Translate

22 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 20 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
   ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
(บทที่ ๒๐) ครั้นเดินมาถึงตำบลหนึ่งเวลาจวนค่ำ พระถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าริมตีนเขาเห็นมีหมู่บ้าน จึงบอกแก่ศิษย์ทั้งสองว่าเวลาก็โพล้เพล้จวนจะค่ำแล้ว เราควรจะหาที่อาศัยพักที่ตำบลบ้านนี้สักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งแล้วจงค่อยเดินต่อไป
 ฝ่ายโป๊ยก่ายได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้น จึงพูดว่าพวกเรารีบไปให้ถึงบ้านจะได้พักเหนื่อยสักคราวหนึ่ง แลจะได้ขออาหารตามชาวบ้านกินให้อิ่มสักมื้อหนึ่งด้วยวันนี้หิวมากนัก ถ้าอยู่บ้านเหมือนอย่างแต่ก่อนเราก็จะให้แม่หน้านวลจัดแต่งโต๊ะมากิน กูจะจ้ำเสียให้ท้องแทบครากจึงจะสมแก่ที่หิว
 เห้งเจียเดินอยู่ข้างหน้าได้ยินโป๊ยก่ายพูดบ่นดังนั้น จึงร้องว่าอ้ายผีเรือนคนนี้เดินมาจากบ้านไม่กี่วันก็คิดถึงบ้าน อดอยากสักนิดหน่อยก็ไม่ได้ เดินบ่นออดแอดถึงแต่แม่ทูลหัวไปทีเดียว มึงหิวเต็มทีหรือจงเดินมาให้ใกล้ๆ กูจะได้ซัดให้สักตูมหนึ่ง
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดแก่โป๊ยก่ายดังนั้น จึงเรียกโป๊ยก่ายเข้ามาใกล้แล้วจึงพูดว่าเจ้ามีจิตกังวลหน่วงหนักอยู่กับบ้าน มากไปด้วยความห่วงและอาลัยอย่างนี้ จะปฏิบัติทางสัมมาสมาธิเห็นจะไม่ได้ เจ้าจงกลับไปบ้านของเจ้าตามเดิมเถิด จะอยู่บ่นว่าไปทำไม
 โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น ก็ตกใจวางหาบลงจากบ่าแล้ว ก็คุกเข่าลงต่อหน้าพระอาจารย์คำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าหาได้บ่นว่าอะไรไม่ เมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้าได้พูดว่า ถ้าไปถึงบ้านคนอยู่จะได้หาอาหารกินแก้หิว ที่เห้งเจียได้ยินข้าพเจ้าพูดดังนั้น จึงว่าข้าพเจ้าเป็นอ้ายผีเรือน ข้าพเจ้าก็หาได้บ่นว่ากระไรไม่ ข้าพเจ้าได้สมาทานรักษาศีลปฏิบัติตามคำสอนของท่านแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตั้งหน้าปฏิบัติไปไม่ท้อถอย ขอพระอาจารย์ได้มีความกรุณาแก่ข้าพเจ้า ๆ จะติดตามท่านไปกว่าจะสำเร็จการของพระอาจารย์ แม้จะถึงอันตรายชีวิตจะขาดจะดับลงก็จะมิได้กลับใจ แลคืนคลายความสัตย์ปฏิญาณ
 ถ้าทีหลังข้าพเจ้าบ่นว่าด้วยการอย่างนี้อีก พระอาจารย์จงลงโทษข้าพเจ้าให้จงหนักเถิด
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าเจ้ามีความจริงใจดังนั้น เจ้าจงลุกขึ้นเถิด
 โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น จึงลุกขึ้นคำนับแล้วเอาหาบใส่บ่าเดินตามไป พระถังซัมจั๋งจึงขับม้ารีบเดินเข้าไปยังหมู่บ้านถึงประตูรั้ว แลเข้าไปในบ้านเห็นมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งภาวนาอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า ท่านตาขออนุญาตเถิด อาตมาจะขอถามความสักหน่อย
 ฝ่ายตาเฒ่ากำลังนั่งภาวนาอยู่ ได้ยินเสียงคนเรียกจึงลืมตาลุกจากเก้าอี้เดินออกมายังประตูบ้าน แลไปเห็นพระถังซัมจั๋ง ตาเฒ่าจึงยกมือขึ้นนมัสการแล้วพูดว่าขออภัยท่านเถิด ข้าพเจ้าไม่ทันออกมารับท่านก่อน นี่ท่านอยู่ประเทศไหนจึงได้มาถึงตำบลบ้านนี้
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังผู้เฒ่าถาม จึงตอบว่าอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ทรงพระนามว่า (หลีซีบิ๋น) ให้อาตมาไปยังเมืองไซทีอาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกมาไว้จะได้ทำการมหากุศล บัดนี้อาตมภาพเดินทางมาถึงตำบลนี้ก็จวนค่ำ ขอท่านตาได้เมตาจิตให้อาตมภาพอาศัยพักสักคืนหนึ่ง พอเวลารุ่งเช้าอาตมาก็จะลาท่านตาไป
