Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🤡 ไซอิ๋ว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🤡 ไซอิ๋ว แสดงบทความทั้งหมด

25 พฤษภาคม 2568

[จบ.เล่ม 1] ตอนที่ 23 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
(บทที่ ๒๓)   ตรงไปตามแนวป่าต้นผลไม้มีดอกออกช่อดกอุดม เดินพลางชมพลางเวลานั้นก็จวนจะเย็น หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า เวลานี้ก็จวนจะค่ำแล้ว เราจะหาที่พักอาศัยแห่งใดดีเล่า เห้งเจียว่าพระอาจารย์จะถามทำไมแก่ที่อาศัย เราเป็นสมณะเพศแล้ว ตามแต่จะเป็นไปจะกำหนดว่านอนแห่งนั้นแห่งนี้หามิได้ โป๊ยก่ายพูดว่าพี่เดินตัวเปล่าจะรู้ว่าหนักเบาอย่างไร บางวันความทุกข์ความหนักก็อยู่แก่โป๊ยก่าย ๆ ต้องหาบทุกวันไป ใครเหมือนพี่เดินตามเป็นสานุศิษย์จัดให้ข้าพเจ้าเป็นหัวแรง ข้าพเจ้าทราบว่าพี่เห้งเจียมีจิตโอ่โถงไม่ชอบหาบหาม แต่ม้านั้นรูปร่างก็ใหญ่โตมีกำลังรับรองให้พะอาจารย์ขี่แต่องค์เดียวก็ไม่สู้หนักสักเท่าได ถ้าเอาสิ่งของในหาบนี้แบ่งให้บรรทุกสักสองสามสิ่งเห็นจะดี
   เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายบ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่า นี่เจ้าเห็นว่าม้ามันเป็นม้าจริง ๆ หรือ เธอเป็นบุตรที่สามของพระยาเล่งอ๋อง เพราะทำผิดมีโทษบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้สั่งให้ประหารชีวิต พระโพธิสัตว์กวนอิมขอไว้จึงได้รอดชีวิต จึงให้แปลงเป็นม้าไว้สำหรับขี่ไปประเทศไซทีเอาคุณลบล้างโทษ โป๊ยก่ายอย่าไปเกี่ยวข้องถึงเธอเลย
   ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงถามว่านี่มังกรแปลงเป็นม้าจริงหรือ เห้งเจียตอบว่าจริงดังนั้น
   โป๊ยก่ายถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดกันว่ามังกรนั้นมี่ฤทธาอานุภาพทำเมฆฝนแลทำอำนาจแผลงฤทธิ์ให้น้ำในท้องมหาสมุทหวั่นไหวไปทุกประการก็มี นี่ทำไมจึงเดินหงอย ๆ ไม่แข็งแรง
   เห้งเจียพูดว่า พี่จะบอกให้มังกรออกฤทธิ์ให้ดู ว่าแล้วเห้งเจียก็จับไม้กระบองขึ้นแกว่งกวัดมีรัศมีออกต่าง ๆ ม้ามังกรก็ตกใจคิดว่าเห้งเจียจะตีเอาก็ออกแรงเผ่นห้อไปเร็วดุจสายฟ้าแลบ พระอาจารย์นั่งอยู่บนหลังจับบังเหียนรั้งยอก็ไม่หยุด วิ่งไปชั่วแล่นข้ามพ้นพื้นเขาตลอดไปทางใหญ่จึงหยุด หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่บนหลังออกหอบ แลไปข้างหลังเห็นศิษย์ทั้งสามวิ่งตามมาทัน หลวงจีนถังซัมจั๋ง เงยหน้าแลไปข้างหน้า เห็นมีหมู่ไม้สนร่มรื่นสง่างามมีบ้านเรือนอยู่หลายหลังจึงบอกแก่ศิษย์ว่า ข้างหน้านั้นมีหมู่บ้าน จำเราจะไปขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง
   เห้งเจียแลไปก็เห็นเป็นเมฆต่าง ๆ สีปกคลุ้มก็รู้ได้ว่าเป็นสำนักของผู้สำเร็จบันดาลขึ้น เห้งเจียก็นิ่งอยู่แต่ในใจ จึงพูดแก่พระอาจารย์ว่าที่ตรงนี้ดีควรจะพักได้ หลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันเดินเข้าไปยังประตูนอก พิจารณาดูบนห้องหอล้วนสลักเสลาศิลาเป็นรูปต่าง ๆ แลปิดทองประดับซับซ้อนเป็นลวดรายระบายสีต่าง ๆ
 โป๊ยก่ายพูดว่า ชะรอยว่าจะเป็นบ้านของคนที่มั่งมีใหญ่โตจึงได้ทำอย่างนี้ เห้งเจียจะใคร่เข้าไปหลวงจีนถังซัมจั๋งห้ามว่า อย่าเข้าไปเลย พวกเราเป็นคนถือศีลกินเพล ต้องมีความเกรงใจเจ้าของบ้านจะติฉินได้ คอยให้มีคนเดินออกมา เราจึงค่อยพูดขออาศัรสักคืนหนึ่ง พูดกันดังนั้นแล้วก็นั่งคอยอยู่ที่ข้างแท่นริมประตูสักครู่หนึ่ง เห้งเจียใจร้อนเห็นไม่มีคนเดินออกมาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างในประตูเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นหอตึกหลังหนึ่งสามห้อง จึงเดินเข้าไปใกล้ก้าวขึ้นบนตึก พิจารณาดูเห็นห้องหอกลางมีฉากหนังสือจีนสี่ตัวแต่มีเครื่องโต๊ะตั้งเป็นลำดับ และที่บนเสามีเหรียญสลักเป็นตัวหนังสือทองแขวนสองข้างฝาผนัง มีฉากเขียนสี่ฤดูแขวนทั้งสองข้าง ยิ่งพิจารณาดูก็ยิ่งงดงามนัยน์ตา บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินข้างในออกมา เป็นผู้หญิงอายุกลางคนถามว่า ผู้ใดเข้ามาในบ้านข้าพเจ้าหญิงหม้ายทำไมเล่า
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่าข้าพเจ้าคือคนอยู่ ณ ประเทศตะวันออก คือเมืองจีนพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้หลวงจีนถังซัมจั้งไปยังประเทศไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้ข้าพเจ้าศิษย์กับอาจารย์สี่คนมาถึงที่นี้ ก็จวนเวลาค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง ขอท่านได้กรุณา พรุ่งนี้เช้าก็จะลาท่านไป
   หญิงหม้ายได้ยินเห้งเจียเล่าบอกชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็มีความศรัทธา จึงถามว่า บัดนี้ท่านทั้งสามนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ขอเชิญท่านเข้ามาข้างในนี้เถิด เห้งเจียจึงได้ร้องนิมนต์ด้วยเสียงอันดังว่า เชิญพระอาจารย์เข้ามาในนี้เถิด
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียรองนิมนต์ดังนั้น ก็พร้อมด้วยโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งยกหาบจูงม้าเข้าไปข้างใน ครั้นถึงหลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงเดินขึ้นไปบนหอนั่ง หญิงหม้ายก็ออกมาเชิญเข้าไปข้างใน
   โป๊ยก่ายตามหลังอาจารย์ขึ้นไป ตาเขม่นดูหญิงหม้ายคนนั้นเห็นสวยงามดุจหญิงพึ่งแรกรุ่น หลวงจีนถังซัมจั๋ง ครั้นขึ้นมาบนหอนั่งหญิงหม้ายก็เชิญให้นั่งที่อันสมควร สักประเดี๋ยวมีเด็กสาวน้อยยกถาดน้ำชาออกมาวางบนโต๊ะ หญิงเจ้าของบ้านจึงนิมนต์ให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฉันน้ำชาและสานุศิษย์ทั้งสามก็นั่งเก้าอี้รับประทานน้ำชา
   หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า ท่านสีกาโยมนั้นแซ่อะไรชื่อใดตำบลนี้มีนามอย่างไร
 หญิงเจ้าของบ้านบอกว่าตำบลนี้คือทิศปราจิณ ประเทศนี้เป็นประเทศทิศตะวันออกนามเรียกว่าตั๋งอิ้น ข้าพเจ้าแซ่โก๊สามีข้าพเจ้าแซ่ป๊อดบิดามารดาล่วงไปแล้ว ข้าพเจ้าสามีภรรยาปกครองรักษาทรัพย์สมบัติไร่นาก็มีมาก ข้าพเจ้าไม่มีบุตรผู้ชายมีแต่บุตรผู้หญิงสามคน สามีข้าพเจ้าถึงแก่กรรมตัวข้าพเจ้าเป็นหม้าย เลี้ยงบุตรอยู่จนทุกวันนี้ ทรัพย์สินก็บริบูรณ์มั่งคั่ง วงศาคณาญาติหามีไม่ ข้าพเจ้าต้องเป็นธุระรักษาไป บุตรสาวทั้งสามคนคิดจะใคร่ให้ออกเรือนไปมีสามีดูก็ยากนัก บัดนี้ท่านมาถึงนี่ก็ดีแล้ว รวมทั้งถูกศิษย์อาจารย์ก็เป็นสี่คน ข้าพเจ้าแม่ลูกรวมสี่คน ใจข้าพเจ้าอยากจะใคร่ขอให้ท่านเป็นสามีเห็นจะดีหรือไม่ ใจท่านจะเห็นเป็นประการใด ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบในใจท่าน
   หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังนางพูดดังนั้นก็มิได้พูดโต้ตอบว่ากระไร ดุจคนใบ้หูหนวกหลับตาระงับจิตนั่งนิ่งอยู่
   หญิงนั้นเห็นหลวงจีนทำกิริยาอย่างนั้น จึงพูดต่อไปอีกว่าอันมรดกที่มีนั้น คือ นากว่าสามร้อยไร่ นาป่าก็กว่าสามร้อยไร่ เรือกสวนก็กว่าสามร้อยขนัด ผลไม้มีสารพัด โคกระบือตั้งฝูงใหญ่ หมู่แพะแกะเป็ดไก่นับไม่ถ้วน เครื่องภาชนะใช้สอยแพรผ้าสีต่าง ๆ เข้าปลาตั้งยุ้งฉาง เครื่องเพ็ชรนิลจินดา แก้วแหวน เงิน ทองมีมากหลาย หากว่าจะใช้สอยกินอยู่นุ่งห่มสักสามชั่วคนก็ไม่หมด ส่วนท่านอาจารย์กับศิษย์สามคน แม้ว่าจะเห็นแก่ข้าพเจ้าแม่ลูกปลงใจอยู่ด้วยข้าพเจ้า ก็จะมีความเจริญสุขสถาพร หากจะดีกว่าที่จะไปไซทีให้ลำบากเปล่า ๆ
   หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งนิ่งไม่โต้ตอบว่ากระไร หญิงนั้นก็พูดต่อไปว่า ข้าพเจ้าปีกุน ปีนี้ได้สี่สิบห้าแล้ว บุตรสาวคนใหญ่อายุได้ยี่สิบชื่อว่านางจินๆ บุตรคนที่สองอายุได้สิบเก้าปีชื่ออ๋ายๆ บุตรคนสุดท้องนั้นอายุได้สิบหกปีแล้วชื่อนางหลินๆ บุตรทั้งสามนี้ก็ยังไม่มีสามี ตัวข้าพเจ้านี้หากว่าไม่สวยไม่งาม ก็แต่บุตรทั้งสามนั้นรูปร่างสวยงามผิวพรรณผุดผ่อง การเย็บทอปักชำนาญทำได้ทุกอย่าง เพราะไม่มีบุตรชายตั้งแต่ยังเยาว์ สามีข้าพเจ้าให้เรียนหนังสือ จัดแต่งเป็นกลอนเป็นโคลงเป็นฉันท์ก็ทำได้ ถึงอยู่ประเทศบ้านนอกอย่างนี้ก็จริง แต่ความรู้วิชาและการกิริยามารยาทก็พอคล้ายคลึงแก่ชาวพระนคร ท่านทั้งสี่แม้ว่าสมัครรักใคร่กับด้วยข้าพเจ้าแม่ลูกแล้ว ก็จะมีความสุขกายสุขใจอยากนุ่งก็มีนุ่งอยากกินก็มีกินเป็นที่ถาวรวัฒนาการที่สุด จะมาคิดเห็นดีอะไรแก่หม้อบาตรเหล็กนุ่งห่มผ้าย้อมกรักอย่างนั้น จะวิเศษด้วยข้ออะไรมี
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังหญิงหม้ายพูดพรรณนาดังนั้น สีหน้าสลดให้ตกใจหวาดเสียวสะดุ้ง ดุจทารกได้ยินเสียงฟ้าร้องไห้งม ๆ เซอะ ๆ หวั่นไหวกายสั่นระรั้วนั่งนิ่งสะกดใจสำรวมอยู่มิได้พูดจาว่ากระไร
   โป๊ยก่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ได้ฟังหญิงหม้ายพูดอวดความมั่งมี รูปศรีสวยๆ งามดังนั้น จิตใจให้คันเหลือจะทนได้ นั่งไม่เป็นสุขเหลียวซ้ายแลขวา มือเท้าให้ไหวติงไปทั้งกายอดอยู่ไม่ได้ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาสะกิดพระอาจารย์ว่า นางหญิงหม้ายทำซึ่งความดีมาจะใคร่ผูกสมัครทำไมตรี ทำไมอาจารย์จึงนิ่งทำเฉยไม่พอใจอย่างนั้นเล่า
   หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงหันหน้ามาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานทำสู่รู้ ไม่รู้จักอะไร อาตมาเป็นสมณะรักษาเพศบรรพชิต ประพฤติพรตพรหมจรรย์ จะเอาความมั่งมีมาทำให้จิตเศร้าหมองควรอยู่หรือ จะเอารูป รส กลิ่น เสียง มามัดผูกเราได้หรือ เขาพูดว่ากระไรก็ช่างเขาเป็นไร ใยเขามิพูดไปช่างเขาเถิด
 ฝ่ายนางหญิงหม้ายได้ยินพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงหัวเราะแล้วพูดว่า คิดดูก็น่าสงสารคนที่บวชนั้นจะมีความดีอะไรที่ไหน
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ก็ท่านสีกาโยมอยู่กับบ้านนั้นจะมีความดีอะไรเล่า หญิงหม้ายตอบว่าขอมิมนต์ท่านนั่งฟังไว้ ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟังก็ทำไมจึงจะทราบได้ จำจะต้องทำคำโคลงเป็นคำหนึ่งที่ท่านกล่าวไว้ว่า (ชุนจ๊ายฮองเสงเตี๊ยดซิมล้อ) แปลว่าฤดูเดือนสามเดือนสี่เดือนห้าสวมแพรโล่
   คำที่สองว่า (ที้อ้วยกิมแซเสียงเล็กฮ้อ) แปลว่าฤดูเดือนหกเดือนเจ็ดเดือนแปดใส่แพรบางกินน้ำแช่ใบยาเย็น
   คำที่สามว่า (ชิวอิ๊วชินโซเฮียงจุดจี๊ว) แปลว่าฤดูเดือนเก้าเดือนสิบเดือนสิบเอ็ด ใส่เสื้อแพรจินเจาดอกกินเล่าข้าวเหนียวหอมโอชารส
   คำที่สี่ว่า (ตังไล้น่วนก๊อกจุ๋ยงั่นท้อ) แปลว่าฤดูเดือนสิบสองเดือนอ้ายเดือนยี่ เข้านอนในหออุ่นเมาเพลิน
   คำที่ห้าว่า (สี่ซี้ซิวเอ่งปัน ๆ อิ๊ว) แปลว่าสี่ฤดูประสงค์ของมีพร้อม
   คำที่หกว่า (โป๊ยเจียดเตียนซูเกี๋ยเกี๋ยโต) แปลว่าแปดหน้าของบริโภคมีรสมีทุกสิ่ง
   คำที่เจ็ดว่า (ชิมกิมโพหลินฮวยเจ็กแม้) แปลว่าเครื่องใส่แพรสีมีต่าง ๆ กลางคืนมีไฟตามตั้งสีสว่างไสว
   คำที่แปดว่า (เขี่ยงยู่เห้งเกียดเหลยมิท้อ) แปลว่าดียิ่งกว่าที่คนไปไหว้พระพุทธมิท้อ
   นางหญิงม่ายอ่านคำโคลงชี้แจงให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฟังดังนั้นแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าท่านสีกาโยมพูดดังนั้นก็ดีแต่อยู่กับบ้าน เป็นฆาราวาสรับซึ่งความสวยงามบริโภคกามคุณสุขกายสุขตา จะนุ่งห่มก็บริบูรณ์จะกินก็เครื่องคาวหวานโอชารสอิ่มเอิบ บุตรสาวก็พรักพร้อมบริบูรณ์ดังนั้นเอาเป็นจริง แต่ท่านหาได้ทราบในความดีของสมณะกิจผู้ระงับบาปไม่ แม้ว่าพูดกันทำไมจะรู้ได้ ต้องเอาโคลงเป็นพยานจึงจะรู้กันได้ ดังเราจะนำมากล่าวให้ท่านฟังบ้าง
   คำที่หนึ่งว่า (ชุดเกียหลิบจี่ปุ่นเพียเซี้ยง) แปลว่าเข้าอุปสมบทบวชนั้นตั้งความเพียรไม่เหมือนอย่างโลก
   คำที่สองว่า (ซีเก่าช่งเจ๊ยอินอั่ยต๋อง) แปลว่าสละความรักใคร่และเย้าเรือนเคหา
   คำที่สามว่า (วั่วม้วยปุ๊ดแชเอ่ยเก้าจี๊) แปลว่าของนอกไม่เอาเป็นอารมณ์ตามปากลิ้น
   คำที่สี่ว่า (ซิมตังจู้อิ๊วเอี๊ยง) แปลว่ากายตัวก็มีความสุขด้วยอากาศ 
   คำที่ห้าว่า (กังฮวนเห้งมั้วเซียวกิมก่วย) แปลว่าสำเร็จความเพียรเข้าที่ระงับ
   คำที่หกว่า (เม่งซิมกี๊แส่พั่งกู๊เฮียว) แปลว่าจิตสว่างเห็นสันดานเข้าบ้านเดิม
   คำที่เจ็ดว่า (เส่งเจ้อต้อแกทัมฮวยซิด) แปลว่าดีกว่าอยู่กับบ้านกินเลือดเนื้อ
   คำที่แปดว่า (เหลาล้ายจุ๊ยโล๊ะเฉ่าภ่วยลั้น) แปลว่าความชราก็ตกลงในถุงเน่า
