีปต่อทีหลัง นามของวิเศษนั้นเรียกว่า เช้าฮ่วนตันคือยาวิเศษแลเรียกยีน
เซียมก๊วน คือมีต้นเกิดผลเป็นรูปคล้ายคน จะเรียกมักกะลีผลก็ได้ สามพันปีจึงจะออกดอกอีกสามพันปีจงจะตั้งผล
อีกสามพันปีจึงจะสุก
รวมหมื่นปีจึงบริบูรณ์ กำหนดมีเฉพาะสามสิบผล ผลนั้นคล้ายเด็กทารกพึ่งจะออกจากครรภ์มารดา สามวันผลนั้นเป็นเบญจะสาขาบริบูรณ์ แม้ผู้ใดมีนิสัยได้ดมกลิ่นทีหนึ่งอายุยืนสามร้อยหกสิบปี แม้ได้กินผลหนึ่งอายุยืนสี่หมื่นเจ็ดพันปี แต่เมื่อเวลาวันนั้น ติ๋นหงวนต้ายเซียนฤๅษีอาจารย์ใหญ่มีกิจธุระด้วยหงวนซุ้ยเทียนจุนพรหมใหญ่ เชิญไปฟังธรรม
บนวิมาน สวรรค์ ติ๋นหงวนต้ายเซียนนั้นสั่งสอนสานุศิษย์แพร่หลายเหลือที่จะคะเนนับ ในเวลานั้นยังมีอยู่สี่สิบ
แปดคน ๆ นี้ ได้สำเร็จมรรคของเซียนโดยเชี่ยวชาญ
ในเวลานั้นติ๋นหงวนอาจาริย์ใหญ่พาสานุศิษย์สี่สิบแปดคน
นั้นไปยังสวรรค์ เมื่อจะไปนั้นให้ศิษย์สองคนอยู่เฝ้าสำนัก ชื่อเชงฮองคนหนึ่งชื่อเม่งง้วยคนหนึ่ง เชงฮองอายุได้
พันสามร้อยยี่สิบปี เม้งง้วยอายุได้พันสองร้อยปี ใต้เซียนติ๋นหงวนใกล้จะไปได้สั่งสอนสานุศิษย์เชงฮองเม่งง้วย
ไว้ว่า วันมะรืนนี้คนชอบแก่ข้าพเจ้าจะมาทางนี้คือเป็นสมณะสงฆ์อยู่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง นามเรียกว่า ถังซัมจั๋ง
เธอรับคำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปมัชฌิมประเทศ เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เมื่อเธอมา
ถึงนี่ตัวทั้งสองอย่าได้เกียจคร้าน จงเชื้อเชิญให้หยุดพักแล้วไปเก็บผลยิ่นเซียมบนต้นลงมาถวายให้เธอฉันสองผล
เชงฮองเม่งง้วยทั้งสองจึงพูดว่า คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่าความปฏิบัติไม่เหมือนกันอย่าได้
ร่วมคิด ก็นี่เธอเป็นสมณะจะมาเป็นสมัครพรรคพวกได้หรือ
ติ๋นหงวนผู้อาจารย์ได้ฟังเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านทั้งสองไม่รู้เหตุผลด้วยเดิมพระถัง
ซัมจั๋งนั้น เมื่อครั้งพระพุทธองค์ประชุมเลี้ยงมหาสังฆทานนั้น ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้นับได้ห้าร้อย
ปีแล้ว เมื่อครั้งเธอเป็นโพธิสัตว์ บัดนี้เธอกลับชาติมาเป็นสมณะสงฆ์ แม้เธอมาถึงเอาผลยิ่นเซียม
ถวายให้เธอ จงระวังระไวอย่าให้สานุศิษย์ของเธอรู้เหตุการณ์
เชงฮองเม่งง้วยได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้นก็เคารพรับคำสั่ง แล้วใต้เซียนติ๋นหงวนก็พาสานุศิษย์สี่สิบแปดคนเหาะขึ้นบนสวรรค์
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเดินมากับด้วยสานุศิษย์ทั้งสามคน พิจารณาดูเพิงผาโขดเขาคีรีบัดเดี๋ยวก็เห็นมีต้นไม้สน