 ตาเฒ่าเมื่อได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกเล่าดังนั้น ก็สั่นศรีษะแล้วพูดว่า ทิศไซทีนั้นกันดารนักยากที่จะไปได้ยากที่สุด ถ้าท่านมีจิตเลื่อมใสจะไปอาราธนาคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว ก็จงกลับไปยังทิศบูรพาเถิด เสาะหาพระคัมภีร์ก็คงจะมี อันจะไปประเทศไซทีนั้นไปไม่ได้เป็นแน่
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังผู้เฒ่าพูดดังนั้นก็นิ่งตรึกตรองอยู่ แล้วจึงถามผู้เฒ่าว่า ทิศปราจิณประเทศไซทีนั้นเป็นอย่างไรหรือท่านจึงว่าไปไม่ได้ ตาเฒ่าก็ตอบยืนคำอยู่ว่า กลับไปทิศบุรพาเถิด คงจะมีพระคัมภีร์พระไตรปิฎก
 ฝ่ายเห้งเจียยืนอยู่ข้างริมนั้น ได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้น ก็อดพูดไม่ได้ จึงเดินเข้าไปใกล้ตาเฒ่าแล้วถามว่า ท่านตา ๆ อายุก็มากอยู่แล้ว ทำไมไม่แจ้งเหตุดีและร้ายให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง พวกข้าพเจ้าเพราะมาทางไกลเวลาก็จวนค่ำ จะขออาศัยสักคืนหนึ่ง ท่านตาเอาเหตุการณ์อะไรมาพูดกลบเกลื่อนอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่งอนง้ออาศัยที่บ้านท่าน พวกเราพากันไปอาศัยนอนตามใต้ต้นไม้ก็ได้ ทนนั่งเอาสักคืนหนึ่งก็ได้ พูดดังนั้นแล้วก็พากันหันหน้าจะกลับออกจากบ้าน
 ฝ่ายตาเฒ่าเมื่อได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ จึงเดินออกมายึดพระถังซัมจั๋งไว้แล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ทำไมไม่เห็นพูดว่ากระไร แต่อ้ายหน้าผีสานุศิษย์ของท่านพูดไม่เพราะหูเลย
 เห้งเจียได้ฟังผู้เฒ่าพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านตาอย่าดูถูกข้าพเจ้า ถึงตัวข้าพเจ้าไม่งามไม่สวยรูปร่างต่ำเล็กก็จริง แต่ฤทธาอานุภาพเข้มแข็งนัก
 ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่าอ้อดังนั้นหรือ ถ้าท่านมีวิชาเชี่ยวชาญเข้มแข็งดังนั้น ก็เห็นพอจะรอดตัว
 เห้งเจียจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังอะไรแก่ท่านตา ขอท่านตาพิจารณาดูเอาเถิด
 ฝ่ายตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียพูดอวดอ้างดังนั้น จึงพิจารณาดูเห้งเจียแล้วถามว่า ตำแหน่งบ้านท่านอยู่ที่ไหน ก็เหตุใดท่านจึงเข้ามารับรักษาศีลอย่างนี้ ท่านจงเล่ามูลเหตุให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง
 เห้งเจียจึงตอบตาเฒ่าว่า เดิมข้าพเจ้าเกิดข้างทิศบูรพา เมืองเง่าก่ายก๊กเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง
 แต่เดิมได้ไปเรียนวิชาความรู้แลได้รับที่ตั้งเป็นซีเทียนใต้เซีย อยู่ในดาวดึงส์สวรรค์ ต่อมาภายหลังไม่มีความพอใจ ข้าพเจ้าจึงได้ทำการวุ่นวายบนพิมานครั้งหนึ่ง ต่อมาก็ได้สติคิดได้จึงกลับใจเข้ารักษาศีลเป็นสานุศิษย์ตามปฏิบัติรักษาพระอาจารย์จะไปประเทศไซทีเพื่อจะได้นมัการพระยูไล ถึงมา ทว่าตามทางที่จะไปนั้น จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ ประการใด ๆ ก็ดี ข้าพเจ้าก็คงกำจัดให้จงได้ทั้งสิ้น ท่านอย่าวิตกเลย
 ฝ่ายตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียเล่าให้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ถ้าท่านมีวิชาความรู้ดังนั้นก็คงจะไปไซทีได้โดยแท้ แล้วตาเฒ่าถามว่าท่านมาด้วยกันกี่คน ขอเชิญเข้าไปพักในบ้านข้าพเจ้าเถิด จะได้พักให้มีกำลังรุ่งเช้าจะได้ไป
