Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🦹‍♀️ ไซอิ๋ว เล่ม 2 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🦹‍♀️ ไซอิ๋ว เล่ม 2 แสดงบทความทั้งหมด

19 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 43 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๘)
 เมื่อเหาะมาตามทางเห้งเจียคิดจะไปให้ถึงก่อน แต่ซัวเจ๋งห้ามไว้โดยซัวเจ๋งมีความสงสัยเห้งเจียว่าจะทำอุบายประการใดก็ไม่รู้ เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมาไม่ช้าก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว ลงยังพื้นเดินเข้าไปที่ประตูถ้ำ​แลไปเห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา ทำกิริยาลุกนุ่งห่มไม่ผิดเห้งเจีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ก็ผละจากซัวเจ๋งโดดเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายนี่มึงเป็นปีศาจร้ายที่ไหน จึงอาจสามารถแปลงเป็นรูปเราดังนี้
   ฝ่ายเห้งเจียนั้นก็มิได้โต้ตอบประการใด จับตะบองโดดลงมาจากแท่น ตรงเข้ารบกับเห้งเจีย เห้งเจียทั้งสองรบกันไม่รู้ว่าใครจริงใครปลอม แล้วก็เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ฝ่ายซัวเจ๋งก็เหาะตามขึ้นไปแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยข้างไหนได้ เพราะไม่ทราบว่าคนไหนปลอมคนไหนจริง จึงกลับลงมายังพื้นตีขนาบเข้าไปในถ้ำ พวกลิงเหล่านั้นก็พากันตกใจกลัว จึงหนีกระจัดกระจายไปทั้งสิ้น ซัวเจ๋งเข้าไปค้นหาถุงย่ามก็มิได้พบเห็น จึงเหาะกลับขึ้นไปคิดจะเข้าช่วยรบก็ไม่รู้ว่าคนไหนจะจริงและปลอม เห้งเจียร้องส่งซัวเจ๋งว่า เจ้าช่วยไม่ได้ก็ให้รีบกลับไปบอกแก่พระอาจารย์ว่า ที่นี่มีเหตุขึ้นดังนี้ พี่จะรบล่อมันไปเขาน่ำไฮ้ ให้พระโพธิสัตว์ชำระให้เห็นเท็จและจริง เมื่อเห้งเจียร้องสั่งซัวเจ๋งดังนั้น เห้งเจียปลอมก็ร้องสั่งเหมือนดังนั้นซุ่มเสียงก็ไม่ฝิดกัน ซัวเจ๋งก็เหาะกลับไปหาพระอาจารย์
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางจนมาถึงเขาน่ำไฮ้ พวกเทวดาเทพารักษ์ก็ตกใจตื่น จึงพากันเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ว่า มีเห้งเจียทั้งสองรบกันมาถึงที่นี่แล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมด้วยฮุยไง้เสี้ยนใช้ท่งจื๊อ​กับนางเล่งหนึงลงจากบัลลังก์ เดินออกไปจากสำนักตวาดว่าอ้ายพวกสัตว์มึงจะไปข้างไหน เห้งเจียทั้งสองก็ยั้งมือพูดว่าขอพระโพธิสัตว์ได้ทราบ อ้ายนี่รูปร่างกิริยาเหมือนตัวข้าพเจ้ารบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องจนมาถึงที่นี่ยังไม่แพ้ชนะกัน ซัวเจ๋งเข้าช่วยไม่ได้ข้าพเจ้าให้กลับไปหาอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงรบล่อมาถึงนี่ขอพึ่งพระโพธิสัตว์โปรดเล็งญาณจักษุพิจารณาดู ให้เห็นเหตุเท็จและจริงชั่วดีด้วยเถิด เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเห้งเจียจริงเหมือนกัน
   พระโพธิสัตว์กับเทพยดาทั้งหลาย พิจารณาดูเป็นนานก็มิได้รู้ว่าข้างไหนเท็จข้างไหนจริง พระโพธิสัตว์จึงบอกว่าเจ้าทั้งสองจงละมืออยู่ก่อน เห้งเจียทั้งสองก็ต่างคนต่างถอยออกห่างกัน ทั้งสองข้างต่างพูดว่าข้าพเจ้าจริงข้างนั้นปลอม พระโพธิสัตว์จึงเรียกบัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อมากระซิบสั่งว่า เจ้าทั้งสองจงไปคุมอยู่คนละข้างอาตมาจะร่ายคาถาบีบขมับหัว แม้ว่าคนไหนจริงก็ปวดศรีษะคนไหนปลอมก็ไม่ปวด บัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น ต่างก็แยกกันไปคุมคนละคน พระโพธิสัตว์ก็ร่ายคาถาเห้งเจียทั้งสองก็เจ็บปวดพร้อมกันหมุนคว่ำลงกับพื้น เอามือประคองศรีษะร้องว่าเจ็บปวดทนไม่ได้แล้ว ขอท่านได้งดเถิดอย่าภาวนาเลย พระโพธิสัตว์ก็หยุดภาวนาเห้งเจียทั้งสองหายปวดพร้อมกันก็เข้ารบกันอีกต่อไป พระโพธิสัตว์ก็สิ้นปัญญาไม่รู้ที่จะคิดประการใดจึงร้องเรียกหงอคงคำหนึ่ง เห้งเจียทั้งสองก็ขานรับ พระโพธิสัตว์บอกว่าเห้งเจียเคยขึ้นไปทำจลาจลบน​ดาวดึงส์วิมานสวรรค์ เทวดาอินทร์พรหมก็รู้จักจำได้ทุกคน จงขึ้นไปให้เทวดาอินทร์พรหมพิจารณาเถิดจะได้ชำระตัดสินให้
   เห้งเจียทั้งสองได้ฟังดังนั้น ต่างคนก็คำนับลาไปออกจากน่ำไฮ้รบกันพลางถอยกันพลางต่อสู้กันไป จนขึ้นถึงประตูสวรรค์น่ำทีหมึง พวกเทวดาใหญ่น้อยทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์ แลเห็นดังนั้นก็พากันถืออาวุธออกสกัดกั้นมิให้เข้าไป แล้วร้องถามว่า จะมาทำอะไรกันที่บนนี้ มิใช่ที่สนามรบพุ่งกัน เห้งเจียจึงพูดว่าข้าพเจ้ารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีถึงกลางทาง ข้าพเจ้าตีโจรตายเธอเกลียดข้าพเจ้าไล่ข้าพเจ้ามิให้ตามเธอไปไซที ไม่รู้ว่าอ้ายปีศาจอะไรแปลงตัวเหมือนข้าพเจ้า ไปตีพระถังซัมจั๋งสลบแล้วก็ลักเอาถุงย่ามที่ใส่สิ่งของไปเสีย แลไปชิงเอาที่ถ้ำอยู่ของข้าพเจ้าครอบครองตั้งตัวเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าต่อสู้รบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องไล่กันมาจนถึงน่ำไฮ้ซัว พระโพธิสัตว์ก็พิจารณาไม่ออกไม่รู้ว่าข้างไหนเป็นเห้งเจียปลอม ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาขอให้หมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายช่วยกัน พิเคราะห์ดูว่าใครจะเท็จและจริง เห้งเจียปลอมก็พูดดังนั้นเหมือนกัน
   ฝ่ายหมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายก็พากันพิจารณาดู ก็มิได้รู้ว่าใครเท็จใครจริง เห้งเจียทั้งสองร้องว่าท่านทั้งหลายไม่เข้าใจได้ก็หลีกทางให้ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ พวกเทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่ฟัง จึงเปิดปล่อยให้เข้าประตู เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางเลยเข้าประตูสวรรค์ รบกันมาจนถึงหน้าปราสาทเหลงเซียวเต้ย ​หมู่เทวดาผู้ใหญ่เห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้มีเห้งเจียทั้งสองรบต่อสู้กันมา เทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่อยู่ ร้องว่าจะเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลยังไม่สิ้นความก็ได้ยินเสียงอึกกะทึกเข้ามา เง็กเซียงฮ่องเต้แลไปเห็น พระองค์ก็เสด็จลงจากบัลลังก์ตรัสถามว่า เจ้าทั้งสองมีเหตุอย่างไรจึงได้ล่วงขึ้นมาทำวุ่นวายดังนี้ เห้งเจียทูลว่าขอพระเป็นเจ้าได้โปรด ข้าพเจ้าได้สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ก็ไม่อาจล่วงเกินหมิ่นประมาท เหตุด้วยปีศาจนี้มันแปลงปลอมข้าพเจ้ากระทำการทุจริต