ที่พื้นลานดูร่มรื่นเป็นที่ชัยภูมิ สงัดเงียบสำหรับระงับใจให้มีความสุขเย็นใจดุจผู้ปฏิบัติ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดัง
นั้นจึงลงจากม้า แลไปเห็นมีแผ่นศิลาจารึกอักษรใหญ่สิบตัว คือ (บ่วนซี่วซัวฮกตี้เหงาจึงกวนต๋องเทียน) แปล
ว่าเขาบ้วนซิ่วที่ชัยภูมิสำนักเหงาจึงกวนถ้ำฟ้า
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงบอกแก่ศิษย์ว่า ที่นี้เป็นที่สำนักงดงามพวกเราเดินเข้าไปดูเล่น
เห้งเจียพูดว่าเห็น
จะดีแล้วศิษย์กับอาจารย์ก็พากันเดินเข้าไปยังประตู มองขึ้นไปดูที่สองข้างประตูมีหนังสือเหลียนเขียนไว้ข้างละ
เจ็ดตัว คำหนึ่งว่าเชียงแซปุ๊ดเหลาสินเซียนฮู้ คำสองว่าอื่อเทียนตั้งซิวเต๋ายิ้นแก ยืนนานเสมอฟ้าหรือสี่มรรค
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงพูดว่า พวกฤาษีเหล่านี้พูดอวดตัวมากนัก ข้าพเจ้าเบื่อหูเมื่อข้าพเจ้าอยู่บน
สวรรค์ที่มหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็ยังไม่เคยฟังพูดอวดใหญ่โตอย่างนี้
พูดดังนั้นแล้วก็พากันเดินเข้าไปข้าง
ในประตู มองเข้าไปเห็นมีหนุ่มน้อยสองคนเดินออกมา พิเคราะห์ดูรูปร่างงามแปลกประหลาดกว่าคนธรรมดา
ทั้งหลาย หนุ่มน้อยนั้นคือเชงฮองเม่งง้วย เธอทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ยกมือขึ้นคำนับพูดว่า ขอนิมนต์ท่านอาจาริย์
เข้ามาพักข้างใน
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีพากันเดินตามหนุ่มน้อยทั้งสองเข้าไปยังสำนัก
ครั้นถึงเชงฮองเม่งง้วยจึงเชิญหลวงจีนถังซัมจั๋งให้นั่งที่อันสมควร แล้วยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย
หลวงจีนถังซัมจั๋งแลขึ้นไปบนที่บูชา เห็นมีอักษร ใหญ่สองตัวคือ (เทียนตี้) แปลว่าฟ้า ดิน
และมีเครื่องตั้งประดับประดาเป็นชั้น ๆ หลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงลุกเดินเข้ามาจุดธูปบูชา แล้วกลับมานั่งจึงถามเชง
ฮองเม่งง้วยว่า ที่สำนักนี้เป็นสุขุมระงับเย็นดุจที่เมืองพระพุทธเจ้าอยู่ ทำไมไม่เห็นบูชาพรหมซัมเชงและเทพยดา
ดาวทั้งหลาย บูชาแต่อักษรสองตัว ฟ้ากับดินเท่านั้นเอง
เชงฮองเม่งง้วยได้ฟังหลวงจีนถังซัมจั๋งถามดังนั้น หัวเราะแล้วจึงตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่าน
อาจารย์ อาจารย์ของข้าพเจ้าท่านบูชาอักขระฟ้าดินสองตัวนี้ เป็นที่สุดยอดแล้ว พรหม และเทพยดา
เทพารักษ์หรือดาวทั้งหลาย ไม่อาจรับการบูชาของอาจารย์ข้าพเจ้าได้ เพราะอาจารย์ของข้าพเจ้าออกจากที่อันฉลาด
เฉลียวแล้ว
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า อันฉลาดเฉลียวนั้นเป็นใจความอย่างไร
เชงฮองเม่งง้วย ตอบว่า
พรหม ซัมเซงเป็นเพื่อนของพระอาจารย์ข้าพเจ้า เทวดาเทพารักษ์ เจ้าและดาวทั้งหลาย เป็นที่ชอบกับอาจารย์