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังผู้เฒ่าเห็นมีจิตเลื่อมใสศรัทธาอนุญาตดังนั้นก็มีความยินดีจึงพูดว่าขอบใจท่านผู้เฒ่าเป็นที่ยิ่ง แต่พวกข้าพเจ้ามาด้วยกันสามคน
 ตาเฒ่าถามว่าท่านมาด้วยกันสามคน อีกคนหนึ่งอยู่ที่ไหนเล่า เห้งเจียได้ยินผู้เฒ่าถามดังนั้นจึงเอามือชี้ไปว่า ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นอีกคนหนึ่ง
 ตาเฒ่าหันหน้าไปมองดูเห็นโป๊ยก่ายรูปร่างดุร้ายหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว คอเหนียงดุจปีศาจยักษ์ ก็ตกใจกลัวขนหัวพองตั้งกายตั้งสติไม่อยู่ มือแลเท้าอ่อนเพลียล้มลงทั้งยืน แล้วลุกขึ้นด้วยความกลัวจะกลับเข้าประตูบ้านปากก็เรียกคนในบ้าน ให้มาช่วยปิดประตูบ้านโดยเร็วว่าผีปีศาจยักษ์มาแล้ว ร้องพลางตะเกียกตะกายลุกคลานจะหนีไป
 เห้งเจียเห็นตาเฒ่ามีความกลัวดังนั้น ก็เดินเข้าไปใกล้ประคองตาเฒ่าไว้แล้วบอกว่าท่านอย่ากลัวเลย มิใช่ผีปีศาจอะไร คนนั้นคือสานุศิษย์ของพระอาจารย์แห่งข้าพเจ้าเอง
 ฝ่ายตาเฒ่าตกใจกำลังสั่นระรัวพูดกับเห้งเจียว่า พ่อเจ้าเอ๋ยข้าไม่เคยพบเห็นคนอะไรรูปร่างอย่างนี้
 เมื่อกำลังผู้เฒ่าพูดกับเห้งเจียอยู่นั้น โป๊ยก่ายก็เดินเข้ามาใกล้จึงพูดแก่ผู้เฒ่าว่า ท่านตามาเกลียดชังและกลัวรูปร่างข้าพเจ้านั้นหามีประโยชน์ไม่ ตัวข้าพเจ้ารูปร่างไม่ดีก็จริง แต่ใช้ได้ทำให้ประโยชน์สำเร็จได้มาก
 เมื่อผู้เฒ่าได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นตรึกตรองดูก็ค่อยมีสติบรรเทาความกลัวลงมาก จึงหันหน้ามาถามพระถังซัมจั๋งว่า คนนี้ศิษย์ของท่านและหรือ พระถังซัมจั๋งหัวเราะแล้วตอบว่าเป็นศิษย์ของอาตมาจริงท่านอย่าได้กลัวเลย
 ขณะเมื่อพระถังซัมจั๋งกับตาเฒ่าพูดกันอยู่นั้น มีหนุ่มน้อยสองคนหยุงยายเฒ่าเดินมากับเด็กน้อยทั้งหญิงและชายสามสี่คน เดินตามหลังยายเฒ่ามายังประตูบ้าน ครั้นมาถึงยายเฒ่าชราผู้นั้นจึงถามว่าท่านตาทำอะไรกันหรือจึงได้มายืนอยู่ที่นี่
 โป๊ยก่ายเมื่อเห็นยายเฒ่าพาเด็กมาแลถามดังนั้น โป๊ยก่ายก็เดินเข้ามาใกล้ เอาใบหูยื่นออกกวัดไปกวัดมาแล้วอ้าปากยื่นออกมา แกว่งไปแกว่งมาให้ยายเฒ่ากับเด็กเห็น เมื่อยายเฒ่ากับเด็กเหล่านั้นแลเห็นโป๊ยก่ายทำกิริยาอย่างนั้น ทั้งแลเห็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวต่างก็ตกใจสิ้นสติ ขวัญไม่อยู่กับตัวก็วิ่งหกล้มก้มคลานไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงร้องบอกว่าท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย มิใช่ผีปรศาจอะไรดอก คือศิษย์ของอาตมาเองไม่ทำร้ายแก่ผู้ใดเลย
 ฝ่ายยายผู้เฒ่ากับคนทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกดังนั้นจึงค่อยได้สติหายกลัว ต่างคนต่างนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสองเข้ามาในบ้านจัดที่ให้พักตามสมควร
 พระถังซัมจั๋งเมื่อเข้าพักแล้ว มารำพึงถึงสานุศิษย์ทั้งสองคนขึ้นมาแล้วก็ถอนใจใหญ่ ให้อัดอั้นตันใจด้วยศิษย์ทั้งสองรูปร่างพิรุธหยาบคาย เพราะฉะนั้นไปถึงไหนจึงได้เกิดความวุ่นวายตื่นแตกดังนั้น กระทำให้ชาวบ้านได้ความเดือดร้อนทุกครั้งทุกคราว ครั้นจะไล่เสียก็ไม่มีใครจะไปเป็นเพื่อนในทางกันดาร เป็นที่จนใจไม่รู้ที่จะทำประการใด
 ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อได้เห็นพระอาจารย์หน้าตาเศร้าหมองไม่สบายดังนั้นก็รู้ในทีว่า พระอาจารย์คิดวิตกด้วยเราเป็นแน่ จึงเข้ามาใกล้แล้วคำนับพูดกับพระอาจารย์ว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าตามพระอาจารย์มาข้าพเจ้ามีความสำรวมระวังกิริยาหยาบคายเสียมาก ๆ แล้ว เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ที่บ้านพ่อตานั้น ข้าพเจ้าเอาปากยื่นออกมาทีหนึ่งเอาใบหูกวักหนหนึ่ง คนทั้งหลายเห็นก็ตกใจกลัววิ่งโดนกันบ้างล้มลงเหยียบกันตายบ้าง ขวัญหนีดีฝ่อเลยเจ็บไข้ตายบ้าง ประมาณสักสามสิบสี่สิบคนก็ไม่เห็นพ่อตาของข้าพเจ้าว่ากระไร มาครั้งนี้พระอาจารย์วิตกด้วยข้าพเจ้าทั้งสองหรือ จึงได้นั่งถอนใจใหญ่อยู่ดังนี้
 เห้งเจียเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดแก่พระอาจารย์ดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายกินรำเจ้าจงเอาหูกับคางของเจ้าเก็บซ่อนเสียให้เรียบร้อยช่างไม่รู้จักอายบ้างเลย ยังแค่นจะเอาใบหูปากคางมาพูดอวดเอาอะไรอีกเล่า
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าลักษณ์บังเกิดมาดังนั้นจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนเห็นจะไม่ได้
 เห้งเจียตอบว่าไม่เห็นยากอะไรนักหนา ถ้าเอาปากก้มลงกับอกเอาใบหูมัดแอบไขว้ติดกับท้ายทอยอย่าให้กระดุกกระดิกได้ ถ้าทำดังนี้ให้เรียบร้อยก็จะพอดูได้ คนทั้งหลายเห็นจะไม่น่ากลัว
 โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดแนะนำดังนั้นก็กระทำตามเห้งเจีย จึงจับเอาใบหูของตัวผูกเหน็บไขว้แอบที่ท้ายทอย เอาปากเหน็บลงกับอกดูเรียบร้อยแล้วจึงถามเห้งเจียว่า อย่างนี้ดีหรือยัง เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไมได้ จึงบอกแกโป๊ยก่ายว่าพอดูได้แล้ว แล้วโป๊ยก่ายก็เดินมายืนอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ เห้งเจียจึงออกไปยกหาบเข้ามาเก็บแล้วออกไปจูงม้าเข้ามาผูกข้างในรั้วบ้านแล้ว กลับเข้ามาที่พระอาจารย์
 ฝ่ายตาเฒ่าจึงยกน้ำร้อนออกมาถวายพระถังซัมจั๋ง และเลี้ยงเห้งเจียกับโป๊ยก่ายกินเสร็จแล้วก็มานั่งอยู่ที่พระถังซัมจั๋งต่างสนทนากัน
 พระถังซัมจั๋งจึงถามผู้เฒ่าว่าข้าพเจ้าขออภัยท่านเถิดท่านตานั้นแซ่ไร ตาเฒ่าบอกว่าข้าพเจ้าแซ่อ๊วง พระถังซัมจั๋งถามอีกว่าท่านผู้เฒ่ามีบุตรนัดดาหรือเปล่า ตาเฒ่าบอกว่ามีบุตรชายสองคนหลานมีสามคน พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าท่านตามีอายุสักเท่าใดแล้ว ตาเฒ่าบอกว่าปีนี้อายุของข้าพเจ้าได้หกสิบแปดปีแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงถามว่า ท่านตาพูดว่าทิศปราจิณประเทศนั้นแสนยากที่จะไปเชิญพระไตรปิฎกมาได้มีการกันดารอย่างไรหรือ จงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังนึกว่าเอ็นดูแก่ข้าพเจ้าเถิด
 ตาเฒ่าได้ฟังถามดังนั้นจึงบอกว่า พระไตรปิฎกธรรมนั้นไม่ยากดอก ที่ยากลำบากนั้นก็เพราะด้วยหนทางที่จะไปนั้นก็แสนกันดารเป็นที่สุด ตามระยะทางมีสัตว์อันร้ายกาจชุกชุม ตั้งแต่บ้านข้าพเจ้าตรงไปข้ามทิศปราจิณนั้น ประมาณทางสามสิบโยชน์ มีภูเขาอันใหญ่สูงขวางทางอยู่ เรียกว่าโป๊ยแปะลี้อึงฮองเนี้ยที่ในเขานั้น ล้วนแต่ปิศาจยักษ์ร้ายชุกชุม เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงว่ายากอยู่ที่จะไปได้ เมื่อตะกี้นี้สานุศิษย์ของท่านอาจารย์ พูดว่ามีฝีมือแลรู้วิชาเชี่ยวชาญเข้มแข็งห้าวหาญ อาจสามารถจะปราบปรามปีศาจยักษ์ร้ายนั้นได้ ถ้าสมดังสานุศิษย์ท่านพูดจริงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าคงจะไปถึงได้ดังประสงค์ ขอท่านอาจารย์จงทราบเถิด
 ขณะนั้นเด็กคนใช้ยกเครื่องกระยาหาร มาจัดแจงตั้งบนโต๊ะเสร็จแล้ว ตาเฒ่าก็เชิญเห้งเจียกับโป๊ยก่ายให้กินอาหาร