   หลวงจีนถังซัมจั๋งพรรณนาความตามในโคลงนั้น ให้นางหญิงหม้ายฟังดังนั้น หญิงนั้นมีความโกรธยิ่งนักจึงพูดว่า สงฆ์ที่เขาทิ้งพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าท่านมาจากเมืองใต้ถัง จะไล่ออกไปให้พ้นจากที่ ข้าพเจ้ามีจิตจริงใจเอาเย้าเรือนทรัพย์สมบัติเงินทองมาผูกพันธ์สมัครจะใคร่เป็นที่อาศัยซึ่งกันและกัน นี่ท่านเอาคำอยาบคายพูดให้ข้าพเจ้าเจ็บใจ แม้ว่าท่านเป็นผู้รักษาศีลอุปสมบทตั้งมั่นอยู่ในทางสมณกิจสึกไมใด้ ก็ศิษย์มีเป็นสามคน จะอนุญาตให้อยู่สักคนหนึ่งก็เป็นไร นี่ท่านมาตั้งมั่นทำเอาแต่ใจของท่านผู้เดียวไม่ผ่อนผัน เอาแต่ธรรมเนียมของท่านฝ่ายเดียว
   หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นนางโกรธดังนั้นก็ทำเป็นเกรง ๆ กลัว ๆ จึงร้องเรียกว่าเห้งเจียจะให้อยู่ที่นี่จะรับหรือไม่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยธุระการบ้านเรือน ขอพระอาจารย์ให้โป๊ยก่ายอยู่เถิด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงพูดว่าพี่เห้งเจียไม่ควรจะปลูกคนอย่างนั้น สารพัดการต้องผู้ใหญ่ก่อนจึงถูกต้องตามธรรมเนียม หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ถ้าเห้งเจียโป๊ยก่ายไม่ยอมก็ให้ซัวเจ๋งอยู่เถิด ซัวเจ๋งพูดว่าขอพระอาจารย์ได้ทราบ ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของพระโพธิสัตว์กวนอิมชักนำสั่งสอน แลข้าพเจ้าได้รับสมาทานศีลแล้ว แลสั่งให้ข้าพเจ้าติดตามพระอาจารย์ไป ที่ไหนจะมาหลงรักความมั่งมีนั้นได้ ถ้าโดยที่สุดตายเสียก็จะดีกว่า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอตั้งจิตตรงไปได้ถึงประเทศไซที อันการมีจิตประมาทอย่างนี้ข้าพเจ้ารับอยู่ไม่ได้เป็นอันขาด
   หญิงหม้ายเห็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนนั้นไม่มีใครยอมอยู่เป็นเขยทุกคน นางมีความโกรธผุดลุกจากเก้าอี้เดินเข้าในชั้นในแล้วปิดประตู ทิ้งศิษย์กับอาจารย์ไว้ให้อยู่ข้างนอก น้ำร้อนน้ำชาไม่หาให้กินทั้งสิ้นเงียบสงัดไม่มีผู้คนออกมา
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจิตใจให้เศร้าหมอง คิดแค้นพระอาจารย์พูดว่า พระอาจารย์ไม่เข้าการเลย เอาการอะไรมา กล่าวให้ล้างความดีของเราเสีย แม้เขาจะพูดจาว่ากระไรก็ตามแต่ใจเขา เราคอยพูดยกยอผ่อนผันพอได้อิ่มสักมื้อ หนึ่ง พอรุ่งเช้าเราก็จะลาไป
 อันการนั้นมันก็สุดแต่เราพูดให้เสียการอย่างนี้พากันอดอยากเปล่า ๆ ซัวเจ๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่โป๊ยก่ายอยู่รับเป็นลูกเขยก่อนจะสำเร็จการทั้งสิ้น โป๊ยก่ายว่าน้องอย่าพูดปลูกคนอย่างนั้นไม่ดีเลย ซึ่งการทั้งปวงต้องให้ผู้ใหญ่คิดผู้ใหญ่พูดจึง จะดี เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า จะต้องคิดอะไรกับใคร เมื่อกี้นี้เจ้าบอกแก่พระอาจารย์ให้รับเป็นสามี เขา ตัวก็ต้องรับเป็นลูกเขย จะต้องคิดอะไรอีกเล่า แลบ้านนี้ก็มีทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่งบริบูรณ์ ทั้งเครื่อง ภาชนะใช้สอย แม้จะแต่งงานทำขันหมากก็พอใช้ จะเลี้ยงดูข้าวของก็บริบูรณ์ตามแต่พวกเราจะรับซึ่งความสุขแล้ว ตัวสึกออกไปเป็นฆราวาสอยู่นั้น ก็เปนสุขอย่างนี้จะมิดีกว่าพวกเราทั้งสองหรือ
 โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงตอบว่า อันความที่พี่พูดก็จริงดังนั้น ข้าพเจ้าสละแล้วจะกลับเป็น ฆราวาสอีกดูกระไรอยู่ สละลูกเมียแล้วแลจะกลับไปหาเมียอีกเล่า ซัวเจ๋งถามว่าพี่เคยมีภรรยาแล้วหรือ เห้งเจียพูดว่าซัวเจ๋งยังไม่รู้ โป๊ยก่ายนี้เดิมอยู่ที่เมืองโอซือก๊ก ดูเป็นลูกเขยของเกาท้ายก๋ง เพราะพี่ปราบปรามจับตัวได้เธอรับศีล เพราะฉะนั้นจึงได้สละภรรยา ตามพระอาจารย์มาจะไปไซที เพื่อนมัสการพระพุทธเจ้า เธอจากเมียมานานแล้ว บัดนี้มา พบปะอาหารเช่นที่เคยอย่างนี้ จึงคิดถึงความหลัง จิตใจก็ประหวัดหวั่นไหว
 เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกโป๊ยก่ายมาบอกว่า เจ้าจงเป็นลูกเขยเขาเถิด แลเจ้าจงรู้จักคุณของเห้งเจียให้มาก ๆ เถิด จงมาคำนับข้าเสียข้าจึงจะไม่ขัดฅอเจ้า โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า เอาความอะไรมากล่าวเลอะเทอะอย่างนี้ แม้ถึงตัวพี่ใจ อย่างนั้นก็พอใจเหมือนกัน จะเอาความชั่วมาใส่ให้แต่ข้าพเจ้าคนเดียวอย่างไร
 คำโบราณท่านเปรียบว่าสมณะ นั้นรูปศรีดุจปีศาจ แต่ผู้ใดเล่าจะไม่มีความปราถนา เหตุฉะนี้ ผู้ใดใคร ๆ ก็พูดเอาแต่ที่ดีเอาตัวรอด อ้างความสำเร็จ จนไม่มีน้ำร้อนน้ำชาจะกิน ทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่มีจะกิน ใต้ไฟก็ไม่มีจะจุด จนถึงความอดอยากก็ไม่สู้กระไรนัก มาวิตกด้วยม้าไม่มีหญ้าจะกิน พรุ่งนี้จะต้องรับให้พระอาจารย์ขี่เดินทาง จะเอากำลังที่ไหนพาเดินทางได้ จะ มิต้องถึงลอกหนังม้าดอกกระมัง
 พูดดังนั้นแล้วจึงพูดว่า พี่น้องจงอยู่ที่นี่ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปปล่อยม้าให้ไปเที่ยวกิน หญ้า โป๊ยก่ายก็ลงจากหอไปแก้ม้าจูงเดินไป เห้งเจียจึงบอกแก่ซัวเจ๋งว่า น้องจงอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนพระอาจารย์ พี่ จะไปดูโป๊ยก่ายจะไปข้างไหน เห้งเจียก็ออกจากหอแปลงเป็นแมลงวันบินแอบตัวโป๊ยก่ายไปมิได้รู้สึก ฝ่ายโป๊ยก่ายจูงม้ามาถึงที่มีหญ้า ก็ไม่ปล่อยม้าให้กินหญ้า จูงม้าเลยไปทางประตูหลังบ้านของ หญิงนั้น โดยความตั้งใจจะใคร่พบแก่แม่หญิงหม้าย
 ฝ่ายแม่หญิงหม้ายเวลานั้น กำลังพาบุตรสาวทั้งสามคนไปชมดอกไม้อยู่หลังบ้าน พอแลเห็น โป๊ยก่ายมา บุตรสาวทั้งสามคนก็เดินหลบเข้าไปในประตู แม่หญิงยืนอยู่ที่ประตูจึงถามว่าท่านจะ ไปไหน โป๊ยก่ายตะลีตาลานปล่อยม้าเดินมาพนมมือแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพาม้ามาจะให้กินหญ้า ขอท่านแม่ได้ทราบ แม่หญิงหม้ายพูดแก่โป๊ยก่ายว่า ท่านหลวงจีนถังซัมจั๋งมัทยัธละเอียดนัก อยู่ที่นี่เป็นบุตรเขย ของข้าพเจ้า จะไม่ดีกว่าที่ไปประเทศไซทีหรือ ไม่ต้องหอบหิ้วให้ลำบากกายลำบากใจ
 โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อันที่พระอาจารย์นั้น เพราะรับ ๆ สั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เธอหาอาจอยู่ได้ไม่ เมื่อกี้นี้ก็จะให้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยท่านแม่คิดกันแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังเกรงอยู่ กลัวท่านแม่จะติว่าข้าพเจ้าปากยาวหูยาว เพราะฉะนั้นจึงยังเห็นว่าขัดข้องอยู่ แม่หญิงหม้ายได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ติเตียนอะไรดอก เพราะจะใคร่ได้บุตรเขยไว้ใน บ้านสักคนหนึ่ง แต่วิตกว่าบุตรสาวจะมีความเลือกอย่างไรก็ยังทราบไม่ได้ ข้าพเจ้าจะไปลองบอกดูก่อน
 โป๊ยก่ายพูดว่า ขอท่านแม่โปรดบอกแก่แม่น้องด้วยเถิดว่า อย่าเลือกรูปร่างเลย แม้ว่าตัว ข้าพเจ้าหยาบคายก็จริงอยู่ แต่มีวิชาหลายประการนัก จะจัดการบ้านเรือนนั้นเป็นได้หลายอย่าง แม่หญิงหม้ายจึงถามโป๊ยก่ายว่า เจ้ามีวิชาการอย่างไรบอกให้ข้าพเจ้ารู้บ้าง โป๊ยก่ายพูด ว่า ถึงตัวข้าพเจ้ารูปร่างหยาบคายก็จริง แต่ธุระกิจการในบ้านนั้นหมั่นอุตสาหะ แม้ไร่นาก็ไม่ต้องใช้วัวควาย ไถคราด คราดเหล็กของข้าพเจ้ามีอันเดียวก็กระทำให้สำเร็จได้ทั้งสิ้น คราวไม่มีฝนจะทำให้ฝนตกก็ได้ หากไม่มีลม จะทำให้ลมพัดก็ได้ ถ้าตึกบ้านห้องหอต่ำแคบจะทำให้ใหญ่โตสูงกว้างก็ได้ สาระพัดการก็สำเร็จได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
 แม่หญิงจึงพูดว่า ถ้ามีความเพียรและมีวิชาความรู้อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ต้องกลับไปตรึกตรอง ปรึกษาหารือกับท่านอาจารย์เสียก่อน ถ้าตกลงเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับท่านเป็นบุตรเขย โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ไม่ต้องตรึกตรองอะไร แม้พระอาจารย์เล่าก็มิใช่บิดามารดาบังเกิดเกล้า ซึ่ง ธุระนั้นสุดแต่ ใจข้าพเจ้าทั้งสิ้นไม่ต้องไปปฤกษาพาฤๅแก่ผู้ใดอีกต่อไปแล้ว สุดแล้วแต่ใจข้าพเจ้าผู้เดียว
 แม่หญิงได้ฟังโป๊ยก่ายดังนั้น จึงพูดว่าถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าจะบอกให้บุตรเขารู้ตัวเสียก่อน แล้วจึงจะค่อยจัดแจงแต่งงาน พูดดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปข้างในงับประตูหลังบ้าน โป๊ยก่ายก็ไม่พาม้าไปให้กิน หญ้า กลับจูงมาข้างหน้าหอ โป๊ยก่ายหาได้รู้สึกว่าเห้งเจียตามไปฟังความรู้หมดสิ้นทุกประการแล้วไม่ เห้งเจียเมื่อตามไปฟังทราบความตลอดแล้ว ก็กลับมาแจ้งความแก่หลวงจีนถังซัมจั๋งว่า โป๊ยก่ายจูงม้ากลับมา แล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามโป๊ยก่ายว่า เอาม้าไปปล่อยให้กินหญ้าแล้วหรือ โป๊ยก่ายตอบว่า ไม่มีหญ้างามที่จะให้ม้ากิน
 เห้งเจียจึงพูดขึ้น ไม่มีที่จะให้ม้ากิน แต่มีที่จูงม้าไปเที่ยวได้ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดกระทบดังนั้นก็คิดว่าการลับของเราคงมีผู้รู้แล้ว ให้คิดระอายแก่ใจยิ่งนักนั่งก้มหน้านิ่ง อยู่ สักครู่หนึ่งก็ได้ยินประตูข้างเปิด แลไปก็เห็นนางหญิงหม้ายพาบุตรสาวเดินออกมามีคนถือโคมนำหน้าออก มา หอมกลิ่นระรื่น ครั้นเดินมาถึงที่น่าหอนั่ง
 แม่หญิงหม้ายจึงบอกบุตรสาวทั้งสามว่า ให้ไหว้คำนับหลวงจีนถัง ซัมจั๋งและเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง บุตรสาวทั้งสามคนได้ยินมารดาบอกดังนั้นก็ยืนรายกันทั้งสามคนคำนับไหว้ พิจารณาลักษณะรูปร่างนางทั้งสามคนนั้น ดุจดังว่านางฟ้าลงมาดิน ยากที่จะหานางใดในมนุษย์โลกนี้มา เปรียบเทียบได้ ฝ่ายอาจารย์สานุศิษย์ทั้งสามสี่คนนั้น ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมินหน้าไปเสียทางอื่น มิได้รับรอง โต้ตอบประการใด แต่โป๊ยก่ายเมื่อแลเห็นนางทั้งสามคน มีสิริรูปโสภาผ่องใสงดงามดังนั้น
 ในดวงจิตก็ ประวัติ มีความกำหนัดในรูปเกิดขึ้น จิตใจก็ให้งวยงงร่างกายก็กำเริบหวั่นไหว จึงเอื้อนโอฐออกสุนทร วาจาเสียงเบา ๆ ว่า ลำบากแก่ท่านมารดาต้องพานางฟ้าลงมาดิน ขอเชิญให้แม่น้องผู้รูปงามทั้งสามกลับเข้า ไปเถิด นางทั้งสามเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นแล้ว ก็คำนับกลับเข้าไปข้างใน เอาโคมเต็งลั้งไว้คู่หนึ่ง ฝ่ายแม่หญิงหม้ายจึงถามว่า ท่านผู้ใดจะพอใจเป็นบุตรเขยข้าพเจ้า ขอเชิญเถิด ซัวเจ๋งได้ยินนางถามดังนั้นจึงตอบว่า ได้จัดเรียบร้อยแล้วคือแซ่ตือชื่อโป๊ยก่ายนั้นแล จะให้เป็นบุตรเขย โป๊ยก่ายได้ยินซัวเจ๋งพูดดังนั้นจึงพูดว่า พี่น้องอย่าเหมาให้เราดังนั้นจะต้อง คิดไตร่ตรองกันก่อนจึงจะชอบ
• • • • • • • • •
จบ.เล่ม ๑ ไซอิ๋ว

24 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 22 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน ข้ามแม่น้ำหลิวซาเหอ ซัวเจ๋ง ถวายตัว
(บทที่ ๒๒ ) เมื่อหลวงจีนถังซัมจั๋งออกพ้นภัยปีศาจอึ้งฮองใต้อ๋องแล้ว พร้อมด้วยเห้งเจียโป๊ยก่ายออกเดินมาวันหนึ่ง ก็ข้ามพ้นอึ้งฮองเนี้ย ลงเดินกับพื้นดินตัดตรงหมายทิศปราจิณ
 ในฤดูนั้นเป็นฤดูวสันต์จักระจั่นเรไรร้องออกเพรียกไปทั้งป่า อาจารย์กับศิษย์เดินพลางชมพลางตามทางมา ในเวลานั้นตะวันยอแสงจวนจะค่ำ ได้ยินเสียงคลื่นละลอกซัดดังสนั่น หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าเห็นแม่น้ำขวางหน้ากว้างใหญ่แลไม่เห็นฝั่ง คลื่นซัดขึ้นสูงดุจภูเขา แลดูเวิ้งว้างน่ากลัว จึงร้องเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายเข้ามาใกล้แล้ว ถามว่าข้างน่านั้นมีแม่น้ำขวางหน้าแลไม่เห็นฝั่ง ทำไมไม่แลเห็นเรือไปมาเลยเราจะข้ามไปทางใดได้เล่า
 เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์ถามดังนั้น จึงเหาะขึ้นไปบนอากาศเอามือบังตาดู แล้วก็ลงมาบอกแก่พระอาจารย์ว่า อันแม่น้ำนี้กว้างขวางนักยากที่จะข้ามไปได้ หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า กว้างประมาณสักเท่าใด เห้งเจียบอกว่า กว้างประมาณแปดร้อยโยชน์เศษ
         โป๊ยก่ายถามว่า ทำไมพี่ประมาณรู้ว่าแปดร้อยโยชน์เล่า ข้าพเจ้ามีความสงสัยอยู่
         เห้งเจียตอบว่าน้องยังไม่รู้ สองจักษุพี่นี้ดุจดวงพระอาทิตย์ที่ส่องโลกอยู่เวลากลางวันพี่แลไปเห็นได้พันโยชน์ มีความดีร้ายพี่ย่อมรู้ได้ทั้งสิ้น แต่ลำแม่น้ำนี้ด้านใต้ด้านเหนือไม่รู้ว่าใกล้ไกลสักเท่าใด แต่พอคะเนได้ว่าตรงที่จะข้ามไปนี้กว้างประมาณแปดร้อยโยชน์
 หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็มีจิตหวาดเสียวเศร้าหมอง จึงชักม้าหันถอยหลังหันหน้าไปแลเห็นเสาศิลาปักอยู่มีอักษรจารึกไว้สามอักษร อาจารย์กับศิษย์เดินเข้าไปใกล้ อ่านดูว่า (หลิวซัวหอ) คือกระแสชลทราย แลข้างบนนั้นมีหนังสือตัวเล็กสี่แถวว่า โป๊ยแปะหลิวซัวก่าย แปลว่าแปดร้อยโยชน์กระแสชล แถวที่สองว่า (ซัมเชยเนกจุ๊ยซิม) แปลว่าลึกนั้นสามพันเส้น แถวที่สามว่า (หง่อหม้อเพียวปุ๊ดกี้) แปลว่าขนห่านก็ไม่ลอยได้ แถวที่สี่ว่า (สูฮวยเตี้ยเต้ยติ๊ม) แปลว่าถึงใบไม้เล็กน้อยหรือขนแห่งจามจุรีถ้าตกลงแล้วก็ไม่อาจลอยอยู่หลังน้ำได้
 อาจารย์กับศิษย์กำลังดูหนังสือนั้นอยู่ พอได้ยินเสียงดังในลำแม่น้ำ คลื่นระลอกนูนสูงขึ้นดุจภูเขา เสียงหวั่นไหวไปทั้งลำแม่น้ำ บัดเดี๋ยวใจแลไปที่กลางน้ำ เห็นโผล่ขึ้นมารูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บนศรีษะมีผมสีแดงรุงรัง จักษุทั้งสองข้างสว่างโชติดุจดาวประจำเมือง เสียงดุจฟ้าลั่นตัวสวมเสื้อขนห่านลาย นุ่งผ้าถักด้วยหวาย ที่คอแขวนกะโหลกหัวผีเก้ากะโหลก มือถือไม้พลองวิเศษดูเข้มแข็งปีศาจนั้นแลเห็นหลวงจีนถังซัมจั๋งก็เดินรี่ตรงเข้ามาที่ตลิ่ง คิดจะทำร้ายหลวงจีนถังซัมจั๋ง
 เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็เข้าอุ้มเอาพระอาจารย์ลงจากหลังม้าหลีกออกไปให้ห่าง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็วางหาบลงกับพื้น ฉวยคราดเหล็กตรงมาสกัดหน้าปีศาจไว้ แล้วยกคราดขึ้นสับลงที่ศรีษะปีศาจ ๆ เอาพลองขึ้นรับ ต่างคนต่างเข้มแข็งรบกันประมาณยี่สิบเพลงก็ยังหาแพ้แลชนะกันไม่
 เห้งเจียกำลังเฝ้ารักษาพระอาจารย์อยู่ เห็นโป๊ยก่ายต่อสู้ปีศาจดังนั้น อดไม่ได้จึงบอกพระอาจารย์ว่า พระอาจารย์จงอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าจะไปช่วยโป๊ยก่ายตีจับอ้ายปีศาจนั้นให้จงได้ พูดแล้วก็จับกระบองเหล็กกระโดดวิ่งเข้าไป ครั้นถึงก็ยกกระบองตีลงที่ศรีษะปีศาจ ๆ เห็นดังนั้นจึงเอาไม้รับแล้วกระโดดถอยออกมาลงน้ำหนีไป มิได้ผุดขึ้นมาอีก โป๊ยก่ายโกรธเห้งเจียว่าพี่มาทำไมก็ไม่รู้ ปีศาจนั้นฝีมือมันอ่อน อีกสามสี่เพลงก็จะจับตัวได้ นี่มันเห็นพี่ดุร้ายนักมันกลัวมันจึงหนีลงไปเสียจะทำอย่างไรจึงจะจับตัวได้เล่า
         เห้งเจียพูดว่า พี่เห็นน้องรบกับปีศาจพี่ก็คันมือ อดอยู่ไม่ได้ลองฝีมิอให้มันรู้มันกลัวมันก็หนีลงน้ำไป พูดแล้วก็พากันไปหาพระอาจารย์
       หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า จับตัวปีศาจได้หรือเปล่า 
         เห้งเจียบอกว่ามันไม่ต่อสู้หนีลงน้ำไปไม่ขึ้นมา
         หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าปีศาจนี้มันอยู่ในลำน้ำนี้ มันคงจะรู้เหตุการณ์ได้ทุกประการ
         เห้งเจียจึงพูดว่า เห็นจะจริงของพระอาจารย์แต่มันอยู่ในน้ำจะทำประการใด
 โป๊ยก่ายจึงพูดว่า เมื่อเดิมข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับการในแม่น้ำทีฮ้อบนสวรรค์ ข้าพเจ้าเข้าใจได้ แต่วิตกว่าในน้ำมีบริวารมากข้าพเจ้าคนเดียวจะต่อสู้ไม่ไหว
 เห้งเจียจึงพูดว่าถ้ากระนั้นน้องจงลงไปรบ ล่อให้มันขึ้นมาบนบกก่อน แล้วพี่จะคอยจับตัวมันให้จงได้ โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนั้นเห็นจะได้การ โป๊ยก่ายพูดแล้วก็ผลัดผ้าผูกรัดให้แน่นมั่นคงดีแล้ว มือถือคราดเหล็กโดดลงไปในน้ำ ร่ายพระเวทย์คาถาเบิกน้ำให้เป็นช่องแล้ว ก็ลงไปยังที่ปีศาจอาศัยอยู่
 ฝ่ายปีศาจรบแพ้ไปนั่งพักบัดเดี๋ยวใจ ก็แลเห็นคนแหวกน้ำลงมา ผุดลุกขึ้นเห็นอ้ายคนที่สักครู่รบกันลงมา จึงฉวยได้พลองร้องตวาดว่า อ้ายคนนี้มึงลงมาที่นี่ทำไม มึงจงดูให้ดีกูจะตีหัวมึง ว่าแล้วก็ยกกระบองขึ้นตรงมาจะตีศรีษะโป๊ยก่าย ๆ เอาคราดรับปัดป้องกันไปมา แล้วโป๊ยก่ายจึงถามว่า นี่เองเป็นปีศาจยักษ์อะไรที่ไหนจึงสามารถมาอยู่กั้นกลางหนทางอย่างนื้
 ปีศาจยักษ์ตอบว่า เจ้าจำเราไม่ได้หรือ เรามิใช่ปีศาจราชทูตยักษ์มารอะไรที่ไหน แลมิใช่ไม่มีชื่อเสียงเมื่อไร มี เจ้าอยากจะรู้มูลเหตุเราจะเล่าให้เจ้าฟัง เมื่อเริ่มเกิดนั้น มีภาคเชี่ยวชาญหาใช่น้อยไม่ ครั้นมาภายหลังได้เรียนวิชา สำเร็จทางโลกิย์ฌานสำรวมจิต ต่อมาพระอาจารย์แนะนำทางมรรคผล นานวันฌานนั้นก็แก่กล้าขึ้นทุกที จึงจุติไปเกิดอยู่ในชั้นดาวดึงส์ พระผู้เป็นจอมโลกาคือเง็กเซียงฮ่องเต้ ทรงตรัสต่อพระโอฐให้เป็นที่ราชองครักษ์ใต้เจียงกุน พระเป็นเจ้าจะเสด็จแห่งหนตำบลใด เราต้องตามเสด็จทุกครั้ง สำหรับคอยแหวกวิสูตรราชรถ 
 มาวันหนึ่งแม่อ๋องโบ๊เลี้ยงโต๊ะชมภู่ พร้อมด้วยเทพบุตร เทพธิดา บังเอิญเคราะห์ร้าย ข้าพเจ้าทำคนโทแก้วเจียระไนแตก เทวดาทั้งหลายพากันตกใจ เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงพระพิโรธรับสั่งให้ประหารชีวิตข้าพเจ้า เดชะบุญท่านชิดเคียดเซียนกราบทูล ขอโทษข้าพเจ้าไว้จึงได้รอดชีวิต แต่ให้ลงอาญาเฆี่ยนแปดสิบที สาปให้ลงมาใต้หล้าอาศัยแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ทรมานอดอยากเหลือที่จะพรรณนา หิวก็เที่ยวหาเนื้อมนุษย์กิน อิ่มแล้วก็จมอยู่ในน้ำ เที่ยวท่องไปมาอยู่อย่างนี้ กินมนุษย์ก็มากมายหลายคนอยู่แล้ว เก็บกะโหลกหัวผีไว้แขวนคอดูเล่น ทำไมเจ้าจึงอาจสามารถมาอวดดีในถิ่นที่แห่งเรา วันนี้ท้องเรามันร้องคอยเจ้าอยู่แล้ว เจ้าอย่าพูดเลอะเทอะไปเลย
 โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจเล่าให้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าเจ้าอย่าอวดดีไปเลย ถ้าเจ้าดีจริงแล้วเหตุใดเจ้าจึงหนีเราลงมาดำน้ำอยู่เล่า ตัวเราก็กำเนิดมาจากน้ำเหมือนกัน. เจ้าจงแลดูคราดของเรา โป๊ยก่ายว่าดังนั้นแล้วก็ยกคราดขึ้นสับลงไปตรงศรีษะปีศาจ ๆ ก็ยกพลองขึ้นป้องกันรับรองไว้ ต่างรบกันโดยมีความสามารถมิได้ย่อหย่อน โป๊ยก่ายรบรอ ล่อขึ้นมาทางบก
 เห้งเจียยืนอยู่ริมฝั่งเห็นโป๊ยก่ายรบแก่ปีศาจอยู่กลางน้ำ ล่อเข้ามาจนริมฝั่ง ปีศาจก็ไล่แต่ไม่อาจเข้าริมฝั่ง รั้งรออยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ จับกระบองเหล็กจะใคร่ตีปีศาจสักทีหนึ่ง ปีศาจเห็นดังนั้นก็ไม่ต่อสู้ กลับดำน้ำหนีไปเสียมิได้ผุดขึ้นมาอีก โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงบ่นว่าพี่เห้งเจียทำใจดุจลิงไม่คอยรอรั้ง ให้ข้าพเจ้าล่อมันขึ้นมาถึงบนบกก่อนแล้วจึงค่อยล้อมจับมัน พี่มาทำใจร้อนมันกลัวมันก็หนีลงน้ำไปเสียแล้วไม่ขึ้นมา ทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปเล่าจึงจะจับมันได้
 เห้งเจียจึงว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงอย่าบ่นไปเลย พากันไปหาอาจารย์ก่อน แล้วจึงค่อยคิดอ่านกันใหม่ ครั้นมาถึงจึงเล่าเหตุการณ์ที่รบกันกับปีศาจให้พระอาจารย์ฟังทุกประการ
         หลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงพูดว่าถ้าดังนั้นเราจะทำประการใดดี
         โป๊ยก่ายว่าถ้าได้ตัวปีศาจนี้มาแล้ว สารพัดการก็คงจะสำเร็จได้ทุกประการ
 เห้งเจียจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่ามีความวิตกเลย เวลาจวนค่ำอยู่แล้ว ไว้รอพรุ่งนี้ฉันเช้าแล้วจึงค่อยคิดอ่านกันใหม่ ในคืนนั้นศิษย์กับอาจารย์นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รุ่งเช้าเห้งเจียจึงเอาบาตรเหาะไปทางทิศอุดร บิณฑบาตบัดเดี๋ยวใจก็ได้กระยาหารเหาะกลับมาเอาอาหารถวายพระอาจารย์ ๆ จึงถามว่า เห้งเจียไปบิณฑบาตรทำไมจึงไม่ถามเหตุการณ์ในลำแม่น้ำนี้เล่า บางทีเขาจะรู้ได้บ้างกระมัง
 เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าเหาะไปไกลทางถึงเจ็ดพันโยชน์ บ้านเหล่านั้นอยู่ไกลนักที่ไหนจะรู้เหตุการณ์ในลำแม่น้ำนี้ได้เล่า
 โป๊ยก่ายฟังเห้งเจียพูดแปลกหูดังนั้น จึงถามว่าพี่ไปมาก็บัดเดี๋ยวใจ ทำไมว่าไกลถึงเจ็ดพันโยชน์ พี่พูดดังนี้ใครเขาจะเชื่อได้
 เห้งเจียพูดว่า อันความข้อนี้น้องยังหาเข้าใจไม่ เพราะวิชาของพี่หกเหาะไปทีหนึ่งเป็นระยะทางได้ถึงหมื่นแปดพันโยชน์ ทำไมกับทางเจ็ดพันโยชน์เล่า ขยับตัวหน่อยเดียวก็จะไปมาถึงได้โดยเร็ว
 โป๊ยก่ายพูดว่า พี่มีฤทธาศักดานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้โดยสะดวก จะให้พระอาจารย์ขึ้นบ่าแบกเหาะข้ามไปไม่ต้องรบพุ่งจะมิดีหรือ
 เห้งเจียจึงพูดว่า น้องก็มีฤทธาอานุภาพเหมือนกัน ทำไมจึงไม่อุ้มพระอาจารย์ข้ามฟากไปเล่า น้องอย่าเข้าใจว่าเป็นการง่าย ด้วยพระอาจารย์ร่างกายจิตใจเป็นปุถุชนมีความหนักยิ่งกว่าเขาพระสุเมรุ ส่วนพี่ร่างกายเป็นกายสิทธิ์มีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างทุกประการ แต่ที่พระอาจารย์นั้นแสนยาก ดังคำโบราณท่านว่า ภูเขาใหญ่จะใคร่ให้ย้ายไปพ้นพี่ ก็เบาดุจเมล็ดพันธุ์ผักกาด อันจะยกปุถุชนให้ข้ามพ้นขันธมารนั้น ยากที่จะให้พ้นได้ มาทว่าเราทั้งสองมีฤทธาอานุภาพอันเชี่ยวชาญก็คุ้มได้แต่ชีวิตรของเรา อันจะคุ้มชีวิตร่างกายของพระอาจารย์ด้วยนั้น ยากที่จะคุ้มให้พ้นสมุทรทุกข์ได้ แลหากว่าโดยง่าย เราทั้งสองเหาะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมาก่อนจะไม่ได้หรือ ก็ขัดอยู่อีกเล่า ด้วยไปถึงโน่นพระพุทธเจ้าจะไม่ให้ก็จะเป็นการยากที่สุด เราจะว่าง่ายอย่างไรได้เล่า พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็จัดเครื่องแจถวายพระอาจารย์เหลือจากนั้น เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็รับประทาน
 ครั้นเสร็จแล้วพระถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า เห้งเจียจะคิดประการใดต่อไป เห้งเจียว่าไม่ต้องอย่างไร จะต้องให้โป๊ยก่ายลงไปล่ออีกสักครั้งหนึ่ง จึงสั่งโป๊ยก่ายว่า วันนี้น้องต้องลงไปรบ ล่ออีกสักครั้งหนึ่ง ทีนี้พี่ไม่ทำใจเร็ว จะคอยให้มันขึ้นมาบนบกให้ถนัดแล้ว จึงจะล้อมจับมัน โป๊ยก่ายขัดไม่ได้ เกาหัวเกาหูแล้วก็ผลัดผ้าจับคราดสำหรับมือแล้ว ก็ร่ายพระเวทย์แหวกน้ำลงไปยังที่ปีศาจอยู่ ปีศาจแลเห็นโป๊ยก่ายก็กระโดดออกมาสกัดหน้าพูดว่า เฮ้ยอ้ายนี่อย่าเพิ่งเข้ามา แล้วตวาดด้วยเสียงอันดังว่ามึงจงดูพลองของกูก่อน
 โป๊ยก่ายว่าพลองของเองดุจไม้ท้าวที่ถือไว้ทุกข์ให้แก่คนตาย ยังมีหน้าเอาออกมาให้ปู่ตาดูจะวิเศษอย่างไร
 ปีศาจว่าเจ้ายังไม่รู้เรื่องพงศาวดารของพลองนี้ ไม้พลองวิเศษอันนี้มิใช่ของในมนุษย์โลกนี้เมื่อไร ไม้นี้เป็นของผู้สำเร็จกระทำประกอบด้วยของวิเศษและประดับล้วนแต่เพ็ชรนิลจินดามีราคามาก เป็นของไว้สำหรับปราบปีศาจและยักษ์ร้าย และไว้สำหรับคุ้มกัน บนปราสาทเล่งเซียวโป๊เต้ โดยเราเป็นองครักษ์สำหรับพระองค์เรียกว่าใต้เจียงกุน เง็กเซียงฮ่องเต้ประทานให้เราสำหรับตัว อยากให้ยาวก็ได้ให้สั่นก็ได้ จะให้เล็กให้ใหญ่ก็ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงได้เรียกว่าพลองวิเศษ มิใช่ของในมนุษย์โลกยนี้ ตั้งแต่เราถูกถอดก็ถือติดมือมาจนทุกวันนี้ ไม่เหมือนอาวุธของเจ้า เป็นคราดที่สำหรับเขาคราดหญ้าคราดฟางอย่างนั้น ก็เอามาถืออวดกับเขาช่างไม่มีอายเลยจริง ๆ
 โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า เจ้าอย่าประมาทว่าคราดหญ้าคราดฟาง ถ้าเอ็งถูกสักทีหนึ่งแล้วเลือดก็จะไหลออกมาสด ๆ ทั้งเก้าแผล พูดเถียงกันไปมาปีศาจยักษ์ยกพลองขึ้นตีโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายก็ยกคราดขึ้นรับรบกันเป็นสามารถ โป๊ยก่ายสู้พลางถอยพลางทำอุบายรบ ล่อทอดคราดลากหนี ปีศาจก็ไล่กระชั้นชิดติดพัน โป๊ยก่ายร้องว่าเฮ้ยอ้ายปีศาจมึงดีแล้วจงขึ้นมารบกันบนบกให้ถึงแพ้และชนะจึงจะเห็นจริงว่าเจ้ามีฝีมือ
 ปีศาจยักษ์ว่าเจ้าหลอกเราจะให้ขึ้นบนบก เจ้าจะได้ช่วยกันกับอ้ายหน้าขนรุมกันรบเรากระนั้นหรือ ถ้าเจ้าถือว่ามีฤทธิ์ก็จงลงมารบกันในน้ำเถิด
 เมื่อปีศาจหัน ๆ รีๆ พูดโต้ตอบแก่โป๊ยก่ายอยู่ริมฝั่งน้ำ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็บังเกิดใจร้อน จึงคิดในใจว่าจำเราจะแปลงเป็นนกตะกรุมหาปลา คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระเวทย์แปลงกายเป็นนกตะกรุมบินขึ้นบนอากาศแล้ว โผ ลงที่ปีศาจจะเข้าโฉบเอาปีศาจ ฝ่ายปีศาจกำลังโต้ตอบอยู่แก่โป๊ยก่าย ได้ยินเสียงลมหวิวมาแลขึ้นไปเห็นนกตะกลุมลงมา ก็คิดว่าเห็นจะเป็นอ้ายหน้าขนแปลงกายมาจึงโดดลงน้ำดำหนีไปมิได้ขึ้นมาสู้รบ
 ฝ่ายเห้งเจียกับโป๊ยก่ายต่างพูดกันว่า อ้ายปีศาจร้ายนี้มันก็มีกำลังและฝีมือจะรบเอาชัยชนะมันก็ไม่ได้ จะล่อให้ขึ้นบกมันก็ไม่ขึ้น ดูเป็นการยากที่สุดเสียแล้ว เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็พากันกลับมาหาพระอาจารย์เล่าความที่ได้สู้รบกับปีศาจ ให้พระอาจารย์ฟังทุกประการ
 พระถังซัมจั๋งเมื่อได้ฟังเห้งเจียกับโป๊ยก่ายเล่าให้ฟังดังนั้น ก็ไม่มีความสบายจึงพูดว่าการที่มาติดขัดเสียเช่นนี้แล้ว ฉันใดเราจะได้ข้ามแม่น้ำนี้ไปได้เล่า
เห้งเจียจึงพูดว่าอย่าเลยข้าพเจ้าจะไปน่ำไฮ้หาพระโพธิสัตว์กวนอิม นิมนต์ท่านมาช่วยแก้ไขจึงจะได้ โป๊ยก่ายจง อยู่ระวังรักษาพระอาจารย์อย่าให้มีเหตุอันตรายได้ โป๊ยก่ายจึงพูดว่าพี่จงไปเถิดดีแล้ว แต่ถ้าไปถึงแล้วพี่ช่วยกราบเรียนขอบพระคุณของท่านด้วย โดยท่านได้ อนุเคราะห์แนะนำสั่งสอนข้าพเจ้า หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงสั่งว่า เห้งเจียจงไปเร็วมาเร็วเป็นการรีบร้อนอย่าได้นอนใจเลย เห้งเจียคำนับพระอาจารย์แล้ว แล้วก็สำรวมจิตเหาะขึ้นเวหาตรงไปยังทิศอาคะเนย์เขาน่ำไฮ้ มาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงน่ำไฮ้ ลงยังพื้นพสุธาเดินเข้าไปยังสำนัก
 ครั้นถึงประตูนอกเห้งเจียบอกแก่เด็กที่เฝ้าประตู ให้กราบเรียน พระโพธิสัตว์ เวลานั้นพระโพธิสัตว์อยู่ที่ริมสระบัวกับด้วยพวกศิษย์ทั้งหลาย ครั้นทราบว่าเห้งเจียมาพระ โพธิสัตว์ก็กลับเข้ามายังสำนัก ให้เปิดประตูรับเห้งเจียเข้าไป เห้งเจียนมัการแล้วก็ยืนคอยฟังพระโพธิสัตว์อยู่ ส่วนพระโพธิสัตว์จึงถามว่าท่านมีกิจธุระอย่างใดหรือ เห้งเจียกราบเรียนว่า วันก่อนนั้นมาถึงตำบลเกาเล้า จึง ได้สานุศิษย์คนหนึ่งชื่อหงอเหน็ง แล้วเดินมาพึ่งข้ามพ้นอึ้งฮองเนี้ย บัดนี้มาถึงลำแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ แม่น้ำนั้นกว้าง ใหญ่น้ำก็ลึกเรือแพจะใช้พาหนะข้ามก็ไม่มี แลในแม่น้ำนั้นมีปีศาจยักษ์ร้ายจะคอยทำร้ายพระอาจารย์ หงอ เหน็งได้ต่อสู้ถึงสามครั้งแล้ว
 ก็เอาชัยชนะมิได้เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอพึ่งพระบารมีท่านได้โปรดสงเคราะห์ด้วย โดยข้าพเจ้าสิ้นความคิดแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันสัญชาติวานรแล้วย่อมอวดเก่งว่าตนมีฝีมือ พอใจแต่จะรบสู้ เหตุใดท่านไม่บอกเล่าว่าจะไปอาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกธรรมเล่า เห้งเจียว่าข้าพเจ้าหมายจะจับตัวปีศาจให้ได้ จะได้บังคับให้พาพระอาจารย์ข้ามน้ำส่ง ก็หาทันจะบอกออกชื่อว่าจะไปอาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกไม่ พระโพธิสัตว์พูดว่ามันมิใช่ยักษ์มารอะไรที่ไหน มันคือองครักษ์ใต้เจียงกุน ขุนนางข้างที่ของเง็ก เซียงฮ่องเต้ ต้องโทษบนสวรรค์จึงสาปให้ลงมาอยู่ในลำแม่น้ำหลิวซัวฮ้อนี้
 เมื่อครั้งก่อนอาตมาได้ชักนำสั่งสอนให้ อยู่ปฏิบัติรักษาธรรม แลได้สั่งว่าแม้มีผู้มาทางนี้ก็ให้ติดตามสวามิภักดิ์เป็นศิษย์ไป กว่าจะสำเร็จการธุระ ภายหลังจึงจะเอาคุณลบล้างโทษ แม้เมื่อแรกมาบอกว่าจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกแล้ว เธอก็คงจะเข้า สวามิภักดิ์ ไม่ให้ต้องลำบากอย่างนี้ พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกฮุยไง้สานุศิษย์ใหญ่มาแล้ว จึงหยิบลูกน้ำ เต้าในมือเสื้อออกมาส่งให้ฮุยไง้แล้วสั่งว่า จงไปด้วยเห้งเจียยังแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ยืนบนหลังน้ำร้องเรียกว่าหงอเจ๋ง บัดนี้มีผู้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกมาแล้ว ให้รีบขึ้นมาสวามิภักดิ์ติดตามไปด้วยเถิด แล้วส่งน้ำเต้าให้หงอเจ๋ง ร้อยหัวกะโหลกผีเป็นวงรอบ แล้วเอาน้ำเต้าไว้ตรงกลางวงทำเป็นกิริยาเรือจะได้ส่งพระถังซัมจั๋งข้ามฟาก
 ฮุยไง้ได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งทุกประการแล้ว คำนับลาพระโพธิสัตว์พาเห้งเจียออกจากสำนัก เหาะกลับมายังแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ครั้นถึงฮุยไง้หยุดกลางแม่น้ำ แล้วร้องเรียกว่าหงอเจ๋ง ๆ บัด นี้ผู้อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมาคอยท่าอยู่นี่แล้ว ทำไมจึงไม่รีบขึ้นมาสวามิภักดิ์เป็นศิษย์ไปเล่า ฮุยไง้เรียกดังนั้นแล้ว ก็เลยมาหาพระถังซัมจั๋ง ต่างคำนับกัน โป๊ยก่ายแลเห็นฮุยไง้มาก็ดีใจ จึง มาคำนับ โป๊ยก่ายคำนับแล้วคำนับอีก เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงพูดว่าน้องอย่ากระทำให้ชักช้า ไป ให้ท่านเรียกปีศาจขึ้นมาเสียก่อนเถิดจึงค่อยขอบพระคุณท่าน
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ใครจะเรียกปิศาจเล่า เห้งเจียบอกว่าพระโพธิสัตว์สั่งฮุยไง้มาให้เป็นผู้เรียก หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์มีความกรุณาเมตาจิตอย่างนั้น ก็มีความยินดีจึงยกมือขึ้นนมัการไปยังทิศ ที่พระโพธิสัตว์อยู่ แล้วคำนับขอบใจฮุยไง้ซึ่งได้มีใจมาช่วย ฝ่ายปีศาจอยู่ใต้น้ำ เมื่อได้ยินเสียงมาเรียกชื่อของตัว และพูดว่ามีผู้มาอาราธนาพระไตรปิฎก ธรรม มาคอยอยู่ข้างฝั่งดังนั้น ก็นึกขึ้นได้คือพระโพธิสัตว์สั่งไว้ คิดดังนั้นก็แทรกน้ำโผล่ขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวา พอแลมาปะฮุยไง้เข้าก็จำได้ คำนับแล้วก็ถามว่า พระโพธิสัตว์อยู่ที่ไหน
 ฮุยไง้บอกว่า พระโพธิสัตว์มิได้มา สั่งให้ข้าพเจ้ามาสั่งท่านว่า จงรีบติดตามสวามิภักดิ์หลวงจีนถังซัมจั๋งไปประเทศไซที แลให้เอากะโหลกหัวผีเก้าหัว ที่ห้อยคอนั้นร้อยรอบเป็นวงแล้ว เอาน้ำเต้าวางกลางวง แล้วยกวางลงบนหลังน้ำเป็นต่างเรือ จะได้ส่งพระ อาจารย์ข้ามฟากไป หงอเจ๋งจึงถามว่าบัดนี้ผู้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้นอยู่ที่ไหน ฮุยไง้จึงชี้มือว่าที่ยืนอยู่บนฝั่งน้ำ นั้นมิใช่หรือ
 หงอเจ๋งแลไปเห็นพระถังซัมจั๋งยืนอยู่ จึงวางไม้พลองเสียวิ่งมากราบนมัสการแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีตาเนื้อ แต่ไม่มีแก้วตาปัญญาจำอาจารย์ไม่ได้ ขอพระอาจารย์อย่าได้ถือโทษข้าพเจ้าเลย หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ตัวมีจิตศรัทธาจริงใจจะยอมอยู่ในคำสั่งสอนของอาตมาหรือ หงอเจ๋งพูดว่าข้าพเจ้าได้พึ่งพระโพธิสัตว์สั่งสอน และได้รับคำสั่งสอนของท่าน และท่านได้ตั้งฉายาให้นามเรียกว่า (ซัวหงอเจ๋ง) เมื่อได้รับอย่างนี้แล้ว ทำไมจะไม่อยู่ในคำสั่งสอนของท่านเล่า
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็ดีแล้ว จึงเรียกเห้งเจียให้เอามีดโกนมาโกนผมให้หงอเจ๋ง แล้วหงอเจ๋งจึงนมัสการหลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นอาจารย์ คำนับเห้งเจียโป๊ยก่ายเป็นพี่ พระ ถังซัมจั๋งเห็นกิริยาหงอเจ๋งมัธยัสถ์ จึงให้เรียกนามว่า (ซัวฮั่นเสียงแลซัวเจ๋งก็เรียก) ฝ่ายฮุยไง้เห็นซัวเจ๋งมีความเคารพเรียบร้อยแล้ว จึงพูดว่า หงอเจ๋งได้สมาทานองค์ศีลแล้ว จงอย่า มีความเกียจคร้าน รีบทำเรือจะได้ส่งท่านถังซัมจั๋งข้ามฟาก
 หงอเจ๋งได้ฟังฮุยไง้บอกดังนั้น ก็ถอดหัวกะโหลกผีทั้งเก้าออกจากคอแล้ว เอาเชือกหวายร้อยวงกะโหลกทั้งเก้านั้น วางลงที่หลังน้ำแล้วเอาน้ำเต้าวางอยู่ท่ามกลาง แล้วจึงนิมนต์พระอาจารย์ถังซัมจั๋งลงเหยียบน้ำเต้า ตัวลอยดุจ อยู่บนเรือไม่พลิกแพลงดุจยืนอยู่บนแผ่นดิน ข้างซ้ายมีโป๊ยก่ายข้างขวามีซัวเจ๋งประะคับประคอง ข้างหลังมีเห้งเจีย จูงม้า ข้างบนมีฮุยไง้คุมรักษา
 วันเมื่อหลวงจีนถังซัมจั๋งเหยียบน้ำเต้าข้ามฟากไปนั้น ก็โดยอานุภาพอภินิหารย์ของ พระกวนอิมน้ำเต้าก็ลอยละลิ่วไป คลื่นระลอกก็มิได้ซัดสงัดสงบเงียบถึงฟากฝั่งได้โดยสะดวกดังประสงค์ อาจารย์ กับศิษย์ก็พากันขึ้นบก ฮุยไง้ก็ลงเก็บเอาน้ำเต้าขึ้นมา หัวกะโหลกผีเหล่านั้นก็อันตรธานสูญหายไป ฮุยไง้ก็ลา กลับไปยังน่ำไฮ้ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ยกมือนมัสการ อาจารย์กับศิษย์ก็ตั้งหน้าตรงไปยังทิศปราจิณ

23 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 21 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน ผจญปีศาจกระแตสุดร้ายกาจ
(บทที่ ๒๑) ฝ่ายบริวารปิศาจยักษ์ทั้งหลายได้ยินเห้งเจียร้องบอกดังนั้น ทั้งได้เห็นศพปีศาจเสือเซียนฮองด้วยก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก ต่างก็วิ่งแข่งกันจะเข้าไปบอกแก่ใต้อ๋องโดยเร็ว
 ฝ่ายปิศาจในถ้ำอึ้งฮองต๋อง ในเมื่อเวลาเซียนฮองออกไปต่อสู้กับเห้งเจียอยู่นั้น ก็ยังหาได้รู้ว่าแพ้ชนะเป็นอย่างไรไม่ กำลังนั่งนิ่งไตร่ตรองอยู่แต่ในใจ บัดเดี๋ยวใจพวกเฝ้าประตูวิ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้เซียนฮองถูกอ้ายหน้าขนมันตีตายกำลังลากเอาศพมาทิ้งที่หน้าประตูถ้ำ ขอใต้อ๋องได้ทราบ อึ้งฮองใต้อ๋องได้ยินบริวารมาบอกดังนั้นก็ยิ่งมีความแค้นขึ้นมาจึงพูดว่า มันทำไมจึงไม่รู้การอย่างนี้ เรายังหาได้กินเนื้ออาจารย์ของมันไม่ มันกลับมาตีเซียนฮองของเราตายอย่างนี้ จะไม่มีความโกรธอย่างไรได้ จำเราจะต้องออกไปดูอ้ายคนอะไรลือว่าชื่อเห้งเจีย จะจับตัวมาแก้แค้นให้เซียนฮองของเราให้จงได้ พูดแล้วก็รีบแต่งตัวใส่เกราะแล้วมือถืออาวุธสามง่าม พาพวกบริวารน้อยตามหลังออกมายังน่าประตูถ้ำ
 ฝ่ายเห้งเจียยืนรออยู่หน้าประตูถ้ำ ครั้นแลเห็นอึ้งฮองใต้อ๋องออกมาดู กิริยาเข้มแข็ง
 อึ้งฮองใต้อ๋อง ครั้นออกมาเห็นเห้งเจียยืนอยู่ จึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายคนไหนที่ชื่อซึงเห้งเจีย ๆ ได้ยินดังนั้นมือหนึ่งถือหนังปิศาจมือหนึ่งคุมกระบองเหล็กจึงตอบว่า แซ่ซึงตาของเจ้ายืนอยู่นี่ เจ้าจงรีบส่งพระอาจารย์ออกมาโดยเร็วจะได้รอดพ้นจากความตาย
 อึ้งฮองใต้อ๋องพิจารณาดูเห้งเจียโดยละเอียดเห็นรูปลักษณ์เห้งเจียไม่น่าดูต่ำเตี้ยหยาบคายสูงประมาณสามศอกเศษ อึ้งฮองหัวเราะแล้วพูดว่า น่าเวทนารูปร่างอะไรอย่างนี้ จะเป็นคนเก่งกาจอะไร พิเคราะห์ดูดุจหัวกระโหลกผี จะสู้รบอะไรกับใครได้
 เห้งเจียได้ฟังอึ้งฮองพูดดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายทารกเอ็งไม่มีนัย์ตา ทำไมเจ้าจึงไม่รู้จักตาหรือ ตานี้แม้ว่าตัวต่ำเตี้ยก็จริงแต่มีความประหลาดมาก แม้ตีหัวทีหนึ่ง ตัวข้าก็จะยืดสูงขึ้นไปอีกก็ได้ จึงยื่นศรีษะให้อึ้งฮองใต้อ๋องเอาด้ำสามง่ามตีลงที่ศรีษะเห้งเจียทีหนึ่ง เห้งเจียไหวตัวทะลึ่งสูงขึ้นอีกหกศอก อึ้งฮองใต้อ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วยกสามง่ามขึ้นแข็งใจร้องตวาดว่าอ้ายซึงเห้งเจียเอาวิชากลอะไรมาหลอกเราเล่นดังนี้ เจ้าจงมาลองฝีมือกันดูให้รู้ว่าใครจะแพ้ชะนะ ว่าแล้วอึ้งฮองเอาสามง่ามแทงเห้งเจีย เห้งเจียเอากระบองรับรบกันไปมา ต่างมีกำลังเข้มแข็งด้วยกัน รบกันประมาณสามสิบเพลงยังหาแพ้ชนะกันไม่ แต่เห้งเจียคิดจะรีบเอาชัยชนะจึงถอนขนในตัวออกกำมือหนึ่งใส่ในปากเคี้ยว แล้วร่ายเวทย์คาถาพ่นออกไป ร้องเรียกให้แปลงขนเหล่านั้นแปลงกายดุจรูปเดียวกับเห้งเจียทุก ๆ รูปทุก ๆ ขน ก็กรูกันเข้าล้อมอึ้งฮองใต้อ๋องอยู่ท่ามกลาง
รูปภาพ ;
 อึ้งฮองใต้อ๋องเห็นดังนั้น ออกใจให้หวั่นหวาดไปทั้งกายก็สั่นระรัวจึงคิดว่าตัวเราวันนี้จะถึงที่ตาย แล้วหวนคิดขึ้นได้จึงเอาปากก้มลงกับพื้นธรณีแล้วร่ายคาถาม้วนลม บัดเดี๋ยวใจก็บันดาลเกิดเป็นลมพายุพัดหอบเอาขนเห้งเจียที่เป็นรูปนั้นก็ปลิวไปตามลมทั้งสิ้น
 เห้งเจียแลไปเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงร่ายคาถาเรียกขนคืนยังเดิมแล้ว ยังแต่เห้งเจียผู้เดียวมือถือกระบองเหล็กตรงมาจะทำร้ายอึ้งฮอง ๆ เห็นดังนั้นก็เป่าด้วยลมทิพย์ถูกสองแก้วตาเห้งเจีย ๆ เหลือที่จะทนความเจ็บแสบนั้นได้ก็กระโดดกลับถอยหนี กลับออกมากลับไปหาโป๊ยก่าย อึ้งฮองเห็นดังนั้นก็เรียกลมกลับคืนมาแล้วพาพวกบริวารกลับเข้าถ้ำ
 ฝ่ายโป๊ยก่ายแอบอยู่ในซอกเขาเฝ้าม้าแลสิ่งของอยู่แลเห็นเห้งเจียถูกลมพายุอันใหญ่มืดฟ้ามัวฝนก็รู้ได้แน่ว่าอึ้งฮองใต้อ๋องทำลมพายุพัดต่อสู้กับเห้งเจีย นั่งคอยเงี่ยหูฟัง บัดเดี๋ยวใจลมพายุก็หยุดได้ยินเสียงกระหืดกระหอบมา โป๊ยก่ายแลเห็นเห้งเจียจึงถามว่าพี่เมื่อกี้อึ้งฮองมันทำลมพยุห์ใหญ่พี่ไปอยู่ในที่ไหนจึงมานี่
 เห้งเจียบอกว่าเหลือกำลัง ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวข้าพเจ้ายังไม่เคยพบเห็นลมอะไรอย่างนี้ อ้ายปีศาจคนนี้มันถือสามง่ามมาต่อสู้กับพี่ ๆ ร่ายมนต์เป็นรูปวานรเข้าล้อมมัน ๆ เรียกลมพายุพัดวานรนั้นปลิวไปตามลมหมด ลมนั้นพัดแรงเหลือที่จะตั้งมั่นอยู่ได้ เพราะฉะนั้นพี่จึงได้หนีออกนอกสายลมนั้นกลับมา พี่ก็เคยเรียกลมเรียกฝน แต่ไม่เหมือนลมของอ้ายปีศาจอึ้งฮองนี้ ดูมันเรี่ยวแรงเหลือเกิน
 โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ถ้ากระนั้นเราจะคิดประการใดต่อไป จึงจะช่วยพระอาจารย์ของเราออกมาได้
 เห้งเจียบอกว่าซึ่งการจะแก้พระอาจารย์ออกมานั้น จำจะต้องคิดหาอุบายใหม่ ไม่ทราบว่าตำบลนี้จะมีหมอยารักษาตาหรือไม่ จะได้ให้หมอรักษาตา เพราะในแก้วตาเจ็บปวดเหลือเกิน
 โป๊ยก่ายถามว่านัยน์ตานั้นเจ็บเป็นอย่างไร จึงต้องหาหมอรักษา เห้งเจียโกรธด่าว่าอ้ายเดรัจฉาน อึ้งฮองมันพ่นด้วยลมทิพย์หลบไม่ทันจึงถูกลมทิพย์ ในแก้วตาจึงได้ปวดเหลือที่จะทน
 โป๊ยก่ายว่าอยู่ในกลางป่าแลเขาเช่นนี้ เวลาก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว จะไปอาศัยอยู่ที่ไหนจะได้หาหมอยาตาได้
 เห้งเจียพูดว่า ซึ่งจะหาที่อาศัยนั้นไม่สู้ยากนัก พี่คิดดูว่าอ้ายปีศาจมันยังหาอาจกินเนื้ออาจารย์เราได้ไม่ จำเราจะพากันออกแนวทางหาบ้านคนจะได้อาศัยสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้จึงค่อยคิดหาอุบายต่อไป พูดดังนั้นแล้วคนทั้งสองก็พากันเดินตัดทางออกจากเขา บัดเดี๋ยวก็ออกพ้นซอกเขาลงเดินตามแนวทาง ประเดี๋ยวใจก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่า คนทั้งสองก็ยืนพิจารณาดูก็แลเห็นที่ริมชายเขามีเรือนหลังหนึ่งตามไฟอยู่วับแวม
 เห้งเจียโป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ก็ดีใจจึงบุกหญ้าพงตัดตรงเข้าไปจนถึงประตูบ้าน เห้งเจียจึงเข้าไปเคาะประตูร้องเรียกว่า เปิดประตูรับด้วย เรียกอยู่สองสามคำ บัดเดี๋ยวก็มีตาเฒ่าเดินออกมาถามว่า คนที่ไหนมาร้องเรียกมีกิจธุระอะไรหรือ
 เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าทั้งสองนี้อยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาจารย์ข้าพเจ้าไปเมืองไซทีประเทศ นมัสการพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกธรรม เพื่อจะได้ทำมหากุศลอันใหญ่ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งสองตามพระอาจารย์เดินข้ามเขาอึ้งฮองมา อึ้งฮองใต้อ๋องออกสกัดทางจับเอาพระอาจารย์ของข้าพเจ้าหนีเข้าถ้ำแล้ว บัดนี้เวลาจวนค่ำแล้ว ขออาศัยนอนพักสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าข้าพเจ้าจะลาไปขอท่านได้กรุณาเถิด
 ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงบอกว่าขอเชิญท่านทั้งสองคนเข้ามาเถิด เห้งเจียโป๊ยก่ายก็จูงม้ายกหาบเข้ามาข้างในแล้ว ต่างมาเคารพตาเฒ่า ๆ ก็เชิญให้นั่งที่อันสมควร แล้วยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยงพูดจาสนทนากัน บัดเดี๋ยวคนใช้ก็ยกอาหารเครื่องแจออกมาตั้งบนโต๊ะ แล้วตาเฒ่าก็เชิญเห้งเจียโป๊ยก่ายกินข้าว ครั้นคนทั้งสองเสพย์อาหารเสร็จแล้ว ตาเฒ่าก็จัดที่ให้นอนพัก
         เห้งเจียจึงถามตาเฒ่าว่า ขอท่านได้โปรดในที่ตำบลนี้มีหมอรักษาตาอยู่บ้างหรือไม่
         ตาเฒ่าได้ฟังถามดังนั้น จึงถามว่าผู้ใดเจ็บตาหรือท่านจึงถามหาหมอยาตา
         เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังอะไรแก่ท่านตา ข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจ็บตาเลย แต่วันนี้สู้รบกับอึ้งฮองใต้อ๋องอยู่ที่หน้าถ้ำมันพ่นด้วยลมพิษถูกตาข้าพเจ้าเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้
 ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงพูดว่าท่านผู้นี้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังดังนี้ ข้าพเจ้ามีความวิตกมาก เพราะอึ้งฮองใต้อ๋องพ่นพิษเป็นลมมีฤทธิ์อันแรงร้ายมากนัก อันลมนี้มิใช่ลมสี่ฤดูในสี่ทิศ
 โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า เป็นลมในขมับหรือลมในแก้วหูหรือลมในหัวสมองดอกกระมังจึงได้ร้ายแรงดังนี้
         ตาเฒ่าตอบว่าไม่ใช่ มิใช่นามลมอย่างนี้เกิดแก่เวทย์มนต์คาถา
         เห้งเจียถามว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ชัดซึ่งลมอันนี้ได้
 ตาเฒ่าบอกว่า ลมอันนี้บังเกิดขึ้นแล้วมืดฟ้ามัวฝน แม้เทวดาเทพารักษ์กระทบถูกเข้าก็ให้เศร้าหมอง ถูกหินศิลาก็แตกหักไปทั้งสิ้น แม้ถูกมนุษย์แลสัตว์ใด ๆ ก็จะต้องถึงความตายมิได้รอดพ้นไปเลย เว้นแต่เซียนทั้งหลายจึงจะไม่ตาย
 เห้งเจียว่าพวกข้าพเจ้ามิใช่เทพยดาก็จริง แต่เป็นเชื้อภูมิของเทพยดาเซียน อันชีวิตนั้นยากที่จะทำลายได้ แต่ถูกในแก้วตาปวดแสบเหลือทน
 ตาเฒ่าจึงพูดว่าถ้ากระนั้นก็ยังแก้ไขได้ แต่ในตำบลบ้านนี้ไม่มีผู้ใดจะขายยา ข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่ขนานหนึ่ง เป็นยาของท่านผู้วิเศษบอกให้ สามารถจะแก้รักษาลมทั้งหลายนั้นได้
 เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้น ก็มีความดีใจเป็นที่สุด จึงพูดแก่ตาเฒ่าว่า ถ้ากระนั้น ขอท่านได้สงเคราะห์ให้ยาข้าพเจ้าลองดูบางทีจะหายได้บ้างกระมัง ตาเฒ่าจึงหยิบยามาส่งให้เห้งเจียแต้มดู แล้วสั่งว่าแม้แต้มยาเข้านัยน์ตาแล้ว จงระงับจิตนอนให้สบาย พอรุ่งแจ้งนัยน์ตาก็จะหายปวด
         เห้งเจียทำตามคำสั่งแล้ว ก็เอายาใส่ตาแล้วก็หลับตาไม่ลืมดูอะไรดุจคนตาบอด
โป๊ยก่ายเห็นเห้งเจียใส่ยาตาดังนั้นแล้ว จึงจัดแจงปูลาดที่นอน ร้องเรียกพี่เห้งเจียจงมานอนเถิด เห้งเจียค่อย ๆ คลำเก้กังมา โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าท่านตาให้ยาใส่แล้วทำไมท่านตาไม่ให้ไม้ท้าวด้วยเล่า
 เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงด่าว่าอ้ายสัตว์กินรำ มึงดูถูกกูเช่นคนตาบอดขอทานหรือ โป๊ยก่ายก็หัวเราะก๊ากใหญ่แล้วก็ขึ้นเตียงนอน
 ฝ่ายเห้งเจียในคืนวันนั้น ก็นั่งสำรวมจิตให้ระงับอยู่ในที่สุข ถึงสามยามจึงปล่อยใจนอน ครั้นจวนรุ่งเห้งเจียก็ผุดลุกขึ้นเกาคางเกาหูลืมตาสว่างแจ่มใสยิ่งกว่าเดิมได้ร้อยเท่าพันเท่า จึงพูดว่ายาของท่านตานั้นดีจริงหาที่เปรียบมิได้ พูดฉะนั้นแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวามิได้เห็นบ้านเรือน ๆ สูญหายไปหมดสิ้น เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ เห้งเจียกับโป๊ยก่ายนอนอยู่บนหญ้า โป๊ยก่ายเห็นประหลาดดังนั้นจึงพูดแก่เห้งเจียว่าพี่เห็นเป็นอย่างไร เห้งเจียก็มองไปมิได้เห็นบ้านเรือนอะไรเลย โป๊ยก่ายตรึกนึกขึ้นได้ก็ตกใจว่าบ้านเรือนหายไปหมดดังนี้ ก็หาบของแลม้านั้นอยู่ที่ไหน เห้งเจียชี้มือว่า ที่ต้นไม้นั้นม้ากับหาบของเราไม่ใช่หรือ โป๊ยก่ายพูดว่าบ้านนี้เรามานอนอาศัยอยู่เหตุใดยกไปจึงไม่ให้เรารู้เล่า หรือเห็นว่าเราเป็นคนแปลกเดินมาอาศัย ผู้ใหญ่บ้านจะจับผิด เพราะฉะนั้นจึงได้ยกไปไม่ทันสว่าง พวกเรานอนหลับไม่รู้ตัวดุจคนตาย เหตุใดเมื่อเขารื้อบ้านจึงไม่ดังตึงตังบ้างเลย
 เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เจ้าอย่าพูด!เลอะเทอะไปเลย จงไปดูบนกิ่งไม้นั้น กระดาษหนังสืออะไรอยู่ที่นั่น
 โป๊ยก่ายเหลียวไปเห็น ก็วิ่งเข้าไปดูแล้วเอามือแกะลงมาพิจารณาดู เห็นมีอักษรสี่แถวเป็นคำอรรถว่า (จึงกือพิสี่จอกหยินกือ ฮู้ฮวดแกล้ำเตี๊ยมฮ่วยลู้ เบี้ยวยอกอิ้วกุนอิ่งนี้เกี่ย จิ้นซิมหั้งกว่ายบอกเตาตู้) แปลเป็นภาษาไทยได้ความว่า ตำบลนี้ไม่ใช่ถิ่นมนุษย์อยู่ เป็นของเทวดาเทพารักษ์บันดาลให้ ยาวิเศษให้ท่านแก้ตาเจ็บ จงตั้งใจกำจัดปีศาจให้ราบคาบอย่าหันเห
 เห้งเจียรู้ใจความแล้ว จึงพูดว่าพวกเจ้าแลเทพยดาเทพารักษ์เหล่านี้ ตั้งแต่คราวได้ม้ามังกรมาจนบัดนี้มิได้ใช้สอยอะไร บัดนี้มาทำหลอกเล่นดังนี้ โป๊ยก่ายว่าทำไมเทวดาจะมายอมให้พี่ใช้สอยเล่า เห้งเจียว่าน้องยังไม่รู้เรื่อง พวกเทพารักษ์เหล่านี้ คือได้รับคำสั่งของพระโพธิสัตว์คอยตามคุ้มครองรักษาพวกเราแลพระอาจารย์ ตั้งแต่ที่เขาปั๊วจั่วซัวได้บอกนามชื่อกับเราตั้งแต่ครั้งนั้นมาก็มิได้ใช้สอยอะไร
 โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ท่านเหล่านี้คอยคุ้มครองรักษาพระอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงมิให้เราเห็น มาบันดาลบ้านเรือนแลให้ยาตาใส่หายได้พี่จะโกรธเคืองทำไม เรารีบพากันไปช่วยพระอาจารย์ของเราเถิด
 เห้งเจียพูดว่า ตำบลนี้ระยะทางไปถ้ำอึ้งฮองต๋องไม่สู้ไกลกี่มากน้อย เจ้าจงอยู่ที่นี่คอยระวังม้าแลหาบสิ่งของ แอบอาศัยอยู่พุ่มไม้นี้ พี่จะเข้าไปในถ้ำฟังข่าวดูพระอาจารย์จะมีข่าวประการใด แล้วจึงค่อยคิดสู้รบกันต่อไป
 โป๊ยก่ายพูดว่า พี่จงไปสืบข่าวฟังดูให้แน่ว่าจะเป็นตายประการใด ถ้าพระอาจารย์ตายเสียแล้วเราจะได้ต่างคนต่างไปทำธุระการงานบ้าง ถ้าอาจารย์ยังไม่ตายเราจะได้คุ้มเกรงรักษาพระอาจารย์ไปกว่าจะสำเร็จการกลับมา
 เห้งเจียจึงพูดว่าเจ้าอย่าพูดให้วุ่นไปข้าจะไปสืบดูก่อน ว่าแล้วก็เหาะไปยังถ้ำอึ้งฮองต๋อง ครั้นถึงเห้งเจียก็หยุดยืนพิจารณาดู เห็นประตูถ้ำปิดแน่นเสียงเงียบอยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร่ายพระคาถาแปลงกายเป็นยุงขาลาย บินลอดเข้าไปในถ้ำร่อนพิจารณาดูทั่วไป เห็นพวกปีศาจน้อยยังนอนหลับอยู่ทั้งนั้น แต่อึ้งฮองผู้เดียวตื่นอยู่ร้องสั่งให้ปีศาจน้อยคอยระวังประตูถ้ำให้กวดขันวิตกว่า วานนี้เห้งเจียต้องลมจะไม่ตาย วันนี้คงจะมาแก้แค้นเราเป็นแน่ เห้งเจียหยุดฟังอึ้งฮองต๋องสั่งบริวารดังนั้นแล้วก็บินเลยเข้าไป เห็นประตูชั้นในปิดแน่นจึงบินลอดเข้าไป ข้างหลังนั้นมีสวนมีเสาปักอยู่เห็นพระอาจารย์ต้องมัดอยู่กับเสา
กำลังคร่ำครวญทุกข์ร้อนบ่นถึงเห้งเจียโป๊ยก่ายอยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงบินโผลงจับที่ศรีษะพระอาจารย์ หลวงจีน ถังซัมจั๋งได้ยินเสียงเรียกก็จำได้ว่าเห้งเจีย จึงถามว่าอยู่ที่ไหนเราไม่เห็นตัว เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าจับอยู่บนศรีษะ พระอาจารย์อย่าวิตกโทมนัสไปเลย วันนี้ข้าพเจ้าจะคิดทำลายถ้ำกำจัดปีศาจอึ้งฮองเสียให้จงได้ พระอาจารย์ จึงจะพ้นทุกขได้
 วันนี้พระอาจารย์จึงตั้งสติอารมณ์ให้ดีเถิด ว่าเท่านั้นแล้วก็โผบินกลับออกมายังที่อึ้งฮองต๋องกำลัง จัดสั่งให้พวกบริวารตระเตรียมการระวังรักษา บัดเดี๋ยวเห็นปีศาจวิ่งเข้ามาบอกว่า ข้าพเจ้าไปตรวจตูตามแนวป่า พบอ้ายปากยาวหูใหญ่นั่งแอบอยู่ในพุ่มรก นี่หากว่าข้าพเจ้าหลบมาเสียเร็ว ถ้าหาไม่มันคงจะจับได้ แต่ไม่เห็นอ้าย หน้าขนเมื่อวานนี้ มันจะไปข้างไหนหาทราบไม่ ขอใต้อ๋องได้ทราบ อึ้งฮองใต้อ๋องได้ฟังพลตระเวรมาบอกดังนั้นจึงพูดว่า อ้ายเห้งเจียชะรอยถูกลมร้ายตายเสียแล้ว แม้ว่าไม่ตายก็คงจะไปหาผู้วิเศษมาช่วยเป็นแน่ พวกบริวารจึงถามว่า ถ้าเห้งเจียยังไม่ตายจะไปหาผู้วิเศษมาช่วยดังนั้น ใต้อ๋องจะคิดต่อสู้ด้วยประการใดเล่า
 อึ้งฮองใต้อ๋องจึงพูดว่า เราวิตกอยู่แต่เล่งเกิ๊ยดโพธิสัตว์องค์เดียวนั่นแลจึงจะกำจัดเราได้ นอกจากนั้นเราไม่วิตกเลย เวลาที่อึ้งฮองใต้อ๋องพูดดังนั้น เห้งเจียยุงจับอยู่บนขื่อได้ฟังอึ้งฮองพูดทุกประการ ก็มีความยินดีจึงรีบโผบินออกจาก ถ้ำแล้วแปลงกายกลับเป็นรูปเดิมตรงมายังที่โป๊ยก่ายซ่อนอยู่นั้น เรียกโป๊ยก่ายว่าเรามาแล้ว โป๊ยก่ายเห็นเห้ง เจียมาก็ดีใจ ถามว่าพี่ไปสืบข่าวพระอาจารย์นั้นได้ความอย่างใดบ้าง เมื่อตะกี้นี้อ้ายปีศาจพลตระเวณเดินตรวจมา ทางนี้ ข้าพเจ้าไล่จับไม่ทันมันวิ่งหนีไปได้
 เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายเล่าความให้ฟังดังนั้น จึงหัวเราะแล้วพูดว่าจริง ของเจ้า แล้วเห้งเจียก็เล่าความซึ่งลอบเข้าไปในถ้ำให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ เห้งเจียพูดว่ามันวิตกกลัวแต่เล่ง เกี่ยดโพธิสัตว์เท่านั้น แต่เล่งเกี่ยดโพธิสัตว์จะอยู่ที่ไหนเล่า เมื่อสองคนกำลังปรึกษากันอยู่นั้น แลไปเห็นตาแก่ เดินมาข้างทางคนหนึ่ง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ที่คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า อยากจะใคร่รู้หนทาง ป่าเขาก็ให้ถามคนเดินทาง บัดนี้มีตาเฒ่าเดินมาควรจะถามดูหากจะได้รู้ได้บ้างดอกกระมัง เห้งเจียจึงเอาไม้กระบองซ่อนเสียแล้ว จึงมีคำถามท่านตาเฒ่าว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของหลวง จีนถังซัมจั๋ง จะไปอาราธนาคัมภีร์พระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงที่นี้พระอาจารย์ของข้าพเจ้าหายไป
 ข้าพเจ้าขอ ถามท่านตาว่า พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดนั้นอยู่ที่ไหน ขอได้โปรดบอกให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ตาเฒ่าได้ฟังถามดังนั้นจึงชี้มือบอกว่า พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดนั้นอยู่ทิศอาคเนย์ ระยะทาง ใกล้ไกลประมาณสองพันโยชน์ ที่ตำบลนั้นมีภูเขาชื่อว่าสุเมรุน้อย ในภูเขานั้นมีพระอุโบสถใหญ่พระโพธิสัตว์เล่ง เกี๊ยดบัดนี้ท่านกำลังแสดงธรรมอยู่ แม้ว่าท่านจะอาราธนาพระคัมภีรก็เชิญไปเถิด เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่จะไปอาราธนาพระคัมภีร์ของท่านดอก ข้าพเจ้ามีธุระแต่ไม่รู้จัก หนทางที่จะไปหาท่าน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ถามท่านเพื่อจะขอความกรุณาช่วยแนะนำ
 ตาเฒ่าจึงชี้มือตรง ทิศนี้ตามทางและจะพบโพธิสัตว์ เห้งเจียหันหน้ามาตาเฒ่าก็หายไปไม่เห็นรูปกาย แลไปเห็นแต่กระดาษตกอยู่ข้าง ทาง เห้งเจียเดินมาหยิบขึ้นดูเห็นมีอักษรสี่แถว มีคำอรรถภาษาจีนว่า (เสี้ยงฮกซีเทียนใต้เซี้ย เล่านั้งหนัยสีลี้ตึ้ง แก ซูมีซัวอิ้วปวยเล่งกุน เล่งเกี่ยดตวงนี้ซี่วฮุดเปีย) เห้งเจียคลี่อ่านดูก็รู้ในใจความทั้งสิ้น โป๊ยก่ายถามว่าทำไม เราจึงปะแต่พวก ผี ปีศาจที่บันดาลเป็นสายเป็นลมหายไปนั้นเป็นคนอะไร เห้งเจียบอกว่าไม่ใช่อื่นคือลี้ตึ้งแก เห้งเจียจึงส่งกระดาษหนังสือนั้นให้แก่โป๊ยก่าย โป๊ยก่ายคลี่ออกอ่านจึงถามว่าลี้ตึ้งแกนั้นคือผู้ใด เห้งเจียบอก ว่าคือไทเบ๊กกิมแชนั้นเอง
 โป๊ยก่ายได้ฟังว่าไทเบ๊กกิมแชมีความยินดีพูดว่า ผู้มีคุณเมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าไม่ได้พึ่ง ท่านผู้นี้ทูลขอโทษเง๊กเซียงฮ่องเต้แล้ว ตัวข้าพเจ้าป่านนี้จะเป็นละอองธุลีผงคลีไปแล้ว เห้งเจียจึงสั่งว่าน้องอย่าออกนอกทาง จึงซ่อนตัวอยู่ในพุ่มรกนี้ก่อน แลจงระวังม้ากับหาบของ เราไว้ให้ดี พี่จะไปนิมนต์เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์มาจึงค่อยแก้ไขเอาอาจารย์ออก โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้นจึงบอกว่า พี่ตั้งใจไปหาพระโพธิสัตว์เถิด อย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามีวิชาซ่อนตัวได้ดุจเต่าหับ ไม่มีผู้ใดเห็นตัวเลย
 เห้งเจียครั้นสั่งโป๊ยก่ายเสร็จแล้ว ก็สำรวมจิตเหาะขึ้นกลางอากาศลอยไปยังทิศอาคเนย์ บัดเดี๋ยว ก็มาถึงเห็นภูเขาหนึ่งสูงเทียมเมฆมีรัศมีสีต่าง ๆ สอดแสงระยับตา ที่ท่ามกลางระหว่างเขามีพระวิหารใหญ่ได้ยิน เสียงระฆังวังเวงแลธูปเทียนหอมระรื่นไปทั้งสิ้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงร่ายพระคาถาลอยลงยังพื้นแล้ว ก็เดินตรงมายังหน้าประตูวิหาร ครั้นถึงแลไปบนลานพระวิหาร เห็นชีผ้าขาวคนหนึ่งนั่งบริกรรมเจริญพระพุทธคุณ อยู่
 เห้งเจียค่อย ๆ เดินใกล้เข้าไปแล้ว ยกมือคำนับแล้วพูดว่าขอท่านได้โปรดว่าที่นี้ใช่ที่พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยด หรือมิใช่ ชีผ้าขาวตอบว่านี่แลถูกแล้ว ท่านจะมีกิจธุระอย่างไรหรือ เห้งเจียบอกว่าขอท่านได้โปรดกราบเรียนแก่พระโพธิสัตว์ด้วยว่า ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ของพระ ถังซัมจั๋งอยู่ ณ เมืองใต้ถังทิศบูรพา มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้หลวงจีนถังซัมจั๋ง ไปนมัสการพระพุทธเจ้า ขออาราธนาคัมภีร์พระไตรปิฎกยังประเทศไซที บัดนี้มีกิจธุระร้อนข้าพเจ้าอยากจะพบท่าน
 ชีผ้าขาวว่าท่านสั่งข้าพเจ้ามากความนักข้าพเจ้าจำมิได้ เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นท่านจงกราบเรียน อย่างนี้ก็ได้ว่า บัดนี้ศิษย์หลวงจีนถังซัมจั๋ง ชื่อซึงหงอคงจะมาเฝ้า ชีผ้าขาวรับคำแล้วเข้าไปกราบเรียนว่าขอพระ ผู้เป็นเจ้าได้ทราบ บัดนี้สานุศิษย์หลวงจีนถังซัมจั๋งชื่อซึงหงอคง มีธุระจะเข้ามาเฝ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าได้ทราบ ฝ่ายพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดทราบว่า หงอคงจะมาหา จึงออกไปยังยังวิหารรับเข้ามา
 เห้งเจียเห็น พระโพธิสัตว์ออกมา จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วก็เดินตามเข้าไป เห้งเจียเดินพลางพิจารณาดูพลาง เห็นตามฝาแลห้อง หอประดับประดาล้วนแต่เพ็ชรนิลจินดาแก้วระย้ามีสีต่าง ๆ ดุจวิมานสวรรค์ ครั้นถึงที่ข้างในพระโพธิสัตว์เชิญให้ นั่งแล้วให้เอาน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง เห้งเจียพูดว่า น้ำร้อนน้ำชานั้นขอท่านอย่าได้วุ่นวายเลย บัดนี้พระอาจารย์ ของข้าพเจ้าเดินทางมาถึงตำบลเขาอึ้งฮองซัวต๋อง อึ้งฮองใต้อ๋องจับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าไปไว้ในถ้ำ อาจารย์ ข้าพเจ้าได้ความเดือดร้อนอยู่สองสามเวลาแล้ว ถ้าช้าไปก็คงจะเป็นอันตรายถึงชีวิตแน่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมา เชิญพระโพธิสัตว์ไปให้ช่วยปราบปรามปีศาจร้ายจะได้แก้พระอาจารย์ออกให้พ้นจากที่ยากด้วย
 พระเล่งเกี๊ยดได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อาตมาได้รับคำสั่งของพระพุทธเจ้าอยู่ที่เขานี้ คอยกำจัดหมู่ ปีศาจและสัตว์ร้ายในเขาอึ้งฮองซัว ครั้งก่อนได้จับตัวมันมาสั่งสอน ให้ตั้งอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติ บัดนี้มันมีจิต กำเริบประทุษร้ายอย่างนี้ ก็เป็นหน้าที่ของอาตมาภาพจะต้องไปกำจัดเสีย ไว้นานไปจะเกิดจลาจลขึ้นมากมายไป พระพุทธเจ้าได้ให้ของวิเศษไว้สองอย่าง คือยาบังลมเม็ดหนึ่ง ไม้กระบองมังกรทองคำอันหนึ่ง สำหรับกำจัด ปีศาจร้ายพวกนี้พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้ว จึงจับไม้กระบองถือเดินออกมาจากวิหารพร้อมด้วยเห้งเจีย เหาะตรง มายังเขาอึ้งฮองซัว
 ครั้นถึงพระโพธิสัตว์สั่งเห้งเจียว่า ท่านจงลงไปล่อมันให้ออกมานอกถ้ำ อาตมจะคอยอยู่บน กลีบเมฆ ถ้ามันออกมาแล้วอาตมาจะเอาของวิเศษจับตัวมันให้ได้ เห้งเจียครั้นได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้นแล้ว ก็ลงมายังประตูถ้ำ เอากระบองเหล็กกะทุ้งประตูถ้ำ หักพังหลายลงไปทั้งสิ้น มือก็ตีปากก็ด่าด้วยคำอยาบช้าต่าง ๆ พวกปิศาจเฝ้าประตูถ้ำเมื่อได้เห็นเห้งเจียทำดังนั้นก็ตกใจ พากันวิ่งเข้าไปบอกอึ้งฮองใต้อ๋องว่า บัดนี้อ้ายหน้าขนมาพังประตูถ้ำเสียแล้ว ขอใต้อ๋องได้ทราบเถิด อึ้งฮองใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นมีความโกรธยิ่งนักจึงพูดว่า อ้ายนี่จองหองเหลือเกินไม่มีความยำเกรง เลย หมิ่นประมาทเรามากนัก เราจะออกไปทำลมร้ายพัดให้ตายเสียจะได้สิ้นชาติ
 ว่าดังนั้นแล้วก็ จับสามง่ามเป็นอาวุธรีบออกมานอกประตูถ้ำ พอแลเห็นเห้งเจียอึ้งฮองก็เอาสามง่ามแทง เห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับไว้ รบกันไปมาประมาณสองเพลง อึ้งฮองจะใคร่ทำลมร้ายให้ บังเกิดขึ้น พอจะร่ายมนต์พระเล่งเกี๊ยดเห็นดังนั้น จึงร่ายพระคาถาขว้างไม้ตระบองลงไป สั่งให้ เป็นมังกรทองแปดเล็บเข้าจับอึ้งฮอง ๆ หนีไม่พ้นมังกรก็รัดอึ้งฮองไว้ อึ้งฮองสิ้นกำลังก็แปลง กายเป็นรูปเดิม คือเป็นหนูขนเหลือง เห้งเจียกระโจนมาจะตีให้ตาย
 พระโพธิสัตว์ร้องขอไว้ ว่าอย่าทำให้มันตายเลย ด้วยเดิมมันได้รักษาศีลภาวนามานานแล้ว เพราะด้วยมันลักกินน้ำมันที่ตามไว้ไนถ้วยแก้ว ที่หน้าพระพุทธรูปนั้นมืดไป มันกลัวเทพยดาเทพารักษ์ ที่รักษาพระอารามจะจับตัวมัน ๆ จึงได้หนีมาอาศัยอยู่ที่ เขานี้ ไว้อาตมาจะเอาตัวไปหาพระพุทธเจ้า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงนมัสการขอบพระคุณพระโพธิสัตว์ ๆ ก็กลับไปยังสำนักตามเดิม ฝ่ายโป๊ยก่ายนั่งอยู่ในพุ่มไม้คอยถ้าอยู่ บัดเดี๋ยวก็แลเห็นเห้งเจียมา
 โป๊ยก่ายจึงถามว่า พี่ไปหา พระโพธิสัตว์ได้ความประการใดบ้างหรือเปล่า เห้งเจียเล่าเหตุการณ์ตามที่ได้ไปเชิญพระโพธิสัตว์มาปราบปีศาจหมู่ให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ บัดนี้เราควรจะรีบไป แก้พระอาจารย์ของเราออกมาเถิด โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียเล่าให้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ เห้งเจียโป๊ยก่ายก็พากันมาที่ในถ้ำเดินเข้าข้าง ใน โป๊ยก่ายเอาคราดเหล็กสับตะบมเข้าไปไม่เลือกว่า ปีศาจเล็กใหญ่ตายวินาศไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็เอากระบอง เหล็กตีขนาบไปไม่ว่าห้องหอและประตูหน้าต่างล้มพังไปทั้งสิ้น แล้วก็พากันตรงเข้าไปหลังถ้ำแก้พระอาจารย์ออก จากเสา
 เห้งเจียจึงเล่าความทั้งปวงให้พระอาจารย์ฟังตั้งแต่ต้นมา พระถังซัมจั๋งเมื่อได้ฟังเห้งเจียเล่าดังนั้น จึงยกมือขึ้นนมัการขอบคุณพระโพธิสัตว์ ครั้นแล้วพระ อาจารย์กับศิษย์ก็พากันมาในถ้ำ นั่งพักกินน้ำร้อนน้ำชาสักประเดี๋ยวพอหายเหนื่อย แล้วก็พากันออกจากถ้ำ ตั้งหน้าตรงไปยังมัจฌิมประเทศ

22 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 20 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
   ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
(บทที่ ๒๐) ครั้นเดินมาถึงตำบลหนึ่งเวลาจวนค่ำ พระถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าริมตีนเขาเห็นมีหมู่บ้าน จึงบอกแก่ศิษย์ทั้งสองว่าเวลาก็โพล้เพล้จวนจะค่ำแล้ว เราควรจะหาที่อาศัยพักที่ตำบลบ้านนี้สักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งแล้วจงค่อยเดินต่อไป
 ฝ่ายโป๊ยก่ายได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้น จึงพูดว่าพวกเรารีบไปให้ถึงบ้านจะได้พักเหนื่อยสักคราวหนึ่ง แลจะได้ขออาหารตามชาวบ้านกินให้อิ่มสักมื้อหนึ่งด้วยวันนี้หิวมากนัก ถ้าอยู่บ้านเหมือนอย่างแต่ก่อนเราก็จะให้แม่หน้านวลจัดแต่งโต๊ะมากิน กูจะจ้ำเสียให้ท้องแทบครากจึงจะสมแก่ที่หิว
 เห้งเจียเดินอยู่ข้างหน้าได้ยินโป๊ยก่ายพูดบ่นดังนั้น จึงร้องว่าอ้ายผีเรือนคนนี้เดินมาจากบ้านไม่กี่วันก็คิดถึงบ้าน อดอยากสักนิดหน่อยก็ไม่ได้ เดินบ่นออดแอดถึงแต่แม่ทูลหัวไปทีเดียว มึงหิวเต็มทีหรือจงเดินมาให้ใกล้ๆ กูจะได้ซัดให้สักตูมหนึ่ง
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดแก่โป๊ยก่ายดังนั้น จึงเรียกโป๊ยก่ายเข้ามาใกล้แล้วจึงพูดว่าเจ้ามีจิตกังวลหน่วงหนักอยู่กับบ้าน มากไปด้วยความห่วงและอาลัยอย่างนี้ จะปฏิบัติทางสัมมาสมาธิเห็นจะไม่ได้ เจ้าจงกลับไปบ้านของเจ้าตามเดิมเถิด จะอยู่บ่นว่าไปทำไม
 โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น ก็ตกใจวางหาบลงจากบ่าแล้ว ก็คุกเข่าลงต่อหน้าพระอาจารย์คำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าหาได้บ่นว่าอะไรไม่ เมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้าได้พูดว่า ถ้าไปถึงบ้านคนอยู่จะได้หาอาหารกินแก้หิว ที่เห้งเจียได้ยินข้าพเจ้าพูดดังนั้น จึงว่าข้าพเจ้าเป็นอ้ายผีเรือน ข้าพเจ้าก็หาได้บ่นว่ากระไรไม่ ข้าพเจ้าได้สมาทานรักษาศีลปฏิบัติตามคำสอนของท่านแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตั้งหน้าปฏิบัติไปไม่ท้อถอย ขอพระอาจารย์ได้มีความกรุณาแก่ข้าพเจ้า ๆ จะติดตามท่านไปกว่าจะสำเร็จการของพระอาจารย์ แม้จะถึงอันตรายชีวิตจะขาดจะดับลงก็จะมิได้กลับใจ แลคืนคลายความสัตย์ปฏิญาณ
 ถ้าทีหลังข้าพเจ้าบ่นว่าด้วยการอย่างนี้อีก พระอาจารย์จงลงโทษข้าพเจ้าให้จงหนักเถิด
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าเจ้ามีความจริงใจดังนั้น เจ้าจงลุกขึ้นเถิด
 โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น จึงลุกขึ้นคำนับแล้วเอาหาบใส่บ่าเดินตามไป พระถังซัมจั๋งจึงขับม้ารีบเดินเข้าไปยังหมู่บ้านถึงประตูรั้ว แลเข้าไปในบ้านเห็นมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งภาวนาอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า ท่านตาขออนุญาตเถิด อาตมาจะขอถามความสักหน่อย
 ฝ่ายตาเฒ่ากำลังนั่งภาวนาอยู่ ได้ยินเสียงคนเรียกจึงลืมตาลุกจากเก้าอี้เดินออกมายังประตูบ้าน แลไปเห็นพระถังซัมจั๋ง ตาเฒ่าจึงยกมือขึ้นนมัสการแล้วพูดว่าขออภัยท่านเถิด ข้าพเจ้าไม่ทันออกมารับท่านก่อน นี่ท่านอยู่ประเทศไหนจึงได้มาถึงตำบลบ้านนี้
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังผู้เฒ่าถาม จึงตอบว่าอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ทรงพระนามว่า (หลีซีบิ๋น) ให้อาตมาไปยังเมืองไซทีอาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกมาไว้จะได้ทำการมหากุศล บัดนี้อาตมภาพเดินทางมาถึงตำบลนี้ก็จวนค่ำ ขอท่านตาได้เมตาจิตให้อาตมภาพอาศัยพักสักคืนหนึ่ง พอเวลารุ่งเช้าอาตมาก็จะลาท่านตาไป
 ตาเฒ่าเมื่อได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกเล่าดังนั้น ก็สั่นศรีษะแล้วพูดว่า ทิศไซทีนั้นกันดารนักยากที่จะไปได้ยากที่สุด ถ้าท่านมีจิตเลื่อมใสจะไปอาราธนาคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว ก็จงกลับไปยังทิศบูรพาเถิด เสาะหาพระคัมภีร์ก็คงจะมี อันจะไปประเทศไซทีนั้นไปไม่ได้เป็นแน่
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังผู้เฒ่าพูดดังนั้นก็นิ่งตรึกตรองอยู่ แล้วจึงถามผู้เฒ่าว่า ทิศปราจิณประเทศไซทีนั้นเป็นอย่างไรหรือท่านจึงว่าไปไม่ได้ ตาเฒ่าก็ตอบยืนคำอยู่ว่า กลับไปทิศบุรพาเถิด คงจะมีพระคัมภีร์พระไตรปิฎก
 ฝ่ายเห้งเจียยืนอยู่ข้างริมนั้น ได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้น ก็อดพูดไม่ได้ จึงเดินเข้าไปใกล้ตาเฒ่าแล้วถามว่า ท่านตา ๆ อายุก็มากอยู่แล้ว ทำไมไม่แจ้งเหตุดีและร้ายให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง พวกข้าพเจ้าเพราะมาทางไกลเวลาก็จวนค่ำ จะขออาศัยสักคืนหนึ่ง ท่านตาเอาเหตุการณ์อะไรมาพูดกลบเกลื่อนอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่งอนง้ออาศัยที่บ้านท่าน พวกเราพากันไปอาศัยนอนตามใต้ต้นไม้ก็ได้ ทนนั่งเอาสักคืนหนึ่งก็ได้ พูดดังนั้นแล้วก็พากันหันหน้าจะกลับออกจากบ้าน
 ฝ่ายตาเฒ่าเมื่อได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ จึงเดินออกมายึดพระถังซัมจั๋งไว้แล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ทำไมไม่เห็นพูดว่ากระไร แต่อ้ายหน้าผีสานุศิษย์ของท่านพูดไม่เพราะหูเลย
 เห้งเจียได้ฟังผู้เฒ่าพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านตาอย่าดูถูกข้าพเจ้า ถึงตัวข้าพเจ้าไม่งามไม่สวยรูปร่างต่ำเล็กก็จริง แต่ฤทธาอานุภาพเข้มแข็งนัก
 ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่าอ้อดังนั้นหรือ ถ้าท่านมีวิชาเชี่ยวชาญเข้มแข็งดังนั้น ก็เห็นพอจะรอดตัว
 เห้งเจียจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังอะไรแก่ท่านตา ขอท่านตาพิจารณาดูเอาเถิด
 ฝ่ายตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียพูดอวดอ้างดังนั้น จึงพิจารณาดูเห้งเจียแล้วถามว่า ตำแหน่งบ้านท่านอยู่ที่ไหน ก็เหตุใดท่านจึงเข้ามารับรักษาศีลอย่างนี้ ท่านจงเล่ามูลเหตุให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง
 เห้งเจียจึงตอบตาเฒ่าว่า เดิมข้าพเจ้าเกิดข้างทิศบูรพา เมืองเง่าก่ายก๊กเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง
 แต่เดิมได้ไปเรียนวิชาความรู้แลได้รับที่ตั้งเป็นซีเทียนใต้เซีย อยู่ในดาวดึงส์สวรรค์ ต่อมาภายหลังไม่มีความพอใจ ข้าพเจ้าจึงได้ทำการวุ่นวายบนพิมานครั้งหนึ่ง ต่อมาก็ได้สติคิดได้จึงกลับใจเข้ารักษาศีลเป็นสานุศิษย์ตามปฏิบัติรักษาพระอาจารย์จะไปประเทศไซทีเพื่อจะได้นมัการพระยูไล ถึงมา ทว่าตามทางที่จะไปนั้น จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ ประการใด ๆ ก็ดี ข้าพเจ้าก็คงกำจัดให้จงได้ทั้งสิ้น ท่านอย่าวิตกเลย
 ฝ่ายตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียเล่าให้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ถ้าท่านมีวิชาความรู้ดังนั้นก็คงจะไปไซทีได้โดยแท้ แล้วตาเฒ่าถามว่าท่านมาด้วยกันกี่คน ขอเชิญเข้าไปพักในบ้านข้าพเจ้าเถิด จะได้พักให้มีกำลังรุ่งเช้าจะได้ไป
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังผู้เฒ่าเห็นมีจิตเลื่อมใสศรัทธาอนุญาตดังนั้นก็มีความยินดีจึงพูดว่าขอบใจท่านผู้เฒ่าเป็นที่ยิ่ง แต่พวกข้าพเจ้ามาด้วยกันสามคน
 ตาเฒ่าถามว่าท่านมาด้วยกันสามคน อีกคนหนึ่งอยู่ที่ไหนเล่า เห้งเจียได้ยินผู้เฒ่าถามดังนั้นจึงเอามือชี้ไปว่า ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นอีกคนหนึ่ง
 ตาเฒ่าหันหน้าไปมองดูเห็นโป๊ยก่ายรูปร่างดุร้ายหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว คอเหนียงดุจปีศาจยักษ์ ก็ตกใจกลัวขนหัวพองตั้งกายตั้งสติไม่อยู่ มือแลเท้าอ่อนเพลียล้มลงทั้งยืน แล้วลุกขึ้นด้วยความกลัวจะกลับเข้าประตูบ้านปากก็เรียกคนในบ้าน ให้มาช่วยปิดประตูบ้านโดยเร็วว่าผีปีศาจยักษ์มาแล้ว ร้องพลางตะเกียกตะกายลุกคลานจะหนีไป
 เห้งเจียเห็นตาเฒ่ามีความกลัวดังนั้น ก็เดินเข้าไปใกล้ประคองตาเฒ่าไว้แล้วบอกว่าท่านอย่ากลัวเลย มิใช่ผีปีศาจอะไร คนนั้นคือสานุศิษย์ของพระอาจารย์แห่งข้าพเจ้าเอง
 ฝ่ายตาเฒ่าตกใจกำลังสั่นระรัวพูดกับเห้งเจียว่า พ่อเจ้าเอ๋ยข้าไม่เคยพบเห็นคนอะไรรูปร่างอย่างนี้
 เมื่อกำลังผู้เฒ่าพูดกับเห้งเจียอยู่นั้น โป๊ยก่ายก็เดินเข้ามาใกล้จึงพูดแก่ผู้เฒ่าว่า ท่านตามาเกลียดชังและกลัวรูปร่างข้าพเจ้านั้นหามีประโยชน์ไม่ ตัวข้าพเจ้ารูปร่างไม่ดีก็จริง แต่ใช้ได้ทำให้ประโยชน์สำเร็จได้มาก
 เมื่อผู้เฒ่าได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นตรึกตรองดูก็ค่อยมีสติบรรเทาความกลัวลงมาก จึงหันหน้ามาถามพระถังซัมจั๋งว่า คนนี้ศิษย์ของท่านและหรือ พระถังซัมจั๋งหัวเราะแล้วตอบว่าเป็นศิษย์ของอาตมาจริงท่านอย่าได้กลัวเลย
 ขณะเมื่อพระถังซัมจั๋งกับตาเฒ่าพูดกันอยู่นั้น มีหนุ่มน้อยสองคนหยุงยายเฒ่าเดินมากับเด็กน้อยทั้งหญิงและชายสามสี่คน เดินตามหลังยายเฒ่ามายังประตูบ้าน ครั้นมาถึงยายเฒ่าชราผู้นั้นจึงถามว่าท่านตาทำอะไรกันหรือจึงได้มายืนอยู่ที่นี่
 โป๊ยก่ายเมื่อเห็นยายเฒ่าพาเด็กมาแลถามดังนั้น โป๊ยก่ายก็เดินเข้ามาใกล้ เอาใบหูยื่นออกกวัดไปกวัดมาแล้วอ้าปากยื่นออกมา แกว่งไปแกว่งมาให้ยายเฒ่ากับเด็กเห็น เมื่อยายเฒ่ากับเด็กเหล่านั้นแลเห็นโป๊ยก่ายทำกิริยาอย่างนั้น ทั้งแลเห็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวต่างก็ตกใจสิ้นสติ ขวัญไม่อยู่กับตัวก็วิ่งหกล้มก้มคลานไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงร้องบอกว่าท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย มิใช่ผีปรศาจอะไรดอก คือศิษย์ของอาตมาเองไม่ทำร้ายแก่ผู้ใดเลย
 ฝ่ายยายผู้เฒ่ากับคนทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกดังนั้นจึงค่อยได้สติหายกลัว ต่างคนต่างนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสองเข้ามาในบ้านจัดที่ให้พักตามสมควร
 พระถังซัมจั๋งเมื่อเข้าพักแล้ว มารำพึงถึงสานุศิษย์ทั้งสองคนขึ้นมาแล้วก็ถอนใจใหญ่ ให้อัดอั้นตันใจด้วยศิษย์ทั้งสองรูปร่างพิรุธหยาบคาย เพราะฉะนั้นไปถึงไหนจึงได้เกิดความวุ่นวายตื่นแตกดังนั้น กระทำให้ชาวบ้านได้ความเดือดร้อนทุกครั้งทุกคราว ครั้นจะไล่เสียก็ไม่มีใครจะไปเป็นเพื่อนในทางกันดาร เป็นที่จนใจไม่รู้ที่จะทำประการใด
 ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อได้เห็นพระอาจารย์หน้าตาเศร้าหมองไม่สบายดังนั้นก็รู้ในทีว่า พระอาจารย์คิดวิตกด้วยเราเป็นแน่ จึงเข้ามาใกล้แล้วคำนับพูดกับพระอาจารย์ว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าตามพระอาจารย์มาข้าพเจ้ามีความสำรวมระวังกิริยาหยาบคายเสียมาก ๆ แล้ว เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ที่บ้านพ่อตานั้น ข้าพเจ้าเอาปากยื่นออกมาทีหนึ่งเอาใบหูกวักหนหนึ่ง คนทั้งหลายเห็นก็ตกใจกลัววิ่งโดนกันบ้างล้มลงเหยียบกันตายบ้าง ขวัญหนีดีฝ่อเลยเจ็บไข้ตายบ้าง ประมาณสักสามสิบสี่สิบคนก็ไม่เห็นพ่อตาของข้าพเจ้าว่ากระไร มาครั้งนี้พระอาจารย์วิตกด้วยข้าพเจ้าทั้งสองหรือ จึงได้นั่งถอนใจใหญ่อยู่ดังนี้
 เห้งเจียเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดแก่พระอาจารย์ดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายกินรำเจ้าจงเอาหูกับคางของเจ้าเก็บซ่อนเสียให้เรียบร้อยช่างไม่รู้จักอายบ้างเลย ยังแค่นจะเอาใบหูปากคางมาพูดอวดเอาอะไรอีกเล่า
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าลักษณ์บังเกิดมาดังนั้นจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนเห็นจะไม่ได้
 เห้งเจียตอบว่าไม่เห็นยากอะไรนักหนา ถ้าเอาปากก้มลงกับอกเอาใบหูมัดแอบไขว้ติดกับท้ายทอยอย่าให้กระดุกกระดิกได้ ถ้าทำดังนี้ให้เรียบร้อยก็จะพอดูได้ คนทั้งหลายเห็นจะไม่น่ากลัว
 โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดแนะนำดังนั้นก็กระทำตามเห้งเจีย จึงจับเอาใบหูของตัวผูกเหน็บไขว้แอบที่ท้ายทอย เอาปากเหน็บลงกับอกดูเรียบร้อยแล้วจึงถามเห้งเจียว่า อย่างนี้ดีหรือยัง เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไมได้ จึงบอกแกโป๊ยก่ายว่าพอดูได้แล้ว แล้วโป๊ยก่ายก็เดินมายืนอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ เห้งเจียจึงออกไปยกหาบเข้ามาเก็บแล้วออกไปจูงม้าเข้ามาผูกข้างในรั้วบ้านแล้ว กลับเข้ามาที่พระอาจารย์
 ฝ่ายตาเฒ่าจึงยกน้ำร้อนออกมาถวายพระถังซัมจั๋ง และเลี้ยงเห้งเจียกับโป๊ยก่ายกินเสร็จแล้วก็มานั่งอยู่ที่พระถังซัมจั๋งต่างสนทนากัน
 พระถังซัมจั๋งจึงถามผู้เฒ่าว่าข้าพเจ้าขออภัยท่านเถิดท่านตานั้นแซ่ไร ตาเฒ่าบอกว่าข้าพเจ้าแซ่อ๊วง พระถังซัมจั๋งถามอีกว่าท่านผู้เฒ่ามีบุตรนัดดาหรือเปล่า ตาเฒ่าบอกว่ามีบุตรชายสองคนหลานมีสามคน พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าท่านตามีอายุสักเท่าใดแล้ว ตาเฒ่าบอกว่าปีนี้อายุของข้าพเจ้าได้หกสิบแปดปีแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงถามว่า ท่านตาพูดว่าทิศปราจิณประเทศนั้นแสนยากที่จะไปเชิญพระไตรปิฎกมาได้มีการกันดารอย่างไรหรือ จงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังนึกว่าเอ็นดูแก่ข้าพเจ้าเถิด
 ตาเฒ่าได้ฟังถามดังนั้นจึงบอกว่า พระไตรปิฎกธรรมนั้นไม่ยากดอก ที่ยากลำบากนั้นก็เพราะด้วยหนทางที่จะไปนั้นก็แสนกันดารเป็นที่สุด ตามระยะทางมีสัตว์อันร้ายกาจชุกชุม ตั้งแต่บ้านข้าพเจ้าตรงไปข้ามทิศปราจิณนั้น ประมาณทางสามสิบโยชน์ มีภูเขาอันใหญ่สูงขวางทางอยู่ เรียกว่าโป๊ยแปะลี้อึงฮองเนี้ยที่ในเขานั้น ล้วนแต่ปิศาจยักษ์ร้ายชุกชุม เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงว่ายากอยู่ที่จะไปได้ เมื่อตะกี้นี้สานุศิษย์ของท่านอาจารย์ พูดว่ามีฝีมือแลรู้วิชาเชี่ยวชาญเข้มแข็งห้าวหาญ อาจสามารถจะปราบปรามปีศาจยักษ์ร้ายนั้นได้ ถ้าสมดังสานุศิษย์ท่านพูดจริงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าคงจะไปถึงได้ดังประสงค์ ขอท่านอาจารย์จงทราบเถิด
 ขณะนั้นเด็กคนใช้ยกเครื่องกระยาหาร มาจัดแจงตั้งบนโต๊ะเสร็จแล้ว ตาเฒ่าก็เชิญเห้งเจียกับโป๊ยก่ายให้กินอาหาร
 ฝ่ายโป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าเชิญดังนั้นก็ดีใจ กำลังหิวไม่รอรั้งตรงเข้านั่ง โต๊ะก่อนเห้งเจีย ฉวยชามเข้าพุ้ยกินสิ้นไปชามหนึ่ง เห้งเจียเดินมายังไม่ทันจะถึงโต๊ะโป๊ยก่ายกินเข้าสิ้นไปสามสี่ชามแล้ว เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงด่าว่าอ้ายเปรตอสูรกาย ช่างตะกละตะกลามนี่กระไรยังไม่ทันอะไรแดกสิ้นไปเป็นหลายชามแล้ว
 ฝ่ายตาเฒ่าเห็นกิริยาโป๊ยก่ายหิวโหยกินได้มากดังนั้น จึงร้องเรียกคนใช้ให้เอาข้าวมาเติมอีก คนใช้ได้ฟังดังนั้นก็เอาของมาเติมอีก
 ฝ่ายโป๊ยก่ายก้มหน้ากินมิได้เหลียวแลดูใครพุ้ยเข้าตะพัดเข้าไป เข้ากว่าสิบชาม ตาเฒ่าเห็นโป๊ยก่ายกินจุดังนั้น จึงเรียกคนใช้ให้หุงข้าวมาเติมอีก
 เห้งเจียได้ยินผู้เฒ่าร้องสั่งคนใช้ดังนั้น จึงบอกแก่ผู้เฒ่าว่าไม่ต้องเติมดอกของนั้นบริบูรณ์อยู่แล้ว โป๊ยก่ายจึงพูดว่าพอไม่พอพี่พูดทำไมเขาเอามาเติมอีกเราก็กินอีกร่ำไปมิดีหรือ โป๊ยก่ายพูดพลางพุ้ยพลางหาหยุดมือไม่ หมดทั้งสิ้นไม่ว่าสิ่งใดเกลี้ยงทุกๆชาม ลูกเด็กเล็กน้อยทั้งบ้านพากันอดไม่ได้กินทั้งบ้าน
แต่โป๊ยก่ายกินได้ครึ่งท้องเท่านั้น ครั้นของหมดแล้วจึงออกจากที่กินโต๊ะ เดินมากินน้ำเช็ดปากเช็ดมือ เสร็จแล้ว ต่างก็พากันไปพักนอน ครั้นเวลารุ่งเช้าสว่างแล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เก็บเข้าของลงใส่หาบเตรียมเสร็จ พระถังซัมจั๋งก็ลา ผู้เฒ่าจะออกเดิน เห้งเจียโป๊ยก่ายก็มาคำนับลาผู้เฒ่าพร้อมกันออกจากบ้านผู้เฒ่า พระถังซัมจั๋ง ก็ขึ้นม้าออกเดินหมายทิศปราจิณตรงไป
 ครั้นเดินมาพ้นบ้านผู้เฒ่าประมาณสักครึ่งวัน เห็นภูเขา หนึ่งสูงยอดเทียมเมฆ ตั้งขวางหน้าพิจารณาดูเป็นคูโขดล้วนเพิงผาแสนลำบากยากที่จะเดินข้าม ไปได้ อาจารย์กับศิษย์ทั้งสามคนก็อุตสาหะขึ้นเขาเดินเลาะเลียบลัดแลงไปตามซอกศิลาจนถึง ชายเขา จึงแลดูไปข้างหน้า
 ขณะนั้นได้ยินเสียงลมพัดมาดุจพายุใหญ่พัดปะทะหน้าม้าหนหนึ่ง พระถังซัมจั๋งเห็นการประหลาดดังนั้น ก็ตกใจสะดุ้งหวาดจึงบอกแก่เห้งเจียว่า ลมพัดมาวิปริตผิด สังเกตอย่างนี้เจ้าจงระวังให้ดี เกือบจะมีเหตุแก่พวกเราเป็นแน่ เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้นจึงตอบว่า ขอพระอาจารย์อย่าได้วิตกจงวางใจเถิด ลมมันไม่ทำไมเราดอก ข้าพเจ้าจะจับลมมาถามดูก็คงจะรู้ร้ายดี โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงหัวเราะแล้วถามเห้งเจียว่า พี่จะจับลมมาถามได้หรือ
 เห้งเจียจึงตอบว่าน้องยังไม่รู้ความ พี่ได้เรียนวิชาจับตัวลมได้ พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็เอามือ คว้าจับลมมากำมือหนึ่ง แล้วเอากำมือมาอุดที่รูหูของตัวไว้ครู่หนึ่ง แล้วร่ายคาถาสองอึดใจก็รู้ได้ว่าลมอันนี้เป็นลม ร้าย ชะรอยจะมีปีศาจเสือร้ายเป็นแน่ เห้งเจียพูดยังไม่พันจะขาดคำพอแลขึ้นไปบนเนินเขา เห็นเสือโคร่งตัวหนึ่ง สบัดหางเผ่นกระโดดกระโจนเข้ามาหน้าคนทั้งสาม พระถังซัมจั๋งเห็นเสือทำกิริยาดุร้ายดังนั้นก็ตกใจ พลัดตก จากหลังม้าลุกขึ้นยืนอยู่ริมทาง
 โป๊ยก่ายเห็นเสือทำสิงหนาทอย่างนั้น ฉวยได้คราดเหล็กกระโดดมาสกัดหน้าเสือไว้แล้ว ตวาด ด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงจะไปข้างไหน แล้วยกคราดขึ้นสับลงตรงศรีษะเสือ ๆ ก็ยกมือขึ้นจับคราด เหเล็กไว้ได้ แต่เสือทานกำลังโป๊ยก่ายไม่ได้เซขวางตัวไป โป๊ยก่ายเอาคราดเหล็กสับลงทีหนึ่งถูกเสือขนกระจุย เสือเห็นเสียท่าก็กระโดดหลบเข้าข้างทาง แล้วคลายมนต์รูปกลับเป็นคนแต่ศรีษะเป็นเสือ แล้วร้องว่าดีแล้วคงจะ ได้เห็นฝีมือกันตัวเราไม่ใช่พวกอื่นดอก เราเป็นพวกของอึ้งฮองใต้อ๋องตัวเราเป็นที่เซียนฮองททารเอก ใต้อ๋องมีคำ สั่งให้เราเที่ยวตรวจหาจับมนุษย์ทำการเลี้ยงโต๊ะ พวกเจ้าอยู่ที่ไหนจึงอาจสามารถเดินมาทางนี้ ชีวิตพวกเจ้าจะถึง แก่ความตายแน่แล้ว
 โป๊ยก่ายได้ฟังเสือพูดดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงร้องด่าว่าอ้ายเสือสางแม่นางโกงมึงไม่รู้จัก คน ชาติเดรัจฉานแท้ไม่มีแก้วตากูจะบอกให้ว่า พวกเรานี้หาใช่คนจรเหมือนคนทั้งหลายไม่ คือมีรับสั่งของพระเจ้า ถังไทจงฮ่องเต้ ซึ่งครองเมืองอยู่ทิศบูรพา ให้พระอาจารย์ของเราไปประเทศไซทีนมัสการพระยูไล ขออาราธนา คัมภีร์พระไตรปิฎกธรรมไปประดิษฐานไว้ทิศบูรพา ชนทั้งปวงจะได้ปฏิบัติทางศีล สมาธิ ปัญญา เป็น ประโยชน์ต่อไปภายหน้า เราทั้งสามจึงได้มาตามรับสั่ง เจ้ารู้แล้วจงหลีกไปเสียให้พ้น อย่ามาทำให้พระอาจารย์ เราตกใจเจ้าจะมีโทษมาก ครั้งนี้เราจะยกชีวิตไว้ให้สักครั้งหนึ่ง ถ้ายังจะขืนดื้อดึงอวดดีกีดขวางอยู่ เราก็จะฆ่าเสีย ให้ตาย
 ฝ่ายปิศาจเสือเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็มีความโกรธจึงขึ้นบนชะโงกผามองดูโป๊ยก่าย เห็นโป๊ยก่ายมัวแต่ดูอยู่ข้างล่าง เห็นได้ทีก็กระโจนตีลงมา โป๊ยก่ายเหลือบเห็นก็ยกคราดเหล็กขึ้นรับไว้ได้ ปีศาจเสือเห็นเสียท่าก็กระโดดหนีเข้าซอกผาหายไป โป๊ยก่ายมีความโกรธเป็นอันมากก็ไล่รุกติดตามมา ปีศาจเสือก็วิ่งไป ครั้นถึงพุ่มไม้รกชัดแห่งหนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปซุ่ม อยู่ จับมีดสั้นสองเล่มซึ่งซ่อนไว้นั้น หันกลับออกมารบกับโป๊ยก่ายโดยสามารถ ต่างมีกำลังว่องไวด้วยกันทั้ง สองข้าง ยังหาแพ้ชนะกันไม่
 ฝ่ายเห้งเจียซึ่งอยู่รักษาพระอาจารย์ เห็นโป๊ยก่ายหายไปช้านานนัก จึงพูดแก่พระอาจารย์ว่า ขอท่านจงคอย ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะตามไปช่วยโป๊ยก่ายจับปิศาจเสือให้จงได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นจึงตอบว่า เจ้าจงไปตามโป๊ยก่ายให้รีบกลับมา เราจะได้พากันไป เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์ อนุญาตดังนั้นแล้วก็ชักกระบองเหล็กออกจากหู รีบติตตามโป๊ยก่ายไปโดยเร็ว
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อนั่งอยู่แต่ผู้เดียว อกใจให้หวาดเสียวสะดุ้งไปทั้งกาย หาสงบระงับใจอยู่ได้ไม่ นั่งเป็นทุกข์ คอยท่าเห้งเจียโป๊ยก่ายอยู่ริมทาง เห้งเจียวิ่งมาถึงเห็นโป๊ยก่ายกำลังรบกับคนศรีษะเสืออยู่ดังนั้น เห้งเจียจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง แล้วโดด เข้าช่วยรบหายั้งมือไม่ โป๊ยก่ายเห็นเห้งเจียมาช่วยรบดังนั้น ก็ตีรุก ขนาบเอาโดยแรง ปีศาจเสือทานกำลังเห้ง เจียโป๊ยก่ายมิได้ ก็ล่าถอยวิ่งหนีลงจากเขา เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็ช่วยกันระดมรุกรบติดตามมา
 ฝ่ายปิศาจเสือเมื่อถูกรบรุมถึงสองแรงดังนั้น ก็สิ้นกำลังอ่อนลงทุกที เห็นว่าจะเอาชัยชนะไม่ได้เป็นแน่ จึงสำรวม จิต ร่ายพระเวทย์คาถาแปลงกายเป็นเสือโคร่งอย่างเดิม แล้วกระโดดหลบเข้าแอบก้อนศิลา ถอดรูปเสือออกคลุม ก้อนศิลาไว้แล้ว ก็บันดาลตัวเป็นขี้เมฆแซกหนีลอยตามลมไปยังปากช่อง ต้นทางที่พระถังซัมจั๋งนั่งพักอยู่นั้น ขณะเมื่อปีศาจเสือมาถึงพระถังซัมจั๋งก็ยังนั่งหลับตาภาวนาอยู่ ก็ตรงเข้าอุ้มเอาพระถังซัมจั๋งเหาะกลับรีบลัดหนีมา
 ครั้นถึงถ้ำที่อยู่ก็จูงพระถังซัมจั๋งมาให้ใต้อ๋องแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าเที่ยวตรวจตามภูเขาพบหลวงจีนรูปนี้อยู่ ณ เมือง ใต้ถังจะไปประเทศไซที นมัสการพระยูไลยเดินข้ามเขามาทางนี้ ข้าพเจ้าจับมาได้จึงพามาให้ใต้อ๋องเพื่อเป็น ภักษาหาร ฝ่ายปิศาจหนูซึ่งตั้งตัวเป็นอึ้งฮองใต้อ๋อง เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงถามเซียนฮองว่าได้ยินข่าว เล่าลือกันว่า หลวงจีนถังซัมจั๋งมีสานุศิษย์นามเรียกว่าเห้งเจีย มีฤทธาศักดานุภาพมากเหาะเหินเดินอากาศ และ เปลี่ยนแปลงกายได้ทุกสิ่งทุกประการ ทำไมเจ้าจึงจับตัวอาจารย์เขามาได้
 ปีศาจเสือเซียนฮองจึงบอกว่า หลวงจีนถังซัมจั๋งเธอมีสานุศิษย์สองคน ๆ หนึ่งถือคราดเหล็กเป็นอาวุธคนหนึ่งถือ กระบองเหล็กเป็นอาวุธ ได้ต่อสู้กับข้าพเจ้า ๆ ทานกำลังเขาทั้งสองไม่ได้ จึงคิดอุบายแปลงรูปถอดครอบก้อนศิลา ทิ้งไว้ แล้วข้าพเจ้าจึงได้บันดาลเป็นลมกลับย้อนไปจับตัวหลวงจีนถังซัมจั๋งได้พามาให้ท่านเดี๋ยวนี้ อึ้งฮองใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นอย่าเพิ่งกินก่อน เราวิตกด้วยอ้ายศิษย์ทั้งสองคนคงจะมาตามพระ อาจารย์ของมัน ก็จะเกิดวุ่นวายรบพุ่งกันขึ้น อย่ากระนั้นเลย เจ้าทั้งหลายจงเอาหลวงจีนนี้ไปผูกไว้หลังถ้ำก่อน ถ้า อ้ายศิษย์ทั้งหลายมันไม่มาจริงแล้ว เราจึงค่อยเลี้ยงโต๊ะกันให้สนุกสักเวลาหนึ่ง
 อึ้งฮองใต้อ๋องพูดดังนั้นแล้ว จึง เรียกปีศาจทหารให้เอาตัวหลวงจีนไปมัดไว้ที่เสาศิลาหลังถ้ำ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อต้องมัดอยู่หลังถ้ำนั้น ได้ความทุกข์เวทนาแสนสาหัศ มือทั้งสองก็เป็นเหน็บชา กายก็กระดิกไม่ได้ ให้ทุรนทุรายหาความสุขมิได้ ตั้งตาคอยศิษย์ทั้งสองก็ไม่เห็นมา จึงคิดว่าตัวเราเห็นจะสิ้นชีวิต เสียครั้งนี้เป็นแน่แล้ว ตาก็แลดูต้นทางใจก็คิดถึงเห้งเจียกับโป๊ยก่าย ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายเห็นปีศาจเสือโดดหนีก็ไล่ติดตามต่อมา พอเลี้ยวข้างเขาเห็นเสือหมอบ อยู่ เห้งเจียก็ยกกระบองขึ้นตีลงไปเต็มกำลัง โป๊ยก่ายสับด้วยคราดลงทีหนึ่งเต็มแรง แล้วยกคราดขึ้นดูแลเห็นเป็น คราบหนังเสือคลุมอยู่บนก้อนศิลาหาใช่ตัวเสือไม่
 เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจพูดว่าเราถูกอุบายของมันแล้ว โป๊ยก่าย ได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงถามว่าอุบายอะไรที่ไหน เห้งเจียจึงบอกว่าถูกกลมัน ๆ ถอดรูปหลอกไว้ตัวมันหนีไปแล้ว เราต้องกลับไปดูพระอาจารย์ของเรา เห้งเจียโป๊ยก่ายปรึกษากันแล้ว ก็รีบกลับมายังที่พระอาจารย์พักอยู่นั้น ครั้นถึง ก็หาเห็นพระอาจารย์ไม่ ตกใจร้องบอกโป๊ยก่ายเสียงดุจฟ้าลั่นว่า ปีศาจจับเอาพระอาจารย์ของเราไปแน่แล้ว อ้ายพวก ผี ปีศาจเหล่านี้ชะรอยจะอยู่ภูเขาเหล่านี้เป็นแน่ พวกเราต้องรีบไปเที่ยวค้นหาโดยเร็ว ว่าแล้วเห้งเจียโป๊ย ก่ายก็รีบเที่ยวซอกซอนค้นหาตามดูไปทุก ๆ แห่งก็หาพบพระอาจารย์ไม่
 เห้งเจียจึงสั่งโป๊ยก่ายว่า น้องจงอยู่เฝ้า สิ่งของกับม้าอยู่ที่นี่เถิด พี่จะไปตามหาพระอาจารย์แต่ผู้เดียวก่อน ครั้นว่าจะไปเสียทั้งสองคนก็เป็นห่วงด้วยเข้าของ แลม้าลา แต่ต้องระวังตัวให้ดีเจ้าอย่ามีความประมาท ว่าดังนั้นแล้วเห้งเจียก็เดินต่อไป เห็นมีชะโงกเขายื่นออก มาเป็นชะวากกว้างมีปากถ้ำใหญ่ เห้งเจียหยุดยืนพิจารณาดู เห็นประตูถ้ำข้างบนมีอักษรตัวใหญ่หกตัวจารึกไว้ว่า (อึ้งฮองเนี้ยอึ้งฮองต๋อง) แปลว่าภูเขาลมเหลือง ถ้ำลมเหลือง
 เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงคิดว่าอ้ายพวกปีศาจคงพาเอา พระอาจารย์มาไว้ที่นี่เป็นแน่ คิดเห็นดังนั้นแล้ว จึงร้องท้าด้วยเสียงเป็นอันดังว่า อ้ายพวกผีปิศาจมึงจงเร่งเอาพระ อาจารย์ของกูส่งมาให้กูโดยเร็ว ถ้าไม่ส่งออกมากูจะรื้อที่อยู่ของมึงเสียทั้งสิ้น ฝ่ายพวกบริวารยักษ์ผีที่เฝ้าประตู เมื่อได้ยินเสียงเห้งเจียร้องท้าทายดังนั้น ก็รีบเข้าไปบอกแก่ ใต้อ๋องว่า บัดนี้ที่นอกประตูมีอ้ายรามสูรย์หน้าขนมือถือกระบองเหล็กมาร้องทวงพระอาจารย์ ของมัน ๆ ว่าถ้าไม่ส่งอาจารย์ของมันให้แก่มันโดยเร็ว มันจะทำลายถ้ำเสีย
 อึ้งฮองใต้อ๋องเมื่อได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกเสือยักษ์เซียนฮองมาพูดว่าตัวเราสั่ง ให้เจ้าไปค้นหาเนื้อถึก ทำไมเจ้าจึงไปจับเอาหลวงจีนถังซัมจั๋งมา บัดนี้เกิดเหตุขึ้นแล้ว คือ สานุศิษย์มันมาตามทวงเอาพระอาจารย์ของมัน ถ้าไม่ส่งพระอาจารย์ของมันให้แก่มัน ๆ จะ ทำลายถ้ำที่อยู่ของเราให้ย่อยยับเสียทั้งสิ้น เจ้าจะคิดประการใด ปิศาจเซียนฮองได้ฟังอึ้งฮองใต้อ๋องว่าดังนั้นจึงพูดว่า ใต้อ๋องจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะออกไป จับตัวอ้ายเห้งเจียกับอ้ายโป๊ยก่ายมาให้จงได้ พูดดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัว มือถือมีดทั้งสองมือเรียกพวกบริวาร ออกจากถ้ำร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายหน้าลิงมึงอยู่ที่ไหน จึงอาจสามารถมาร้องท้าทายถึงที่นี่ มึงไม่กลัว ความตายหรือประการใด
 เห้งเจียครั้นเห็นปีศาจเสือออกมาพูดถ้อยคำโอหังดังนั้นจึงตอบไปว่า อ้ายสัตว์เดรัฉานมึงทำ อุบายลอกหนังทิ้งไว้ หนีกลับมาลักเอาพระอาจารย์ของกูมาซ่อนไว้ ถ้ามึงยังรักชีวิตอยู่จงรีบส่งพระอาจารย์มาให้ กูเสียเร็ว ๆ ถ้าช้าไปมึงจะต้องเป็นอันตรายด้วยกระบองของกู ว่าแล้วเห้งเจียก็ทลวงโดดเข้าไปใกล้ตีด้วยกระบอง เหล็กใหญ่ ปิศาจเสือก็ยกมีดขึ้นรับไว้ได้ ต่างมีกำลังด้วยกันทั้งสองฝ่าย รบกันอยู่ยังหาแพ้ชะนะกันไม่
 ฝ่ายเห้งเจียเห็นปีศาจเสืออ่อนกำลังลงบ้างแล้ว ก็แข็งข้อเข้าไปบุกบั่นกระชั้นชิด มิให้ปีศาจรอ รั้งตั้งตัวได้ ปิศาจก็อ่อนกำลังจะต้านทานฝีมือเห้งเจียอยู่มิได้ จึงกระโดดถอยหนีไปทางอื่นหาได้กลับเข้าถ้ำ ของตัวไม่ เพราะเมื่อจะออกมารบ ได้อวดฝีมือของตัวต่อใต้อ๋องไว้ ครั้นแพ้ก็ไม่กล้ากลับเข้าถ้ำ หนีเตลิดเลยไป เห้งเจียไล่ประชิดติดพันมา
 ขณะนั้นบังเอิญโป๊ยก่ายนั่งเฝ้าม้าอยู่ใต้พุ่มไม้ ได้ยินเสียงไล่กันมาก็ออกมาดู เห็นเห้งเจียกำลังไล่ปีศาจเสือมา โป๊ยก่ายก็ออกสกัดหน้ายกคราดสับศรีษะปีศาจลงไปโดยเต็มกำลัง ปีศาจเสือก็ล้มลง ขาดใจตายอยู่กับที่ โลหิตไหลนองไปทั้งกาย พอเห้งเจียไล่ติดมาเห็นโป๊ยก่ายตีปีศาจตายก็ดีใจยิ่งนัก โป๊ยก่าย เห็นเห้งเจียมาจึงถามว่า พระอาจารย์อยู่ที่ไหนพี่พบแล้วหรือยัง
 เห้งเจียบอกว่าอ้ายปีศาจมันจับเอาพระอาจารย์ของ เราไปไว้ที่สวนหลังถ้ำ มันจะเลี้ยงโต๊ะกัน แต่ยังหาทันจะเลี้ยงกันไม่ อ้ายเสือเซียนอ๋องตัวนี้กำลังสู้อยู่กับพี่ มัน ทานกำลังพี่ไม่ได้ มันจึงหนีมาทางนี้เจ้าจึงได้ตีมันตาย เจ้าจงดูเฝ้าเข้าของแลม้าไว้ก่อน เราจะกลับไปที่ถ้ำรบกับ อ้ายตัวใต้อ๋อง ถ้าจับตัวอ้ายใต้อ๋องใหญ่ได้สมคะเนแล้ว นั่นแลเราจึงจะแก้พระอาจารย์ของเราออกมาได้
 โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงสั่งว่าถ้าพี่รบกับมันอีกจงทำแพ้หนีมาทางนี้ให้จงได้ ถ้ามันแพ้ก็ ให้ต้อนมาทางนี้ ข้าจะได้สกัดจับมันสับกระบานเสียให้จบทุก ๆ คน เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงสั่งโป๊ยก่ายว่าเจ้าจงรักษาสิ่งของและม้าไว้ให้ดีเถิด เห้งเจียสั่งโป๊ยก่ายแล้วมือหนึ่งจับกระบองมือหนึ่งฉุดลากซากศพปีศาจเสือ ตรงมาถึงปากถ้ำจึงจับ เอาซากศพปีศาจเสือนั้น โยนเข้าไปที่ประตูถ้ำ แล้วร้องด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายพวกปีศาจเร่งเข้าไปบอกนายมึงว่า อ้ายเซียนฮองนั้นกูตีตายเสียแล้ว ให้นายมึงออกมาคำนับกูโดยดี หาไม่จะทำลายถ้ำเสียให้ราบเป็นหน้กลอง