ของข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจรับเครื่องสักการะบูชาของอาจารย์ข้าพเจ้า
เห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้น ได้ยืนเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้นก็หัวเราะออกงอๆ แล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้า
เข้าใจกำจัดซึ่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย ฟังดูหนุ่มน้อยเด็กทั้งสองคนนี้เข้าใจพูดอ้อมค้อม หลวงจีนถัง
ซัมจั๋งจึงถามว่า บัดนี้อาจารย์ของท่านทั้งสองไปข้างไหน
เชงฮองเม่งง้วยตอบว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้านั้น ท่านพรหมง่วนซุ้ยเทียนอุนเชิญขึ้นไปบนสวรรค์
ยังวิมานหมี่หลอฟังวิสัชนาธรรม
เห้งเจียได้ฟังเชงฮ่องเม่งง้วยบอกดังนั้นก็หัวเราะใหญ่
หลวงจีน
ถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น จึงบอกสานุศิษย์ให้ออกไปหาเตาจะได้หุงต้ม เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์
สั่งดังนั้น ก็พากันออกมาที่หอกลางไปข้างห้องหออาศัย ที่โรงครัวจัดแจงหุงต้ม
ฝ่ายเชงฮองเม่งง้วย จึงถามว่าท่านอาจารย์คือเป็นพระที่อยู่เมืองจีน ชื่อถังซัมจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกใช่
หรือไม่ หลวงจีนถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพนี้แล คือพระถังซัมจั๋ง เหตุใดท่านทั้งสองจึงรู้จักชื่ออาตมภาพเล่า
เชงฮองเม่งง้วยจึงบอกว่า อาจารย์ของข้าพเจ้า เมื่อท่านจะไปได้สั่งไว้ว่า ท่านอาจารย์จะมาถึงที่นี่ สั่งให้ข้าพเจ้า
ทั้งสองนิมนต์ท่านพักก่อน ขอท่านอาจารย์ได้นั่งคอย ข้าพเจ้าจะไปเก็บผลไม้เล็กน้อยมาถวาย เชงฮองเม่งง้วย
ก็คำนับลาเข้าไปในห้อง หยิบไม้ขอทองเอาแพรปูรองถาด ครั้นแล้วคนทั้งสองก็พากันออกจากห้อง เดินตรงไป
ยังสวนดอกไม้ ข้ามพ้นสวนดอกไม้ไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงที่ต้น (ยิ่นเซี่ยมก๊วย) เชงฮองก็ปีนขึ้นไปบนต้น เอาไม้
ตะกร้อทองเกี่ยวผลยิ่นเซียมสองผลขยับสั่น ผล (ยิ่นเซียมก้วย) ก็หล่นลงมาในตะกร้อ เม่งง้วยเอาถาดรองรับ
ไว้ในถาด แล้วคนทั้งสองก็พากันเดินกลับมายังสำนัก จึงนำถวายหลวงจีนถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่าที่สำนักนี้ไม่มีสิ่ง
ใดจะถวาย มีแต่ผลไม้เล็กน้อยอย่างนี้ นิมนต์ท่านฉันพอเป็นยาปฏิชีวนะ
หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปในถาด จิตใจให้ไหวสั่นถอยหลังออกมาสามก้าวแล้วพูดว่า ปีนี้ไร่นา
ข้าวปลาก็บริบูรณ์ ทำไมตำบลนี้แห้งแล้งหรือ จึงเอาเด็กพึ่งคลอดได้สามวันมาให้อาตมาฉัน จะควรหรือ เชง