 ฝ่ายโป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าเชิญดังนั้นก็ดีใจ กำลังหิวไม่รอรั้งตรงเข้านั่ง โต๊ะก่อนเห้งเจีย ฉวยชามเข้าพุ้ยกินสิ้นไปชามหนึ่ง เห้งเจียเดินมายังไม่ทันจะถึงโต๊ะโป๊ยก่ายกินเข้าสิ้นไปสามสี่ชามแล้ว เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงด่าว่าอ้ายเปรตอสูรกาย ช่างตะกละตะกลามนี่กระไรยังไม่ทันอะไรแดกสิ้นไปเป็นหลายชามแล้ว
 ฝ่ายตาเฒ่าเห็นกิริยาโป๊ยก่ายหิวโหยกินได้มากดังนั้น จึงร้องเรียกคนใช้ให้เอาข้าวมาเติมอีก คนใช้ได้ฟังดังนั้นก็เอาของมาเติมอีก
 ฝ่ายโป๊ยก่ายก้มหน้ากินมิได้เหลียวแลดูใครพุ้ยเข้าตะพัดเข้าไป เข้ากว่าสิบชาม ตาเฒ่าเห็นโป๊ยก่ายกินจุดังนั้น จึงเรียกคนใช้ให้หุงข้าวมาเติมอีก
 เห้งเจียได้ยินผู้เฒ่าร้องสั่งคนใช้ดังนั้น จึงบอกแก่ผู้เฒ่าว่าไม่ต้องเติมดอกของนั้นบริบูรณ์อยู่แล้ว โป๊ยก่ายจึงพูดว่าพอไม่พอพี่พูดทำไมเขาเอามาเติมอีกเราก็กินอีกร่ำไปมิดีหรือ โป๊ยก่ายพูดพลางพุ้ยพลางหาหยุดมือไม่ หมดทั้งสิ้นไม่ว่าสิ่งใดเกลี้ยงทุกๆชาม ลูกเด็กเล็กน้อยทั้งบ้านพากันอดไม่ได้กินทั้งบ้าน
แต่โป๊ยก่ายกินได้ครึ่งท้องเท่านั้น ครั้นของหมดแล้วจึงออกจากที่กินโต๊ะ เดินมากินน้ำเช็ดปากเช็ดมือ เสร็จแล้ว ต่างก็พากันไปพักนอน ครั้นเวลารุ่งเช้าสว่างแล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เก็บเข้าของลงใส่หาบเตรียมเสร็จ พระถังซัมจั๋งก็ลา ผู้เฒ่าจะออกเดิน เห้งเจียโป๊ยก่ายก็มาคำนับลาผู้เฒ่าพร้อมกันออกจากบ้านผู้เฒ่า พระถังซัมจั๋ง ก็ขึ้นม้าออกเดินหมายทิศปราจิณตรงไป
 ครั้นเดินมาพ้นบ้านผู้เฒ่าประมาณสักครึ่งวัน เห็นภูเขา หนึ่งสูงยอดเทียมเมฆ ตั้งขวางหน้าพิจารณาดูเป็นคูโขดล้วนเพิงผาแสนลำบากยากที่จะเดินข้าม ไปได้ อาจารย์กับศิษย์ทั้งสามคนก็อุตสาหะขึ้นเขาเดินเลาะเลียบลัดแลงไปตามซอกศิลาจนถึง ชายเขา จึงแลดูไปข้างหน้า
 ขณะนั้นได้ยินเสียงลมพัดมาดุจพายุใหญ่พัดปะทะหน้าม้าหนหนึ่ง พระถังซัมจั๋งเห็นการประหลาดดังนั้น ก็ตกใจสะดุ้งหวาดจึงบอกแก่เห้งเจียว่า ลมพัดมาวิปริตผิด สังเกตอย่างนี้เจ้าจงระวังให้ดี เกือบจะมีเหตุแก่พวกเราเป็นแน่ เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้นจึงตอบว่า ขอพระอาจารย์อย่าได้วิตกจงวางใจเถิด ลมมันไม่ทำไมเราดอก ข้าพเจ้าจะจับลมมาถามดูก็คงจะรู้ร้ายดี โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงหัวเราะแล้วถามเห้งเจียว่า พี่จะจับลมมาถามได้หรือ
 เห้งเจียจึงตอบว่าน้องยังไม่รู้ความ พี่ได้เรียนวิชาจับตัวลมได้ พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็เอามือ คว้าจับลมมากำมือหนึ่ง แล้วเอากำมือมาอุดที่รูหูของตัวไว้ครู่หนึ่ง แล้วร่ายคาถาสองอึดใจก็รู้ได้ว่าลมอันนี้เป็นลม ร้าย ชะรอยจะมีปีศาจเสือร้ายเป็นแน่ เห้งเจียพูดยังไม่พันจะขาดคำพอแลขึ้นไปบนเนินเขา เห็นเสือโคร่งตัวหนึ่ง สบัดหางเผ่นกระโดดกระโจนเข้ามาหน้าคนทั้งสาม พระถังซัมจั๋งเห็นเสือทำกิริยาดุร้ายดังนั้นก็ตกใจ พลัดตก จากหลังม้าลุกขึ้นยืนอยู่ริมทาง
 โป๊ยก่ายเห็นเสือทำสิงหนาทอย่างนั้น ฉวยได้คราดเหล็กกระโดดมาสกัดหน้าเสือไว้แล้ว ตวาด ด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงจะไปข้างไหน แล้วยกคราดขึ้นสับลงตรงศรีษะเสือ ๆ ก็ยกมือขึ้นจับคราด เหเล็กไว้ได้ แต่เสือทานกำลังโป๊ยก่ายไม่ได้เซขวางตัวไป โป๊ยก่ายเอาคราดเหล็กสับลงทีหนึ่งถูกเสือขนกระจุย เสือเห็นเสียท่าก็กระโดดหลบเข้าข้างทาง แล้วคลายมนต์รูปกลับเป็นคนแต่ศรีษะเป็นเสือ แล้วร้องว่าดีแล้วคงจะ ได้เห็นฝีมือกันตัวเราไม่ใช่พวกอื่นดอก เราเป็นพวกของอึ้งฮองใต้อ๋องตัวเราเป็นที่เซียนฮองททารเอก ใต้อ๋องมีคำ สั่งให้เราเที่ยวตรวจหาจับมนุษย์ทำการเลี้ยงโต๊ะ พวกเจ้าอยู่ที่ไหนจึงอาจสามารถเดินมาทางนี้ ชีวิตพวกเจ้าจะถึง แก่ความตายแน่แล้ว