   เห้งเจียก็เล่าความจริงทุกประการให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟัง ขอพระองค์ได้โปรด เห้งเจียปลอมมันก็เล่าให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟังบ้างดุจเดียวกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้น จึงมีรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเอากระจกวิเศษที่จับปีศาจออกมาส่องดู แม้ว่าจริงอย่างไรก็จะรู้ได้หากว่าเท็จก็สูญหายไป
   ถักทะลีทีอ๋องก็เอากระจกนั้นมาส่องดู เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พร้อมกับเทพยดาทั้งหลายพิเคราะห์ดูในบานกระจก ก็แลเห็นเห้งเจียทั้งสองยืนอยู่ในกระจก รูปร่างกิริยานุ่งห่มไม่ผิดกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าใครเท็จใครจริง จึงขับไล่ให้ออกจากสวรรค์ทั้งสองคน เห้งเจียทั้งสองต่างก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราพากันไปหาอาจารย์จึงจะรู้ได้แน่ พูดกันดังนั้นแล้วก็เข้ารบกันต่อไปอีก ซัวเจ๋งตั้งแต่กลับมาหาอาจารย์ จึงเล่าให้อาจารย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เมื่อแรกคิดว่าเห้งเจียตี​อาตมภาพ ไม่รู้เลยว่าปีศาจแปลงเป็นเห้งเจียมาทำร้ายดังนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าปีศาจนั้นมันแปลงเป็นอาจารย์และมากับโป๊ยก่ายคนหนึ่ง และแปลงเป็นข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเอาพลองตีตายกลายเป็นปิศาจลิง แต่ที่มันแปลงเป็นเห้งเจียนั้น ยากที่จะรู้ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พูดกันไปมาประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงบนอากาศอึกกะทึกก้องโกลาหลลงมา จึงพากันออกมาดู ก็เห็นเห้งเจียสองคนรบกันมา
   โป๊ยก่ายแลเห็นก็อดไม่ได้ ตะโกนร้องว่าพี่เห้งเจียอย่าละถอยมันข้าพเจ้ามาแล้ว เห้งเจียทั้งสองก็ร้องเรียกว่าน้องจงมาช่วยพี่ด้วย ซัวเจ๋งบอกแก่อาจารย์ว่า ข้าพเจ้ากับพี่โป๊ยก่ายไปกันออกมาคนละคนแล้วอาจารย์ร่ายคาถา ถ้าคนไหนปวดศรีษะคนนั้นเป็นจริงได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าคิดดังนี้ดี ซัวเจ๋งก็มาจับเห้งเจียคนหนึ่ง บอกโป๊ยก่ายให้จับเห้งเจียคนหนึ่ง ต่างคนต่างจับกันคนละคน ลากมายังหน้าบ้านยายเฒ่า พระถังซัมจั๋งก็ร่ายคาถา เห้งเจียทั้งสองก็พร้อมกัน ร้องปวดศรีษะพร้อมกันทั้งสองคนว่าปวดเต็มทีแล้ว อย่าภาวนาเลยหยุดเถิด พระถังซัมจั๋งก็หยุดไม่ภาวนา ก็มิได้รู้ว่าคนไหนจะจริงคนไหนจะเท็จ เห้งเจียทั้งสองก็เข้ารบกันอีกต่อไป เห้งเจียจึงร้องเรียกโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งสั่งว่าน้องทั้งสองจงรักษาอาจารย์ไว้ พี่จะรบแก่มันไปหาพระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราช ให้พระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราชพิจารณาเพื่อเห็นจริงแล้วจะกลับ เห้งเจียมันก็สั่งดังนั้นเหมือนกันแล้วก็เข้าชุลมุนฟัดเหวี่ยงกันไป มาบัดเดี๋ยวก็ไม่เห็น
   ​โป๊ยก่ายถามซัวเจ๋งว่า เมื่อน้องไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นโป๊ยก่ายปลอมหามของอยู่ ทำไมจึงไม่ชิงเอามาเสียเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าเมื่อเวลานั้นเห็นซัวเจ๋งปลอมข้าพเจ้าก็โจมตีซัวเจ๋งปลอมนั้นตาย พวกมันเห็นดังนั้นก็เข้าล้อมจับข้าพเจ้า ๆ ก็ตีซ้ายป่ายขวา หนีรอดชีวิตมาได้ แล้วภายหลังเห้งเจียทั้งสองกำลังรบกันอยู่กลางอากาศ ข้าพเจ้าได้กลับเข้าไปในถ้ำ เห็นมีชะวากในถ้ำมีน้ำไหล ก็หารู้ว่าประตูนั้นเข้าทางใดไม่ จึงได้กลับออกมา โป๊ยก่ายพูดว่าไม่เข้าใจ เมื่อครั้งก่อนพี่ได้ไปเชิญเห้งเจีย พี่ได้เข้าไปในถ้ำนั้น เห็นพี่เห้งเจียเข้าไปผลัดเครื่องนุ่งห่ม เธอดำน้ำเข้าไปที่ชะวากน้ำไหลนั้น ชะรอยจะเป็นประตูในอยู่ตรงนั้นเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปค้นดูในเวลาเมื่อมันไม่อยู่ดังนี้ จะได้ถุงย่ามของเราดอกกระมัง ครั้นได้มาเราจะได้พากันไป แม้เห้งเจียจะมาเราก็ไม่ต้องการ โป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้น ก็พูดว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ หมายตรงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบล่อกันมาจนถึงประตูเมืองนรก พวกหมู่ผีทั้งหลายได้ยินเสียงกึกก้องหวั่นไหวก็ตกใจ พากันหนีซุกซ่อนเอาตัวรอด ที่ใจกล้าก็วิ่งเข้าไปบอกพระยาเงียมฬ่ออ๋องว่า ขอใต้อ๋องให้ทราบ บัดนี้มีเห้งเจียรบกันกึกก้องโกลาหล ใกล้ประตูเข้ามาแล้ว เวลานั้นพระยามัจจุราชกำลังประชุมพร้อมกันทั้งสิบองค์ยัง​ตำหนักซุมลอเต้ย ได้ยินพวกผีมาบอกดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เกณฑ์ทหารมาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ยคอยระวังอยู่ แลให้ไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง นิมนต์มาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ย ประเดี๋ยวก็เห็นเห้งเจียทั้งสองรบกันชุลมุล เข้ามาถึงหน้าตำหนักซุมลอเต้ย พวกทหารก็ออกมาสกัดกั้นไว้ ถามว่าท่านมีเหตุอย่างไรจึงได้รบกันวุ่นวายเข้ามาถึงนี่เล่า
   เห้งเจียจึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังแล้ว จึงพูดว่าบัดนี้ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านเงียมฬ่ออ๋องเอาบัญชีสารบบออกมาตรวจดู เพื่อจะได้รู้ว่าอ้ายเห้งเจียปลอมคนนี้มันเกิดมาแต่ไหน จะได้จับเอาวิญญาณและขับไล่มันไปเสียให้พ้น อย่าให้มันมาทำวุ่นวายขึ้นอย่างนี้อีกต่อไป เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเดียวกัน เงียมฬ่ออ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้สมุห์บัญชีค้นสารบบตรวจดูจนตลอด ก็ไม่เห็นมีเห้งเจียปลอม เอาสารบบพวกสัตว์มีขนมาตรวจดูร้อยสามสิบแห่ง ที่แห่งวานรนั้น เมื่อครั้งเห้งเจียได้สำเร็จภาคย์ลงมาแผ่อำนาจ เอาสารบบมาลบชื่อวานรเสียหมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมาชื่อลิงก็ไม่มีจนเท้าทุกวันนี้