ฮองได้ฟังหลวงจีนถึงซัมจั๋งพูดดังนั้น แลทั้งมีกิริยาสะดุ้งหวาดไม่รู้จักของวิเศษ เม่งง้วยเห็นดังนั้น ก็เดินเข้ามา
ใกล้บอกว่าท่านอาจารย์ยังไม่ทราบ ผลไม้นี้นามเรียกว่า ยิ่นเซียมก้วยผลนั้นเกิดอยู่บนต้น
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ท่านทั้งสองทำไมจึงพูดไพร่เผลอดังนั้นเล่า ต้นไม้จะมาเกิดเป็นคน
มีหรือ จงเอาไปเสียเถิดอาตมฉันไม่ได้ เชงฮองเม่งง้วย ฟังหลวงจีนพูดดังนั้น ก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงยกถาด
ผลไม้กลับเข้าไปในห้อง เชงฮองเม่งง้วยจึงพูดว่า ผลไม้นี้จะไว้ช้าไม่ได้จะเสีย กินไม่ได้ เราทั้งสองแบ่งกันคนละ
ผล พูดแล้วก็ต่างคนกินคนละผล
เชงฮองเม่งง้วยนั่งกินผลไม้อยู่ในห้อง ฝาห้องติดกับโรงครัว
โป๊ยก่ายกำลังหุง
ต้มอยู่ในครัวได้ยินเชงฮองเม่งง้วย กระซิบพูดกันเมื่อตะกี้ เอาไม้ขอแลถาดไปใส่อะไรที่ไหน แลได้ยินว่าพระถัง
ซัมจั๋งไม่กล้ากินผลยิ่นเซียมก้วย คนทั้งสองเอากลับไปในห้องแบ่งกันกินเสีย โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นน้ำลายไหลโดย
ความที่อยากกิน ทำไมเราจะได้สักผลหนึ่งมากินแก้อยาก ตัวเองก็ยังกังวลหุงต้มอยู่ไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใด จึง
นั่งคอยเห้งเจียมาจะได้ปรึกษากัน บัดเดี๋ยวเห้งเจียก็จูงม้ามาผูกที่โคนต้นไม้ แล้วก็เดินเลยไปข้างหลังสำนัก
โป๊ย
ก่ายแลเห็นเห้งเจียเดินไปจึงกวักมือร้องเรียกว่า พี่เห้งเจียกลับมานี่ก่อน ๆ เห้งเจียหันหน้ากลับมายังโรงครัว
จึงถามว่าอ้ายกินรำมึงเรียกทำไม โป๊ยก่ายว่าที่สำนักนี้มีของวิเศษแกจะรู้อะไร
เห้งเจียถามว่าของวิเศษอะไรที่ไหน โป๊ยก่ายบอกว่าคือผลยิ่นเซียมก้วยแกเคยเห็นบ้างหรือ
เห้งเจียได้ยินก็ตกใจแต่ที่จริงไม่เคยได้เห็น เป็นแต่เคยได้ฟังเขาเล่าให้ฟังว่าผลยิ่นเซียมก้วยนี้
เขาเรียกว่า (เช้าฮ่วนตัน) คือยาวิเศษถ้าได้กินแล้วอายุยืนนานเดี๋ยวนี้ที่ไหนจะมี เป็นของ
หายากนัก
โป๊ยก่ายบอกว่าในที่สำนักนี้มี หนุ่มน้อยทั้งสองนั้นเอามาสองผลถวายพระอาจารย์ ๆ พูดว่า
เด็กทารกพึ่งออกได้สามวันพระอาจารย์ไม่กล้ากิน
เขาทั้งสองพูดอ้อนวอนให้กินพระอาจารย์ก็
ไม่รับประทานแล้วท่านก็ไม่บอกได้เรารู้ด้วย หนุ่มน้อยสองคนเอาไปซ่อนกินไม่ให้พวกเรารู้ เรา
ทำอย่างไรจะได้กินบ้างสักผลหนึ่ง ข้าคิดว่าเราไปเที่ยวค้นดู ถ้าพบแล้วเก็บเอามากินสักสอง
สามผลจะเป็นอย่างไรบ้างก็จะได้รู้กัน
เห้งเจียพูดว่าถ้าดังนั้นก็ไม่สู้ยากอะไรนัก เป็นธุระพี่จะไปเที่ยวค้นดู ถ้าพบแล้วพี่เอามากินเล่น
พูดแล้วก็เดินออกไป โป๊ยก่ายยึดไว้ว่าอย่าเพิ่งก่อนข้าพเจ้าได้ยินมันพูดกันว่า เอาอะไรเป็นไม้ตะกร้อในห้องไปสอย
เห็นจะต้องเอาสิ่งนั้นไปเก็บจึงจะได้ดอกกระมัง พี่จงแอบเข้าไปดูก่อน
เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่าพี่เข้าใจได้
เห้งเจียจึงร่ายมนต์บังตามิให้เห็นตัว แล้วก็เดิน
เข้าไปในห้อง เวลานั้นเชงฮองเม่งง้วยมิได้อยู่ในห้อง เห้งเจียสอดตามองรอบห้องแลเห็นไม้ขอทองที่บนประตูห้อง
แขวนอยู่ ยาวประมาณสองแขนเศษ ข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็ก ผ้าแพรสีต่าง ๆ พันคันขอ เห้งเจียเห็นแล้วก็คิด
ว่าเห็นจะเป็นไม้อันนี้เอง จึงเดินเข้าไปหยิบเอามาเดินดูไปในสวนจนข้ามสวนดอกไม้ไปถึงสวนต้นไม้ใหญ่ ดูกิ่งก้าน
ออกเขียวรื่นไปทั้งหมู่ ผลแลดอกออกฉ้อดูงดงามยิ่งนัก เห้งเจียก็เดินมาใกล้ต้นยิ่นเซียมก้วยยืนอยู่ที่โคนต้น แลขึ้น
ไปดูบนต้นเห็นข้างทิศอาคเนย์นั้นมีกิ่งมีผลห้อยอยู่ พิจารณาดูดังทารกแดง ๆ ผลนั้นติดอยู่ปลายกิ่งห้อยแกว่ง
กวัดตามลม
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ ก็ปีนขึ้นบนต้นไม้นั้นจนถึงยอดเอาไม้ตะกร้อสอย
ลูกหนึ่งพอบิดผลยิ่นเซียมก้วยก็หล่นตกลงมายังพื้นดิน เห้งเจียก็กระโดดตามลงมาค้นหาดูรอบในที่นั้นก็
ไม่เห็น แหวกหญ้าดูก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลย เห้งเจียนึกว่าผลไม้นี้มีตีนเห็นจะเดินหนีได้โดยจะหนีไปก็ไม่พ้น
ประหลาดจริง ๆ ทำไมจึงหาไม่เห็น จึงคิดว่าชะรอยพวกพระภูมิเจ้าที่ ๆ รักษาในสวนนี้ จะไม่ยอมให้เราลักผลยิ่น
เซียมก้วยจึงเก็บเอาไปซ่อนเสีย พูดแล้วก็อ่านคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่ในเขตนั้น บัดเดี๋ยวพระภูมิก็มาพร้อมกัน
คำนับแล้วถามว่า ท่านใต้เซียเรียกพวกข้าพเจ้ามานี้มีกิจธุระจะสั่งเสียอะไรหรือ
เห้งเจียพูดว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ ข้าพเจ้าลือรอบจักรวาล คือเป็นหัวขโมยใหญ่ บนสวรรค์นั้น
ลักชมพู่ ลักสุราของเง็กเซียงฮ่องเต้และลักยาวิเศษ ของท้ายเสียงเล่ากุน ผู้ใดก็ไม่กล้าจะขัดขวางอะไร บัดนี้
ข้าพเจ้าขโมยเก็บผลไม้ผลหนึ่ง ทำไมพวกท่านเอาของเราไปซ่อนเสียที่ไหน ผลไม้ก็เป็นของอยู่กลางอากาศเกิดขึ้น
ควรจะแบ่งให้เรากินสักผลหนึ่ง จะเสียหายสักเท่าใด เราพึ่งสอยลงมาผลหนึ่งเท่านั้นทำไมจึงเก็บเอาไปซ่อนเสีย
ที่ไหน
พระภูมิเจ้าที่ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงบอกว่า ท่านใต้เซียเห็นผิดเสียแล้ว พวกข้าพเจ้า
เป็นแต่เจ้าผีซึ่งสิ่งผลไม้วิเศษอย่างนี้พวกเทวดาเซียนเขาอาจทำได้ พวกข้าพเจ้าจะเอาไปที่ไหนได้แต่จะดมกลิ่นก็
ไม่ได้ดม
เห้งเจียถามว่าถ้าพวกท่านไม่ได้เอา เราสอยตกลงมาแล้วจะหายไปข้างไหนเล่า พระภูมิเจ้าที่
บอกว่าใต้เซียทราบแต่ของวิเศษไม่ทราบที่พื้นนี้ขัดแก่เบ็ญจธาตุเหงาเฮ้งอยู่ เห้งเจียถามว่าเหตุใดจึงมีขัดข้อง