 โป๊ยก่ายได้ฟังเสือพูดดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงร้องด่าว่าอ้ายเสือสางแม่นางโกงมึงไม่รู้จัก คน ชาติเดรัจฉานแท้ไม่มีแก้วตากูจะบอกให้ว่า พวกเรานี้หาใช่คนจรเหมือนคนทั้งหลายไม่ คือมีรับสั่งของพระเจ้า ถังไทจงฮ่องเต้ ซึ่งครองเมืองอยู่ทิศบูรพา ให้พระอาจารย์ของเราไปประเทศไซทีนมัสการพระยูไล ขออาราธนา คัมภีร์พระไตรปิฎกธรรมไปประดิษฐานไว้ทิศบูรพา ชนทั้งปวงจะได้ปฏิบัติทางศีล สมาธิ ปัญญา เป็น ประโยชน์ต่อไปภายหน้า เราทั้งสามจึงได้มาตามรับสั่ง เจ้ารู้แล้วจงหลีกไปเสียให้พ้น อย่ามาทำให้พระอาจารย์ เราตกใจเจ้าจะมีโทษมาก ครั้งนี้เราจะยกชีวิตไว้ให้สักครั้งหนึ่ง ถ้ายังจะขืนดื้อดึงอวดดีกีดขวางอยู่ เราก็จะฆ่าเสีย ให้ตาย
 ฝ่ายปิศาจเสือเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็มีความโกรธจึงขึ้นบนชะโงกผามองดูโป๊ยก่าย เห็นโป๊ยก่ายมัวแต่ดูอยู่ข้างล่าง เห็นได้ทีก็กระโจนตีลงมา โป๊ยก่ายเหลือบเห็นก็ยกคราดเหล็กขึ้นรับไว้ได้ ปีศาจเสือเห็นเสียท่าก็กระโดดหนีเข้าซอกผาหายไป โป๊ยก่ายมีความโกรธเป็นอันมากก็ไล่รุกติดตามมา ปีศาจเสือก็วิ่งไป ครั้นถึงพุ่มไม้รกชัดแห่งหนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปซุ่ม อยู่ จับมีดสั้นสองเล่มซึ่งซ่อนไว้นั้น หันกลับออกมารบกับโป๊ยก่ายโดยสามารถ ต่างมีกำลังว่องไวด้วยกันทั้ง สองข้าง ยังหาแพ้ชนะกันไม่
 ฝ่ายเห้งเจียซึ่งอยู่รักษาพระอาจารย์ เห็นโป๊ยก่ายหายไปช้านานนัก จึงพูดแก่พระอาจารย์ว่า ขอท่านจงคอย ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะตามไปช่วยโป๊ยก่ายจับปิศาจเสือให้จงได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นจึงตอบว่า เจ้าจงไปตามโป๊ยก่ายให้รีบกลับมา เราจะได้พากันไป เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์ อนุญาตดังนั้นแล้วก็ชักกระบองเหล็กออกจากหู รีบติตตามโป๊ยก่ายไปโดยเร็ว
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อนั่งอยู่แต่ผู้เดียว อกใจให้หวาดเสียวสะดุ้งไปทั้งกาย หาสงบระงับใจอยู่ได้ไม่ นั่งเป็นทุกข์ คอยท่าเห้งเจียโป๊ยก่ายอยู่ริมทาง เห้งเจียวิ่งมาถึงเห็นโป๊ยก่ายกำลังรบกับคนศรีษะเสืออยู่ดังนั้น เห้งเจียจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง แล้วโดด เข้าช่วยรบหายั้งมือไม่ โป๊ยก่ายเห็นเห้งเจียมาช่วยรบดังนั้น ก็ตีรุก ขนาบเอาโดยแรง ปีศาจเสือทานกำลังเห้ง เจียโป๊ยก่ายมิได้ ก็ล่าถอยวิ่งหนีลงจากเขา เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็ช่วยกันระดมรุกรบติดตามมา
 ฝ่ายปิศาจเสือเมื่อถูกรบรุมถึงสองแรงดังนั้น ก็สิ้นกำลังอ่อนลงทุกที เห็นว่าจะเอาชัยชนะไม่ได้เป็นแน่ จึงสำรวม จิต ร่ายพระเวทย์คาถาแปลงกายเป็นเสือโคร่งอย่างเดิม แล้วกระโดดหลบเข้าแอบก้อนศิลา ถอดรูปเสือออกคลุม ก้อนศิลาไว้แล้ว ก็บันดาลตัวเป็นขี้เมฆแซกหนีลอยตามลมไปยังปากช่อง ต้นทางที่พระถังซัมจั๋งนั่งพักอยู่นั้น ขณะเมื่อปีศาจเสือมาถึงพระถังซัมจั๋งก็ยังนั่งหลับตาภาวนาอยู่ ก็ตรงเข้าอุ้มเอาพระถังซัมจั๋งเหาะกลับรีบลัดหนีมา
 ครั้นถึงถ้ำที่อยู่ก็จูงพระถังซัมจั๋งมาให้ใต้อ๋องแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าเที่ยวตรวจตามภูเขาพบหลวงจีนรูปนี้อยู่ ณ เมือง ใต้ถังจะไปประเทศไซที นมัสการพระยูไลยเดินข้ามเขามาทางนี้ ข้าพเจ้าจับมาได้จึงพามาให้ใต้อ๋องเพื่อเป็น ภักษาหาร ฝ่ายปิศาจหนูซึ่งตั้งตัวเป็นอึ้งฮองใต้อ๋อง เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงถามเซียนฮองว่าได้ยินข่าว เล่าลือกันว่า หลวงจีนถังซัมจั๋งมีสานุศิษย์นามเรียกว่าเห้งเจีย มีฤทธาศักดานุภาพมากเหาะเหินเดินอากาศ และ เปลี่ยนแปลงกายได้ทุกสิ่งทุกประการ ทำไมเจ้าจึงจับตัวอาจารย์เขามาได้