   ครั้นตรวจดูแล้วพระยาเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบองค์บอกแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ตรวจดูแล้วในสารบบทั้งหลายไม่มีชื่อ แม้ว่าจะให้เห็นจริงก็เชิญท่านกลับขึ้นไปยังมนุษย์โลกนั้นเถิด เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋องพูดว่าจงยั้งก่อน อาตมภาพจะให้ (ที่เทีย) ฟังดูก็จะรู้ว่าใครจะเท็จแลจริง อันที่เทียนั้นคือ​สัตว์คล้ายสิงห์โต นอนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเตจองอ๋อง หากนอน กกอยู่กับดินแล้วก็ฟังรู้ได้ตลอดซึ่งการร้ายและดี เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง จึงมีคำสั่งให้สัตว์ที่เทียนั้นนอนฟัง สัตว์นั้นก็นอนราบลงกับพื้น บัดเดี๋ยวก็เงยศรีษะขึ้นบอกแก่พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องว่า อันปีศาจเห้งเจียปลอมนี้ก็จริง แต่ไม่ควรจะพูดออกในเวลานี้ แลมีกำลังจะช่วยจับก็ไม่ได้ พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องถามว่าเหตุใดจึงจะช่วยไม่ได้และทำไมจึงไม่ควรจะพูดออก ทีเทียพูดว่าแม้พูดออกในเวลานี้ก็จะเกิดจลาจลวุ่นวายที่ตำหนักซุมลอเต้ยนี้ก็มิได้เปนสุข และกำลังฤทธิ์อานุภาพนั้นก็เสมอกับเห้งเจีย ในนรกนี้จะมีใครฝีมือสักเท่าใดจึงจะช่วยจับได้
   พระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง ถามว่าถ้าดังนั้นจะทำประการใดดี ทีเทียบอกว่าอภินิหารแห่งพระพุทธ พระธรรมไม่มีผู้ใดเสมอ เตจองอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้ จึงบอกแก่เห้งเจียว่าท่านทั้งสองรูปร่างเหมือนกันฤทธาอานุภาพเสมอกัน แม้จะให้เท็จแลจริงแล้ว จงรีบไปไซทีหาพระยูไลที่วัดลุ่ยอิมยี่เถิดจึงจะได้รู้แน่ เห้งเจียทั้งสองพร้อมกันพูดว่าเห็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะขอลาไป เห้งเจียทั้งสองก็รบกันขับเขี้ยวไปมา แล้วพูดว่าเราทั้งสองจงไปไซทีหาพระยูไลชำระให้เห็นจริง พูดแล้วก็เข้าบุกบั่นรบกันต่อไป
   ฝ่ายพระยาเงียมฬ่ออ๋องก็ส่งพระโพธิสัตว์ไปยังที่ เงียมฬ่ออ๋องทั้งหลายก็กลับไปยังที่ เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางเหาะพลางมาจนถึงเขาเล่งจื้อซัว เสียงอึกกะทึกกึกก้องโกลาหลหวั่นไหวในพื้นพสุธา​เวลานั้นหมู่เทพยดาอินทร์พรหมและหมู่สาวกทั้งหลาย กำลังแวดล้อมเฝ้าพระยูไลเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ในพระอารามใหญ่ พระยูไลก็เคลื่อนลงจากบัลลังก์แก้ว ตรัสแก่อินทร์พรหมและเทพบุตรสาวกทั้งหลายว่า บรรดาที่มาสดับธรรมเทศนาจงสำรวมจิตอันหนึ่งคอยดู สองจิตรบกันมาแล้ว ในหมู่ประชุมก็ตั้งตาคอยแลดู จึงเห็นเห้งเจียทั้งสองต่อสู้กันมา ร้องฟ้าร้องดินอึกกะทึกมาถึงหน้าอารามลุ่ยอิมยี่ หมู่เทพบุตรกับเจ้ากิมกังทั้งหลายก็ออกสะกัดกั้นไว้ .แล้วถามว่านี่จะรบกันไปข้างไหน
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันแปลงทำเหมือนรูปข้าพเจ้า ๆ จะมาหาพระยูไล ขอให้ท่านพิจารณาดูให้รู้แน่ว่าเท็จและจริงประการใด หมู่เทพยดาอินทร์พรหมทั้งหลายกั้นกางไว้ไม่อยู่ ก็เลยล่วงเข้ามาถึงที่หน้าพระ ต่างคุกเข่าลงนมัสการแล้ว จึงเล่าแต่ต้นจนปลายให้พระยูไลฟัง พูดว่าข้าพเจ้าไปถึงชั้นฟ้าและลงไปยังเมืองนรกก็ไม่มีใครสามารถจะพิจารณารู้ได้ จึงได้มาเฝ้าพระองค์เจ้า ขอพระบารมีได้โปรดทรงพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริง ข้าพเจ้าจะได้กลับไปรักษาพระถังซัมจั๋งพามานมัสการพระพุทธองค์ อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมกลับไปเมืองใต้ถัง กระทำให้แพร่หลายแก่มหาชนในประเทศทิศบูรพา
   พระยูไลเจ้าเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ทรงทราบในพระญาณว่าเท็จจริงประการใดแล้ว พระองค์จะทรงแสดงให้แจ้งทันใดนั้น บังเอิญแลไปเห็นเมฆสีเขียวลอยลิ่วมา ครั้นถึงแลเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมลงจากเมฆเข้ามาเคารพพระยูไลเจ้าแล้ว พระยูไลเจ้า​ถามว่า กวนอิมรู้บ้างหรือว่าเห้งเจียทั้งสองนี้ใครจริงใครเท็จ พระกวนอิมทูลว่าเดิมได้มาที่สำนักข้าพเจ้า ๆ พิจารณาไม่ออก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้พระองค์โปรดให้เห็นเท็จและจริง พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่ากวนอิม ถึงจะมีอภินิหารใหญ่กว้างก็จริง จะพึงรู้ได้แต่การโลก หารู้หมดซึ่งสัตว์เกิดนั้นไม่ และหารู้มูลรากของสัตว์ได้ไม่ พระกวนอิมจึงเคารพขอให้พระองค์โปรดทรงแสดง พระจึงตรัสว่า อันในโลกนี้มีภูมิห้า คือฟ้าหนึ่ง ดินหนึ่ง เจ้าหนึ่ง มนุษย์หนึ่ง ผีเปรตหนึ่ง แลมีปูมห้า เลี่ยนหนึ่ง เกล็ดหนึ่ง ขนหนึ่ง ปีกหนึ่ง ปุ่มหนึ่ง
   ที่เห้งเจียทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวอยู่ในภูมิห้านี้ มีนามเรียกว่ามูลวานร ลิงที่หนึ่งนั้นนามเรียกว่าเจี๊ยเก๊า แปลงกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และรู้ฟ้าดินและเหตุร้ายดี ลิงที่สองนั้นนามเรียกว่าเบ๊เก๊า เข้าในทางอากาศฟ้าดินรู้การของมนุษย์ได้หนีตายทำให้อายุยืนได้นานปี ลิงที่สามนั้นนามเรียกว่าอวนเก๊า จับพระอาทิตย์พระจันทร์รวบพันธ์ภูเขาเข้าได้เป็นหนึ่ง เล่นฟ้าเล่นดินทดเข้าออกทำได้ดังนึก ลิงที่สี่นั้นนามเรียกว่ามิเก๊าหูฟังได้ทุกอย่าง เข้าใจตรวจกิจพิจารณาการรู้ข้างหน้าข้างหลังรู้แจ้งซึ่งการทั้งปวง ลิงทั้งสี่นี้ไม่ร่วมอยู่ในภูมิห้าปูมห้าไม่เข้าหมู่สองจำพวกนี้
   ตถาคตพิจารณาดู หงอคงปลอมนั้นคือลิงมิเก๊า ๆ แม้จะยืนอยู่ในที่เดียว ๆ การไกลพันโยชน์ก็อาจเข้าใจได้ มนุษย์พูดจาว่ากระไรก็รู้ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นรูปร่างน้ำเสียงจึงอย่างเดียวกันแก่เห้งเจีย
   ​มิเก๊าได้ยินพระตรัสดังนั้น ถูกต้องมูลเหตุของตัวอกใจก็ให้ไหวหวาด จะรีบเหาะหนีเอาตัวรอด พระยูไลตรัสสั่งให้หมู่เทพบุตรล้อมไว้ เห้งเจียจะตรงเข้าตี พระยูไลก็ทรงห้ามว่าเห้งเจียอย่าทำเขาเลย ตถาคตจะจับให้ ลิงมิเก๊าจิตใจให้สะดุ้งกลัวคิดว่าจะหนีไปไม่พ้น ก็ไหวกายแปลงเป็นแมลงผึ้งรีบบินหนีไป จึงพระยูไลเอาบาตรขว้างไปครอบไว้ แมลงผึ้งก็เข้าอยู่ในบาตร พระองค์ก็ทรงเรียกบาตรนั้นกลับคืนมา ทรงตรัสแก่เทพบุตรทั้งหลายว่า ลิงมิเก๊าอยู่ในบาตรตถาคตแล้ว จึงหมู่เทพยดาทั้งหลายได้พากันมาดู ก็ได้เห็นลิงมิเก๊านอนคุดอยู่ในบาตร เห้งเจียอดไม่ได้เอาตะบองกระทุ้งศรีษะทีหนึ่ง ลิงมิเก๊าก็ถึงแก่ความตาย เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ลิงมิเก๊าจึงได้สาปสูญตั้งแต่นั้นมา
   พระยูไลเห็นดังนั้น ก็ไม่เป็นที่พอพระทัย ทรงตรัสว่าทำไมเห้งเจียจึงทำดังนี้เล่า เห้งเจียกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระกรุณาแก่สัตว์ชั่วร้ายอย่างนี้เลย มันตีอาจารย์ข้าพเจ้าแล้วและเอาเข้าของมาเสียด้วย โทษมันก็ควรถึงแก่ความตายอยู่แล้ว พระยูไลจึงสั่งให้เห้งเจียรีบไปรักษาพระถังซัมจั๋งเถิด เห้งเจียคุกเข่าเคารพทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบพระอาจารย์ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าไปร่วม ข้าพเจ้ากลับไปจะเสียเวลาเปล่า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสกถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะได้ทูลลาพระองค์ไปอยู่ยังที่เดิม พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสแก่เห้งเจียว่าเห้งเจียอย่าคิดวุ่นวายไป ตถาคตจะให้พระกวนอิมไปส่งถังซัมจั๋ง​เธอก็ต้องให้ไปอยู่เอง เห้งเจียจงอุตส่าห์รักษาพระถังซัมจั๋งให้ตลอด เมื่อเวลาสำเร็จแล้วจะได้ขึ้นนั่งบนแท่นบัว
   พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างนั้นได้ยินพระองค์ตรัสแก่เห้งเจียดังนั้น ก็กระทำเคารพลาพาเห้งเจียออกจากพระอาราม เหาะขึ้นกลางเวหาแล้วก็ตรงไป ครั้นถึงบ้านยายเฒ่าที่พระถังซัมจั๋งอาศัยอยู่ก็ลงยังพื้น ฝ่ายคนในบ้านกับซัวเจ๋ง แลเห็นก็บอกแก่อาจารย์ออกมานิมนต์พระโพธิสัตว์ ๆ พูดว่า เมื่อวันก่อนที่ตีถังซัมจั๋งนั้น คือลิงมิเก๊า ต่อไปหาพระยูไลบอกให้จึงได้รู้แจ้ง บัดนี้เห้งเจียก็ตีตายแล้ว ส่วนเห้งเจียนั้นต้องให้ตามรักษาไปตามเดิม เมื่อเวลาเดินทางไปพบผีปิศาจยักษร้ายสัตว์ร้าย เธอจะได้ช่วยป้องกันไปกว่าจะถึงเขาเล่งจิ๋วซัว จะได้อาราธนาพระธรรมอย่าให้โกรธขึ้งเคืองแค้นเธอจะเสียการอันใหญ่ในเบื้องหน้า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระกวนอิมสั่งสอน ก็เคารพรับคำสั่ง เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังขอบคุณพระโพธิสัตว์ ก็ได้ยินเสียงลมกระพือมา คนทั้งหลายแลไปเห็นโป๊ยก่ายเหาะมาบนอากาศ หลังสะพายถุงย่ามมาถึงก็ลงยังพื้น โป๊ยก่ายแลไปเห็นพระโพธิสัตว์ก็คุกเข่าลงเคารพนมัสการแล้ว จึงพูดว่าข้าพเจ้าไปถึงเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นพระถังซัมจั๋งปลอม โป๊ยก่ายปลอม ข้าพเจ้าตีตายทั้งสองคน แต่อันที่จริงมันเป็นลิงปีศาจ ข้าพเจ้าเอาถุงย่ามมาตรวจก็ไม่หายอะไรสักสิ่งเดียว ได้แล้วก็กลับมา แต่ยังไม่ทราบว่าเห้งเจียทั้งสองนั้นจะตกไปถึงไหน พระโพธิสัตว์จึงเล่าความให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ ​โป๊ยก่ายก็มีความยินดีหาที่สุดมิได้ อาจารย์แลศิษย์ก็พากันเคารพพระโพธิสัตว์ก็เหาะกลับไป อาจารย์กับศิษย์ก็ร่วมจิตกันตามเดิมจึงลายายเฒ่าเจ้าของบ้าน จัดแจงพร้อมแล้วก็พากันออกเดินเข้าทางใหญ่หมายทิศปราจิณ

18 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 42 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๖)
 เดินพลางชมพลางตามแนวป่า แลไปก็เห็นภูเขาสูงก็พากันเดินข้ามเขาไปทางทิศตะวันตก เป็นเนินลาดเสมอ โป๊ยก่ายจะแผลง​ฤทธิ์ก็ส่งหาบให้ซัวเจ๋งหาบ โป๊ยก่ายก็เอาคราดไล่ม้าให้วิ่ง เห้งเจียถามว่านั่นจะทำอะไรกัน โป๊ยก่ายว่าเวลาก็จวนจะค่ำ ตั้งแต่ขึ้นเขาเดินมาก็เกือบวันหนึ่งแล้ว ในท้องก็หิวโหยวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะใคร่หาบ้านคนจะได้บิณฑบาตข้าวกินสักมื้อหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่จะไล่ม้านั้นให้ไปเร็ว ๆ ว่าแล้วเห้งเจียก็ชักตะบองออกเดินมาใกล้ม้าเอาตะบองแกว่งหมุนทีหนึ่ง ม้าก็วิ่งดุจลูกเกาทัณฑ์ ถามว่าม้าทำไมกลัวเห้งเจียไม่กลัวโป๊ยก่ายนั้นเป็นอย่างไร มีคำตอบว่า เห้งเจียแต่ก่อนเมื่ออยู่บนสวรรค์เคยเลี้ยงม้าปราบเสียออกเข็ดฝีมือ อาศัยเหตุนี้มาจนทุกวันนี้ม้าก็ต้องย่อมกลัววานรทุกตัวไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ายอไม่หยุดไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็จับบังเหียนรั้งกดลงกับอานปล่อยวิ่งไปตามวิสัย ประมาณทางสักสองร้อยเส้นจึงค่อย ๆ เดิน เมื่อกำลังเดินมาได้ยินเสียงม้าฬ่อเสียงคนร้องกู่ข้างทางคะเนเสียงสักสามสี่สิบคน แลไปก็เห็นคนเดินออกมา มือถืออาวุธทุก ๆ คนออกสกัดหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วถามว่าพระสงฆ์นั้นจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งให้อกสั่นขวัญหาย นั่งไม่อยู่พลัดตกจากหลังม้าลงมา ลุกขึ้นยืนข้างทางร้องว่าท่านใต้อ๋องยกชีวิตให้ข้าพเจ้าเถิด
   ฝ่ายหัวหน้าโจรสองคนพูดว่า เราไม่ทุบไม่ตีมีสิ่งของอะไรก็เอามาให้เราเสียโดยดีแล้วก็ไม่ต้องทุบตี พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้แน่ว่าพวกโจร จึงเดินมาพนมมือพูดว่า อาตมภาพมาจาก​เมืองใต้ถังฝ่ายทิศบูรพา มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้อาตมภาพไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จากบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว แม้มีโสหุ้ยเสบียงอาหารมาก็หมดสิ้นแล้ว อาตมภาพเป็นสงฆ์ไปถึงไหนก็บิณฑบาตเขาฉัน พอเลี้ยงชีวิตไปเท่านั้น ไม่มีเงินทองข้าวของสิ่งใดเลย ขอท่านได้กรุณาเถิด
   ฝ่ายนายโจรทั้งสองพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งใจคอยดุจเสือมาสกัดทางอยู่ ปราถนาจะประสงค์ทรัพย์สมบัติเงินทอง จะให้เราผ่อนผันอย่างไรได้ หากว่าเงินทองข้าวของไม่มีจริงแล้ว เสื้อผ้าก็ควรถอดออกมาให้ และทิ้งม้าไว้ที่นี่แล้ว เราจึงจะปล่อยให้ไปได้ หาไม่ก็ไม่ฟังกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันเสื้อผ้านั้นขาด ๆ เสีย ๆ อาตมภาพบิณฑบาตเขามาพอพันกายท่านจะให้ถอดออกจากกายดังนี้ ก็เหมือนฆ่าอาตมภาพเสียเหมือนกัน จะเป็นบาปกรรมแก่ท่านต่อไปหาควรไม่ นายโจรได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็โกรธฉวยไม้พลองตรงมาจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้จักการกลับกลอก เห็นการจวนตัวไม่รู้ที่จะแก้ไขอย่างไรได้ จึงพูดว่าท่านอย่าเพิ่งลงมือ อาตมภาพมีศิษย์มาด้วยข้างหลังมีเงินติดตัวมาสองสามตำลึง รอมาถึงอาตมภาพจะเอาให้ท่าน นายโจรพูดว่า สงฆ์ผู้นี้พูดกลับกลอกเอาเชือกมัดเสียจึงจะได้ พวกบริวารก็เอาเชือกมัดพระถังซัมจั๋งชักโยงขึ้นบนต้นไม้สูง
   ฝ่ายศิษย์ทั้งสามวิ่งตามหลังมา โป๊ยก่ายหัวเราะไม่หยุด แล้ว​พูดว่าพระอาจารย์ห้อใหญ่ไปตามสบายใจแล้ว ไม่รุ้ว่าจะไปถึงไหน โป๊ยก่ายเหลือบไปเห็นอาจารย์แขวนห้อยอยู่บนต้นไม้สูง จึงร้องบอกเห้งเจีย ซัวเจ๋ง ให้ดูว่าอาจารย์คอยอยู่โน่นแล้ว ใจคออาจสามารถขึ้นอยู่บนต้นไม้สูงผูกชิงช้าไกวเล่นตามสบายใจ เห้งเจียแลไปเห็นแล้วว่าเจ้าอย่าพูดให้เลอะเทอะ อาจารย์เราถูกแขวนอยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าสองคนค่อย ๆ เดิน พี่จะรีบไปก่อนหากจะมีเหตุอะไรดอกกระมัง เห้งเจียก็รีบขึ้นเนินเขาสูงแลไปก็เห็นพวกโจรตั้งอยู่เป็นหมู่ เห้งเจียดีใจพูดว่าดีแล้วลาภจะมาถึงแล้ว พูดดังนั้นแล้วก็แปลงตัวเป็นสามเณรน้อยอายุประมาณสิบหกขวบ บนบ่าสะพายห่อผ้าใหญ่เดินตรงมาที่อาจารย์ร้องเรียกว่าอาจารย์นั้นเป็นเหตุอะไร พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้รู้ว่าเห้งเจีย จึงพูดว่าทำไมจึงไม่ช่วยแก้เราเล่า
ตอน หงอคงตัวปลอม (ช่วงที่1)
เห้งเจียถามว่านั่นเพราะเหตุอะไรจึงได้เป็นดังนี้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าพวกเหล่านั้นสกัดทางเราไว้มิให้เราไป จะทวงเอาค่าเดินทางสิ่งของไม่มีจะให้เขา ๆ จึงมัดแขวนไว้อย่างนี้ คอยว่าเห้งเจียมาจะได้คิดดูมีอะไรจะได้ให้เขา เพราะเหตุดังนี้เราจะทำประการใดดี เห้งเจียถามว่าอาจารย์ได้พูดจารับรอง ผ่อนผันไว้แก่เขาอย่างไรบ้างเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าเขาเร่งรัดจะมาตีมาทุบ อาตมภาพก็ไม่รู้ที่จะแก้ตัวอย่างไร จึงได้อ้างว่าข้าวของมีอยู่ที่เห้งเจีย อย่าเพิ่งทุบตีให้คอยสานุศิษย์ก่อนพวกเหล่านี้จงหยุดให้ เป็นเวลาที่เข้าคับแค้นจงได้พูดดังนั้น เห้งเจียพูดว่าดีแล้วตามอาจารย์พูดอย่างนี้ก็สมควรถูกต้องแล้ว
​ ฝ่ายนายโจรแลบ่าวไพร่เห็นเห้งเจียพูดโต้ตอบกับอาจารย์ดังนั้นก็พากันกรูเข้าล้อม นายโจรเข้ามาใกล้พูดว่าสามเณรอาจารย์นั้นบอกว่า ข้าวของเงินทองอยู่ที่สามเณร ๆ จงรีบเอามาให้เราโดยเร็วเราจะยกชีวิตให้ แม้พูดขัดขวางสักครึ่งคำไม่พอใจเรา เราจะให้ชีวิตวินาศลงกับพื้นเดี๋ยวนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็วางถุงลงแล้วพูดว่า ท่านอยุติธรรมทั้งหลายไม่ต้องทวงถามไปทำไมกับข้าวของ ในห่อนี้มีทองคำไม่สู้มากหนักยี่สิบแท่ง เงินสักสามสี่สิบแท่งเงินที่ละเอียด ๆ ยังไม่ได้คิด จะต้องประสงค์แล้วจงเอาไปทั้งห่อเถิด ขอแต่อย่าตีอาจารย์ของอาตมภาพเลย คำโบราณท่านย่อมว่าเงินทองเป็นของปลายเหตุ มีกุศลแลบุญย่อมเป็นต้นเหตุ เงินทองเป็นของปลายพวกอาตมภาพก็เป็นพระเป็นสงฆ์ก็มีแต่เที่ยวบิณฑบาต ขอท่านได้แก้ปล่อยอาจารย์ออกมาก่อนแล้ว อาตมภาพจะนำของเหล่านี้มอบให้ท่านทั้งสิ้น ฝ่ายโจรเหล่านั้นเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าตาสงฆ์แกเหนียวแน่นสามเณรเล็กนี้ดีไม่ขี้เหนียว นายโจรทั้งสองจึงบอกให้พวกบริวารโจรเหล่านั้นแก้มัดพระถังซัมจั๋งลงมา แล้วก็ขึ้นม้าหนีไป เห้งเจียเอาแซ่หวดม้าเข้าสองสามทีม้าก็วิ่งไปทางเก่า เห้งเจียร้องว่าไปผิดทางแล้วเห้งเจียจะฉวยห่อวิ่งตามไป พวกโจรก็เข้าล้อมสะกัดไว้ถามว่าจะไปข้างไหนข้าวของเอาไว้ก่อนอย่าให้ถึงลงมือ เห้งเจียว่าของนั้นจะต้องปันเป็นสามส่วน นายโจรพูดว่าเจ้าเณรน้อยนี้กลับกลอกทำกลอุบายแต่พอให้อาจารย์หลุดเท่านั้น ของในนั้นมีมากน้อยเท่า​ใด ถ้ามีมากก็จะแบ่งปันให้ไปซื้อผลไม้กิน เห้งเจียว่าเอาข้าวของที่ไหนมามีเล่า พี่ทั้งสองหากเป็นนายโจรไปปล้นที่ไหนได้ข้าวของ ขอให้มาแบ่งให้แก่ข้าพเจ้าบ้างซิจึงจะชอบ นายโจรได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วพูดว่าเจ้าเณรนี้ไม่รู้จักความตายเลย ข้าวของก็ไม่ยอมให้กลับจะมาขอแบ่งส่วนเอาที่ข้าจงดูไม้ตะพดลายนี้เถิด นายโจรก็ตีศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที เห้งเจียก็มิได้แสดงความเจ็บปวดหน้าตาปรกติอยู่กลับหัวเราะเสียงดังสนั่น พูดว่าพี่ถ้าตีดังนี้ตีอีกพันทีก็ไม่รู้สึกว่าเจ็บอย่างไร นายโจรเห็นดังนั้นก็ตกใจพูดว่าเจ้าเณรน้อยคนนี้หัวมันช่างแข็งจริง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าไม่แข็งถึงดังนั้นดอกพูดเล่นตามการดังนั้นเอง พวกโจรก็ไม่ฟังถ้อยคำกรูเข้ามาสามสี่คนตีเห้งเจีย เห้งเจียร้องห้ามว่าท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งโกรธก่อน รอข้าพเจ้าจะเอาออกมาให้ พูดแล้วเห้งเจียก็ชักออกจากหูเป็นเข็มปักอันหนึ่งแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนบวชเรียนเงินทองไม่มี ๆ แต่เข็มเล่มหนึ่งนี้ให้แก่ท่านเท่านั้น
   นายโจรก็นึกเสียใจว่าปล่อยพระสงฆ์ที่มีเข้าของไปเสียแล้ว จับสามเณรคนจนไว้เราไม่เข้าใจเย็บสอยจะเอาเข็มไปทำอะไรได้ เห้งเจียเห็นนายโจรพูดว่าไม่ต้องการก็จับแกว่งทีหนึ่ง ก็ใหญ่ขึ้นเท่าตะบองอันหนึ่งปักลงยังพื้นแล้ว ร้องบอกว่าท่านทั้งหลายมาถอนเอาไปได้แล้วข้าพเจ้าจะยกให้ นายโจรทั้งสองก็มาสั่นถอน คิดดูก็น่าสงสัย เปรียบประดุจตั๊กแตนจับเสาศิลา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กระโดดมา​จับถอนเบา ๆ ก็ขึ้นแล้วเอาตะบองชี้พวกโจรว่า พวกเจ้าไม่รู้จักมาโดนเข้าเสียแล้ว นายโจรโกรธเอาพลองตีศรีษะเห้งเจียอีกห้าหกสิบที เห้งเจียก็หัวเราะพูดว่า พวกเจ้าตีข้าเมื่อยมือแล้ว ทีนี้จะต้องให้ข้าตีบ้าง ว่าแล้วเห้งเจียก็ออกท่าตะบองหวดไปทีหนึ่ง ถูกนายโจรล้มลงกับพื้นสิ้นใจตาย นายโจรอีกคนหนึ่งเห็นดังนั้น ก็ด่าว่าอ้ายโล้นนี้ไม่รู้จักธรรมเนียม ข้าวของก็ไม่ให้กลับมาฆ่าคนเสียดังนี้ เห้งเจียว่าจงเงียบยับยั้งก่อน คอยเราตีเสียให้ตายทุกคนให้สิ้นรากเหง้าจึงจะได้ ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองหวดไปทีหนึ่งถูกนายโจรล้มลงตายอีกคนหนึ่ง พวกบริวารเหล่านั้นก็ตกใจพากันวิ่งหนีไปทั้งสิ้น
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกำลังม้าวิ่งกลับไป ก็มาพบโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ๆ ร้องว่าอาจารย์ทำไมเดินมาทางนี้เล่า ผิดทางเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งชักม้าหยุดแล้วพูดว่า จงรีบไปบอกแก่เห้งเจียว่า อย่าให้ลงตะบองเลย จงเห็นแก่เพื่อนมนุษย์เถิดอย่าทำให้ถึงแก่ความตายเลย โป๊ยก่ายว่าอาจารย์จงหยุดพักก่อน ข้าพเจ้าจะไปบอกเธอเอง พูดแล้วโป๊ยก่ายก็รีบวิ่งไปใกล้จะถึง ร้องตะโกนว่าพี่เห้งเจีย พระอาจารย์สั่งว่าอย่าตีคนเลย เห้งเจียว่าใครได้ทันตีใครที่ไหนเล่า โป๊ยก่ายถามว่าพวกโจรไปข้างไหนหมดเล่าจึงไม่เห็นสักคนเดียว เห้งเจียบอกว่าพวกบริวารของมันหนีไปหมดแล้ว เหลือแต่นายมันสองคนยังนอนหลับอยู่ โป๊ยก่ายเดินเข้ามาใกล้แลดูเห็นคนนอนอยู่ น้ำเมือก​อะไรไหลออกมาเปรอะหัวดังนั้น เห้งเจียบอกว่าพี่พึ่งตีตายหัวสมองทะเล้นเยื่อออกมา
   โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ตกใจวิ่งกลับไปบอกพระถังซัมจั๋งว่า พวกโจรกลับไปหมดแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่า มันไปทางไหน โป๊ยก่ายบอกว่าพี่เห้งเจียตีนอนตายอยู่สองคน พวกนั้นมันหนีไปหมดแล้ว แต่จะไปทางไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจ บ่นว่าน่าแค้นอ้ายลิงแท้ ๆ ใจคอช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ตีเขาจนถึงแก่ความตาย พูดดังนั้นแล้วก็ชักม้ากลับมาพร้อมด้วยโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเดินมา ครั้นถึงที่ ๆ โจรตายนั้นแล้วแลเห็นโลหิตออกเลอะพื้นดิน คนตายก็นอนอยู่กับพื้น พระถังซัมจั๋งไม่พอใจจะแลดู จึงสั่งให้โป๊ยก่ายเอาไปฝังเสีย อาตมภาพจะสวดมนต์สักจบหนึ่ง
   โป๊ยก่ายว่าอาจารย์เห็นจะผิดดอกกระมัง ก็เห้งเจียตีคนตายจะให้ข้าพเจ้าเป็นสัปเหร่อจะได้อยู่หรือ เห้งเจียถูกอาจารย์ว่าใจคอไม่สู้จะสบาย ครั้นได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงตวาดโป๊ยก่ายว่าอ้ายชาติหมูยังไม่รีบเอาไปฝังหรือ ประเดี๋ยวจะล่อด้วยตะบองตายตามอ้ายโจรไปอีกศพเดี๋ยวนี้ โป๊ยก่ายตกใจกลัวรีบไปข้างเนินเขา เอาคราดสับดินลงขุดหลุมแล้ว แบกเอาศพทั้งสองใส่ลงไปเอาดินกลบแน่นแล้วเอาดินมูลขึ้นเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงหยิบดินจุดธูปอธิษฐานว่า นายโจรจงฟังอาตมภาพจะขออธิษฐาน เหตุคิดถึงสานุศิษย์ของอาตมภาพ เพราะพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปไซที​อาราธนาพระธรรม มาถึงที่นี่พบท่านหลายคน อาตมภาพอ้อนวอนว่ากล่าวแต่ถ้อยคำที่ดี ท่านก็มิได้เชื่อฟัง จึงมาปะเห้งเจียมือร้ายใจกล้า ตีด้วยตะบองถึงแก่ความตาย อาตมภาพสงสารคิดถึงซากศพนอนอยู่กลางดิน จึงให้โป็ยก่ายเอาไปฝังแล้ว แม้ว่าลงไปยังนรกฟ้องแก่พระยามัจจุราชต้องตามเหตุผล เห้งเจียแซ่ชึงอาตมภาพแซ่ตั๊นฆ่ามีตัวอยู่อย่าฟ้องอาตมภาพเลย
   โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์ต้องชี้แจงให้หมดจด คือเมื่อเวลาเธอตีนั้น ข้าพเจ้าและซัวเจ๋งไม่ได้อยู่ที่นั่น พระถังซัมจั๋งก็กล่าวตามคำโป๊ยก่ายว่า แม้ว่าฟ้องก็จงฟ้องแต่เห้งเจียคนเดียว ที่โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งนั้นมิได้เกี่ยวข้อง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ท่านเป็นผู้ใหญ่ช่างไม่มีจิตกตัญญูเลย เพราะว่าเพื่อด้วยอาจารย์ไปอาราธนาพระธรรม ได้ความทุกข์ทรมานนั้นเท่าไรแล้ว มาวันนี้ข้าพเจ้าพลั้งผิดตีโจรร้ายตายสองคน ท่านไปชี้สอนให้มันไปฟ้องข้าพเจ้ายังพระยามัจจุราช ข้าพเจ้าตีมันตายก็จริงแต่ท่านไปอาราธนาพระธรรม ถ้าข้าพเจ้าไม่เป็นสานุศิษย์ของท่านตามมาที่ไหนจะได้ตีคนตายเล่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะมีคำสั่งบ้าง ว่าแล้วก็ถือไม้ตะบองมายืนข้างหลุมผี กระทุ้งสามทีแล้วพูดว่าอ้ายโจรตายโหงเองจงฟังเราพูดเรายอมให้เองตีเราก่อนเจ็ดที แล้วก็ตีอีกเจ็ดทีแปดทีเราก็ไม่เจ็บไม่ช้ำ เจ้าทำให้เราได้ความเดือดร้อนเราจึงได้ตีเจ้าตาย ​ต่อให้เจ้าไปฟ้องที่ไหนเราก็ไม่กลัว เง็กเซียงฮ่องเต้ท่านรู้จักเรา เทพบุตรทั้งหลายก็เคยชอบกัน ดาวรอบท้องฟ้าก็เป็นเพื่อนแก่เรา เทพารักษ์และพระภูมิเจ้าที่ก็เกรงใจเรา เทพยดารักษาจักรวาลก็ชอบกันสนิท ทุก ๆ เขตภูมิเจ้านายศักดิ์สิทธิ์ทั้งพระยามัจจุราชก็เกรงใจทั้งสิ้นตามแต่เจ้าจะไปฟ้องเราเถิดเราไม่กลัวทั้งสิ้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ จึงพูดว่าอาตมภาพกล่าวคำอธิษฐานดังนั้นก็ปราถนาจะให้เป็นคนดี ตัวทำไมจึงถือเอาเป็นจริงดังนั้นเล่า เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ได้พูดไปแล้วก็ช่างเถิด เวลายังวันอยู่รีบไปหาที่อาศัยเถิด พระถังซัมจั๋งจิตก็ยังไม่หายโกรธ จึงขึ้นหลังม้าเห้งเจียยังขุ่นในใจอยู่ อาจารย์กับศิษย์ต่างดีแต่หน้าในใจก็ต่างติเตียนกัน เดินมาสักประเดี๋ยวแลไปข้างหน้า เห็นที่ข้างทางใหญ่เข้าไปในแนวป่านั้นมีหมู่บ้าน พระถังซัมจั๋งเอาแซ่ม้าชี้พูดว่าพวกเราเข้าไปพักที่หมู่บ้านนั้นเถิด แล้วก็พากันเดินเข้าไปถึงที่หน้าบ้าน พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา พระถังซัมจั๋งจึงทักถาม ตาเฒ่าจึงถามว่าพระสงฆ์ท่านมาแต่เมืองไหนจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพนี้อยู่เมืองใต้ถัง จะไปไซทีอาราธนาธรรม มาถึงนี่ก็จวนค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจะลาไป
   ตาเฒ่าพูดว่าหนทางตั้งแต่เมืองท่านมาถึงที่นี่มิใช่ใกล้ ทำไมท่านผู้เดียวจึงได้มาถึงที่นี่ได้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมภาพมีศิษย์​มาด้วยสามคนเป็นเพื่อน ตาเฒ่าถามว่าก็สานุศิษย์อยู่ที่ไหนเล่า พระถังซัมจั๋งเอามือชี้ว่าที่ยืนอยู่ข้างทางนั่นและ ตาเฒ่าก็แลไปเห็นทั้งสามคนหน้าตาหยาบคายไม่น่าดูทุก ๆ คน ตาเฒ่าหันกลับจะเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งยึดไว้แล้วพูดว่าท่านตาจงเมตตาขอให้อาศัยพักสักคืนหนึ่งเถิด ตาเฒ่าสั่นศรีษะโบกมือพูดว่าไม่ใช่อย่างคน จะเป็นยักษ์มารอะไรก็ไม่รู้ คนหนึ่งคล้ายเงือก คนหนึ่งคล้ายม้าปากยาว คนหนึ่งหน้าคล้ายกับรามสูร  เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้นก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ที่คล้ายเงือกนั้นคือเหลนของข้าพเจ้า ที่หน้าเหมือนม้านั้นคือโหลนของข้าพเจ้าเอง ตาเฒ่าเห็นหน้าตาเห้งเจียดังนั้นใจคอไม่สบายจะถอยเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งจึงตามเข้าไปในบ้าน ข้างในบ้านมียายเฒ่าคนหนึ่งจูงเด็กอายุประมาณสักหกขวบ เดินมาถามว่าอะไรกันที่ไหน พระถังซัมจั๋งจึงเล่าให้ยายเฒ่าฟังทุกประการว่า อันสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น รูปร่างหยาบคายก็จริง แต่สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัตทั้งสามคน ไม่เหมือนคนโหดร้ายทั้งหลายดอก จะกลัวเธอทำไม
   ตายายเฒ่าทั้งสองได้ฟังชี้แจงดังนั้น จึงค่อยหายความกลัวจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งให้เชิญเข้ามา พระถังซัมจั๋งจึงเดินออกไปสั่งศิษย์ทั้งสามว่า จงระมัดระวังกิริยาให้เรียบร้อย ศิษย์ทั้งสามก็จูงม้าพาหาบเข้าไปยังเรือนตาเฒ่า นั่งพักคอยฟังอาจารย์จะใช้สอย ฝ่ายยายเฒ่ามีจิตศรัทธาจึงจัดแจงยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง เวลานั้นก็จวนจะโพล้เพล้ คนในบ้านก็จัดแจงตามตะกียงและโคมไฟสว่าง​ไสว พระถังซัมจั๋งถามตาเฒ่าว่าท่านแซ่อะไร อายุได้เท่าใดแล้ว ตาเฒ่าตอบว่าข้าพเจ้าแซ่เอี่ยวอายุได้เจ็ดสิบสี่ปีแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่ามีบุตรกี่คน ตาเฒ่าบอกว่ามีคนเดียวที่ยายแก่จูงมานั้นแลคือหลาน พระถังซัมจั๋งขอพบบุตรชาย ตาเฒ่าพูดว่าข้าพเจ้าก็แก่แล้วเลี้ยงลูกคนนี้แสนจะลำบากกับมันวันนี้พ่อมันไม่อยู่ พระถังซัมจั๋งถามว่าไปค้าขายที่ไหนหรือ
   ตาเฒ่าสั่นศรีษะพูดว่าคิดแล้วก็น่าสงสาร แม้ว่าชอบค้าขายก็เป็นบุญของข้าพเจ้า อันกิจการบ้านเรือนไม่เอาเป็นธุระทั้งสิ้น ตั้งใจทำแต่การอัปยศไม่มีความดี เที่ยวคบค้าคนพาลตีชิงวิ่งราวสกัดทางขวางหน้าฆ่าคนสารพัดจะเป็นแต่การอกุศลทั้งสิ้น เมื่อห้าวันหายไปไม่เห็นกลับมาจนวันนี้ พระถังซัมจั๋งไม่ซักถามต่อไปอีก นึกแต่ในใจว่าเห็นจะเป็นอ้ายโจรที่เห้งเจียตีตายนั้นดอกกระมัง แล้วพระถังซัมจั๋งพูดว่าพ่อแม่จิตใจเป็นกุศล เหตุไฉนบุตรจึงได้เป็นไปเช่นนั้น เห้งเจียว่าลูกอย่างนี้ไม่ใช่คนดีเลี้ยงไว้ทำไม ข้าพเจ้าจะช่วยจับตีเสียให้ตายจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ตาเฒ่าว่าข้าพเจ้าก็อยากจะให้มันพ้นหูพ้นตาไปเสียขัดด้วยผู้คนก็ไม่มีจึงต้องนิ่งอยู่ ไว้มันเพื่อให้ช่วยกลบดินให้ข้าพเจ้าเมื่อภายหลัง ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าว่าดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า พี่เห้งเจียอย่าพูดสนุกปากไป ขอหญ้าท่านตาสักมัดหนึ่ง หาที่ปูลาดนอนพักพรุ่งนี้จะได้ไป ตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็นำพาอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนออกไปที่สวน ชี้ให้อาศัยอยู่ที่กระท่อมน้อยแล้ว​ตาเฒ่าก็กลับเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พักนอนอยู่ที่นั่น
   ฝ่ายพวกโจรนั้น ลูกตาเฒ่ากับพรรคพวกอยู่ในหมู่นั้นด้วย เมื่อเวลาเช้าเห้งเจียตีนายโจรตายเสียสองคน พวกบริวารเหล่านั้นก็พากันซุกซ่อนวิ่งหนีเอาตัวรอด พอเวลายามสามมารวมกันเป็นหมู่มาเคาะประตูเรียกตาเฒ่า ๆ กำลังนอนได้ยินก็เดินออกมาเปิดประตู ได้ยินพวกโจรบ่นว่าหิวข้าว ๆ ฝ่ายลูกชายตาเฒ่าก็ไปในบ้านเรียกลูกเมียตื่นขึ้นหุงข้าวต้มแกง ก็เลยไปหลังสวนหอบฟืนเข้ามาแล้ว ถามภรรยาว่าม้าขาวที่หลังสวนนั้นของใคร ภรรยาบอกว่าม้าของพระสงฆ์ที่ท่านมาจากเมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อเย็นนี้ท่านมาขออาศัยพักนอน พ่อแม่เลี้ยงดูเธอแล้ว จึงชี้ให้อาศัยกระท่อมน้อยนอน
   ลูกตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ดีใจออกไปนอกบ้านตบมือหัวเราะบอกแก่พวกกันว่า เหมาะแล้ว ๆ คนพยาบาทแก่พวกเราอยู่ในบ้านเรา พวกเหล่านั้นถามว่า คนพยาบาทใครที่ไหน ลูกตาเฒ่าบอกว่าพวกพระสงฆ์ที่ตีนายเราตายนั้นเป็นไรเล่า บัดนี้มาอาศัยนอนอยู่ที่ในสวนหลังบ้านเรากำลังนอนหลับ พวกโจรพากันพูดว่าดีแล้ว ๆ จับเอาตัวให้ได้แล้วสับฟันให้เนื้อป่นละเอียด จะได้แก้แค้นแทนให้นายเรา ลูกตาเฒ่าห้ามว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน จงพากันออกไปลับมีดให้คมก่อน
   ฝ่ายตาเฒ่าแอบได้ยินพวกโจรคิดกันดังนั้น จึงค่อย ๆ เดินออกไปสวนปลุกพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามให้ตื่นขึ้นแล้ว บอกว่า​พวกโจรนั้นพาพวกมามากหลายคน รู้ว่าพวกท่านมาพักอยู่ที่นี่มันจะคิดฆ่าพวกท่าน ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าท่านมาจากเมืองไกล ไม่พอใจจะให้ฆ่าท่าน จงรีบเก็บเข้าของข้าพเจ้าจะส่งท่านให้ไปทางหลังสวน พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นก็ขอบคุณเป็นที่สุด ตาเฒ่าก็กลับมานอนต่อไป ฝ่ายพวกโจรครั้นลับหอกดาบแล้ว ก็พากันมากินข้าวเวลานั้นพอย่างเข้ายามสามแล้วก็พร้อมกันต่างถืออาวุธต่าง ๆ ตรงมายังหลังบ้านที่สวนแลไปไม่เห็นคน จึงจุดใต้คบค้นหารอบสวนก็ไม่เห็น เห็นประตูหลังบ้านเปิดทิ้งอยู่ จึงพูดกันว่าเห็นจะหนีไปทางนี้ ก็พากันโห่ร้องไล่ตามไปจนเวลาตะวันขึ้นก็ยังเร่งรีบไล่ตาม
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อออกจากประตูสวนก็รีบเดินมา ได้ยินเสียงโห่ร้องมาตามหลัง จึงหันมาแลดูเห็นเป็นหมู่ประมาณสักสามสิบคน ล้วนมีมือถืออาวุธวิ่งตามมาจึงพูดแก่ศิษย์ทั้งสามว่าเราจะทำอย่างไรดี เห้งเจียว่าจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระป้องกันปราบปรามเอง พระถังซัมจั๋งจึงว่าเห้งเจียทำแต่พอให้เข็ดหลาบเกรงกลัวแล้วถอยไปเท่านั้น อย่าทำให้ถึงแก่ล้มตายเลย ครั้นพวกโจรไล่มาใกล้เข้าแล้ว เห้งเจียก็ชักตะบองหันหน้ามาสถัด ถามว่าท่านทั้งหลายจะพากันไปข้างไหน พวกโจรด่าว่าอ้ายพวกหัวโล้นมึงจงใช้ชีวิตของนายกู ด่าแล้วต่างคนก็เข้าล้อมเห้งเจีย ๆ ก็เอาตะบองฟาดซ้ายฟาดขวา พวกโจรก็ล้มราบลงไปทั้งสิ้น บ้าง​ก็ตายบ้างก็เจ็บบ้างก็ลุกวิ่งหนีไป พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้า เห็นเห้งเจียตีคนตายหลายคน ไม่อยากจะเห็นก็รีบขับม้าเดินไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็วิ่งติดตามไป เห้งเจียจึงถามพวกโจรที่ถูกเจ็บว่า คนไหนเป็นบุตรตาเฒ่า
   พวกโจรเจ็บครางร้องบอกว่าคนที่สวมเสื้อสีเหลืองนั่นแลบุตรตาเฒ่า เห้งเจียตรงมาฉวยมีดตัดเอาศรีษะหิ้วขึ้นเลือดกำลังสดไหลอยู่ เห้งเจียก็รีบเดินตามมาทันพระถังซัมจั๋ง ยกศรีษะขึ้นบอกพระอาจารย์ว่า ศรีษะนี้คือศรีษะของบุตรตาเฒ่าอ้ายคนอกตัญญูข้าพเจ้าตัดเอาศรีษะมา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจสิ้นสติพลัดตกจากหลังม้า ครั้นได้สติจึงด่าว่าอ้ายชาติลิงมึงเหมือนฆ่าเราจงรีบเอาไปให้พ้น โป๊ยก่ายก็เอาศรีษะนั้นไปกลบดินเสีย ซัวเจ๋งจึงเข้าประคองอาจารย์ขึ้นม้า พระถังซัมจั๋งร่ายพระคาถายี่สิบจบ ก็จับรัดศรีษะเห้งเจียเจ็บปวดหมุนคว่ำลงกับพื้น เห้งเจียร้องว่าพระอาจารย์ ผิดพลั้งอย่างไรก็จงพูดจากันเถิด อย่าทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ไม่มีเรื่องอะไรไม่ให้เจ้าตามเราไปอีกจงกลับเถิด เห้งเจียกำลังเจ็บอุตส่าห์พูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไล่ให้ข้าพเจ้ากลับเล่า