พระภูมิเจ้าที่จึงตอบว่าผลไม้นี้ถูกธาตุทองก็หล่นถูกธาตุไม้ก็เหี่ยวถูกน้ำก็แปรสูญ ถูกธาตุไฟก็เผาละเอียดถูกธาตุดิน
ก็มุดสูญไป เวลาจะเก็บก็ต้องเอาทองทำไม้สอยหล่นแล้วก็ต้องเอาถาดและเอาแพรและสำลีรองรับผลไม้ไว้
ผลไม้จึงจะมิได้แปรปรวน ถ้าผลไม้เหี่ยวแห้งกินอายุก็ไม่ยืนนาน
ท่านใต้เซียไม่ทราบเพราะฉะนั้นสอยตกถูกดินจึง
ได้อันตรธานหายไป
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงเอากระบองเหล็กกะทุ้งดินงัดขึ้นดูก็ไม่เห็นจึงพูดว่าเห็นจะเป็นจริงดังท่านพูด
ข้าพเจ้าผิดเอง ท่านทั้งหลายจงกลับไปเถิด พวกพระภูมิเจ้าที่ก็พากันกลับไป เห้งเจียจึงปีนขึ้น
ไปบนต้นไม้มือหนึ่งจับขอสอย มือหนึ่งเอาผ้าผูกคอทำเป็นถุงรับ สอยลงมาได้สามผลแล้วก็กระโดด
กลับลงมา ไปยังที่ห้องครัวแก้ห่อออกมาให้โป๊ยก่ายดู แล้วพูดว่าผลไม้นี้จะต้องแบ่งให้เท่ากัน
โป๊ยก่ายจงเรียกกันมาให้พร้อมกันดูเล่นเป็นขวัญตา โป๊ยก่ายจึงออกไปจากห้องเรียกซัวเจ๋งมา
ครั้นพร้อมเห้งเจียจึงขยายห่อออกถามว่า ผลไม้อย่างนี้พี่น้องเคยเห็นที่ไหนมีบ้างหรือ
ซัวเจ๋งบอกว่าข้าพเจ้าเคยเห็นแต่ไม่เคยได้กิน ครั้งก่อนเมื่อข้าพเจ้าอยู่บนสวรรค์ เคยเห็นเทพยดา
ตามป่าหิมพานต์นำมาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เมื่อเวลาแซยิดนั้นก็ได้เคยเห็นทุกครั้ง ซัวเจ๋งจึงพูดว่าถ้ากระนั้นพี่ให้
ฉันสักผลหนึ่ง เห้งเจียว่าน้องไม่ต้องขอจะต้องแบ่งกันคนละผล เห้งเจียหยิบผลยิ่นเซียมก๊วยให้โป๊ยก่ายและ
ซัวเจ๋งคนละผลต่างคนต่างกิน
โป๊ยก่ายปากกว้างเอาผลไม้ใส่ปากแล้วกลืนเข้าไปในท้องแล้วถามคนทั้งสองว่า
กลิ่น รสชาติเป็นประการใดบ้าง
เห้งเจียว่าตัวกินเข้าไปแล้วจะมาถามใครอีกเล่า ลิ้นตัวไม่มีดอกหรือจึงไม่รู้สึกว่ารสชาติเป็น
ประการใด โป๊ยก่ายบอกว่ากลืนเข้าไปเร็วนักไม่ทันจะรู้ว่ามีเมล็ดหรือไม่มีก็ไม่ทราบ อยากจะให้พี่ไปเอามาอีกสัก
ผลหนึ่ง ค่อย ๆ กินจึงจะได้รู้รสว่าเป็นประการใด เห้งเจียพูดว่าน้องทำไมจึงไม่รู้จักพอ ที่พี่น้องเราได้กินคนละผล
ก็พอเป็นนิสัยปัจจัยอันใหญ่ยิ่งมิใช่การเล็กน้อย เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็มิได้ไปเก็บผลไม้อีก
ฝ่ายโป๊ยก่ายยังบ่นไม่หยุดปาก พูดแต่เรื่องกินผลยิ่นเซียมก๊วยบังเอิญเชงฮองเม่งง้วยกลับมาใน
ห้องนั่งอยู่ ได้ยินเสียงโป๊ยก่ายบ่นว่า ทำไมหนอจะได้กินผลยิ่นเซียมก๊วยอีกสักผลหนึ่ง ให้อร่อยลิ้นจึงจะดี
เชง
ฮองได้ยินดังนั้น ก็มีความสงสัยจึงพูดแก่เม่งง้วยว่า อ้ายปากหมูมันพูดอะไรว่า อยากจะกินยิ่นเซียมก๊วยอีก
สักผลหนึ่ง
เมื่อท่านอาจารย์จะไปนั้นก็ได้สั่งไว้ว่า ให้ระวังสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมันมักซุกซน นี่เห็น