 ปีศาจเสือเซียนฮองจึงบอกว่า หลวงจีนถังซัมจั๋งเธอมีสานุศิษย์สองคน ๆ หนึ่งถือคราดเหล็กเป็นอาวุธคนหนึ่งถือ กระบองเหล็กเป็นอาวุธ ได้ต่อสู้กับข้าพเจ้า ๆ ทานกำลังเขาทั้งสองไม่ได้ จึงคิดอุบายแปลงรูปถอดครอบก้อนศิลา ทิ้งไว้ แล้วข้าพเจ้าจึงได้บันดาลเป็นลมกลับย้อนไปจับตัวหลวงจีนถังซัมจั๋งได้พามาให้ท่านเดี๋ยวนี้ อึ้งฮองใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นอย่าเพิ่งกินก่อน เราวิตกด้วยอ้ายศิษย์ทั้งสองคนคงจะมาตามพระ อาจารย์ของมัน ก็จะเกิดวุ่นวายรบพุ่งกันขึ้น อย่ากระนั้นเลย เจ้าทั้งหลายจงเอาหลวงจีนนี้ไปผูกไว้หลังถ้ำก่อน ถ้า อ้ายศิษย์ทั้งหลายมันไม่มาจริงแล้ว เราจึงค่อยเลี้ยงโต๊ะกันให้สนุกสักเวลาหนึ่ง
 อึ้งฮองใต้อ๋องพูดดังนั้นแล้ว จึง เรียกปีศาจทหารให้เอาตัวหลวงจีนไปมัดไว้ที่เสาศิลาหลังถ้ำ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อต้องมัดอยู่หลังถ้ำนั้น ได้ความทุกข์เวทนาแสนสาหัศ มือทั้งสองก็เป็นเหน็บชา กายก็กระดิกไม่ได้ ให้ทุรนทุรายหาความสุขมิได้ ตั้งตาคอยศิษย์ทั้งสองก็ไม่เห็นมา จึงคิดว่าตัวเราเห็นจะสิ้นชีวิต เสียครั้งนี้เป็นแน่แล้ว ตาก็แลดูต้นทางใจก็คิดถึงเห้งเจียกับโป๊ยก่าย ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายเห็นปีศาจเสือโดดหนีก็ไล่ติดตามต่อมา พอเลี้ยวข้างเขาเห็นเสือหมอบ อยู่ เห้งเจียก็ยกกระบองขึ้นตีลงไปเต็มกำลัง โป๊ยก่ายสับด้วยคราดลงทีหนึ่งเต็มแรง แล้วยกคราดขึ้นดูแลเห็นเป็น คราบหนังเสือคลุมอยู่บนก้อนศิลาหาใช่ตัวเสือไม่
 เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจพูดว่าเราถูกอุบายของมันแล้ว โป๊ยก่าย ได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงถามว่าอุบายอะไรที่ไหน เห้งเจียจึงบอกว่าถูกกลมัน ๆ ถอดรูปหลอกไว้ตัวมันหนีไปแล้ว เราต้องกลับไปดูพระอาจารย์ของเรา เห้งเจียโป๊ยก่ายปรึกษากันแล้ว ก็รีบกลับมายังที่พระอาจารย์พักอยู่นั้น ครั้นถึง ก็หาเห็นพระอาจารย์ไม่ ตกใจร้องบอกโป๊ยก่ายเสียงดุจฟ้าลั่นว่า ปีศาจจับเอาพระอาจารย์ของเราไปแน่แล้ว อ้ายพวก ผี ปีศาจเหล่านี้ชะรอยจะอยู่ภูเขาเหล่านี้เป็นแน่ พวกเราต้องรีบไปเที่ยวค้นหาโดยเร็ว ว่าแล้วเห้งเจียโป๊ย ก่ายก็รีบเที่ยวซอกซอนค้นหาตามดูไปทุก ๆ แห่งก็หาพบพระอาจารย์ไม่
 เห้งเจียจึงสั่งโป๊ยก่ายว่า น้องจงอยู่เฝ้า สิ่งของกับม้าอยู่ที่นี่เถิด พี่จะไปตามหาพระอาจารย์แต่ผู้เดียวก่อน ครั้นว่าจะไปเสียทั้งสองคนก็เป็นห่วงด้วยเข้าของ แลม้าลา แต่ต้องระวังตัวให้ดีเจ้าอย่ามีความประมาท ว่าดังนั้นแล้วเห้งเจียก็เดินต่อไป เห็นมีชะโงกเขายื่นออก มาเป็นชะวากกว้างมีปากถ้ำใหญ่ เห้งเจียหยุดยืนพิจารณาดู เห็นประตูถ้ำข้างบนมีอักษรตัวใหญ่หกตัวจารึกไว้ว่า (อึ้งฮองเนี้ยอึ้งฮองต๋อง) แปลว่าภูเขาลมเหลือง ถ้ำลมเหลือง
 เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงคิดว่าอ้ายพวกปีศาจคงพาเอา พระอาจารย์มาไว้ที่นี่เป็นแน่ คิดเห็นดังนั้นแล้ว จึงร้องท้าด้วยเสียงเป็นอันดังว่า อ้ายพวกผีปิศาจมึงจงเร่งเอาพระ อาจารย์ของกูส่งมาให้กูโดยเร็ว ถ้าไม่ส่งออกมากูจะรื้อที่อยู่ของมึงเสียทั้งสิ้น ฝ่ายพวกบริวารยักษ์ผีที่เฝ้าประตู เมื่อได้ยินเสียงเห้งเจียร้องท้าทายดังนั้น ก็รีบเข้าไปบอกแก่ ใต้อ๋องว่า บัดนี้ที่นอกประตูมีอ้ายรามสูรย์หน้าขนมือถือกระบองเหล็กมาร้องทวงพระอาจารย์ ของมัน ๆ ว่าถ้าไม่ส่งอาจารย์ของมันให้แก่มันโดยเร็ว มันจะทำลายถ้ำเสีย
