
(บทที่ ๑๐๐ จบ.บริบูรณ์)
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ เวลานั้นก็เหาะขึ้นกลางอากาศตามหลังท้าวกิมกังทั้งแปดนั้นลอยละลิ่วไปตามลม
ฝ่ายท่านท้าวกิมกังตามพระถังซัมจั๋งไปยังเมือง ส่วนที่ประตูพระอารามลุ่ยอิมยี่นั้นเจ้าเอี๊ยดที้และเทพารักษ์กับเจ้าลักเตงลักกะ และพระโพธิสัตว์ที่สั่งให้ตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีนั้น จึงพร้อมกันมากราบเรียนพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับคำสั่งของพระโพธิสัตว์ให้ตามรักษาพระถังซัมจั๋งมาอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม มาถึงวันนี้ก็สำเร็จความปราถนาของพระถังซัมจั๋งแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ได้ถวายรับสั่งของพระพุทธองค์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายขอถวายคืนคำสั่งของพระโพธิสัตว์ ๆ ก็มีความยินดีสรรเสริญว่าดีแล้ว
พระโพธิสัตว์จึงถามหมู่เจ้าทั้งหลายว่า อันพระถังซัมจั๋งมาตามทางนั้น จิตเป็นอย่างไรบ้าง หมู่เจ้าทั้งหลายตอบว่า พระถังซัมจั๋งนั้นจิตตั้งมั่นอุตสาหะไม่คืนคลาย อันที่จริงนึกว่าพระถังซัมจั๋งจะไม่สำเร็จได้ ขอพระโพธิสัตว์ได้พิจารณาโดยละเอียด อันความทุกข์ทรมานไม่คณานับได้ ที่มาตามระยะทางอันประกอบไปด้วยอันตรายต่าง ๆ นั้นข้าพเจ้าทั้งหลายได้จดจำไว้ทั้งสิ้นแล้ว เป็นบัญชีทุกข์ภัยร้ายของพระถังซัมจั๋งทั้งสิ้น หมู่เจ้าทั้งหลายจึงนำบัญชีที่จดหมายไว้นั้นถวายพระโพธิสัตว์ให้พิจารณาดูโดยละเอียด ตั้งแต่ต้นจนปลายรวมได้แปดสิบครั้ง
พระโพธิสัตว์จึงพูดแก่เจ้าทั้งหลายว่า ในทางพุทธศาสนานั้น ต้องถึงเก้า ๆ จึงจะได้สำเร็จมรรคผล พระถังซัมจั๋งนั้นทรมานทุกข์ได้แปดสิบครั้ง ยังอีกครั้งหนึ่งจึงจะครบกำหนดแปดสิบเอ็ดครั้ง พระโพธิสัตว์จึงสั่งเจ้าเอี๊ยดที้ว่า ท่านจงรีบตามท้าวกิมกังทั้งแปดไปบอกว่า ต้องให้มีภัยอีกครั้งหนึ่ง จึงจะครบแปดสิบเอ็ดภัย
เจ้าเอี๊ยดที้ได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น ก็คำนับลาออกจากที่ เหาะตามท้าวกิมกังมาได้วันหนึ่งกับคืนหนึ่งก็ทันพบท้าวกิมกัง เจ้าเอี๊ยดที้ก็กระซิบสั่งท้าวกิมกังว่าจงกระทำดังนั้น ๆ ตามคำสั่งของพระโพธิสัตว์อย่าให้ผิดได้ ท้าวกิมกังได้ฟังแล้วก็จำใส่ใจ จึงสำรวมลมทำให้พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม กับพระคัมภีร์ให้หลุดตกลงยังพื้น พระถังซัมจั๋งเหยียบลงกับพื้นก็ตกใจ โป๊ยก่ายหัวเราะก๊าก ๆ ว่าดีจริง ๆ เราอยากให้เร็วกลับให้ช้าได้ดังนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าคิดดูเรามาเร็วนัก จะให้เราหยุดพักดอกกระมัง เห้งเจียพูดว่า คำโบราณท่านย่อมว่าทางสิบวันใครจะไปก็ถึง ไม่ไปก็ถึง พระถังซัมจั๋งพูดว่า พูดมากก็ป่วยการ จึงพิจารณาดูที่ตรงนี้เป็นตำบลใดแน่
เห้งเจียแลดูรอบแปดทิศแล้วพูดว่า ที่ตรงนี้เองจึงบอกแก่อาจารย์ว่า อาจารย์จงฟังกระแสน้ำ โป๊ยก่ายบอกแก่ซัวเจ๋งว่า มีเสียงน้ำดังนั้นเห็นจะเป็นที่อาศัยอยู่ของน้องแต่เดิมดอกกระมัง เห้งเจียว่า ที่อาศัยเดิมของซัวเจ๋งนั้น คือแม่น้ำลิ่วซัวฮ้อ ที่นี้คือแม่น้ำทงทีฮ้อ พระถังซัมจั๋งบอกเห้งเจียว่า จงพิเคราะห์ดูให้ดีจะเป็นฟากข้างไหนแน่ เห้งเจียเหาะขึ้นกลางอากาศ พิเคราะห์ดูรู้แน่แล้วก็กลับลงมายังพื้น บอกแก่อาจารย์ว่า คือฟากข้างตะวันตก พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมาจำได้แล้ว ฟากตะวันออกนั้นมีหมู่บ้านตั๊นเกจึง เมื่อปีนั้นมาถึงนี่ได้พึ่งเห้งเจียช่วยชีวิตเด็กให้รอดจากความตาย พวกเหล่านั้นจะเอาเรือส่งแต่บังเอิญพวกเราได้พึ่งเต่าใหญ่ส่งข้ามฟากไป อาตมจำได้ฟากตะวันตกไม่มีบ้านช่องผู้คนอาศัย เวลานี้เราจะคิดอย่างไรดี
โป๊ยก่ายพูดว่าคนมนุษย์แกล้งกัน นี่ท้าวกิมกังทั้งแปดนี้ก็รู้จักแกล้งกันด้วยหรือ เธอรับสั่งของพระพุทธองค์ให้ส่งเราไปถึงเมืองใต้ถัง ทำไมจึงเอามาทิ้งเสียกลางทางดังนี้ จะไปก็ยากจะกลับก็ยากจะทำอย่างไรดี ซัวเจ๋งบอกแก่โป๊ยก่ายว่า พระอาจารย์เราเวลานี้มัวเปลี่ยนรูปขันธ์แล้ว รูปกายก็เบาลงจะไม่จมน้ำเป็นอันขาด เราสามคนแผลงอิทธิฤทธิ์ ทำเป็นที่นั่งให้พระอาจารย์ขึ้นนั่งแล้ว เราหอบส่งข้ามฟากไปจะไม่ได้หรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่ายกไม่ได้ข้ามไม่ได้ คือจะแผลงฤทธิ์ด้วยอิทธิปาฏิหารย์นั้น สักพันแม่น้ำใหญ่อย่างนี้ก็คงจะข้ามไปได้ตลอด ที่อันความรู้แจ่มแจ้งของเหตุแห่งพระถังซัมจั๋งนั้น เก้า ๆ ยังไม่ครบตามกำหนด ยังขาดอยู่อีกภัยหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงมาตกลงที่ตรงนี้
อาจารย์กับศิษย์เดินพลางพูดพลางมาถึงฝั่งแลรอบเงียบสงัดไม่เห็นมีผู้คนทั้งเรือแพ นาวาก็ไม่มีกำลังเป็นทุกข์อยู่พอได้ยินเสียงคนเรียกว่าท่านอาจารย์กลับมาแล้วหรือ อาจารย์กับศิษย์พากันตกใจเหลียวซ้ายแลขวา ก็แลเห็นเต่าใหญ่ที่ได้ส่งข้ามครั้งก่อนนั้นอยู่ริมฝั่ง ยกหัวขึ้นพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งใจคอยท่านอยู่นี่ ท่านไปหลายปีจึงได้กลับมาบัดนี้ เห้งเจียพูดว่าเมื่อปีก่อนนั้นได้พึ่งท่าน มาปีนี้ก็ได้มาพบท่านอีก พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งพากันดีใจ เห้งเจียว่าแม้ตัวมีจิตคิดคอยจะรับส่งก็จงคลานขึ้นมาเถิด เต่าได้ฟังก็ขยับตัวเข้าชิดฝั่ง เห้งเจียจึงเรียกให้จูงม้าลงบนหลังเต่า โป๊ยก่ายยืนข้างม้าพระถังซัมจั๋งยืนข้างหน้าม้า ซัวเจ๋งยืนอยู่ข้างซ้าย เห้งเจียยืนอยู่ข้างขวา เท้าหนึ่งเหยียบฅอเต่า พูดว่าเต่าเจ้าว่ายไปจงดีอย่าให้เอียงได้ เต่าก็ขยายเท้าออกว่ายไปดุจอยู่บนพื้นดินไม่เอียงไม่สะเทือนเต่าว่ายมาได้วันกับคืนก็เข้าใกล้ฝั่งข้างทิศตะวันออก
จึงถามขึ้นว่า ข้าพเจ้าได้สั่งท่านอาจารย์ว่าให้ช่วยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า อันตัวของข้าพเจ้านี้ สักเมื่อไรจะได้กลับเป็นมนุษย์ ท่านได้ทูลถามหรือเปล่า ความข้อนี้อันที่จริงพระถังซัมจั๋ง มัวแต่จะคิดเอาพระไตรปิฎกเท่านั้น จึงได้ลืมคำสั่งของเต่าเสีย มิได้ทูลถามพระพุทธเจ้า เวลาที่เต่าถามขึ้นก็นิ่งอยู่ ครั้นจะพูดเท็จก็ไม่ควร นิ่งอยู่ครู่หนึ่งมิได้ตอบ เต่าก็รู้ว่าคงจะมิได้ถามให้ ก็สลัดทีหนึ่งแล้วดำมุดน้ำไป อาจารย์กับศิษย์และ ม้า คัมภีร์ พลัดตกน้ำไปทั้งหมด แต่ยังมีความมั่นใจว่า พระถังซัมจั๋งนั้นเปลี่ยนแปลงรูปขันธ์ตัวเบาไม่จมน้ำตายเหมือนครั้งก่อน ม้าคือมังกร โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ถนัดทางน้ำ เห้งเจียหัวเราะแล้วก็แผลงฤทธิ์รวบหอบเอาพระอาจารย์ขึ้นพ้นน้ำแล้ววางที่ริมฝั่งตะวันออก อาจารย์กับศิษย์ก็พากันขึ้นบก ห่อคัมภีร์ข้าวของอานม้าเปียกน้ำไปทั้งสิ้น ขึ้นพึ่งพักบกก็บังเอิญเกิดลมพายุใหญ่มืดฟ้ามัวฝน ฟ้าก็แลบลั่นเสียงครืน ๆ ลมก็ยิ่งพัดกล้าขึ้นทุกที แลพัดดินทรายสาดซัดถูกเนื้อตัวเจ็บแสบ พระถังซัมจั๋งหายใจหอบกอดจับพระคัมภีร์ไว้แน่น
ซัวเจ๋งจับกุมห่อหาบคัมภีร์ โป๊ยก่ายจับยึดม้าไว้ เห้งเจียจับตะบองแกว่งกวัดคอยระวังรอบข้าง อันที่จริงลมพายุนั้นคือลมมารจะใคร่ชิงเอาความชอบที่ไปอาราธนาพระคัมภีร์ธรรมนั้น จึงได้แผลงฤทธิ์เดชสำแดงอานุภาพเป็นลมพายุอยู่คืนหนึ่ง จนรุ่งแจ้งจึงได้สงบ พระถังซัมจั๋งเปียกน้ำทั้งตัวหนาวสั่นสะท้านอยู่งกงัน จึงถามเห้งเจียว่าทำไมจึงเกิดมีลมใหญ่อย่างนี้เล่า เห้งเจียโกรธฮึดฮัดแล้วพูดว่า พระอาจารย์หาทราบเหตุไม่ ข้าพเจ้าปกครองป้องกันพระอาจารย์จนได้พระคัมภีร์มา คือชิงสมบัติของมารทั้งหลายและชิงพาหนะของเทพยดาเทพารักษ์ทั้งฟ้าและดิน คือเราจะได้ยืนนานเท่าฟ้าและดินเสมอด้วยพระจันทร์และพระอาทิตย์ ไม่รู้จักสิ้นสุดด้วยได้ธรรมกายไม่รู้แก่รู้ตายไม่แตกทำลายได้ เพราะฉะนั้นหมู่มารและเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย จะใคร่เคลือบแฝงชิงเอาความงามความดีของพวกเรานี้ จึงกระทำให้พระคัมภีร์เปียกน้ำ แลพระอาจารย์ก็ได้สำเร็จธรรมกายคุ้มอยู่ ทั้งข้าพเจ้าประกอบด้วยธาตุมีอำนาจเชี่ยวชาญรักษาป้องกันจนสว่าง พวกมารจึงมิได้ชิงเอาของเราไปได้
พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงแสดงเหตุผลดังนั้นก็พากันได้สติ สักประเดี๋ยวพระอาทิตย์ก็ขึ้นสูง จึงพากันเก็บขนพระคัมภีร์ขึ้นตากบนที่สูง ในที่ตำบลนั้นจนทุกวันนี้ ก็ยังมีรอยปรากฎอยู่ในที่ตากพระคำภีร์นั้น ตากพระคำภีร์และเสื้อผ้าสิ่งของก็นำเอาตากทุก ๆ สิ่งแล้ว ต่างคนก็นั่งพักคอยรอพระคัมภีร์จะแห้ง แลไปข้างริมฝั่งก็เห็นคนสองสามคนเที่ยวตกเบ็ดเดินมาแลเห็นพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามก็จำได้ จึงพูดว่าที่ท่านอาจารย์ที่ปีก่อนข้ามฟากไปทิศตะวันตก เพื่ออาราธนาพระธรรมแน่แล้ว โป๊ยก่ายบอกว่านี่และๆ ทำไมท่านจึงจำเราได้เล่า คนตกเบ็ดบอกว่าพวกข้าพเจ้าคือคนอยู่บ้านตั๊นเกจึง จากนี้ไปทางไกลประมาณสักห้าสิบเส้นก็ถึง
โป๊ยก่ายพูดว่า พระอาจารย์พวกเราช่วยกันขนคัมภีร์กับสิ่งของไปที่บ้านตั๊นเกจึงหาที่ตากจะมิดีหรือ ทั้งจะมีที่พักอาศัยแล้วให้พวกนั้นช่วยซักผ้าเสื้อจะไม่ดีหรือ พระถังซัมจั๋งพูดว่าอย่าไปเลยอยู่ที่นี่ตากแห้งดีแล้วจะได้ตั้งหน้าหาทางกลับเมืองดีกว่า จะไปให้ช้าการทำไมเล่า พวกคนตกเบ็ดเหล่านั้นก็พากันรีบเดินกลับไป ครั้นถึงก็แวะบ้านตั๊นเท่งตั๊นเชงบอกว่าท่านทั้งสองจงรีบไปนิมนต์ท่านอาจารย์ที่ได้ช่วยชีวิตบุตรของท่านทั้งสองนั้นกลับมาแล้ว ยังพักตากคัมภีร์อยู่ข้างเหนือบ้านเราที่เนินหินนั้น
ตั๊นเท่งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจพาบ่าวไพร่สองสามคนรีบลงจากบ้าน เดินตรงไปข้างเหนือบ้าน ครั้นถึงก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับกระทำนมัสการถามว่า ท่านอาจารย์ไปอาราธนาพระคัมภีร์ธรรมก็ได้สำเร็จแล้ว ทำไมไม่แวะบ้านข้าพเจ้าเล่า มานั่งตากลมตากแดดอยู่ดังนี้ ขอนิมนต์พระอาจารย์ไปพักที่บ้านข้าพเจ้าเถิด เห้งเจียพูดว่ารอให้คัมภีร์แห้งแล้วจึงจะไปบ้านท่าน ตั๊นเท่งถามว่าพระคัมภีร์กับข้าวของทำไมจึงเปียกไปทั้งสิ้นดังนี้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าเหตุเมื่อไปได้พึ่งเต่าส่งข้ามไป เมื่อมาก็ได้พึ่งเต่าส่งข้ามมาจวนใกล้จะถึงฝั่งอยู่แล้ว เต่าถามว่าเธอได้ฝากคำไปถามพระพุทธเจ้าในธุระการของเธอ อาตมภาพลืมไปเสียหาได้ถามให้เธอไม่ เธอโกรธจึงดำน้ำลงไปเสีย เพราะฉะนั้นจึงพากันเปียกน้ำไปทั้งสิ้นดังนี้
ตั๊นเท่งก็อ้อนวอนนิมนต์โดยศรัทธาจิต พระถังซัมจั๋งก็รับนิมนต์ จึงจัดแจงเก็บพระคัมภีร์กับข้าวของ ยังพระคัมภีร์ปุ้นเห้งเกงสองสามเล่มติดอยู่กับศิลาขาดปลายเล่ม เพราะฉะนั้นคำภีร์ปุ้นเห้งเกงจึงขาดไม่ครบบริบูรณ์ ที่ตรงนั้นมาจนทุกวันนี้ยังมีรอยอักษรติดปรากฎอยู่กับศิลา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงพูดว่าเพราะเกียจคร้านไม่ดูแลจึงได้เป็นเช่นนี้ เห้งเจียหันมาพูดว่า เหตุการณ์ทั้งนี้ก็เพราะฟ้าดินจะไม่ให้ครบ อันแต่เดิมพระคำภีร์ครบถ้วน บัดนี้มาติดขาดเสียก็ควรจะไม่ครบ อันพระธรรมที่ลึกล้ำพิเศษดังนั้น อำนาจและกำลังของปุถุชนจะป้องกันได้หรือ เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็ช่วยกันเก็บรวบรวมพร้อมกันไปยังบ้านตั๊นเท่งตำบลบ้านตั๊นเกจึง
ฝ่ายพวกชาวบ้านตั๊นเกจึง รู้ความแล้วก็เป่าร้องกันทั้งชายและหญิงเด็กผู้ใหญ่ พากันมาแห่ห้อมล้อมจุดธูปเทียนบูชา รับทั้งม้าฬ่อและกลองตีรับออกสนั่นหวั่นไหว ทั้งกระจับ ปี่ สีซอ ออกแซ่เสียงมาตามรายทาง บัดเดี๋ยวก็ถึงบ้านตั๊นเท่ง ๆ ก็นิมนต์เข้าไป ตั๊นเชงก็พาวงศาคณาญาติทั้งชายและหญิงมาเคารพนมัสการ นิมนต์ขึ้นบ้านนั่งที่สมควรแล้ว ทั้งชายและหญิงก็พากันนมัสการทุก ๆ คน แล้วก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย ฉันเสร็จแล้วก็ยกเครื่องกระยาหารแจมาถวาย
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งตั้งแต่ฉันเครื่องทิพย์มาแล้ว ปราศจากซึ่งรูปขันธ์ อันของเครื่องกระยาหารของปุถุชนนั้นก็ให้เบื่อหน่าย เห็นตั๊นเท่ง ตั๊นเชงทั้งสองมีจิตศรัทธา ขัดไม่ได้ก็ต้องรับประเคนตามกิริยา เห้งเจียซัวเจ๋งก็ไม่กิน โป๊ยก่ายยกชามขึ้นวางลง เห้งเจียจึงถามว่าพ่อสุกรทำไมจึงไม่กินให้หมดเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าไม่รู้ว่าอย่างไร ใส้พุงกะเพาะให้อ่อนเปลี้ยไม่มีกำลังที่จะอยากกิน ตั๊นเท่งจึงให้คนยกเก็บแล้ว ถามซึ่งเหตุการณ์ที่ไปอาราธนาพระธรรม พระถังซัมจั๋งจึงเล่าความให้ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงฟังโดยละเอียดทุกประการ พระถังซัมจั๋งจะใคร่ลาไป เฒ่าทั้งสองจึงพูดว่า พี่น้องข้าพเจ้าก็ได้พึ่งพระอาจารย์ช่วยชีวิตบุตรข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากความตาย ข้าพเจ้าทั้งสองยังหาได้ฉลองพระเดชพระคุณไม่ ข้าพเจ้าได้สร้างวัดไว้วัดหนึ่งให้นามว่า วัดกิ๊วเซงยี่ แปลว่าช่วยชีวิต ตั้งจิตจงรักภักดีธูปเทียนบูชาเสมอทุกวันมิได้ขาด
เฒ่าทั้งสองจึงเรียกบุตรทั้งสอง ตั๊นกวนโป๊กับตั๊นเจ๊กชินกิมออกมากราบไหว้นมัสการขอบคุณแล้วนิมนต์ไปยังวัด พระถังซัมจั๋งจึงเปิดคัมภีร์โปั๊เสียงเกงออกสวดเล่มหนึ่งแล้วก็พากันไปยังวัด ครั้นถึงแล้วก็เดินตรงเข้าไปข้างใน แลไปก็เห็นเครื่องกระยาหารแจตั้งถวายอยู่เรียงรายที่นั้นพระถังซัมจั๋งก็มิได้นั่ง เลยเข้าไปข้างในก็เห็นแต่เครื่องแจตั้งเรียงรายต่อเนื่องกันมิได้ขาด พระถังซัมจั๋งก็รับประทานแต่พอเป็นกิริยา แล้วพิเคราะห์ดูอารามที่เขาสร้างนั้นหมดจดเรียบร้อยงดงามเที่ยวดูรอบแล้วก็ขึ้นไปบนกุฎิที่ห้องกลาง เห็นรูปที่เขาหล่อไว้สี่รูปคือรูปพระถังซัมจั๋ง รูปเห้งเจีย รูปโป๊ยก่าย รูปซัวเจ๋ง พระถังซัมจั๋งโมทนาว่าดีแล้วชอบแล้ว จึงลงจากหอแลไปข้างระเบียงพระอุโบสถ ตั้งเรียงรายล้วนแต่เครื่องแจคอยท่าจะนิมนต์ฉัน
เห้งเจียจึงถามตั๊นเท่งตั๊นเชงว่า ตั้งแต่เมื่อปราบปีศาจแล้วมา ปีศาจนั้นเป็นอย่างไรบ้างหรือ สองเฒ่าตอบว่าตั้งแต่ปีนั้นมาศาลก็พังทลายไป ข้าพเจ้าสร้างวัดขึ้นแล้วต่อมาทุก ๆ ปีก็อยู่เย็นเป็นสุขทุกบ้านเรือนทั้งข้าวน้ำชำปลาก็บริบูรณ์ ซึ่งเป็นดังนั้ก็เพราะบารมีของท่านปกป้องมา พวกข้าพเจ้าจึงได้มีความสุข เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า ซึ่งการเป็นดังนั้นก็อาศัยเหตุฟ้าให้แก่ท่านทั้งหลาย มิได้เกี่ยวแก่พวกเราตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเราจะปกป้องรักษาตำบลบ้านเกจึงนี้ให้ได้ความสุขสวัสดีมีชัยทุก ๆ บ้าน จนชั่วบุตรหลานต่อๆ ไป ทั้งลมฝนข้าวกล้าก็จะบริบูรณ์ตามฤดูกาลทุกๆ ปี
หมู่ชนทั้งหลายที่ได้รับคำอวยพรดังนั้นแล้ว ต่างก็กระทำนมัสการขอบคุณพร้อมกันทุก ๆ คน แลไปเห็นคนทั้งหลายนำผลไม้มาถวายออกแน่นไป โป๊ยก่ายเห็นแล้วก็หัวเราะพูดว่า เมื่อเวลาจะอยากกินหาไม่ได้ เวลากินไม่ได้ช่างมีมากเหลือเกิน บ้านนี้ยังไม่ทันแล้ว ซ้ำมาอีกบ้านหนึ่ง ครั้นสิ้นเวลาการจุดตะเกียงตามไฟ พระถังซัมจั๋งก็เข้าที่ระงับไม่อาจแพร่งพรายจิตเข้ากุฎิกลางนั่งสมาธิสำรวมจิต เวลานั้นก็ถึงสามยามเศษ พระถังซัมจั๋งก็เคลื่อนจากที่ กะซิบเรียกเห้งเจ้ยเบา ๆ พูดว่า ที่ตำบลนี้คนทั้งหลายรู้แน่ว่าพวกเราสำเร็จมรรคผลแล้ว คำโบราณท่านย่อมว่าแม้ผู้วิเศษอย่าออกกิริยาให้เขารู้ ๆ แล้วไม่ใช่ผู้วิเศษ วิตกว่าพวกนี้จะหน่วงเหนี่ยวชักช้าจะเสียเวลาการ
เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์เห็นดังนั้นชอบแล้ว เวลานี้คนทั้งหลายกำลังหลับสนิทควรเราจะพากันไปเถิด พูดกันตกลงแล้ว จึงปลุกโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสองให้ตื่นขึ้นแล้ว ก็ช่วยกันรวบรวมเก็บหาบพระคัมภีร์และสิ่งของแล้ว ก็ค่อย ๆ พากันเดินจะออกจากประตูวัด แต่ประตูนั้นมีกุญแจลั่นไว้แน่นหนา เห้งเจียจึงร่ายคาถาสะเดาะกุญแจออกแล้ว ก็เปิดประตูพากันออกจากวัดได้แล้ว ก็หมายทางตรงมายังเมือง ได้ยินเสียงร้องเรียกอยู่กลางอากาศว่า ข้าพเจ้าท้าวกิมกังทั้งแปด คอยส่งท่านทั้งสี่จงรีบตามข้าพเจ้ามาเถิด พระถังซัมจั๋งได้กลิ่นหอมลมพัดฉิว ๆ มาหอบอาจารย์กับศิษย์ลอยละลิ่วขึ้นไปตามลมกลางอากาศ
ฝ่ายพวกบ้านตั๊นเกจึง ยังค้างอยู่ในวัดหลายคนด้วยกัน พอรุ่งแจ้งก็พากันตื่นจัดแจงต้มหุงเครื่องแจเสร็จแล้ว ก็ยกมายังหอกลางหวังใจจะถวาย เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นพระถังซัมจั๋งพากันตกใจร้องโวยวายขึ้นไม่รู้ว่าจะไปตามที่ไหน พากันพูดว่าพุทธโธเอ๋ยพากันปล่อยพระพุทธเสียทั้งเป็น หายไปเสียดังนี้จะรู้ที่ไปตามทางใดเล่า พูดกันแล้วก็พากันขนเครื่องแจขึ้นไปถวายบูชาไว้บนหอนั้น ต่อไปนั้นกระทำการสักการบูชาใหญ่อีกสี่คราว ครั้งเล็กยี่สิบสี่ครั้งทุก ๆ ปีไปมิได้ขาด มีคนไปมานมัสการมิใคร่ขาด
ฝ่ายท้าวทิมกังทั้งแปด แผลงอำนาจฤทธาเป็นลมส่งพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มากว่าครึ่งวันก็เข้าเขตเมืองเชียงอาน เดิมเมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสามปี ในปีนั้นพระองค์ได้เสด็จตามส่งพระถังซัมจั๋งยังประตูเมืองข้างทิศตะวันตก มาถึงปีที่สิบหกพระองค์รับสั่งให้สร้างหอคอยท่ารับพระไตรปิฎก ยังประตูเมืองทิศตะวันตก พระเจ้าถังไทยจงทุก ๆ ปีเสด็จออกที่หอนั้น มีพระทัยใสโสมนัสสา ตั้งพระพักตร์คอยรับพระธรรม มาวันหนึ่งพระองค์เสด็จไปประทับอยู่ณหอนั้นบนชั้นสูง ทอดพระเนตไปข้างทิศตะวันตก เห็นมีม้วนเมฆแผ่รัศมีเต็มท้องฟ้า และมีลมพัดกลิ่นหอมมาตามลมต้องพระนาสา
ฝ่ายท้าวกิมกัง เหาะมาใกล้หอแล้วก็หยุดพักอยู่กลางอากาศเรียกพระถังซัมจั๋งว่า ท่านอาจารย์ที่ตรงนี้คือประตูเมืองเชียงอาน พวกข้าพเจ้าไม่อาจลงไป เกรงคนจะเห็นรูปกายข้าพเจ้า เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไม่ควรลงไป ควรแต่ท่านอาจารย์จะลงไปแต่ผู้เดียวนำพระคัมภีร์ไปส่งให้ท่านเจ้าของแล้วจงรีบกลับมา ข้าพเจ้าจะคอยอยู่บนเมฆนี้ จะได้พร้อมกันรีบกลับไปกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ เห้งเจียพูดว่าท่านพูดดังนั้นก็ควรแล้ว แต่ยังขัดอยู่ด้วยพระอาจารย์ผู้เดียว ที่ไหนจะหาบพระคัมภีร์และจูงม้าไปอย่างไรได้ ขอให้พวกข้าพเจ้าไปส่งพระอาจารย์ ท่านจงคอยอยู่บนนี้ก่อน พวกข้าพเจ้าจะมิให้ผิดเวลาได้
ท้าวกิมกังพูดว่า พระโพธิสัตว์กวนอิมได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ทั้งไปทั้งมากำหนดในแปดวัน วันนี้ได้ห้าวันกว่า แล้ววิตกด้วยโป๊ยก่ายลงไปแล้ว จะไปมัวหลงลาภและยศเสีย เกรงจะผิดกำหนดจะเสียการไป โป๊ยก่ายได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์ข้าพเจ้าสำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็สำเร็จบ้าง ที่ไหนจะมาเห็นแก่ลาภยศฉะนั้นเล่า ขอท่านได้สงเคราะห์พักคอยข้าพเจ้า ๆ จะลงไปส่งพระคัมภีร์ธรรมแล้วจะกลับขึ้นมาพร้อมแก่ท่านได้กลับไป โป๊ยก่ายหาบของซัวเจ๋งจูงม้าเห้งเจียประคองอาจารย์ก็ลงยังพื้นข้างหอคอย
ฝ่ายพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ กับพวกขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเห็นพระถังซัมจั๋ง ก็เสด็จลงจากหอคอยมารับตรัสถามว่า พระเจ้าน้องเรากลับมาแล้วหรือ พระถังซัมจั๋งจะใคร่ยอกายลงคำนับพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ เสด็จมาประคองไว้มิให้ถวายคำนับ แล้วตรัสถามว่า ท่านทั้งสามนั้นคือผู้ใด พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่าได้มาตามทาง พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ทรงมีพระทัยยินดี จึงรับสั่งให้จัดราชรถ นิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นม้า ส่วนพระองค์ก็ทรงรถพระที่นั่ง รับสั่งให้พระถังซัมจั๋งเข้าพระราชวัง
เวลานั้นพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้เสด็จกลับเข้าพระราชวัง ขุนนางข้าราชการใหญ่น้อยก็พากันตามเสด็จกลับ พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม โป๊ยก่ายหาบพระคัมภีร์ ซัวเจ๋งจูงม้า เห้งเจียถือตะบองประคองข้างม้าเดินตามพระถังซัมจั๋ง ตามเสด็จพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้เข้าสู่พระราชวังหลวง ชาวประชาราษฎรพลเมืองเชียงอานไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ชายและหญิง พากันลือตลอดทั่วเมือง เดิมพระถังซัมจั๋งอยู่ ณ วัดอั๊งฮกยี่ ในเวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลายซึ่งอยู่ในวัดได้แลเห็นต้นไม้สนทุกๆ กิ่ง หันเอนกลับไปข้างทิศตะวันออก ก็พากันตกใจว่าไม่มีลมพายุเหตุใดกิ่งสนจึงหันกลับไปดังนั้น ในหมู่พระสงฆ์นั้น ยังมีสานุศิษย์เก่าของพระถังซัมจั๋งรูปหนึ่งเห็นดังนั้น จึงเรียกกันให้เอาจีวรมาเร็ว ๆ ท่านอาจารย์เรากลับมาแล้วเราจะรีบออกไปรับ พระสงฆ์ทั้งหลายจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงรู้แน่ว่าพระอาจารย์กลับมาถึงเล่า
จึงพระสงฆ์รูปนั้นบอกว่า เมื่ออาจารย์จะไปอาราธนาพระคัมภีร์ธรรมนั้น ท่านได้สั่งไว้ว่าในสองสามปีก็ดี หรือสี่ห้าปีก็ดี จงดูที่กิ่งสนแม้ว่ากิ่งสนหันกลับไปข้างทิศตะวันออกเราก็จะกลับมาถึงเมือง อาจารย์ของเราสักสิทธิ์ออกวาจาดังนั้นหากจะเป็นจริงดังวาจา เพราะฉะนั้นจึงควรเชื่อเอาเป็นแน่ได้ จึงพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็พากันครองจีวรรีบออกจากประตูวัด เดินมาตามถนนข้างทิศตะวันตก สักประเดี๋ยวก็ได้ยินคนพูดโจทย์กันว่า พระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ รับพระสงฆ์ที่ไปอาราธนาพระคัมภีร์ธรรมกำลังเสด็จกลับเข้าพระนคร พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ทราบแล้วก็พากันเดินมาบัดเดี๋ยวก็แลเห็นพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้เสด็จมา จึงพากันแอบข้างถนน พอเสด็จคล้อยไปแล้วก็พากันตามเข้าไปในประตูพระราชวัง ครั้นถึงพระราชวังแล้ว พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ก็เสด็จขึ้นหน้าขุนนาง
พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันตามเสด็จเข้าในพระราชวังหลวง พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามก็หยุดยืนอยู่หน้าพระลาน พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้รับสั่งให้พระถังซัมจั๋งขึ้นมาข้างบนนั่งที่อันสมควรแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงให้ยกพระคัมภีร์ขึ้นมา เห้งเจีย ซัวเจ๋ง โป๊ยก่ายช่วยกันยกหาบคัมภีร์ แก้มัดออกจากห่อแล้วนำขึ้นวางบนโต๊ะ
ฝ่ายขุนนางขันธีก็รับนำมาถวายพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ ๆ ทอดพระเนตรแล้วจึงรับสั่งถามพระถังซัมจั๋งว่า พระคัมภีร์มีกำหนดมากน้อยเท่าใด ทำอย่างไรจึงอาราธนามาได้ พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า อาตมภาพไปถึงเขาเล่งซัว เข้าหาพระพุทธองค์กระทำนมัสการแล้ว พระพุทธองค์จึงให้พระพุทธกัสสปะกับพระอานนท์ พาไปยังหอมณีรัตน์เลี้ยงเครื่องแจทิพย์แล้ว จึงพาเข้าไปยังหอพระไตรปิฎกให้พระคำภีร์ พระกัสสปะพระอานนท์ได้ทวงถามถึงของกำนัน อาตมภาพไม่มีสิ่งใดจะถวาย เธอจึงให้พระคัมภีร์แก่อาตมภาพ ๆ ก็นมัสการลาพระพุทธเจ้าแล้วตั้งใจจะกลับมาเมือง เดินมาได้หน่อยหนึ่งก็มีลมพายุพัดมาหอบเอาพระคัมภีร์ไปเสียทั้งสิ้น สานุศิษย์ไล่ตามไปจะเอากลับคืน ก็ปล่อยโปรยคัมภีร์กระจัดกระจาย จึงช่วยกันเก็บรวบรวมแล้วก็เปิดขึ้นดูไม่เห็นมีตัวอักษรเป็นแต่กระดาษเปล่า ก็พากันตกใจจึงได้พากันกลับไปทูลถามพระพุทธองค์ว่า พระมหาเถรทั้งสองไม่ยอมให้พระคัมภีร์ อาตมภาพได้นำบาตรของมหาบพิตรพระราชทานให้อาตมภาพไปนั้น ถวายพระมหาเถรทั้งสองพอเป็นกิริยาจิตเคารพพระคัมภีร์ธรรม
พระคัมภีร์นี้รวมผูกได้สามสิบห้าผูกคิดเป็นเล่มได้ห้าพันสี่สิบแปดเล่ม พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง จึงตรัสสั่งให้ขุนนางพนักงานเครื่อง จัดเครื่องแจถวายพระถังซัมจั๋งสนองคุณ พระองค์ทอดพระเนตรดูสานุศิษย์ทั้งสามเห็นรูปกายประหลาด จึงตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่าสานุศิษย์ทั้งสามนั้นเป็นคนชาวประเทศใด พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า สานุศิษย์คนใหญ่นั้น นามเดิมเรียกว่า ซึงหงอคง อาตมภาพเรียกว่าซึงเห้งเจีย เป็นคนชาวประเทศตังเสงสิ้นจิวเมืองเง่าไล่ก๊กตำบลเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง เมื่อห้าร้อยปีเธอแผลงฤทธานุภาพขึ้นไปทำจลาจล รบบนสวรรค์ หมู่เทพยดาทั้งหลายเกรงกลัวอำนาจ จึงพระพุทธเจ้าลงโทษให้เขาเง้าซัวครอบไว้ พระโพธิสัตว์กวนอิมมาสั่งสอนชักนำให้กลับใจละเว้นซึ่งความชั่ว
เวลาเมื่อข้ามไปทางนั้น อาตมภาพได้ช่วยเธอออกมาพ้นที่ลำบาก จึงได้ติดตามไปเป็นสานุศิษย์ ได้พึ่งเธอช่วยป้องกันรักษาแลปราบภูติผีปีศาจมารร้ายต่าง ๆ ในทางที่จะไปไซที อันสานุศิษย์ทั้งสองนั้น มีนามเดิมเรียกว่าหงอเหนง อาตมภาพเรียกว่าตือโป๊ยก่าย สำนักเดิมเกิดที่ตำบลเขาฮกสินซัว ถ้ำหุ้นจั๊นต๋องมาเป็นปีศาจร้ายที่เขตเมืองโอชือจั๋งก๊ก ตำบลบ้านเกาเล้าจึง พระโพธิสัตว์สั่งสอนชักชวนให้เข้าทางสัมมาทิฐิ เวลาที่อาตมภาพไปถึงตำบลนั้น เห้งเจียไปปราบจับตัวได้ก็เข้ายอมสวามิภักดิ์เป็นสานุศิษย์ ได้เป็นกำลังหาบคอนก็ได้ถึงโดยเร็ว
สานุศิษย์ที่สามนามเดิมชื่อซัวหงอเจ๋งเดิมอยู่ในลำแม่น้ำ พระโพธิสัตว์โปรดชักนำได้กลับใจเข้าหาทางชอบธรรม เวลาที่อาตมภาพไปถึงตำบลนั้นเธอเข้ายอมสวามิภักดิ์ เป็นสานุศิษย์ตามไปไซที
ม้านั้นคืออาตมภาพไปถึงบึงใหญ่ มีนาคราชแผลงฤทธิ์จับเอาม้าที่พระองค์ประทานไปทั้งเป็น พระโพธิสัตว์ปรับโทษให้นาคแปลงเป็นม้าสำหรับอาตมภาพขี่ไปไซที
พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ได้ฟังแล้วก็ตรัสสรรเสริญ แล้วตรัสถามต่อไปว่า ไซทีนั้นหนทางจะไกลสักเท่าใด
พระถังซัมจั๋งว่าจำคำของพระโพธิสัตว์ได้ว่า ระยะทางนั้นหนึ่งแสนแปดพันโยชน์คิดเป็นเวลาได้สิบสี่พรรษา ขึ้นเขาลงห้วยพบปะศัตรูหมู่มารปีศาจร้ายมากแห่งหลายตำบลจะนับมิถ้วน แต่มีตราทุก ๆ เมือง ได้ประทับให้ในหนังสือเดินทาง จึงเรียกให้เห้งเจียนำหนังสือเดินทางมาถวายคืน
เห้งเจียแก้ห่อนำหนังสือมาถวายพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งรับมาถวายพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ ๆ รับมาทอดพระเนตรหนังสือเดินทาง คือปีพระเจ้าเจงกวนเสวยราชได้สิบสามปี เป็นเดือนสิบสองขึ้นสิบเอ็ดค่ำออกจากเมือง พระองค์ทอดพระเนตรแล้วทรงพระสรวลตรัสว่า มีความทุกข์ยากแค้นมาจนบัดนี้ พระเจ้าเจงกวนเสวยราชได้ยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ในหนังสือทุก ๆ เมืองมีตราประทับมาให้ คือตราเมืองโป๊เซียงก๊กหนึ่ง ตราเมืองโจเคยก๊กหนึ่ง ตราเมืองเชียตี๊ก๊กหนึ่ง ตราเมืองไซเหลียงก๊กหนึ่ง ตราเมืองเจ๋ไซก๊กหนึ่ง ตราเมืองจูจี๋ก๊กหนึ่ง ตราเมืองปี๊คิวก๊กหนึ่ง ตราเมืองแบ๊กฮวดก๊กหนึ่ง รวมแปดเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่
ยังเมืองน้อยอีกสามเมือง คือตราเมืองโหงเซียนกุ๊นหนึ่ง ตราเมืองเง๊กฮั้วจิวหนึ่ง ตราเมืองกิมเพ่งฮู้หนึ่ง พระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรตราทุก ๆ เมือง แล้วก็เก็บไว้ข้างพระที่
ฝ่ายเจ้าพนักงานเครื่อง ครั้นได้จัดเครื่องเสร็จแล้วก็มากราบทูลพระองค์ทรงทราบแล้ว จึงเสด็จลงจากพระที่นั่งมาจับมือพระถังซัมจั๋งตรัสถามว่า สานุศิษย์ทั้งสามนั้นรู้จักขนบธรรมเนียมหรือไม่ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า สานุศิษย์เป็นชาวป่าดงมีความหยาบคายขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานโทษให้ด้วยเถิด พระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า ไม่ถือโทษตามกิริยาอัธยาศัยของเธอ ก็พร้อมกันไปยังตำหนักตังก๊อก พระถังซัมจั๋งจึงเรียกสานุศิษย์ทั้งสามไปด้วย อาจารย์กับศิษย์และขุนนางซ้ายขวายืนเรียงตามลำดับสองข้าง พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้เสด็จประทับโต๊ะกลางแล้ว ขุนนางซ้ายขวากับพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ทั้งสามพร้อมกันคำนับแล้ว ก็ต่างเข้านั่งตามเกียรติยศ เรียงกันเป็นลำดับต่อ ๆ กันลงไปแล้ว
พวกดนตรีก็บรรเลงขับขานประสานเสียงตามเคย เวลาที่เสวยโต๊ะนั้นเป็นที่รื่นเริงโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง เพราะอาราธนาพระไตรปิฎกมาได้ดังประสงค์ ด้วยพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองแพร่หลายไปได้สิ้นกาลนาน แลให้คำสอนสว่างไสวทั่วไปทั้งอาณาจักร เวลานั้นครั้นเสร็จการเสวยแล้วพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าพระตำหนักใน พวกขุนนางใหญ่น้อยต่างคนก็ออกจากพระราชวังกลับไปยังบ้านเรือนของตนๆ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ ก็พากันกลับไปยังวัดอั้งฮกยี่ ครั้นถึงประตูวัดพระสงฆ์ทั้งหลายก็มาคอยรับอยู่ทั้งสองข้างทาง เห็นพระถังซัมจั๋งมาถึงต่างคนก็ลดกายลงคุกเข่ากระทำนมัสการทุก ๆ รูป พระถังซัมจั๋งก็ลดกายปราศรัยคำนับตอบและทักถามทุก ๆ องค์ แล้วก็พากันเดินตรงเข้าไปยังกุฎิใหญ่ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวายแล้ว พระสงฆ์ทั้งหลายจึงพูดว่า วันนี้เมื่อเวลาเช้าต้นไม้สนทุก ๆ กิ่งหันกลับไปรวมข้างทิศตะวันออก พวกข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านอาจารย์คงจะกลับมาจึงได้พากันออกไปรับท่านอาจารย์ก็จริงเหมือนดังที่นึกหมาย
พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระสงฆ์เล่าให้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นที่ยิ่ง เวลานั้นโป๊ยก่ายกายใจก็ระงับจะกินอยู่ไม่วุ่นวายเหมือนแต่ก่อน เห้งเจีย พระถังซัมจั๋งก็ระงับสุขเพราะได้ลุล่วงซึ่งมรรคผลแล้ว จึงมีกิริยาระงับเงียบไม่ฟุ้งซ่านในความสุข
ฝ่ายพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ พอเวลาได้อรุณก็เสด็จออกขุนนาง พวกขุนนางข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าพร้อมกันทุกตำแหน่ง พระองค์จึงมีรับสั่งแก่ขุนนางข้าราชการทั้งหลายว่า ฟ้ารับพระคุณของพระถังซัมจั๋งน้องเราอันล้ำเลิศหาที่เปรียบมิได้ เราไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาตอบแทนคุณนั้นได้ เมื่อคืนนี้มิได้บรรทมหลับได้แต่งเป็นคำกลอนตอบสนองคุณพอเป็นกิริยาให้ทราบซึ่งจิตนั้น แต่ยังหาได้เขียนลงกระดาษไม่ จึงเรียกขุนนางอาลักษณ์มาเขียน เราจะบอกให้เขียน
ฝ่ายขุนนางอาลักษณ์ เมื่อได้ฟังพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้น ก็เขียนตามรับสั่งมีความว่า
ฟ้าดินใหญ่กว้างประกอบด้วยเหตุไม่มีรูปกายก็จริง
แต่ยังรู้ได้เพราะภาคอันอบรมตามฤดู
พึงกำหนดได้ตามภูมิของสิ่งที่อาศัยธาตุอบรม
ย่อมเป็นไปด้วยกิริยาใหญ่น้อยอันสิ่งในโลกนี้ว่ายากหรือก็ยังกำหนดรู้ได้
ในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
เป็นธรรมอันสุขุมลึกลับละเอียดยิ่งที่จะกำหนดได้
เป็นธรรมอันพิเศษอาจนำสัตว์ออกจากสังสารวัฏทุกข์
ให้ลุถึงพระโลกุตระธรรม จนไม่มีสัตว์มีบุคคล
และ ปราศจากตัณหามานะทิฐิและกิเลศทั้งสิ้นได้
เป็นธรรมที่สุดยิ่งในมนุษย์โลกจะหาที่เปรียบได้
ทั้งกว้างใหญ่อย่างไม่ถึง เป็นยอดแห่งกุศลธรรมของสัตว์ทั้งหลาย
เป็นสรณะที่พึ่งอันเกษมสำราญนิราศภัยอันตรายของสัตว์ทั้งหลายผู้แจ้งแล้วซึ่งธรรมนั้น ซึ่งพระถังซัมจั๋งได้ปฏิบัติโดยความบริสุทธิ์ ตั้งมั่นมิได้หวั่นไหวแพร่งพราย อุตสาหะตั้งใจรับคำสั่งของเราไปยังไซที ทนทุกข์ทรมานมิได้คิดถึงความตายไปจนถึงพระพุทธเจ้า นมัสการขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ได้กลับมาให้เราสมความที่ตั้งใจศรัทธาในครั้งนี้
คุณของพระถังซัมจั๋งหาที่เปรียบมิได้ อันฟ้าและดินที่ใหญ่กว้างก็ยังพอจะประมาณได้ อันคุณของพระถังซัมจั๋งน้องเราในครั้งนี้ เป็นที่สุดหาสิ่งใดเปรียบมิได้
พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ เมื่อตรัสสิ้นคำนั้นแล้ว ขุนนางอาลักษณ์เขียนแล้วก็นำถวายต่อพระหัตถ์ จึงมีรับสั่งให้นิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้ามาเฝ้าในพระราชวัง เวลานั้นพระถังซัมจั๋งมาคอยจะเฝ้าอยู่แล้วพอมีรับสั่งให้หาก็เข้าไปเฝ้า พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้นิมนต์ให้นั่งที่อันสมควรแล้ว จึงหยิบหนังสือนั้นส่งให้พระถังซัมจั๋ง ๆ รับมาอ่านดูตั้งแต่ต้นจนปลายแล้วถวายพระพรว่า ขอพระองค์ได้ทราบ อันถ้อยคำบทกลอนลึกลับนี้ไม่ทราบว่าพระองค์จะให้ชื่อว่าหนังสืออะไร
พระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ตรัสว่า อันถ้อยคำทั้งหลายเหล่านั้น เรากล่าวโดยใจนึกจะให้เป็นกิริยาตอบสนองคุณให้ท่านน้องเท่านั้น แม้จะตั้งชื่อคำนั้นก็ให้เรียกว่า เซี้ยก่าจื่อไม่ทราบว่าจะดีหรือไม่ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่าดีแล้ว งามแล้วหาที่เปรียบมิได้
ฝ่ายขุนนางข้าราชการที่เฝ้าอยู่ในที่นั้น ต่างพร้อมกันสรรเสริญว่า เป็นที่สุดแล้วหาที่เปรียบมิได้ จึงเอาพระราชนิพนธ์ที่ทรงแต่งนั้นคัดลอกจำลองออกประกาศให้แพร่หลายทั่วไปทุกตำบล พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้จึงรับสั่งให้พระถังซัมจั๋งเปิดพระคัมภีร์ออกแสดง พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า แม้พระองค์จะให้อาตมภาพแสดงพระธรรม ต้องจัดที่ให้สมควร ในพระราชวังนี้ไม่ควรจะแสดงธรรมจะเป็นที่หมิ่นประมาทธรรมไป ขอพระองค์ได้ทรงทราบ พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ได้ทรงฟังพระถังซัมจั๋งทูลดังนั้น ก็มีพระทัยยินดี ใส โสมนัส สา จึงตรัสกับขุนนางองครักษ์ว่า ในกำแพงเมืองเชียงอานนี้จะมีพระอารามใดบริสุทธิ์ควรตั้งพิธีแสดงธรรมได้บ้าง
ในหมู่พวกขุนนางนั้นมีขุนนางต้ายฮักสือชื่อเซียวอู๊เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ฟังพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ตรัสถามดังนั้น จึงกราบทูลขึ้นว่า ในกำแพงเมืองนี้มีวัดเจงทะยี่เป็นที่บริสุทธิ์ควรจะตั้งพิธีธรรมได้ พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ขุนนางพนักงานไปจัดแจงพระอาราม แล้วอาราธนาพระคัมภีร์ไปยังวัดเจงทะยี่และจัดที่ให้พรักพร้อม ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลาย ก็ไปจัดการตามรับสั่งทุกประการ ครั้นเสร็จแล้ว พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ก็เสร็จโดยราชรถไปยังวัดเจงทะยี่ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม และขุนนางข้าราชการทั้งปวง ก็พากันตามเสด็จไปยังวัดเจงทะยี่ ครั้นถึงวัดพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ประทับบนพิธีชั้นสูง พวกขุนนางน้อยก็ยืนเฝ้าตามลำดับตำแหน่งยศ พระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้จึงทรงจุดธูปเทียนกระทำสักการบูชาแล้ว จึงนิมนต์ให้พระถังซัมจั๋งเปิดพระคัมภีร์เจริญพระพุทธมนต์
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งครองจีวรสำรวมกิริยาโดยเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าที่โต๊ะบูชาแล้ว สั่งให้โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งรักษาข้าวของกับม้า ฝ่ายเห้งเจียยืนเฝ้ารักษาพระอาจารย์อยู่ข้าง ๆ พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรแก่พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ แม้พระองค์จะให้พระธรรมแพร่หลายทั่วพระราชอาณาเขตของพระองค์แล้ว ขอให้จำลองออกจากพระคัมภีร์เดิมไป ที่ของเดิมเก็บรักษาไว้ยังหอพระไตรดังนี้ จึงจะมั่นคงถาวรต่อไปเมื่อหน้า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังพระถังซัมจั๋งทูลดังนั้น ก็มีพระทัยยินดีจึงรับสั่งให้พวกอาลักษณ์จำลองคัดออกจากคำภีร์เดิมทุก ๆ ผูก แลรับสั่งให้ขุนนางฝ่ายโยธาก่อสร้างพระอารามใหญ่ขึ้นอีกวัดหนึ่งข้างทิศตะวันออกให้เรียกว่า วัดแป๊ะเท่งอึ้งยี่ ครั้นพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว
พระถังซัมจั๋งยกพระคัมภีร์วางบนโต๊ะจะเปิดพระคัมภีร์ออกเจริญพระพุทธมนต์ ได้ยินเสียงลมพัดฉิว ๆ มีกลิ่นหอมเข้ามากระทบนาสิก ที่กลางอากาศท่านท้าวกิมกังทั้งแปดก็สำแดงกายปรากฎออกมา มีเสียงร้องเรียกว่าท่านที่เจริญพระพุทธมนต์นั้น จงวางพระคัมภีร์ลงเสียเถิด จงรีบตามข้าพเจ้าไปไซทีเถิด
เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งกับม้าก็ลอยขึ้นกลางอากาศ พระถังซัมจั๋งวางคัมภีร์ลงแล้วก็ถวายพระพรลาพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ว่า ขอพระองค์อยู่ครองราชสมบัติให้ยิ่งยืนสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลเถิด อาตมภาพจะขอถวายพระพรลาไปหาพระพุทธเจ้าแล้ว ว่าขาดคำลงแล้วก็ลอยขึ้นกลางอากาศ พระถังซัมจั๋ง เห้งเจีย โป๊ยก่ายซัวเจ๋งกับม้าพร้อมด้วยท้าวกิมกังทั้งแปดก็พากันลอยตามลมกลับไปไซที
พระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้กับพวกขุนนางข้าราชการกำลังประชุมอยู่พร้อมกัน แลเห็นดังนั้นก็ตกใจต่างคนคุกเข่าลงคำนับกระทำนมัสการทุก ๆ คน ฝ่ายพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้กับขุนนางกระทำนมัสการแล้ว จึงมีรับสั่งให้จัดพระสงฆ์ราชาคณะที่เชี่ยวชาญเป็นนักปราชญ์มาประชุมตั้งพิธียังวัดเจงทะยี่ ทรงกระทำมหากุศลทั้งบกทั้งน้ำสวดพระคัมภีร์อภิธรรม โปรดช่วยสัตว์ที่ต้องเวรกรรมในนรกและเปรตอสูรกาย เดรัจฉานให้ปราศจากซึ่งทุกข์ภัยอบายภูมิทั้งหลาย แล้วจำลองพระคัมภีร์ออกแจกจ่ายไปทั่วทุกตำบล
ฝ่ายท้าวกิมกังทั้งแปด แผลงฤทธิ์หอบพาพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์กับม้ารวมห้าด้วยกัน ทั้งไปทั้งมารวมแปดวันก็พอถึงเขาเล่งซัว เวลานั้นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายกับหมู่พระอรหันต์ทั้งอุบาสก อุบาสิกา กำลังเฝ้าฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ท้าวกิมกังก็พาพระถังซัมจั๋งเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งกับม้าตรงเข้าไปเฝ้ากระทำนมัสการแล้วทูลว่า ข้าแต่พระพุทธองค์เจ้า ขอได้ทรงทราบด้วยพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพระพุทธเจ้าไปส่งพระถังซัมจั๋งไปยังเมืองใต้ถังนั้น พระถังซัมจั๋งได้นำพระคัมภีร์ธรรมถวายพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้แล้ว บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้กลับมาพร้อมทั้งศิษย์และอาจารย์แล้ว
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแก่พระถังซัมจั๋งว่า ท่านชาติก่อนเป็นสาวกของตถาคต เหตุที่มีจิตเกิยจคร้านหมิ่นประมาทมิได้สดับฟังพระปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้นจึงปรับให้ไปเกิดในประเทศจีนได้อุปสมบทบวชเป็นภิกขุสงฆ์ปฏิบัติอันบริสุทธิ์และได้อุตสาหะมาอาราธนาพระไตรปิฎก เพราะมีความชอบเอาคุณถ่ายโทษแล้ว บัดนี้มีความบริสุทธิ์ตถาคดจะให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านามเรียกว่า เจียนทันกงเต๊กพุทธเจ้า พระถังซัมจั๋งได้รับคำพระพุทธเจ้าตั้งให้ก็มีความยินดีจึงกระทำนมัสการสามครั้งแล้วก็นั่งอยู่ส่วนหนึ่ง
พระองค์ทรงเรียกเห้งเจียเข้ามาใกล้แล้วตรัสว่า เหตุครั้งก่อนตัวทำการจลาจลวุ่นวายแก่เทพยดาเทพารักษ์ เพราะฉะนั้นตถาคตจึงได้ปรับโทษบันดาลเป็นเขาห้ายอดทับไว้ อันภัยร้ายหมดสิ้นแล้วจึงได้พ้นจากโทษและได้รักษาปฏิบัติตามหนทางชอบธรรมอุตสาหะปราบยักษ์มาร มีความชอบ ตถาคตจะพยากรณ์ให้ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในภายหน้า มีนามว่าเต๊าเจี้ยนเส้งพุทธเจ้า เห้งเจียได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ดังนั้นก็มีความยินดีกระทำนมัสการแล้วก็นั่งอยู่ส่วนหนึ่ง
พระพุทธองค์ทรงเรียกโป๊ยก่ายเข้ามาใกล้แล้ว จึงตรัสว่าโป๊ยก่ายเดิมเป็นขุนนางบังคับการพลทหารเรือบนสวรรค์ เหตุเมื่อมหาประชุมเลี้ยงโต๊ะหมู่เทพยดา ตัวทำผิดด้วยเสพสุราเมากำเริบสัพยอกนางฟ้าของเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงปรับโทษให้จุติลงไปเกิดในมนุษย์โลก ร่างกายดังเดรัจฉานอยู่ที่เขาฮกลินซัวถ้ำฮุ้นจั๊นต๋องตั้งสร้างบาปกรรม ได้กลับใจรักษาตามทางสัมมาทิฐิแลได้ตามรักษาปฏิบัติพระถังซัมจั๋งจนสำเร็จธุรการ แต่ยังมีความกำหนัดในรูปเสียงกลิ่นรสยังไม่ระงับ แต่ได้เป็นพาหนะหาบคอนก็มีความชอบมาก จะให้โป๊ยก่ายเป็นที่ตำแหน่งพุทธพิธีทูต โป๊ยก่ายทูลว่าท่านทั้งสองได้เป็นพระพุทธเจ้า ทำไมให้ข้าพเจ้าเป็นพุทธพิธีทูตเล่า พระพุทธองค์ตรัสว่าเพราะด้วยโป๊ยก่ายปากกว้างพุงใหญ่กะเพาะใหญ่ อันฟ้าดินทั้ง ๔ ทวีปก็นับศรัทธาเชื่อต่อพระตถาคตทั้งสิ้น แม้จะตั้งพิธีใด ๆ ก็ดี จะต้องเชิญโป๊ยก่ายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงตั้งให้โป๊ยก่ายเป็นตำแหน่งพุทธพิธีทูตจะได้อิ่มเอิบจะไม่พอใจหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงดังนั้น ก็มีความยินดีกระทำความเคารพแล้วก็นั่งอยู่ส่วนหนึ่ง
พระองค์จึงตรัสแก่ซัวเจ๋งว่า เมื่อเวลามหาประชุมเดิมตัวเป็นราชองครักษ์ของเง็กเซียงฮ่องเต้บนสวรรค์เลี้ยงโต๊ะชุมพู่เซียน ตัวกระทำคณโฑแก้วพลัดตกแตก เง็กเซียงฮ่องเต้ปรับโทษให้จุติลงไปทนทุกขเวทนาอยู่ในลำแม่น้ำ ลิ่วซัวฮ้อกระทำการอยาบช้าสร้างอกุศลกรรมไม่คณนา นับได้ ภายหลังกลับใจได้ปฏิบัติรักษาศีล และได้ตามปฏิบัติรักษาพระถังซัมจั๋งขึ้นเขาลงห้วยมีความชอบเอาคุณถ่ายโทษ เพราะฉะนั้นจะตั้งให้ซัวเจ๋งเป็นตำแหน่ง จะได้สำเร็จเป็นมหาเถรอรหันต์ ซัวเจ๋งคำนับแล้วก็นั่งอยู่ในที่ควรส่วนหนึ่ง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่ม้ามังกรว่า เมื่อเดิมตัวเจ้าเป็นบุตรพระยาเล่งอ๋อง เพราะประพฤติซึ่งความชั่วร้ายโทษถึงประหารชีวิต ได้รอดเพราะกลับใจสมาทานตามพระพุทธศาสนา แลรับเป็นพาหนะกำลังให้พระถังซัมจั๋งขี่ไปไซที เวลากลับก็ได้บรรทุกพระคัมภีร์ มีความชอบจะตั้งให้เป็นหมู่นาคมหาเศรษฐีคอยรักษาพระรัตนไตร เมื่อพระองค์ทรงตั้งตามมรรคผลกุศลธรรมของคนเหล่านั้นแล้ว พระถังซัมจั๋งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งพร้อมกันนมัสการม้าก็นมัสการขอบคุณ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งแก่เจ้าเจี๊ยดที้ให้นำม้าไปยังเขาเล่งซัวผลักลงไปในสระนาคให้แปรร่างกายกลับเป็นนาค เจ้าเจี๊ยดที้ก็นำม้าไปยังสระครั้นถึงก็ผลักม้าลงไปในสระบัดเดี๋ยวก็แปรกายกลับเป็นพระยานาคราช แล้วกลับเหาะมานอนเฝ้าอยู่ยังประตูใหญ่พระอารามพระโพธิสัตว์ ก็พร้อมกันสรรเสริญบารมีอภินิหารธรรมของพระองค์ที่กว้างขวางใหญ่หาที่เปรียบมิได้
เวลานั้นเห้งเจียบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า เวลานี้อาจารย์กับข้าพเจ้าก็รับคำพระพุทธเจ้าตรัสให้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอให้ภาวนาถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออกเถิด หรือยังจะเอาไว้ทำอะไรอีกก็ให้รู้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าเดิมเพราะบังคับเห้งเจียไม่ได้จึงต้องมีมงคล บัดนี้ได้สำเร็จแล้วมงคลก็สูญหายไปเองที่ไหนจะติดอยู่ได้ เห้งเจียจงเอามือลองคลำดูหรือจะมีอยู่หรือเปล่า เห้งเจียจึงยกมือขึ้นคลำบนศรีษะมงคลก็หายไปจริงดังนั้น เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามกับม้าก็ได้สำเร็จมรรคผลตามกำลังของกุศลธรรมที่ตนได้กระทำไว้
ฝ่ายหมู่พระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ สาวกอินทร์ พรหม เทพยดาเทพารักษ์กับหมู่อุบาสก อุบาสิกา ที่ได้มาประชุมฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมนั้น ต่างนมัสการลาแล้วก็กลับไปยังที่ของตนๆ ทุกคนแล้ว
• • • • • • • • • • • • • • • • • •
จบเรื่องไซอิ๋วแต่เท่านี้
รวมแต่วันที่ได้รวบรวมมานั้นได้ ๔๐ เดือนจึงจบบริบูรณ์ตามร่างแปรของนายติ่น ความจริงได้ตัดถ้อยคำที่ขัดขวางเท่านั้นมิได้ตัดรอนในเนื้อเรื่องเลยเปนอันขาด
ขอแต่งกลอนตอนท้ายธิบายขาร โดยตั้งใจไว้วันหน้าอยู่ช้านาน ตามเหตุการณ์แลกระทู้ของครูบา ทั้งข้อความตามที่มีผู้กล่าว เป็นเรื่องราวเท็จจริงสิ่งที่ว่า แห่งท่านครูผู้ประสิทธิ์ลิขิตตรา ได้กล่าวหาแต่งไว้ในนิทาน
ความจริงนั้นท่านซัมจั๋งเธอขลังแน่ ได้ไปแท้ถึงฮินดูเป็นผู้หาญ ได้ลอกคัดจัดคัมภีร์มีพยาน แต่ตามการตามวิสัยของใจจีน เป็นไชนาท่าจะเปลี่ยนเขียนกระดาษ นามก็คลาดไปตามชื่อผู้ถือศีล ระยะทางห่างใจหายต้องป่ายปีน
เดินด้วยตีนขาไปเพราะไกลครัน แต่แผนที่มีชัดในบัดนี้ สิบสี่ปีอยู่ข้างเกินทางเดินสั้น น่าจะเป็นสี่ปีพอดีกัน โดยเหตุฉันเอาใจใส่ในมรรคา
ผู้ที่ทำจำต้องกล่าวให้ยาวยืด หวังเป็นพืชหญิงชายไปภายหน้า ซึ่งให้พบรบยักษ์มีศักดา เรื่องปัญญาหรืออุบายไม่หมายนัก
คนแต่ก่อนค่อนข้างคิดพิศวง จะกล่าวตรงใจไม่ชอบเหมือนหอบผัก
ที่เนื้อหนังมังสาไม่กล้านัก ดวงจิตรักฤทธิ์เดชวิเศษไป
จึงเติมความตามทางหว่างวิถี ให้เกิดมียักษ์มารพาลวิสัย
เพื่อแสดงบาปกรรมที่ทำไว้ บันดาลให้เห็นจริงทุกสิ่งอัน
สำนวนจีนกับฮินดูอยู่ข้างคล้าย มักปีนป่ายปาฏิหาริย์การขันๆ
ที่ยืดยาวกล่าวไว้ในอนันต์ เรานายวรรณได้พิเคราะห์จำเพาะญาณ
โดยเหตุว่าศาสนะของพระพุทธ มีที่สุดสี่สิบห้าว่าวิฐาน
ทรงพระชนม์แปดสิบงุบงิบกาล แต่เรื่องนี้ทีข้างนานหลายร้อยปี
คือหงอคงไปติดอยู่ที่ภูเขา นานไม่เบาห้าร้อยเศษในเขตที่
พระเสด็จเข้านิพพานนานเต็มที แปดสิบปีสิ้นพระชนม์นี่กลใด
เมื่อซัมจั๋งกลับมาเวลาน้อย แล้วกลับถอยไปไซทีนี่ไฉน
ใครเป็นผู้เล่าบอกออกแก่ใคร ฟัง ๆ ไปขัดหูดูรำคาญ
แต่พระธรรมคัมภีร์เป็นมีแน่ นักปราชญ์แปลฉันได้ฟังหวังวิฐาน
ทั้งวัดวาอารามนามโบราณ ระเบียบการปรากฎไม่ปดกัน
แต่ลู่ทางห่างไกลไปลำบาก ฟังก็ยากเอาเป็นจริงทุกสิ่งสรรพ
แปลกแต่นามตามระยะที่ปะนั้น ไฉนหันไปเป็นจีนดูปี่นความ
ทั้งรูปร่างทางท่าสารพัด ดูมันพลัดไปเป็นเจ๊กเด็กมันถาม
ว่าฮินดูผู้เป็นแขกย่อมแปลกนาม ไฉนความชื่อเสียงจึงเลี่ยงไป
ชั้นรูปพระพุทธองค์สงฆ์ทั้งหลาย ก็กลับกลายเสื้อกางเกงนี่เพลงไหน
ชั้นเทวดาท่าทางก็ขวางไป จึงเข้าใจคงจะเรียงตามเสียงคน
ถ้านิทานบ้านแขกคงแปลกรูป ชั้นสถูปเจดีย์ที่กุศล
โบถวิหารการเปรียญก็เหียน วน แล้วแต่คนประเทศไหนก็ไปตาม
จึงจับได้ในปัญญาอัธยาศัย เรื่องของใคร ๆ ผู้ทำไม่จำถาม
ตามวิสัยใจรักประจักความ พอจะตามอนุมานในการไกล
อักษรจีนเขียนด้วยหมึกจารึกรส ก็จำจดด้วยพู่กันขันที่ไหน
เขมรมอญหรือพม่าลังกาไทย ก็เขียนไว้ด้วยใบลาน นมนานมา
ฝรั่งเขาเจ้าความคิดมีฤทธิ์เดช ก็ตามเหตุพิมพ์ผนึกเรื่องศึกษา
ตัวอักษรกลอนความตามสารา เมืองของใคร ๆ ก็ว่าภาษาตัว
แต่ประเทศฮินดูอยู่ข้างนาน มีหลักฐานควรคิดทุกทิศทั่ว
กับเมืองโรมก็โบราณนานเต็มตัว ฉันทราบทั่วธานีที่เป็นเดิม
ตะวันออกนอก กว่าจีนยังปีนป่าย พึ่งตั้งกายทีหลังเขาอย่าเมาเหิม
ตะวันตกก็ฮินดูเป็นหมู่เดิม ไม่ส่งเสริมแสร้งกล่าวยืดยาวมา
ถ้าเฉียงใต้ฝ่ายยุโรปครบทุกชาติ เก่าทายาทอิตาเลียนเฮี้ยนนักหนา
สามประเทศนี้แลใหญ่แต่ไรมา ทั้งศาลารูปเรื่องเมืองใด ๆ
ในท่วงทีมีละม้ายคล้ายกันสิ้น อาการกินนุ่งห่ม สม วิสัย
มายอดแหลมอยู่แต่เราเฒ่าข้างไทย นอกนั้นไซร้ทรวดทรงเขาลงกัน
ฝรั่งแขกแปลกกันไม่มากนัก ทำเยื้องยักผิดเพี้ยนที่เหียนหัน
แต่ท่วงทีมีเสื้อหมวกตามพวกพันธ์ มาทุกชั้นจึงได้แปลกแยกกันไป
ฉันเชื่อแน่แต่ว่าธรรมพระซัมจั๋ง โดยกำลังไปฮินดูรู้นิสัย
เป็นผู้นำคำพระระยะไกล มาสู่ในตะวันออกไม่นอกทาง
แต่ไปมาท่าไหนฉันไม่รู้ เพราะฮินดูมีแต่แขกที่แปลกอย่าง
เขาผู้จดปดจริงสิ่งที่วาง ฉันขออ้างพงศาวดารในการไกล
ได้ทราบแน่แต่อาจารย์ท่านขงจู๊ แกเป็นผู้เกิดพร้อมพระใจสะไสย
เกิดเมืองล่อพ่อแกดีศิวิไลซ์ ระยะไกลแก่สุยถังได้ฟังมา
เพราะเลียดก๊กกับสุยถังตั้งพันปี พระจะมีอยู่ที่ไหนมิใช่บ้า
พระดับขันธ์นิพพานนมนานมา เกือบพันกว่าสุยถังจึงตั้งตน
ซึ่งว่าไปพบพระองค์คงจะปด เรารู้หมดไม่มีแคลงทุกแห่งหน
ว่าพระอยู่บนภูเขามันเข้ากล ยังเป็นคนเป็นสัตว์เห็นขัดครัน
คนโบราณพาลจะปดสดๆ ร้อนๆ พอใจสอนแอบเอาคำธรรมขันธ์
เห็นว่าทางห่างไกลรู้ไม่ทัน พูดสั้นๆ คิดว่าใครจะไม่รู้
ครั้นว่ากาลนานมาเวลาล่วง คนทั้งปวงมีนิสัยเข้าใจอยู่
ก็เสาะสางถางถามเนื้อความครู ที่ท่านรู้เหตุการณ์สถานไกล
เที่ยวสอดถามความจริงทุกสิ่งสรรพ จนรู้ทันรู้เท่าเข้าจงได้
ทำแผนที่ชี้ทิศทั่วกิจไป ก็รู้ได้จริงจังสิ้นทั้งนั้น
ซึ่งตัวฉันพรรณามาทั้งนี้ เพราะเหตุที่เป็นผู้เรียงเขาเถียงฉัน
จำต้องกล่าวยาวความไปตามกัน ผู้นิพันธ์ไซอิ๋วหวาดหวิวใจ
เกรงท่านที่มีปัญญาจะว่าหลง ฉันไม่ปลงไปทั้งนั้นคิดหวั่นไหว
เชื่ออยู่เพียงพระซัมจั๋งเธอตั้งใจ เป็นผู้ไปเชิญพระธรรมแลคัมภีร์
แต่พบปะพระที่ไหนฉันไม่เชื่อ ยอมเพียงเมื่อมัชฌิมะประเทศถึงเขตที่
ในแผ่นดินสุยถังฟังเพียงนี้ เป็นเรื่องดีควรดูทุกผู้คน
โดยสี่คนชนที่ไปใจต่าง ๆ ใครหนักทางใดอยู่ในกุศล
พระซัมจั๋งมีศรัทธายิ่งกว่าคน ทั้งอดทนและเมตตาแกหนาพอ
ส่วนเห้งเจียเงี่ยข้างร้ายฝ่ายโทโส แต่ไม่โง่เปรียวปราดฉลาดปร๋อ
มีจริตสองอย่างท่าทางพอ ในใจคอเป็นคนซื่อถือเมตตา
แต่โป๊ยก่ายร้ายกาจชาติสุกร ทั้งใจร้อนเร็ววามกามตัณหา
ค่อนข้างโง่โมหะอวิชา แต่หากว่าผลบุญช่วยหนุนใจ
แต่ซัวเจ๋งใจคอพอกลาง ๆ อยู่ในทางยุติธรรมกรรมนิสัย
พิเคราะห์ดูกิริยาเวลาไป มีน้ำใจเป็นกลางในทางดี
จึงรวมกันผันผายตามหมายมาด ก็สมคาดคิดจริงทุกสิงสี
ควรคำนึงถึงคำสามัคคี อาจมีผลแท้เป็นแน่นอน
คือคนเดียวท่านก็กลัวว่าหัวหาย ถ้าสองคนเพื่อนตายท่านก็สอน
ถ้าสามคนด้นกลับเรือนเพื่อนที่จร กล่าวเป็นกลอนจากสถานคือบ้านเรือน
แต่สี่คนครบคณะส่วนพระสงฆ์ จัดเป็นองค์อิทธิบาทไม่คลาดเคลื่อน
อาจให้สำเร็จการฌานเป็นเรือน ฉันเห็นเงื่อนคนโบราณวิจารณ์ความ
เฉพาะให้ไปสี่คนด้นเดินป่า เป็นปัญหาควรคิดสะกิดถาม
ที่พบพระจะประสงค์บอกบ่งความ เห็นเป็นนามะธรรมแท้แปลไปดู
ถ้าผู้แต่งมีปัญญาในตาแก้ว คงไม่แจวไปตามเรื่องเครื่องอดสู
ด้วยองค์พระอรหันต์สัพพัญญู เสด็จสู่พระนิพพานเสียนานนม
ด้วยเรื่องนี้ทีหลังฟังก็ขัด แต่จะคัดคนแปลแกกลับถม
โดยเขาดื่มซึมทราบเอิบอาบจม ต้องขืนข่มตามสำเนาของเขาไป
ที่จริงฉันคันปากอยากจะแก้ ส่วนคนแปลเขาไม่ยอมพร้อมลงให้
ได้ค่าจ้างร่างเขียนต้องเพียรไป จนจบได้ยินดีเป็นที่จริง
โปรดอภัยในฉันผู้พรรณา เพราะหวังว่าจะให้เพราะเสนาะยิ่ง
แต่อยู่ข้างติดตลกหัวอกลิง เท็จกับจริงปนกันทั้งนั้นเอย
๚ ะ๛
๏ แปดสิบเอ็ดชุดต้อง ติ่นแปล วรรณเรียบเรียงกระแส สดบ้างนายเล็กออกทุนแล ลุสี่ เล่มนอ จริงอยู่ธรรมที่อ้าง อื่นนั้นโคมลอย ๚๏ เท็จจริงสุดแต่เบื้อง โบราณ ผู้แรกดำริสาร เสกชี้ไปอาจแต่งตามญาณ ญัติชอบ ธรรมนาเป็นลูกจ้างท่านนี้ นึกแล้วแต่นาย ๚๏ จบไซอิ๋วแอบอ้าง เอาธรรม แท้ที่จริงปนกัน แก่นแล.ฟังสนุกนึกขันขัน ขนบเรื่อง ฤทธาสี่สิบมาสร่างแก้ กอปรด้วยการเพียร ๚