มันจะขโมยเก็บผลยิ่นเซียมก๊วยมากินเข้าไปแล้วดอกกระมัง เม่งง้วยจึงหันหน้าไปดูไม้ขอทองเห็นตกอยู่กับพื้นจึง
ร้องบอกแก่เชงฮองว่าเห็นจะไม่เป็นการแล้ว ไม้ตะกร้อทำไมจึงพลัดตกลงมาอยู่กับพื้น เราพากันไปดูที่สวน จะ
มีเหตุการณ์อะไรบ้าง พูดกันแล้วเชงฮองกับเม่งง้วยก็พากันออกจากห้องไปยังสวน
ครั้นถึงจึงแลขึ้นไปดูบนต้นไม้
ตลอดมา เห็นยังเหลืออยู่ยี่สิบสองผล เม่งง้วยพูดว่า ผลไม้มีอยู่สามสิบผล ท่านอาจารย์เก็บกินสองผล เรา
เก็บถวายพระถังซัมจั๋งสองผล ก็ยังเหลืออยู่ยี่สิบหกผลจึงจะถูก นี่ทำไมจึงยังเหลืออยู่แต่ยี่สิบสองผลเล่า จะมี
ขาดหายไปเสียสี่ผลหรือ ไม่ต้องสงสัยเลยอ้ายพวกศิษย์พระนั้นเองคงจะขโมยกินเป็นแน่ จำเราจะไปต่อว่าแก่
หลวงจีนผู้อาจารย์จึงจะชอบ ว่าแล้วก็พากันเดินกลับมายังสำนักหอหน้า ครั้นถึงก็เดินขึ้นบนหอแล้วชี้หน้าหลวงจีนถังซัมจั๋งว่า พวกอ้ายโล้นหน้าโล้นหลังสกปรกไม่มีดี เชงฮองเม่งง้วยทั้งด่าทั้งว่าด้วยถ้อยคำอันอยาบช้า
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นคนทั้งสอง มาชี้หน้าว่ากล่าวหยาบหยามอย่างนั้น ก็มิได้รู้ว่าเหตุผลต้นปลาย
เป็นประการใด จึงถามเชงฮองเม่งง้วยว่าท่านทั้งสองมีความร้อนใจอะไรหรือ เชงฮองพูดว่ายังจะทำหูหนวกไปอีก
หรือ ขโมยผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยไปกินเสียสี่ผลแล้วจะไม่ให้เราพูดจะได้หรือ
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ผลยิ่นเซียมก๊วยนั้นรูปร่างเป็นอย่างไรเรายังหารู้จักแลเข้าใจไม่ เม่ง
ง้วยบอกว่าเมื่อตะกี้นี้เอามาให้ท่านกินท่านว่าเด็กทารกพึ่งเกิดนั้นมิใช่หรือ
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อนิจจัง อนิจจา
เมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้ากลัวมิอาจเข้าใกล้ เหตุใดจึงจะไปลักกินเข้าไปได้เล่า ท่านพูดดังนี้จะมิผิดไปหรือ
เชงฮองจึงพูดว่า ท่านไม่กินก็พวกสานุศิษย์ของท่านขโมยเอาไปกิน หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงว่า
ถ้ากระนั้นเห็นจะจริงท่านจงคอย อาตมภาพจะเรียกมาถามดู ถ้าได้ขโมยจริงดังท่านว่าก็มีความผิด ว่าแล้วหลวง
จีนถังซัมจั๋งก็เรียกศิษย์ทั้งสาม ซัวเจ๋งได้ยินพระอาจารย์เรียกก็ตกใจ จึงพูดว่าเห็นจะไม่ชอบกลเสียแล้วคงจะเกิด
ความด้วยเรื่องผลไม้นี้เอง
เห้งเจียพูดว่า โทษขโมยของกินมีความผิดมากกว่าฆ่าคนตาย เขาจะลือว่าพวกเราขโมยกินตาย
ถึงหนักหนาอย่างไรพวกเราอย่ารับ โป๊ยก่ายว่าถ้าอย่างนั้น เราพร้อมใจกันอย่ารับก็แล้วกัน
พูดปรึกษากัน ตกลงแล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งก็พร้อมกันขึ้นไปบนหอนั่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น