 อึ้งฮองใต้อ๋องเมื่อได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกเสือยักษ์เซียนฮองมาพูดว่าตัวเราสั่ง ให้เจ้าไปค้นหาเนื้อถึก ทำไมเจ้าจึงไปจับเอาหลวงจีนถังซัมจั๋งมา บัดนี้เกิดเหตุขึ้นแล้ว คือ สานุศิษย์มันมาตามทวงเอาพระอาจารย์ของมัน ถ้าไม่ส่งพระอาจารย์ของมันให้แก่มัน ๆ จะ ทำลายถ้ำที่อยู่ของเราให้ย่อยยับเสียทั้งสิ้น เจ้าจะคิดประการใด ปิศาจเซียนฮองได้ฟังอึ้งฮองใต้อ๋องว่าดังนั้นจึงพูดว่า ใต้อ๋องจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะออกไป จับตัวอ้ายเห้งเจียกับอ้ายโป๊ยก่ายมาให้จงได้ พูดดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัว มือถือมีดทั้งสองมือเรียกพวกบริวาร ออกจากถ้ำร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายหน้าลิงมึงอยู่ที่ไหน จึงอาจสามารถมาร้องท้าทายถึงที่นี่ มึงไม่กลัว ความตายหรือประการใด
 เห้งเจียครั้นเห็นปีศาจเสือออกมาพูดถ้อยคำโอหังดังนั้นจึงตอบไปว่า อ้ายสัตว์เดรัฉานมึงทำ อุบายลอกหนังทิ้งไว้ หนีกลับมาลักเอาพระอาจารย์ของกูมาซ่อนไว้ ถ้ามึงยังรักชีวิตอยู่จงรีบส่งพระอาจารย์มาให้ กูเสียเร็ว ๆ ถ้าช้าไปมึงจะต้องเป็นอันตรายด้วยกระบองของกู ว่าแล้วเห้งเจียก็ทลวงโดดเข้าไปใกล้ตีด้วยกระบอง เหล็กใหญ่ ปิศาจเสือก็ยกมีดขึ้นรับไว้ได้ ต่างมีกำลังด้วยกันทั้งสองฝ่าย รบกันอยู่ยังหาแพ้ชะนะกันไม่
 ฝ่ายเห้งเจียเห็นปีศาจเสืออ่อนกำลังลงบ้างแล้ว ก็แข็งข้อเข้าไปบุกบั่นกระชั้นชิด มิให้ปีศาจรอ รั้งตั้งตัวได้ ปิศาจก็อ่อนกำลังจะต้านทานฝีมือเห้งเจียอยู่มิได้ จึงกระโดดถอยหนีไปทางอื่นหาได้กลับเข้าถ้ำ ของตัวไม่ เพราะเมื่อจะออกมารบ ได้อวดฝีมือของตัวต่อใต้อ๋องไว้ ครั้นแพ้ก็ไม่กล้ากลับเข้าถ้ำ หนีเตลิดเลยไป เห้งเจียไล่ประชิดติดพันมา
 ขณะนั้นบังเอิญโป๊ยก่ายนั่งเฝ้าม้าอยู่ใต้พุ่มไม้ ได้ยินเสียงไล่กันมาก็ออกมาดู เห็นเห้งเจียกำลังไล่ปีศาจเสือมา โป๊ยก่ายก็ออกสกัดหน้ายกคราดสับศรีษะปีศาจลงไปโดยเต็มกำลัง ปีศาจเสือก็ล้มลง ขาดใจตายอยู่กับที่ โลหิตไหลนองไปทั้งกาย พอเห้งเจียไล่ติดมาเห็นโป๊ยก่ายตีปีศาจตายก็ดีใจยิ่งนัก โป๊ยก่าย เห็นเห้งเจียมาจึงถามว่า พระอาจารย์อยู่ที่ไหนพี่พบแล้วหรือยัง
 เห้งเจียบอกว่าอ้ายปีศาจมันจับเอาพระอาจารย์ของ เราไปไว้ที่สวนหลังถ้ำ มันจะเลี้ยงโต๊ะกัน แต่ยังหาทันจะเลี้ยงกันไม่ อ้ายเสือเซียนอ๋องตัวนี้กำลังสู้อยู่กับพี่ มัน ทานกำลังพี่ไม่ได้ มันจึงหนีมาทางนี้เจ้าจึงได้ตีมันตาย เจ้าจงดูเฝ้าเข้าของแลม้าไว้ก่อน เราจะกลับไปที่ถ้ำรบกับ อ้ายตัวใต้อ๋อง ถ้าจับตัวอ้ายใต้อ๋องใหญ่ได้สมคะเนแล้ว นั่นแลเราจึงจะแก้พระอาจารย์ของเราออกมาได้
 โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงสั่งว่าถ้าพี่รบกับมันอีกจงทำแพ้หนีมาทางนี้ให้จงได้ ถ้ามันแพ้ก็ ให้ต้อนมาทางนี้ ข้าจะได้สกัดจับมันสับกระบานเสียให้จบทุก ๆ คน เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงสั่งโป๊ยก่ายว่าเจ้าจงรักษาสิ่งของและม้าไว้ให้ดีเถิด เห้งเจียสั่งโป๊ยก่ายแล้วมือหนึ่งจับกระบองมือหนึ่งฉุดลากซากศพปีศาจเสือ ตรงมาถึงปากถ้ำจึงจับ เอาซากศพปีศาจเสือนั้น โยนเข้าไปที่ประตูถ้ำ แล้วร้องด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายพวกปีศาจเร่งเข้าไปบอกนายมึงว่า อ้ายเซียนฮองนั้นกูตีตายเสียแล้ว ให้นายมึงออกมาคำนับกูโดยดี หาไม่จะทำลายถ้ำเสียให้ราบเป็นหน้กลอง

ไม่มีความคิดเห็น: