(บทที่ ๒๓) ตรงไปตามแนวป่าต้นผลไม้มีดอกออกช่อดกอุดม เดินพลางชมพลางเวลานั้นก็จวนจะเย็น หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า เวลานี้ก็จวนจะค่ำแล้ว เราจะหาที่พักอาศัยแห่งใดดีเล่า เห้งเจียว่าพระอาจารย์จะถามทำไมแก่ที่อาศัย เราเป็นสมณะเพศแล้ว ตามแต่จะเป็นไปจะกำหนดว่านอนแห่งนั้นแห่งนี้หามิได้ โป๊ยก่ายพูดว่าพี่เดินตัวเปล่าจะรู้ว่าหนักเบาอย่างไร บางวันความทุกข์ความหนักก็อยู่แก่โป๊ยก่าย ๆ ต้องหาบทุกวันไป ใครเหมือนพี่เดินตามเป็นสานุศิษย์จัดให้ข้าพเจ้าเป็นหัวแรง ข้าพเจ้าทราบว่าพี่เห้งเจียมีจิตโอ่โถงไม่ชอบหาบหาม แต่ม้านั้นรูปร่างก็ใหญ่โตมีกำลังรับรองให้พะอาจารย์ขี่แต่องค์เดียวก็ไม่สู้หนักสักเท่าได ถ้าเอาสิ่งของในหาบนี้แบ่งให้บรรทุกสักสองสามสิ่งเห็นจะดี
เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายบ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่า นี่เจ้าเห็นว่าม้ามันเป็นม้าจริง ๆ หรือ เธอเป็นบุตรที่สามของพระยาเล่งอ๋อง เพราะทำผิดมีโทษบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้สั่งให้ประหารชีวิต พระโพธิสัตว์กวนอิมขอไว้จึงได้รอดชีวิต จึงให้แปลงเป็นม้าไว้สำหรับขี่ไปประเทศไซทีเอาคุณลบล้างโทษ โป๊ยก่ายอย่าไปเกี่ยวข้องถึงเธอเลย
ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงถามว่านี่มังกรแปลงเป็นม้าจริงหรือ เห้งเจียตอบว่าจริงดังนั้น
โป๊ยก่ายถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดกันว่ามังกรนั้นมี่ฤทธาอานุภาพทำเมฆฝนแลทำอำนาจแผลงฤทธิ์ให้น้ำในท้องมหาสมุทหวั่นไหวไปทุกประการก็มี นี่ทำไมจึงเดินหงอย ๆ ไม่แข็งแรง
เห้งเจียพูดว่า พี่จะบอกให้มังกรออกฤทธิ์ให้ดู ว่าแล้วเห้งเจียก็จับไม้กระบองขึ้นแกว่งกวัดมีรัศมีออกต่าง ๆ ม้ามังกรก็ตกใจคิดว่าเห้งเจียจะตีเอาก็ออกแรงเผ่นห้อไปเร็วดุจสายฟ้าแลบ พระอาจารย์นั่งอยู่บนหลังจับบังเหียนรั้งยอก็ไม่หยุด วิ่งไปชั่วแล่นข้ามพ้นพื้นเขาตลอดไปทางใหญ่จึงหยุด หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่บนหลังออกหอบ แลไปข้างหลังเห็นศิษย์ทั้งสามวิ่งตามมาทัน หลวงจีนถังซัมจั๋ง เงยหน้าแลไปข้างหน้า เห็นมีหมู่ไม้สนร่มรื่นสง่างามมีบ้านเรือนอยู่หลายหลังจึงบอกแก่ศิษย์ว่า ข้างหน้านั้นมีหมู่บ้าน จำเราจะไปขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง
เห้งเจียแลไปก็เห็นเป็นเมฆต่าง ๆ สีปกคลุ้มก็รู้ได้ว่าเป็นสำนักของผู้สำเร็จบันดาลขึ้น เห้งเจียก็นิ่งอยู่แต่ในใจ จึงพูดแก่พระอาจารย์ว่าที่ตรงนี้ดีควรจะพักได้ หลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันเดินเข้าไปยังประตูนอก พิจารณาดูบนห้องหอล้วนสลักเสลาศิลาเป็นรูปต่าง ๆ แลปิดทองประดับซับซ้อนเป็นลวดรายระบายสีต่าง ๆ
โป๊ยก่ายพูดว่า ชะรอยว่าจะเป็นบ้านของคนที่มั่งมีใหญ่โตจึงได้ทำอย่างนี้ เห้งเจียจะใคร่เข้าไปหลวงจีนถังซัมจั๋งห้ามว่า อย่าเข้าไปเลย พวกเราเป็นคนถือศีลกินเพล ต้องมีความเกรงใจเจ้าของบ้านจะติฉินได้ คอยให้มีคนเดินออกมา เราจึงค่อยพูดขออาศัรสักคืนหนึ่ง พูดกันดังนั้นแล้วก็นั่งคอยอยู่ที่ข้างแท่นริมประตูสักครู่หนึ่ง เห้งเจียใจร้อนเห็นไม่มีคนเดินออกมาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างในประตูเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นหอตึกหลังหนึ่งสามห้อง จึงเดินเข้าไปใกล้ก้าวขึ้นบนตึก พิจารณาดูเห็นห้องหอกลางมีฉากหนังสือจีนสี่ตัวแต่มีเครื่องโต๊ะตั้งเป็นลำดับ และที่บนเสามีเหรียญสลักเป็นตัวหนังสือทองแขวนสองข้างฝาผนัง มีฉากเขียนสี่ฤดูแขวนทั้งสองข้าง ยิ่งพิจารณาดูก็ยิ่งงดงามนัยน์ตา บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินข้างในออกมา เป็นผู้หญิงอายุกลางคนถามว่า ผู้ใดเข้ามาในบ้านข้าพเจ้าหญิงหม้ายทำไมเล่า
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่าข้าพเจ้าคือคนอยู่ ณ ประเทศตะวันออก คือเมืองจีนพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้หลวงจีนถังซัมจั้งไปยังประเทศไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้ข้าพเจ้าศิษย์กับอาจารย์สี่คนมาถึงที่นี้ ก็จวนเวลาค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง ขอท่านได้กรุณา พรุ่งนี้เช้าก็จะลาท่านไป
หญิงหม้ายได้ยินเห้งเจียเล่าบอกชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็มีความศรัทธา จึงถามว่า บัดนี้ท่านทั้งสามนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ขอเชิญท่านเข้ามาข้างในนี้เถิด เห้งเจียจึงได้ร้องนิมนต์ด้วยเสียงอันดังว่า เชิญพระอาจารย์เข้ามาในนี้เถิด
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียรองนิมนต์ดังนั้น ก็พร้อมด้วยโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งยกหาบจูงม้าเข้าไปข้างใน ครั้นถึงหลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงเดินขึ้นไปบนหอนั่ง หญิงหม้ายก็ออกมาเชิญเข้าไปข้างใน
โป๊ยก่ายตามหลังอาจารย์ขึ้นไป ตาเขม่นดูหญิงหม้ายคนนั้นเห็นสวยงามดุจหญิงพึ่งแรกรุ่น หลวงจีนถังซัมจั๋ง ครั้นขึ้นมาบนหอนั่งหญิงหม้ายก็เชิญให้นั่งที่อันสมควร สักประเดี๋ยวมีเด็กสาวน้อยยกถาดน้ำชาออกมาวางบนโต๊ะ หญิงเจ้าของบ้านจึงนิมนต์ให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฉันน้ำชาและสานุศิษย์ทั้งสามก็นั่งเก้าอี้รับประทานน้ำชา
หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า ท่านสีกาโยมนั้นแซ่อะไรชื่อใดตำบลนี้มีนามอย่างไร
หญิงเจ้าของบ้านบอกว่าตำบลนี้คือทิศปราจิณ ประเทศนี้เป็นประเทศทิศตะวันออกนามเรียกว่าตั๋งอิ้น ข้าพเจ้าแซ่โก๊สามีข้าพเจ้าแซ่ป๊อดบิดามารดาล่วงไปแล้ว ข้าพเจ้าสามีภรรยาปกครองรักษาทรัพย์สมบัติไร่นาก็มีมาก ข้าพเจ้าไม่มีบุตรผู้ชายมีแต่บุตรผู้หญิงสามคน สามีข้าพเจ้าถึงแก่กรรมตัวข้าพเจ้าเป็นหม้าย เลี้ยงบุตรอยู่จนทุกวันนี้ ทรัพย์สินก็บริบูรณ์มั่งคั่ง วงศาคณาญาติหามีไม่ ข้าพเจ้าต้องเป็นธุระรักษาไป บุตรสาวทั้งสามคนคิดจะใคร่ให้ออกเรือนไปมีสามีดูก็ยากนัก บัดนี้ท่านมาถึงนี่ก็ดีแล้ว รวมทั้งถูกศิษย์อาจารย์ก็เป็นสี่คน ข้าพเจ้าแม่ลูกรวมสี่คน ใจข้าพเจ้าอยากจะใคร่ขอให้ท่านเป็นสามีเห็นจะดีหรือไม่ ใจท่านจะเห็นเป็นประการใด ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบในใจท่าน
หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังนางพูดดังนั้นก็มิได้พูดโต้ตอบว่ากระไร ดุจคนใบ้หูหนวกหลับตาระงับจิตนั่งนิ่งอยู่
หญิงนั้นเห็นหลวงจีนทำกิริยาอย่างนั้น จึงพูดต่อไปอีกว่าอันมรดกที่มีนั้น คือ นากว่าสามร้อยไร่ นาป่าก็กว่าสามร้อยไร่ เรือกสวนก็กว่าสามร้อยขนัด ผลไม้มีสารพัด โคกระบือตั้งฝูงใหญ่ หมู่แพะแกะเป็ดไก่นับไม่ถ้วน เครื่องภาชนะใช้สอยแพรผ้าสีต่าง ๆ เข้าปลาตั้งยุ้งฉาง เครื่องเพ็ชรนิลจินดา แก้วแหวน เงิน ทองมีมากหลาย หากว่าจะใช้สอยกินอยู่นุ่งห่มสักสามชั่วคนก็ไม่หมด ส่วนท่านอาจารย์กับศิษย์สามคน แม้ว่าจะเห็นแก่ข้าพเจ้าแม่ลูกปลงใจอยู่ด้วยข้าพเจ้า ก็จะมีความเจริญสุขสถาพร หากจะดีกว่าที่จะไปไซทีให้ลำบากเปล่า ๆ
หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งนิ่งไม่โต้ตอบว่ากระไร หญิงนั้นก็พูดต่อไปว่า ข้าพเจ้าปีกุน ปีนี้ได้สี่สิบห้าแล้ว บุตรสาวคนใหญ่อายุได้ยี่สิบชื่อว่านางจินๆ บุตรคนที่สองอายุได้สิบเก้าปีชื่ออ๋ายๆ บุตรคนสุดท้องนั้นอายุได้สิบหกปีแล้วชื่อนางหลินๆ บุตรทั้งสามนี้ก็ยังไม่มีสามี ตัวข้าพเจ้านี้หากว่าไม่สวยไม่งาม ก็แต่บุตรทั้งสามนั้นรูปร่างสวยงามผิวพรรณผุดผ่อง การเย็บทอปักชำนาญทำได้ทุกอย่าง เพราะไม่มีบุตรชายตั้งแต่ยังเยาว์ สามีข้าพเจ้าให้เรียนหนังสือ จัดแต่งเป็นกลอนเป็นโคลงเป็นฉันท์ก็ทำได้ ถึงอยู่ประเทศบ้านนอกอย่างนี้ก็จริง แต่ความรู้วิชาและการกิริยามารยาทก็พอคล้ายคลึงแก่ชาวพระนคร ท่านทั้งสี่แม้ว่าสมัครรักใคร่กับด้วยข้าพเจ้าแม่ลูกแล้ว ก็จะมีความสุขกายสุขใจอยากนุ่งก็มีนุ่งอยากกินก็มีกินเป็นที่ถาวรวัฒนาการที่สุด จะมาคิดเห็นดีอะไรแก่หม้อบาตรเหล็กนุ่งห่มผ้าย้อมกรักอย่างนั้น จะวิเศษด้วยข้ออะไรมี
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังหญิงหม้ายพูดพรรณนาดังนั้น สีหน้าสลดให้ตกใจหวาดเสียวสะดุ้ง ดุจทารกได้ยินเสียงฟ้าร้องไห้งม ๆ เซอะ ๆ หวั่นไหวกายสั่นระรั้วนั่งนิ่งสะกดใจสำรวมอยู่มิได้พูดจาว่ากระไร
โป๊ยก่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ได้ฟังหญิงหม้ายพูดอวดความมั่งมี รูปศรีสวยๆ งามดังนั้น จิตใจให้คันเหลือจะทนได้ นั่งไม่เป็นสุขเหลียวซ้ายแลขวา มือเท้าให้ไหวติงไปทั้งกายอดอยู่ไม่ได้ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาสะกิดพระอาจารย์ว่า นางหญิงหม้ายทำซึ่งความดีมาจะใคร่ผูกสมัครทำไมตรี ทำไมอาจารย์จึงนิ่งทำเฉยไม่พอใจอย่างนั้นเล่า
หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงหันหน้ามาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานทำสู่รู้ ไม่รู้จักอะไร อาตมาเป็นสมณะรักษาเพศบรรพชิต ประพฤติพรตพรหมจรรย์ จะเอาความมั่งมีมาทำให้จิตเศร้าหมองควรอยู่หรือ จะเอารูป รส กลิ่น เสียง มามัดผูกเราได้หรือ เขาพูดว่ากระไรก็ช่างเขาเป็นไร ใยเขามิพูดไปช่างเขาเถิด
ฝ่ายนางหญิงหม้ายได้ยินพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงหัวเราะแล้วพูดว่า คิดดูก็น่าสงสารคนที่บวชนั้นจะมีความดีอะไรที่ไหน
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ก็ท่านสีกาโยมอยู่กับบ้านนั้นจะมีความดีอะไรเล่า หญิงหม้ายตอบว่าขอมิมนต์ท่านนั่งฟังไว้ ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟังก็ทำไมจึงจะทราบได้ จำจะต้องทำคำโคลงเป็นคำหนึ่งที่ท่านกล่าวไว้ว่า (ชุนจ๊ายฮองเสงเตี๊ยดซิมล้อ) แปลว่าฤดูเดือนสามเดือนสี่เดือนห้าสวมแพรโล่
คำที่สองว่า (ที้อ้วยกิมแซเสียงเล็กฮ้อ) แปลว่าฤดูเดือนหกเดือนเจ็ดเดือนแปดใส่แพรบางกินน้ำแช่ใบยาเย็น
คำที่สามว่า (ชิวอิ๊วชินโซเฮียงจุดจี๊ว) แปลว่าฤดูเดือนเก้าเดือนสิบเดือนสิบเอ็ด ใส่เสื้อแพรจินเจาดอกกินเล่าข้าวเหนียวหอมโอชารส
คำที่สี่ว่า (ตังไล้น่วนก๊อกจุ๋ยงั่นท้อ) แปลว่าฤดูเดือนสิบสองเดือนอ้ายเดือนยี่ เข้านอนในหออุ่นเมาเพลิน
คำที่ห้าว่า (สี่ซี้ซิวเอ่งปัน ๆ อิ๊ว) แปลว่าสี่ฤดูประสงค์ของมีพร้อม
คำที่หกว่า (โป๊ยเจียดเตียนซูเกี๋ยเกี๋ยโต) แปลว่าแปดหน้าของบริโภคมีรสมีทุกสิ่ง
คำที่เจ็ดว่า (ชิมกิมโพหลินฮวยเจ็กแม้) แปลว่าเครื่องใส่แพรสีมีต่าง ๆ กลางคืนมีไฟตามตั้งสีสว่างไสว
คำที่แปดว่า (เขี่ยงยู่เห้งเกียดเหลยมิท้อ) แปลว่าดียิ่งกว่าที่คนไปไหว้พระพุทธมิท้อ
นางหญิงม่ายอ่านคำโคลงชี้แจงให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฟังดังนั้นแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าท่านสีกาโยมพูดดังนั้นก็ดีแต่อยู่กับบ้าน เป็นฆาราวาสรับซึ่งความสวยงามบริโภคกามคุณสุขกายสุขตา จะนุ่งห่มก็บริบูรณ์จะกินก็เครื่องคาวหวานโอชารสอิ่มเอิบ บุตรสาวก็พรักพร้อมบริบูรณ์ดังนั้นเอาเป็นจริง แต่ท่านหาได้ทราบในความดีของสมณะกิจผู้ระงับบาปไม่ แม้ว่าพูดกันทำไมจะรู้ได้ ต้องเอาโคลงเป็นพยานจึงจะรู้กันได้ ดังเราจะนำมากล่าวให้ท่านฟังบ้าง
คำที่หนึ่งว่า (ชุดเกียหลิบจี่ปุ่นเพียเซี้ยง) แปลว่าเข้าอุปสมบทบวชนั้นตั้งความเพียรไม่เหมือนอย่างโลก
คำที่สองว่า (ซีเก่าช่งเจ๊ยอินอั่ยต๋อง) แปลว่าสละความรักใคร่และเย้าเรือนเคหา
คำที่สามว่า (วั่วม้วยปุ๊ดแชเอ่ยเก้าจี๊) แปลว่าของนอกไม่เอาเป็นอารมณ์ตามปากลิ้น
คำที่สี่ว่า (ซิมตังจู้อิ๊วเอี๊ยง) แปลว่ากายตัวก็มีความสุขด้วยอากาศ
คำที่ห้าว่า (กังฮวนเห้งมั้วเซียวกิมก่วย) แปลว่าสำเร็จความเพียรเข้าที่ระงับ
คำที่หกว่า (เม่งซิมกี๊แส่พั่งกู๊เฮียว) แปลว่าจิตสว่างเห็นสันดานเข้าบ้านเดิม
คำที่เจ็ดว่า (เส่งเจ้อต้อแกทัมฮวยซิด) แปลว่าดีกว่าอยู่กับบ้านกินเลือดเนื้อ
คำที่แปดว่า (เหลาล้ายจุ๊ยโล๊ะเฉ่าภ่วยลั้น) แปลว่าความชราก็ตกลงในถุงเน่า
หลวงจีนถังซัมจั๋งพรรณนาความตามในโคลงนั้น ให้นางหญิงหม้ายฟังดังนั้น หญิงนั้นมีความโกรธยิ่งนักจึงพูดว่า สงฆ์ที่เขาทิ้งพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าท่านมาจากเมืองใต้ถัง จะไล่ออกไปให้พ้นจากที่ ข้าพเจ้ามีจิตจริงใจเอาเย้าเรือนทรัพย์สมบัติเงินทองมาผูกพันธ์สมัครจะใคร่เป็นที่อาศัยซึ่งกันและกัน นี่ท่านเอาคำอยาบคายพูดให้ข้าพเจ้าเจ็บใจ แม้ว่าท่านเป็นผู้รักษาศีลอุปสมบทตั้งมั่นอยู่ในทางสมณกิจสึกไมใด้ ก็ศิษย์มีเป็นสามคน จะอนุญาตให้อยู่สักคนหนึ่งก็เป็นไร นี่ท่านมาตั้งมั่นทำเอาแต่ใจของท่านผู้เดียวไม่ผ่อนผัน เอาแต่ธรรมเนียมของท่านฝ่ายเดียว
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นนางโกรธดังนั้นก็ทำเป็นเกรง ๆ กลัว ๆ จึงร้องเรียกว่าเห้งเจียจะให้อยู่ที่นี่จะรับหรือไม่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยธุระการบ้านเรือน ขอพระอาจารย์ให้โป๊ยก่ายอยู่เถิด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงพูดว่าพี่เห้งเจียไม่ควรจะปลูกคนอย่างนั้น สารพัดการต้องผู้ใหญ่ก่อนจึงถูกต้องตามธรรมเนียม หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ถ้าเห้งเจียโป๊ยก่ายไม่ยอมก็ให้ซัวเจ๋งอยู่เถิด ซัวเจ๋งพูดว่าขอพระอาจารย์ได้ทราบ ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของพระโพธิสัตว์กวนอิมชักนำสั่งสอน แลข้าพเจ้าได้รับสมาทานศีลแล้ว แลสั่งให้ข้าพเจ้าติดตามพระอาจารย์ไป ที่ไหนจะมาหลงรักความมั่งมีนั้นได้ ถ้าโดยที่สุดตายเสียก็จะดีกว่า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอตั้งจิตตรงไปได้ถึงประเทศไซที อันการมีจิตประมาทอย่างนี้ข้าพเจ้ารับอยู่ไม่ได้เป็นอันขาด
หญิงหม้ายเห็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนนั้นไม่มีใครยอมอยู่เป็นเขยทุกคน นางมีความโกรธผุดลุกจากเก้าอี้เดินเข้าในชั้นในแล้วปิดประตู ทิ้งศิษย์กับอาจารย์ไว้ให้อยู่ข้างนอก น้ำร้อนน้ำชาไม่หาให้กินทั้งสิ้นเงียบสงัดไม่มีผู้คนออกมา
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจิตใจให้เศร้าหมอง คิดแค้นพระอาจารย์พูดว่า พระอาจารย์ไม่เข้าการเลย เอาการอะไรมา
กล่าวให้ล้างความดีของเราเสีย แม้เขาจะพูดจาว่ากระไรก็ตามแต่ใจเขา เราคอยพูดยกยอผ่อนผันพอได้อิ่มสักมื้อ
หนึ่ง พอรุ่งเช้าเราก็จะลาไป
อันการนั้นมันก็สุดแต่เราพูดให้เสียการอย่างนี้พากันอดอยากเปล่า ๆ
ซัวเจ๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่โป๊ยก่ายอยู่รับเป็นลูกเขยก่อนจะสำเร็จการทั้งสิ้น
โป๊ยก่ายว่าน้องอย่าพูดปลูกคนอย่างนั้นไม่ดีเลย ซึ่งการทั้งปวงต้องให้ผู้ใหญ่คิดผู้ใหญ่พูดจึง
จะดี เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า จะต้องคิดอะไรกับใคร เมื่อกี้นี้เจ้าบอกแก่พระอาจารย์ให้รับเป็นสามี
เขา ตัวก็ต้องรับเป็นลูกเขย จะต้องคิดอะไรอีกเล่า แลบ้านนี้ก็มีทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่งบริบูรณ์ ทั้งเครื่อง
ภาชนะใช้สอย แม้จะแต่งงานทำขันหมากก็พอใช้ จะเลี้ยงดูข้าวของก็บริบูรณ์ตามแต่พวกเราจะรับซึ่งความสุขแล้ว
ตัวสึกออกไปเป็นฆราวาสอยู่นั้น ก็เปนสุขอย่างนี้จะมิดีกว่าพวกเราทั้งสองหรือ
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงตอบว่า อันความที่พี่พูดก็จริงดังนั้น ข้าพเจ้าสละแล้วจะกลับเป็น
ฆราวาสอีกดูกระไรอยู่ สละลูกเมียแล้วแลจะกลับไปหาเมียอีกเล่า
ซัวเจ๋งถามว่าพี่เคยมีภรรยาแล้วหรือ เห้งเจียพูดว่าซัวเจ๋งยังไม่รู้ โป๊ยก่ายนี้เดิมอยู่ที่เมืองโอซือก๊ก
ดูเป็นลูกเขยของเกาท้ายก๋ง เพราะพี่ปราบปรามจับตัวได้เธอรับศีล เพราะฉะนั้นจึงได้สละภรรยา
ตามพระอาจารย์มาจะไปไซที เพื่อนมัสการพระพุทธเจ้า เธอจากเมียมานานแล้ว บัดนี้มา
พบปะอาหารเช่นที่เคยอย่างนี้ จึงคิดถึงความหลัง จิตใจก็ประหวัดหวั่นไหว
เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว
จึงเรียกโป๊ยก่ายมาบอกว่า เจ้าจงเป็นลูกเขยเขาเถิด แลเจ้าจงรู้จักคุณของเห้งเจียให้มาก ๆ
เถิด จงมาคำนับข้าเสียข้าจึงจะไม่ขัดฅอเจ้า
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า เอาความอะไรมากล่าวเลอะเทอะอย่างนี้ แม้ถึงตัวพี่ใจ
อย่างนั้นก็พอใจเหมือนกัน จะเอาความชั่วมาใส่ให้แต่ข้าพเจ้าคนเดียวอย่างไร
คำโบราณท่านเปรียบว่าสมณะ
นั้นรูปศรีดุจปีศาจ แต่ผู้ใดเล่าจะไม่มีความปราถนา เหตุฉะนี้ ผู้ใดใคร ๆ ก็พูดเอาแต่ที่ดีเอาตัวรอด อ้างความสำเร็จ
จนไม่มีน้ำร้อนน้ำชาจะกิน ทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่มีจะกิน ใต้ไฟก็ไม่มีจะจุด จนถึงความอดอยากก็ไม่สู้กระไรนัก
มาวิตกด้วยม้าไม่มีหญ้าจะกิน พรุ่งนี้จะต้องรับให้พระอาจารย์ขี่เดินทาง จะเอากำลังที่ไหนพาเดินทางได้ จะ
มิต้องถึงลอกหนังม้าดอกกระมัง
พูดดังนั้นแล้วจึงพูดว่า พี่น้องจงอยู่ที่นี่ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปปล่อยม้าให้ไปเที่ยวกิน
หญ้า โป๊ยก่ายก็ลงจากหอไปแก้ม้าจูงเดินไป เห้งเจียจึงบอกแก่ซัวเจ๋งว่า น้องจงอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนพระอาจารย์ พี่
จะไปดูโป๊ยก่ายจะไปข้างไหน เห้งเจียก็ออกจากหอแปลงเป็นแมลงวันบินแอบตัวโป๊ยก่ายไปมิได้รู้สึก
ฝ่ายโป๊ยก่ายจูงม้ามาถึงที่มีหญ้า ก็ไม่ปล่อยม้าให้กินหญ้า จูงม้าเลยไปทางประตูหลังบ้านของ
หญิงนั้น โดยความตั้งใจจะใคร่พบแก่แม่หญิงหม้าย
ฝ่ายแม่หญิงหม้ายเวลานั้น กำลังพาบุตรสาวทั้งสามคนไปชมดอกไม้อยู่หลังบ้าน พอแลเห็น
โป๊ยก่ายมา บุตรสาวทั้งสามคนก็เดินหลบเข้าไปในประตู แม่หญิงยืนอยู่ที่ประตูจึงถามว่าท่านจะ
ไปไหน โป๊ยก่ายตะลีตาลานปล่อยม้าเดินมาพนมมือแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพาม้ามาจะให้กินหญ้า
ขอท่านแม่ได้ทราบ
แม่หญิงหม้ายพูดแก่โป๊ยก่ายว่า ท่านหลวงจีนถังซัมจั๋งมัทยัธละเอียดนัก อยู่ที่นี่เป็นบุตรเขย
ของข้าพเจ้า จะไม่ดีกว่าที่ไปประเทศไซทีหรือ ไม่ต้องหอบหิ้วให้ลำบากกายลำบากใจ
โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อันที่พระอาจารย์นั้น เพราะรับ ๆ สั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้
เธอหาอาจอยู่ได้ไม่ เมื่อกี้นี้ก็จะให้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยท่านแม่คิดกันแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังเกรงอยู่
กลัวท่านแม่จะติว่าข้าพเจ้าปากยาวหูยาว เพราะฉะนั้นจึงยังเห็นว่าขัดข้องอยู่
แม่หญิงหม้ายได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ติเตียนอะไรดอก เพราะจะใคร่ได้บุตรเขยไว้ใน
บ้านสักคนหนึ่ง แต่วิตกว่าบุตรสาวจะมีความเลือกอย่างไรก็ยังทราบไม่ได้ ข้าพเจ้าจะไปลองบอกดูก่อน
โป๊ยก่ายพูดว่า ขอท่านแม่โปรดบอกแก่แม่น้องด้วยเถิดว่า อย่าเลือกรูปร่างเลย แม้ว่าตัว
ข้าพเจ้าหยาบคายก็จริงอยู่ แต่มีวิชาหลายประการนัก จะจัดการบ้านเรือนนั้นเป็นได้หลายอย่าง
แม่หญิงหม้ายจึงถามโป๊ยก่ายว่า เจ้ามีวิชาการอย่างไรบอกให้ข้าพเจ้ารู้บ้าง โป๊ยก่ายพูด
ว่า ถึงตัวข้าพเจ้ารูปร่างหยาบคายก็จริง แต่ธุระกิจการในบ้านนั้นหมั่นอุตสาหะ แม้ไร่นาก็ไม่ต้องใช้วัวควาย
ไถคราด คราดเหล็กของข้าพเจ้ามีอันเดียวก็กระทำให้สำเร็จได้ทั้งสิ้น คราวไม่มีฝนจะทำให้ฝนตกก็ได้ หากไม่มีลม
จะทำให้ลมพัดก็ได้ ถ้าตึกบ้านห้องหอต่ำแคบจะทำให้ใหญ่โตสูงกว้างก็ได้ สาระพัดการก็สำเร็จได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แม่หญิงจึงพูดว่า ถ้ามีความเพียรและมีวิชาความรู้อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ต้องกลับไปตรึกตรอง
ปรึกษาหารือกับท่านอาจารย์เสียก่อน ถ้าตกลงเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับท่านเป็นบุตรเขย
โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ไม่ต้องตรึกตรองอะไร แม้พระอาจารย์เล่าก็มิใช่บิดามารดาบังเกิดเกล้า ซึ่ง
ธุระนั้นสุดแต่ ใจข้าพเจ้าทั้งสิ้นไม่ต้องไปปฤกษาพาฤๅแก่ผู้ใดอีกต่อไปแล้ว สุดแล้วแต่ใจข้าพเจ้าผู้เดียว
แม่หญิงได้ฟังโป๊ยก่ายดังนั้น จึงพูดว่าถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าจะบอกให้บุตรเขารู้ตัวเสียก่อน
แล้วจึงจะค่อยจัดแจงแต่งงาน พูดดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปข้างในงับประตูหลังบ้าน โป๊ยก่ายก็ไม่พาม้าไปให้กิน
หญ้า กลับจูงมาข้างหน้าหอ โป๊ยก่ายหาได้รู้สึกว่าเห้งเจียตามไปฟังความรู้หมดสิ้นทุกประการแล้วไม่
เห้งเจียเมื่อตามไปฟังทราบความตลอดแล้ว ก็กลับมาแจ้งความแก่หลวงจีนถังซัมจั๋งว่า โป๊ยก่ายจูงม้ากลับมา
แล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามโป๊ยก่ายว่า เอาม้าไปปล่อยให้กินหญ้าแล้วหรือ
โป๊ยก่ายตอบว่า ไม่มีหญ้างามที่จะให้ม้ากิน
เห้งเจียจึงพูดขึ้น ไม่มีที่จะให้ม้ากิน แต่มีที่จูงม้าไปเที่ยวได้
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดกระทบดังนั้นก็คิดว่าการลับของเราคงมีผู้รู้แล้ว ให้คิดระอายแก่ใจยิ่งนักนั่งก้มหน้านิ่ง
อยู่ สักครู่หนึ่งก็ได้ยินประตูข้างเปิด แลไปก็เห็นนางหญิงหม้ายพาบุตรสาวเดินออกมามีคนถือโคมนำหน้าออก
มา หอมกลิ่นระรื่น ครั้นเดินมาถึงที่น่าหอนั่ง
แม่หญิงหม้ายจึงบอกบุตรสาวทั้งสามว่า ให้ไหว้คำนับหลวงจีนถัง
ซัมจั๋งและเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง บุตรสาวทั้งสามคนได้ยินมารดาบอกดังนั้นก็ยืนรายกันทั้งสามคนคำนับไหว้
พิจารณาลักษณะรูปร่างนางทั้งสามคนนั้น ดุจดังว่านางฟ้าลงมาดิน ยากที่จะหานางใดในมนุษย์โลกนี้มา
เปรียบเทียบได้
ฝ่ายอาจารย์สานุศิษย์ทั้งสามสี่คนนั้น ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมินหน้าไปเสียทางอื่น มิได้รับรอง
โต้ตอบประการใด แต่โป๊ยก่ายเมื่อแลเห็นนางทั้งสามคน มีสิริรูปโสภาผ่องใสงดงามดังนั้น
ในดวงจิตก็
ประวัติ มีความกำหนัดในรูปเกิดขึ้น จิตใจก็ให้งวยงงร่างกายก็กำเริบหวั่นไหว จึงเอื้อนโอฐออกสุนทร
วาจาเสียงเบา ๆ ว่า ลำบากแก่ท่านมารดาต้องพานางฟ้าลงมาดิน ขอเชิญให้แม่น้องผู้รูปงามทั้งสามกลับเข้า
ไปเถิด นางทั้งสามเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นแล้ว ก็คำนับกลับเข้าไปข้างใน เอาโคมเต็งลั้งไว้คู่หนึ่ง
ฝ่ายแม่หญิงหม้ายจึงถามว่า ท่านผู้ใดจะพอใจเป็นบุตรเขยข้าพเจ้า ขอเชิญเถิด
ซัวเจ๋งได้ยินนางถามดังนั้นจึงตอบว่า ได้จัดเรียบร้อยแล้วคือแซ่ตือชื่อโป๊ยก่ายนั้นแล
จะให้เป็นบุตรเขย โป๊ยก่ายได้ยินซัวเจ๋งพูดดังนั้นจึงพูดว่า พี่น้องอย่าเหมาให้เราดังนั้นจะต้อง
คิดไตร่ตรองกันก่อนจึงจะชอบ
• • • • • • • • •
จบ.เล่ม ๑ ไซอิ๋ว