
(บทที่ ๕๙)
เมื่อกำลังเดินมาดูวันคืนก็เร่งรีบในฤดูเดือนเก้าเดือนสิบพากันต้องแดดแผดร้อน พระถังซัมจั๋งถามว่าฤดูนี้ ทำไมจึงร้อนมากขึ้นดังนี้ โป๊ยก่ายพูดว่าได้ยินเขาว่าหนทางทิศปราจิณนี้มีเมืองหนึ่งเรียกว่า ก๊ะรีก๊ก เป็นที่ตะวันตกและเรียกว่าสิ้นทางฟ้า แม้เวลาจวนเย็นเจ้าแผ่นดินให้คนขึ้นกำแพงเมืองตีกลองเป่าเขากระบือเพราะดวงตะวันเป็นธาตุไฟ ตกลงในทะเลเปรียบเหมือนไปจุ่มน้ำเสียงเดือดดัง แม้ไม่ตีกลองเป่าเขากระบือกลบเสียงไว้ เสียงดังสะท้านเด็กทารกก็ตกใจตาย ที่ตำบลนี้มีอายอบร้อนดังนี้ เห็นจะถึงเมืองตะวันตกนั้นดอกกระมัง
เห้งเจียฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นอดไม่ได้ หัวเราะแล้วก็พูดว่าอ้ายหมูอย่าพูดเลอะเทอะไปไม่มีหลักฐาน อันจะคิดดูว่าเมืองก๊ะรีก๊กใกล้ดังนี้ทีเดียวหรือ หากจะประมาณดูเสมออายุอาจารย์เท่านี้แก่แล้วหนุ่ม ๆ แล้วแก่อย่างนี้สักสามหนก็เห็นจะยังไม่ถึง โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ว่าไม่ใช่เมืองตะวันตกก็เมืองอะไรเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าคิดดูก็จะเป็นอากาศแปรปรวนวิปริตดอกกระมัง จึงได้ฝนกลายเป็นร้อนอย่างนี้ไปได้ คนทั้งสามพูดโต้ตอบกันไปมาแลไปเห็นหมู่บ้านมีตึกมุงกระเบื้องแดงห้องหอก็ก่อด้วยอิฐแดง ประตูหน้าต่างนอกในล้วนทาด้วยสีแดงทั้งสิ้น
พระถังซัมจั๋งลงจากม้าเรียกเห้งเจียให้เข้าไปที่หมู่บ้านนั้น ถามข่าวชาวบ้านดูว่าอันไอร้อนนั้นด้วยเหตุประการใด เห้งเจียก็เอาตะบองซ่อนในเสื้อ แล้วเดินเข้าไปยังประตูบ้าน เห็นตาเฒ่าเดินออกมาคนหนึ่งเงยหน้าเห็นเห้งเจียก็ตกใจ เอาไม้สักเท้าชี้ว่านี่เจ้ามาแต่ไหน เป็นคนอะไรมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเรามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่าท่านตาอย่าตกใจกลัวข้าพเจ้าเลย ไม่ใช่ยักษ์มารอะไรหรอก ข้าพเจ้ามาจากประเทศจีนเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระแผ่นดินให้ไปอาราธนาพระไตรปิฎกเมืองไซทีอาจารย์กับศิษย์สี่คนด้วยกัน บัดนี้ข้ามมาถึงนี่ กระทบไออากาศร้อนผิดปรกติไม่รู้ถึงเหตุผลอันนั้น อยากจะทราบว่าตำบลนี้เรียกว่าตำบลอะไร จึงได้มาเพื่อจะถามความให้สิ้นสงสัย แลเพื่อให้เข้าใจชัดแน่
ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นค่อยวางใจออกหัวเราะได้ จึงพูดว่าท่านอย่าถือข้าพเจ้าเลยคนแก่หูตาไม่เห็นไม่รู้จักว่าต่ำสูง ที่ท่านว่ามาด้วยกันหลายคนนั้นอยู่ที่ไหน ขอเชิญมาพักที่ในบ้านข้าพเจ้าก่อนเถิด เห้งเจียจึงเอามือกวักร้องเรียกให้เข้ามา พระถังซัมจั๋งแลเห็นก็พร้อมกันเข้ามากับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวปราศรัยแก่ตาเฒ่า ตาเฒ่าแลเห็นพระถังซัมจั๋งรูปร่างงดงาม แต่โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั้นรูปร่างหน้าตาไม่น่าดู ตาเฒ่าก็นิมนต์เข้านั่งพักข้างใน สั่งคนใช้ยกน้ำร้อนน้ำชาออกมาถวาย พระถังซัมจั๋งจึงถามตาเฒ่าว่าท่านตาตำบลนี้เหตุใดฤดูฝน ทำไมจึงแปรเป็นฤดูร้อนมากอย่างนี้เล่า ตาเฒ่าจึงบอกว่าตำบลนี้เรียกว่า เขาฮ้วยเอี้ยมซัวคือเขตเขาไฟ ร้อนตลอดอยู่อย่างนี้เป็นนิจทั้งสิบสองเดือน พระถังซำจั๋งถามว่าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้อยู่ข้างไหน จะขวางทางที่จะไปไซทีนั้นหรือเปล่า
ตาเฒ่าบอกว่าหนทางจะไปไซทีนั้นไปไม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปไกลประมาณหกสิบโยชน์ ตรงทิศไซทีนี้ไปมีแปดร้อยโยชน์รอบภูเขานั้นล้วนแต่ไฟลุกประจำอยู่อย่างนั้นเสมอ หญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่ขึ้นมาได้หากว่าจะข้ามเขานี้ไป ตัวเป็นทองแดงหรือเหล็กก็จะต้องละลายไหม้เป็นจุณไปทั้งสิ้น พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นตกใจไม่อาจถามต่อไป ได้ยินเสียงคนร้องขายขนมอยู่นอกรั้ว แต่ใส่เกวียนเหล็กเข็นมา
เห้งเจียก็ถอนเอาขนหางออกเส้นหนึ่ง เสกเป็นเบี้ยทองแดงแล้วเดินออกไปซื้อขนม ชายหนุ่มนั้นหยิบขนมส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียเอาเบี้ยทองแดงส่งให้เจ้าขนมแล้วรับขนมใส่มือ ขนมนั้นกำลังมีไอร้อน เห้งเจียรู้สึกดุจถ่านไฟกำลังลุก ร้องว่าร้อนนัก ๆ แลร้อนดังนี้เห็นจะกินไม่ได้ เจ้าของขนมยืนหัวเราะแล้วพูดว่า กลัวความร้อนจะมาทำไมที่นี่ ที่นี่ร้อนทั่วไปทุกแห่ง เห้งเจียจึงพูดว่าตัวเป็นลูกผู้ชายไม่รู้จักเหตุ คำโบราณท่านย่อมว่าฤดูไม่หนาวไม่ร้อนข้าวกล้าก็ไม่เกิด ตัวพูดว่าร้อนตลอดสิบสองเดือนดังนี้ แม้ว่าอยากได้ข้าวทำขนมจะได้เข้ามาทำที่ไหนเล่า บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่าตำบลนี้แม้ว่าอยากได้ข้าวก็ต้องเคารพขอพัดเทวดา
เห้งเจียถามว่าพัดเทวดานั้นเป็นอย่างไร บุรุษผู้นั้นตอบว่า อันพัดนั้นเป็นเหล็กรูปคล้ายแก่ใบกล้วย แม้ขอมาได้โบกทีหนึ่งไฟก็ดับ โบกสองทีก็เกิดลม โบกสามทีก็เกิดฝน พวกข้าพเจ้าก็ลงกล้าทันเวลาได้ผลก็เก็บไว้ เพราะฉะนั้นจึงได้ผลเมล็ดข้าวไว้เลี้ยงชีวิตทุกวันนี้ ถ้าไม่มีพัดนั้นหญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่มี เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้ามาในบ้าน เอาขนมถวายพระอาจารย์แล้วพูดว่า พระอาจารย์จงวางใจเถิด ฉันขนมนี้แล้วข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟัง พระถังซัมจั๋งรับเอาขนมนั้นไว้แล้ว เห้งเจียจึงหันไปถามตาเฒ่าเจ้าของบ้านว่า ท่านตารู้ว่าเทวดาพัดเหล็กนั้นอยู่ที่ไหน ตาเฒ่าถามว่าท่านจะถามทำไมหรือ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าได้ยินคนขายขนมพูดว่า เทวดานั้นมีพัดอยากจะใคร่ขอมาพัดให้เขาไฟนั้นดับจะได้ข้ามไป และอยากจะให้ชนทั้งหลายทำไร่ไถนาได้ผลข้าวกล้าไว้เลี้ยงชีวิตต่อไป ตาเฒ่าว่าอันความนั้นก็จริงดังท่านพูด วิตกแต่ท่านจะไม่มีของกำนันไปหาท่านเทวดาที่ไหนจะให้พัดมาเล่า
พระถังซัมจั๋งถามว่าเทวดานั้นจะต้องประสงค์สิ่งใดหรือ ตาเฒ่าบอกว่าพวกชาวบ้านตำบลนี้สิบปีไปขอครั้งหนึ่ง ต้องมีธูปเทียน ดอกไม้ เหล้า หมู เป็ด ไก่ แพะ แล้วอาบน้ำชำระตัวให้สะอาด ตั้งใจไปถึงที่ถ้ำเทวดา ขอร้องอ้อนวอนจึงจะได้มา เห้งเจียถามว่าเขานั้นอยู่ที่ไหน ตำบลนั้นชื่ออะไร ประมาณทางไกลจากนี่สักเท่าได ข้าพเจ้าจะได้ไปขอยืมพัด ตาเฒ่าบอกว่าเขานั้นอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ เขานั้นนามเรียกว่า เขาจุ้ยหุ้นซัว ในนั้นมีถ้ำเรียกว่าถ้ำ (ปอเจียวต๋อง) จากนี้ไปประมาณไกลพันห้าร้อยโยชน์
ตอน จ้าวกระทิงกับองค์หญิงพัดเหล็ก(ช่วงที่1)
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น พูดว่าไม่สู้ไกลนักดอกข้าพเจ้าจะไปหา พูดแล้ววับเดียวก็หายไป ตาเฒ่าเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วพูดว่าท่านเป็นผู้สำเร็จเชี่ยวชาญเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ไม่บอกให้ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบบ้างเลย ในบ้านตาเฒ่าไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ ต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาพระถังซัมจั๋งยิ่งขึ้น ฝ่ายเห้งเจียเหาะไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว ก็ลงไปยังยอดเขา จะใคร่ค้นหาปากถ้ำเดินมาบังเอิญได้ยินเสียงคนตัดฟืนในป่า เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้คำนับแล้วถามว่า ท่านที่ตัดฟืนอยู่นั้นข้าพเจ้าขอถามสักคำหนึ่งเถิด คนตัดฟืนหันมาคำนับตอบถามว่า ท่านจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียถามว่านี่เรียกเขาจุ๊ยหุ้นซัวใช่หรือไม่ คนตัดฟืนบอกว่านี่และ เห้งเจียถามว่าที่เทวดาพัดเหล็ก ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นอยู่ที่ไหน คนตัดฟืนหัวเราะพูดว่า ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นมีแต่พัดเหล็กเทวดาไม่มี มีแต่พัดเหล็กก๋งจู๊ และชื่อล่อซั่วหนึงเป็นเมียของงู่ม่ออ๋อง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นตกตะลึงใจหาย นึกว่ามาพบคนพยาบาทกันเข้าแล้ว เมื่อก่อนนั้นที่เขาเก๊ยเอี้ยงซัว เราก็กำจัดอั้งฮั้ยยี้ คือลูกของนางล่อซั่วนี้ แลเมื่อก่อนนั้นพบกับอามันที่ถ้ำพั้วยี่ต๋อง อามันก็ยังไม่ให้น้ำ จะคิดแก้แค้นแทนหลานของมัน บัดนี้มาพบแม่มันที่ไหนจะยืมพัดได้ แต่ได้มาถึงที่นี่แล้ว ไม่รู้ที่จะทำประการใด ก็ผละจากคนตัดฟืน เดินตรงไปยังถ้ำปอเจียวต๋อง แลเห็นบานประตูปิดแน่น พิจารณาดูรอบคอบเห็นที่รื่นเริงสง่างาม เห้งเจียตรงเข้าเคาะประตูร้องเรียกว่า พี่งู่ม่ออ๋องเปิดประตูรับด้วย มีคนมาถอดกลอนประตูเปิดออก แลเข้าไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกมา มือหนึ่งถือกะเช้า มือหนึ่งถือไม้ตะขอ ดูรูปร่างเศร้าหมองรุงรังไม่ตกแต่งร่างกายแต่ดูกิริยาเป็นคนใจบุญ เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า แม่หนูช่วยโปรดบอกนางก๋งจู๊ทราบด้วย ว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้เดินทางมาก็ติดขัดที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะขอยืมพัดไปพัด เมื่อสมประสงค์แล้ว จะเอากลับมาคืนให้
จึงนางนั้นถามว่า ท่านชื่อเรียงเสียงใดจงบอกมาให้แจ้ง ข้าพเจ้าจะนำความไปบอกให้ เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง นางนั้นได้ฟังก็กลับเข้าไปบอกแก่นางล่อซั่วว่า ขอแม่นางจงได้ทราบ บัดนี้มีหงอคงอยู่ประเทศจีนจะขอยืมพัดดับไฟ จะได้ข้ามไปให้พ้นเขาฮ้วยเอี้ยมซัวแล้วจะเอากลับคืนให้ ฝ่ายนางล่อซั่วได้ยินขึ้นชื่อว่า หงอคงดุจไฟลุกเอาน้ำมันรดเติม ให้เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาทันที จึงด่าว่าอ้ายสัตว์ลิง วันนี้มึงมาถึงที่นี่นางจึงให้คนเอาเครื่องแต่งตัวมา นางสวมเกราะแล้วมือก็ถืออาวุธเกี่ยมทั้งสองมือเดินออกมา ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายหงอคงมึงอยู่ที่ไหน เห้งเจียแลเห็นก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า พี่สะไภ้ข้าพเจ้ามาคอยนานแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ตวาดว่าใครเป็นพี่สะใภ้มึงที่ไหน ใครให้มึงมาคอยทำไม
เห้งเจียตอบว่า พี่งู่ม่ออ๋องผูกไมตรีเป็นพี่ข้าพเจ้า ก็พี่เป็นภรรยาเธอไม่ใช่พี่สะใภ้จะให้เรียกอะไรเล่า นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายลิง แม้ว่ามึงคิดเป็นฉันญาติ มึงก็ไม่คิดทำให้ลูกเราตกอยู่ในหลุมบ่อดังนั้น เห้งเจียทำเป็นไม่รู้ ถามว่าลูกของพี่คือใครที่ไหน นางล่อซั่วพูดว่าลูกเราอั้งฮั้ยยี้ถูกเจ้าคิดกลอุบายทำวงศ์ญาติของเราย่อยยับ เราจะตามตัวแก้แค้นให้ลูกเราก็ยังไม่พบตัว วันนี้เจ้าเอาชีวิตมาส่งถึงประตูบ้าน ใครจะละชีวิตเจ้าให้รอดไปได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊าก ๆ พักหนึ่งแล้วพูดว่า พี่ทำไมจึงไม่ตรองดูเหตุการณ์เดิมนั้นมันเป็นประการใด มาหลงแค้นเคืองข้าพเจ้า คือบุตรของพี่จับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าไปจะต้มแกง พระโพธิสัตว์มาเอาตัวอั้งฮั้ยยี้ไป ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าออกได้ บัดนี้อั้งฮั้ยยี้ไปอยู่กับพระโพธิสัตว์เป็นเสี้ยนใช้ท่งจื๊อรักษาตามทางชอบธรรม อายุยืนเสมอดินฟ้าเป็นประเสริฐยิ่ง ไม่ขอบคุณข้าพเจ้ายังกลับมาแค้นเคืองฉะนี้เห็นถูกต้องแล้วหรือ
นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น พูดว่ามึงอ้ายชาติลิงฝีปากดี ลูกของเราถึงไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ทำอย่างไรจึงจะได้มาหาเราได้เห็นหน้ากันแม่ลูก เห้งเจียหัวเราะพักใหญ่ แล้วพูดว่าพี่อยากจะใคร่พบหรือ จะยากอะไรนักหนา พี่จงขอยืมพัดให้ข้าพเจ้าพัดดับไฟที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวส่งอาจารย์ข้าพเจ้าข้ามพ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าจะข้ามไปน่ำไฮ้ขอแก่พระโพธิสัตว์เชิญอั้งฮั้ยยี้มาหาพี่อย่างนี้แม่ลูกจะได้พบปะกัน แล้วพี่จึงดูอั้งฮั้ยยี้จะซูบผอมบุบสลายอย่างไรบ้าง แม้ว่าอั้งฮั้ยยี้บุบสลายอย่างไรแล้ว เมื่อเวลานั้นพี่จึงค่อยแค้นเคืองข้าพเจ้าจึงจะถูก หากว่าบริบูรณ์ยิ่งกว่าเก่าพี่ก็ต้องคิดถึงคุณข้าพเจ้าให้จงมากเถิด นางล่อซั่วจึงพูดว่า อ้ายลิงสอพลอทำกระดิกลิ้น มึงจงยื่นหัวมาให้เราฟันด้วยเกี่ยมสักสองสามที แม้ว่าทนได้เราจึงจะให้ยืมพัด แม้ว่าทนไมได้เจ้าก็ต้องไปหาพระยามัจจุราชเถิด
เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็พนมมือ เดินมาใกล้นางล่อซั่วหัวเราะพูดว่า พี่ไม่ต้องพูดมากข้าพเจ้าจะยื่นศรีษะให้ท่าน ตามแต่พี่จะฟันมากน้อยสักเท่าใดก็ตามใจเถิด แล้วจะต้องให้ข้าพเจ้าขอยืมพัดไปทำธุระบ้างก็แล้วกัน นางล่อซั่วสองมือจับเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจียสักสิบทีเห้งเจียก็ยืนเฉยไม่เห็นมีบาดแผล และเจ็บป่วยประการใด นางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจขยับตัวจะหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นถามว่าพี่จะไปไหน ต้องให้เรายืมพัดก่อน นางล่อซั่วพูดว่าของวิเศษของเราใครจะให้เจ้าไปง่าย ๆ ดังนั้น เห้งเจียพูดว่าถ้าไม่ยอมให้ก็จงลองกินตะบองของอาดูสักทีหนึ่งก่อน เห้งเจียมือหนึ่งยึดนางล่อซั่วมือหนึ่งชักตะบองออกจากหู นางล่อซั่วก็สลัดมือหลุดพ้น สองมือถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันฟาดเห้งเจีย เห้งเจียก็แกว่งตะบองเข้าประจัญบานรบกัน ต่างออกกำลังโดยเข้มแข็งรบกันอยู่บนยอดเขาจุ๊ยหุ้นซัวจนเวลาบ่ายไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางล่อซั่วเห็นตะบองหนักมากจะทานไม่ไหว จึงชักพัดวิเศษออกพัดโบกไปทีหนึ่งก็บันดาลเกิดลมพัดหอบเอาเห้งเจียปลิวไปตามลม ยั้งตัวก็ไม่ได้ไม่อยู่ ฝ่ายนางล่อซั่วมีชัยชนะแล้วก็กลับเข้าถ้ำ
• • • • • • • • •
จบเล่ม ๒ ไซอิ๋ว
เล่ม ๓ ยังพิมพ์ต่อไป น่าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๓
ฝ่ายเห้งเจียนั้นถูกม้วนลมหอบไปลิ่ว ๆ จะตกลงดินก็ไม่ตกลงได้ เปรียบดุจพายุพัดใบไม้ปลิวลอย และดุจกระแสน้ำอันเชี่ยวไหลส่งดอกไม้ที่ล่องลอยในกลางมหาสมุทร ปลิวไปคืนหนึ่งจนสว่างจึงมาตกที่ยอดเขา เห้งเจียสองมือยึดเอาก้อนศิลาใหญ่ไว้ หยุดอยู่ครู่หนึ่งพอหายหอบจึงพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็รู้ได้ว่า ถึงเขาพระสุเมรุแล้ว เห้งเจียก็ถอนใจใหญ่ว่า อีนางคนนี้มันร้ายแรงจริงเหลือเกิน มันทำอย่างไรจึงได้ส่งเรามาถึงนี่ เราจำได้เมื่อครั้งก่อนเคยมาที่นี่หาพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดไปช่วยปราบปีศาจ อึ้งฮอง ช่วยอาจารย์เรา ที่เขาฮองกุ้ยซัวนั้นมาทางทิศอาคเนย์ ทางประมาณสามพันโยชน์ บัดนี้มาถึงนี่ไม่รู้ว่าระยะทางสักเท่าไร จำเราจะต้องลงไปถามดูจึงจะรู้แน่จะได้กลับไปทางเก่าได้ เวลาเมื่อกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น พอได้ยินเสียงระฆังดังสนั่น เห้งเจียก็รีบเดินลงมาจากยอดเขาตรงมายังสำนักใหญ่ ที่ประตูมีเต้าหยินคนหนึ่ง แลเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็รีบเดินเข้าไปบอกว่า บัดนี้มีคนที่มาหาครั้งก่อนมาอีกแล้ว เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็รีบเดินออกมารับเข้าไปข้างใน แล้วถามว่านี่ท่านไปอาราธนาพระธรรมมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าที่ไหนจะได้กลับเร็วดังนั้น เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า ก็ยังไปไม่ถึงวัดลุ่ยอิมยี่ ใต้เซียกลับมานี่ทำไมเล่า
เห้งเจียบอกว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้ามาพึ่งท่านช่วยปราบปีศาจอึ้งฮอง ครั้นพ้นจากนั้นเดินไป อันความทรมานลำบากนั้นเหลือที่จะพรรณาได้ บัดนี้มาถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวก็ไม่ข้ามไปได้ ครั้นได้ยินว่ามีพัดเทวดาจึงจะดับไฟเขานั้นได้ ข้าพเจ้าจึงได้สืบหาอันที่จริงพัดนั้นของเมียงู่ม่ออ๋องซึ่งเป็นมารดาของอั้งฮั้ยยี้ เธอโกรธว่าข้าพเจ้าจับบุตรเธอมาให้พระกวนอิมเป็นสานุศิษย์ไม่ได้เห็นหน้าลูก เธอแค้นเคืองผูกพยาบาทข้าพเจ้าไม่ยอมให้ยืมพัดไป จึงได้เกิดรบพุ่งกันขึ้น เธอเอาพัดโบกทีหนึ่งเกิดเป็นลมพัดปลิวมาถึงนี่ข้าพเจ้าจำได้ จึงเข้ามานมัการถามหนทางที่จะกลับไป ตั้งแต่นี่ถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวประมาณทางใกล้ไกลสักเท่าใดไม่ทราบ พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า หญิงนั้นนามเรียกว่า ล่อซั่วเรียกพัดเหล็กก๋งจู๊ อันพัดนั้นเริ่มมีฟ้าดิน ประกอบอากาศธาตุบังเกิดมีพัดอันนี้ เพราะฉะนั้นจึงดับไฟได้ หากว่าโบกถูกคนทีหนึ่งก็ปลิวไปแปดหมื่นสี่พันโยชน์จึงจะหยุด ที่นี่จะไปตำบลเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนั้นทางประมาณห้าหมื่นโยชน์ นี่หากเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพเรียกเมฆหยุดได้ หาไม่ก็ยังจะไปไกลกว่านี้อีก เห้งเจียบ่นว่าร้ายแรงเหลือเกิน ไม่ทราบว่าอาจารย์ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรจึงจะข้ามเขาไปได้
เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า เห้งเจียจงวางใจเถิด หากได้มาถึงนี่แล้ว ก็เป็นนิสัยของพระถังซัมจั๋งและจะให้เห้งเจียสำเร็จความคิด เมื่อครั้งก่อนพระยูไลเจ้าได้สั่งไว้และให้ของวิเศษไว้สองสิ่ง คือไม้เท้ามังกรและยาระงับลม ไม้เท้าก็เอาไปกำจ้ดปีศาจอึ้งฮองเสียแล้ว ยังแต่เม็ดยาวิเศษยังมิได้ใช้ วันนี้จะให้เห้งเจียเอาไปคุ้มห้ามซึ่งลมร้ายมิให้ทำอันตรายแก่เห้งเจียได้ เมื่อได้พัดนั้นมาแล้วเห้งเจียก็จะสำเร็จซึ่งความคิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นมัสการขอบคุณ เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงล้วงเอาเม็ดยาออกมาจากมือเสื้อ ส่งให้เห้งเจียแขวนที่คอเสื้อแล้วเอาเข็มเย็บติดแน่น แล้วเล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงนำเห้งเจียออกจากสำนักชี้มือสั่งว่าจงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนี้ คือที่นางล่อซั่วอยู่
เห้งเจียคำนับลาพระโพธิสัตว์แล้ว ก็เหาะมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว เห้งเจียก็ลงยังหน้าถ้ำเข้าไปเอาไม้ตะบองเคาะกระทุ้งบานประตูเรียกว่าเปิดประตู ๆ เห้งเจียจะมาเอาพัดไปใช้ หญิงเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกนางล่อซั่วว่า เห้งเจียมาอีกแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ให้นึกครั่นคร้ามพูดว่า อ้ายลิงตัวนี้มันจะมีความดีเป็นแน่ อันพัดวิเศษของเราแม้ว่าโบกไปทีหนึ่งถูกคนก็ปลิวไปถึงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ทำไมจึงกลับมาได้เร็วนักดังนี้ ครั้งนี้เราจะต้องโบกสักสองสามทีอย่าให้มันกลับมาได้ คิดดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัวผูกรัดแน่นหนามั่นคงแล้ว สองมือก็ถือเกี่ยมเดินออกมา ร้องเรียกว่าอ้ายเห้งเจียมึงไม่กลัวเราหรือจึงได้กล้ากลับมาอีกฉะนี้
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่สะใภ้พี่อย่าเหนียวแน่นไปทำไม จงขอให้น้องยืมไปส่งอาจารย์ข้ามพ้นไป แล้วก็จะกลับเอามาคืนให้ ข้าพเจ้ากับพี่ก็มีความสัตย์ต่อกัน ซึ่งเป็นสุจริตกุนจื๊อแล้วหากยืมสิ่งของใด ๆ ไป ก็จะต้องเอาคืนกลับส่งให้แก่เจ้าของ นางล่อซั่วด่าว่าอ้ายลิง ซึงหงอคง มึงพูดผิดธรรมเนียม ความเจ็บอายยังไม่แก้แค้นได้ จะมาเอาของให้ขอยืมมีอย่างที่ไหน มึงอย่าหนีมึงจงมากินเกี่ยมของแม่สักทีก่อน เห้งเจียก็ยกตะบองเหล็กขึ้นรับรบกัน ไปประมาณหกเจ็ดเพลง นางล่อซั่วก็อ่อนกำลังลง จึงชักพัดวิเศษออกโบกไปสองที เห้งเจียก็ยืนเฉยอยู่ เอาตะบองเก็บแล้วก็ยืนหัวเราะก๊าก ๆ พูดว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน พัดอยู่กับมือตัว ๆ จะพัดอย่างไรก็พัดไป หากเราไหวติงสักนิดเดียวก็มิใช่คนเก่งนักเลงแท้ นางล่อซั่วก็เอาพัดโบกไปอีกสองที เห้งเจียก็ไม่ไหวติงนางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจถอยหนีเข้าถ้ำใส่กลอนปิดประตูเงียบไม่ออกมาอีก
เห้งเจียเห็นนางล่อซั่ว หายเงียบอยู่ในถ้ำไม่กล้าออกมาอีก ก็แผลงฤทธิ์แกะเม็ดยาที่คอเสื้อมาใส่ปากอม แล้วก็แปลงกายเป็นแมลงหวี่บินตามเข้าไปในถ้ำ เห็นนางล่อซั่วกำลังหอบร้องว่าอยากน้ำให้เอาน้ำชามา พวกหญิงคนใช้ก็ยกน้ำชามาปั้นหนึ่ง รินใส่ชามใหญ่เต็มชาม กากชาละเอียดลอยเป็นชิ้นๆ อยู่ เห้งเจียแลเห็นดังนั้น ก็โผลงปนกับกากชาในน้ำชา หญิงคนใช้ส่งชามน้ำชาให้นางล่อซั่ว ๆ ไม่ทันจะพิจารณากำลังอยากก็ดื่มกลืนเข้าไปในท้อง เห้งเจียตามน้ำชาเข้าไปในท้องได้แล้ว ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมร้องเรียกเสียงดังว่าพี่สะใภ้ให้พัดแก่ข้าพเจ้าโดยง่ายเถิด จะได้ไม่เป็นอันตราย นางล่อซั่วตกใจถามคนใช้ว่า พวกเจ้าปิดประตูนอกหรือเปล่า พวกคนทั้งหลายบอกว่าปิดแล้ว นางล่อซั่วพูดว่าประตูก็ปิดแล้ว เหตุใดเห้งเจียมันจึงเรียกดังนี้ พวกคนใช้บอกว่าได้ยินเสียงอยู่ในท้องแม่
นางล่อซั่วเรียกว่าเห้งเจียเจ้าทำกลอุบายซ่อนอยู่ที่ไหน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักทำกลอะไร เราแผลงฤทธิ์เข้ามานั่งอยู่ในท้องพี่นี้เอง ข้าพเจ้าเห็นใส้พุงทั้งสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นพี่อยากน้ำก็เข้ามาแก้อยากให้พี่ เห้งเจียก็แกล้งทำหน่วงหนักลงไปทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บที่ท้องน้อยเหลือจะทนได้ ก็ทรุดนั่งลงกับพื้นร้องว่าเจ็บปวดเหลือที่จะทนแล้ว เห้งเจียว่าพี่อย่าวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะแสบหัวใจให้ เห้งเจียก็เอามือกระทุ้งขึ้นทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บในหัวใจแลจะขาดใจ ล้มคว่ำลงกับพื้นร้องว่าตายแล้ว จึงพูดว่าอาเห้งเจียขอชีวิตให้พี่เถิด เห้งเจียก็ยั้งมือถามว่า จำข้าพเจ้าได้แล้วหรือ ข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าพี่งู่ม่ออ๋อง จะยกชีวิตให้จงรีบเอาพัดมาให้เราขอยืม นางล่อซั่วบอกว่าจงออกมาเอาไปเถิด เห้งเจียว่าจงเอาพัดมาให้เราเห็นก่อนเราจึงจะออกไป นางก็เรียกคนใช้ให้เอาพัดมาถือยืนอยู่ข้างหน้า เห้งเจียก็เลื่อนขึ้นที่คอหอย พูดว่าเรายกชีวิตให้จงอ้าปากให้กว้างเราจะออกไป นางก็อ้าปากแล้ว เห้งเจียก็แปลงเป็นแมงหวี่บินลอดออกมาโผจับที่พัดนางก็ไม่รู้ อ้าปากสองสามทีแล้วร้องเรียกว่าทำไมไม่ออกเล่า
เห้งเจียก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม มือก็จับเอาพัดแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าอยู่นี่มิใช่หรือ แล้วเห้งเจียพูดว่าขอบใจให้เราขอยืมพัดก็ออกเดิน พวกเหล่านั้นก็เปิดประตูส่งให้ไป เห้งเจียออกจากถ้ำแล้วก็เหาะกลับไปหาอาจารย์ บัดเดี๋ยวก็กลับมาถึงตำบลบ้านอั้งเจียนจึง ลงยังพื้นเดินเข้าไปในบ้านเคารพอาจารย์แล้ว จึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้อาจารย์ฟังทุกประการ แล้วก็หยิบพัดส่งให้ตาเฒ่าเจ้าของบ้านดู ถามตาเฒ่าว่าพัดเล่มนี้ไม่ใช่หรือ ตาเฒ่าบอกว่าใช่เล่มนี้แหละ พระถังซัมจั๋งมีความยินดี อาจารย์กับศิษย์ก็พร้อมกันลาตาเฒ่าออกจากบ้าน พากันมาได้ประมาณสี่สิบโยชน์ไอร้อนขึ้นผ่าว ๆ ซัวเจ๋งร้องว่าฝ่าเท้าออกร้อน โป๊ยก่ายว่าม้าเดินเร็วกว่าทุกวันเพราะด้วยแผ่นดินร้อนม้าจึงไม่ปรกติ เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ลงจากม้าก่อน ข้าพเจ้าจะเอาพัดโบกไฟได้หยุดคอยมีลมฝนตกลงแล้ว แลให้แผ่นดินเย็นจึงค่อย ๆ ข้ามเขาไป
เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปเอาพัดโบกที่มีไฟไปทีหนึ่งที่บนเขาไฟก็ลุกโชติขึ้น พัดอีกทีหนึ่งไฟก็ยิ่งลุกมากขึ้นพัดอีกทีหนึ่งไฟก็ลุกสูงขึ้นสักพันศอก ค่อยลุกค่อยแรงบินปลิวมาติดตัวเห้งเจีย ๆ ก็ถอยวิ่งหนีกลับ ไฟก็ติดไหม้ขนเห้งเจีย ๆ ก็รีบวิ่งร้องเรียกอาจารย์ได้ถอยหนีกลับไปก่อน พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันวิ่งถอยกลับไปทางเก่า ประมาณยี่สิบโยชน์ก็พากันหยุดพัก พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เห้งเจียก็โยนทิ้งพัดลงกับพื้นพูดว่าไม่แน่นอน ถูกอีปีศาจมันหลอกให้แล้ว โป๊ยก่ายถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร
เห้งเจียพูดว่าเราเอาพัดโบกไปทีหนึ่งไฟก็ลุกแรงขึ้น สองทีก็ยิ่งลุกแรงขึ้นสามทีก็ลุกลามมีเปลวบินสูงขึ้นเป็นพันศอก นี่หากวิ่งหนีทันจึงไหม้บ้างแต่เล็กน้อย ถ้าหนีไม่ทันก็ต้องตายเป็นแน่ ซัวเจ๋งว่าไฟลุกรุนแรงไม่มีทางจะไปไซทีดังนี้จะคิดอย่างไรดี โป๊ยก่ายพูดว่าดูทางไหนไม่มีไฟก็ไปทางนั้นจะต้องเป็นทุกข์อะไร พระถังซัมจั๋งถามว่าทางไหนไม่มีไฟ โป๊ยก่ายบอกว่าทิศตะวันออก ทิศอุดร ทิศอาคเนย์ไม่มีไฟ พระถังซัมจั๋งถามว่าทิศไหนมีพระไตรปิฎกธรรม โป๊ยก่ายพูดว่าทิศไซทีมีพระธรรม พระถังซัมจั๋งพูดว่าเราจะต้องไปทิศตะวันตกที่มีพระธรรมจึงจะสำเร็จ ซัวเจ๋งพูดว่ามีธรรมมีไฟไม่มีธรรมไม่มีไฟอย่างนี้ก็ยากที่จะไปจะกลับ
อาจารย์กับศิษย์กำลังตรึกตรองกันอยู่ ก็พอได้ยินเสียงร้องเรียกว่าท่านเห้งเจียไม่ต้องเป็นทุกข์ เชิญมารับประทานเข้าแจก่อนแล้วจึงค่อยคิดไป อาจารย์กับศิษย์ก็หันไปแลดู เห็นคนแก่คนหนึ่งแต่งตัวงดงาม มือถือไม้เท้าหัวมังกรเท้าสอดรองเท้าเหล็ก บนหลังสะพายปลาตัวหนึ่งมือถือถาดทองแดงหนึ่งถาด ในถาดใส่เข้าแจแลกับเดินเข้ามาทางทิศตะวันตก มาถึงก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าคือเจ้าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้ เห็นท่านรักษาพระถังซัมจั๋งมาทางนี้ จึงได้เอาเข้าแจมาถวายสักเวลาหนึ่ง
เห้งเจียพูดว่าอันการกินนั้นทีหลัง อันไฟลุกอย่างนี้สักเมื่อไรจะดับ จะได้พาอาจารย์เราพ้นไปได้ เจ้าเขาตอบว่าจะต้องขอยืมพัดนางล่อซั่วจึงจะดับได้ เห้งเจียเดินไปหยิบพัดมาส่งให้เจ้าเขาดู บอกว่านี่มิใช่หรือที่ไฟลุกพัดเข้าก็ยิ่งลุกใหญ่ไป เจ้าเขาพิจารณาดูพัดแล้วก็หัวเราะพูดว่าท่านถูกหลอกเสียแล้ว เห้งเจียถามว่าทำอย่างไรจึงจะได้ของจริง เจ้าเขาสองมือกอดอกย่อตัวยิ้ม ๆ แล้วจึงพูดว่า แม้ว่าได้กำลังใหญ่ก็จะสำเร็จการ กำลังใหญ่นั้นคืองู่ม่ออ๋อง