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอ้ายคนร้ายไม่ใช่คน ตั้งใจจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อวานนี้ฆ่านายโจรตายเสียสองคน เราก็ไม่พอใจว่าคนไม่มีเมตตาจิต จนถึงบ้านตาเฒ่าได้พึ่งเขาให้ข้าวให้น้ำและพักอาศัยนอน ทั้งเขายังได้เปิดประตูให้หนีพ้นภัย แม้ว่าลูกจะชั่วร้ายอย่างไรก็ไม่ควรจะไปตัดเอา​ศรีษะเขามาทำไมหาใช่เหตุไม่ เราได้สั่งสอนอยู่เสมอ ๆ จิตใจก็ไม่มีเมตตาสักเท่าเส้นผม เราจะเอาเจ้าไว้ทำไม เจ้าจงรีบไปเสียโดยเร็วอย่าให้ถึงแก่ร่ายคาถาอีก เห้งเจียจึงว่าอาจารย์อย่าร่ายคาถาเลยข้าพเจ้าจะไป ว่าแล้วก็เหาะขึ้นบนเวหา
(บทที่ ๕๗)
   ฝ่ายเห้งเจียลอยอยู่บนกลางอากาศ คิดจะกลับไปยังถ้ำเดิมของตัว ก็นึกอายแก่พวกลิงบริวาร แต่ตรึกตรองอยู่นานจะไปจะอยู่ก็แสนยาก จึงคิดขึ้นมาได้ว่าอย่ากระนั้นเลย เรากลับไปหาอาจารย์ดูอีกสักครั้งหนึ่งเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลดลงมายังพื้นเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ขอพระอาจารย์ยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด สืบต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าจะไม่ทำอีกต่อไป พระถังซัมจั๋งไม่ได้ตอบว่ากะไร ชักม้าหยุดร่ายคาถา เห้งเจียเจ็บปวดก็ล้มลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมยังไม่ไปให้พ้น ยังจะกลับมาพันธ์ผูกอาตมาทำไม เห้งเจียร้องว่า อาจารย์อย่าร่ายคาถาเลย ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าวิตกว่าไม่มีข้าพเจ้าไปด้วย อาจารย์ไปจะไม่ถึงไซที
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ด่าว่าอ้ายชาติลิงโหดร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่มีดี แม้ว่าเราจะไปถึงหรือไม่ถึงก็ไม่เกี่ยวอะไรแก่เจ้าจงรีบไปให้พ้น ถ้าขืนอยู่ช้าเราจะร่ายคาถาไม่หยุด เห้งเจียเห็นอาจารย์ไม่มีความอาลัยแล้ว ก็สุดที่จะคิดอ่านชี้แจงพูดจาต่อไป จึงเหาะขึ้นบนเวหาก็นึกขึ้นได้ว่าสงฆ์นี้ช่างไม่คิดถึง​คุณของเราเลย จำเราจะไปหาพระกวนอิมเล่าให้ท่านฟัง คิดดังนั้นแล้วก็เหาะตรงไปยังน่ำไฮ้ บัดเดี๋ยวใจก็ถึงน่ำไฮ้ เห้งเจียก็เข้าไปยังสำนัก ครั้นถึงประตูใหญ่มีบัดจากับเสี้ยนใช้นำพาไปหาพระโพธิสัตว์ เห้งเจียก็เดินตามเข้าไป เหลือบขึ้นไปเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่น เห้งเจียก็ย่อตัวกราบนมัสการลงกับพื้นแล้ว ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นก็ให้บัดจาพยุงขึ้น พระโพธิสัตว์จึงถามว่า เห้งเจียมีความขัดข้องอย่างไรหรือ จงบอกมาให้เราแจ้ง อาตมภาพจะได้แก้ไขให้
   เห้งเจียร้องไห้พลางพูดพลางว่า ข้าพเจ้าตั้งใจได้รับแต่ความทุกข์ยาก พึ่งพระบารมีท่านปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนให้ และให้ข้าพเจ้าตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที เพื่ออาราธนาพระธรรม ข้าพเจ้าก็ตั้งใจหาได้คิดแก่ร่างกายแลพชีวิต ปลดเปลื้องมารร้ายให้แก่เธอก็เพราะความปราถนาจะใคร่ได้มรรคผลในเบื้องหน้า ลบล้างความผิดที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน พระถังซัมจั๋งเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณของข้าพเจ้า มาหลงด้วยจิตอกุศลมิได้ตรึกตรองให้เห็นดำและขาว มาขับไล่ข้าพเจ้ามิให้ติดตามไปดังนี้ พระโพธิสัตว์ถามว่าการดำขาวนั้นเป็นอย่างไร จงแสดงซึ่งเหตุผลให้เราฟังดูจะเป็นประการใด เห้งเจียจึงยกเหตุที่ฆ่าพวกโจรและบุตรตาเฒ่านั้น ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ
   ​พระโพธิสัตว์จึงพูดว่า พระถังซัมจั๋งถือมั่นในสันดานโดยความกุศลไม่มีความประมาท ไม่ทำสัตว์ที่มีชีวิตและวิญญาณให้ตกล่วงไป เห้งเจียถึงมีฤทธาอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ก็จริง อันลูกตาเฒ่าผิดก็จริงแต่ยังเป็นส่วนมนุษย์ หากจะตัดสินโดยความตรง ข้อผิดนั้นจะตกอยู่แก่เห้งเจีย เห้งเจียก็กราบลงร้องไห้ว่า แม้ข้าพเจ้ามีความผิดไม่ชอบธรรมก็จะต้องเอาคุณหักโทษ ไม่ถึงแก่เหตุที่จะไล่ข้าพเจ้า ขอพระบารมีได้กรุณา ท่านร่ายพระคาถาถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออกคืนให้ท่าน ปล่อยข้าพเจ้ากลับไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเถิด พระโพธิสัตว์หัวเราะแล้วพูดว่า อันห่วงมงคลนั้นของพระยูไลให้มา อาตมาไม่มีคาถาอะไรจะถอนได้ เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะขอกราบลาไป พระโพธิสัตว์ถามว่าท่านจะไปข้างไหน เห้งเจียว่า จะไปไซทีหาพระยูไลให้ถอนมงคลนี้ออก พระโพธิสัตว์พูดว่าเห้งเจียจงรอก่อน อาตมภาพจะเล็งญาณดู สมาโทษให้อย่างไหนจะดี
   พระโพธิสัตว์จึงนั่งบัลลังก์บัว เข้าที่แผ่ใข่ญาณสำรวมสามคนเข้าแล้ว เอาปัญญาจักษุเล็งดูรอบ บัดเดี๋ยวก็ออกจากตนพูดว่า เห้งเจียบัดเดี๋ยวพระถังซัมจั๋งจะได้รับความคับแค้นถึงตัว ไม่ช้าก็จะต้องตามมาหาตัวเห้งเจียที่นี่ จงคอยอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ไว้อาตมภาพจะบอกแก่พระถังซัมจั๋ง ให้เห้งเจียไปไซทีด้วยจึงจะสำเร็จมรรคผล เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์ดังนั้น จึงยกมือขึ้นนมัสการยืนคอยอยู่ข้างหลัง ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งตั้งแต่ไล่เห้งเจียไปแล้ว ก็ให้โป๊ยก่ายจูงม้าซัวเจ๋งหาบของรีบเดินไป เดินทางมาได้ห้าสิบโยชน์ พระถังซัมจั๋งยอม้าหยุดร้องบอกศิษย์ว่า ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ยามสามออกจากบ้านตาเฒ่า แลทั้งถูกเห้งเจียทำการไม่พอใจให้ลมเสีย เวลาก็จวนเพลท้องออกหิวและอยากน้ำ แลใครจะไปบิณฑบาตมาให้กินเล่า โป๊ยก่ายพูดว่า นิมนต์ท่านลงจากหลังม้าหยุดพักคอยข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตเอง พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นก็ลงจากม้านั่งพักคอยอยู่ โป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นกลางอากาศมองดูรอบทั้งแปดทิศแล้วก็ลงยังพื้นบอกแก่อาจารย์ว่า ไมมีที่จะบิณฑบาตเพราะบ้านเรือนไม่มี พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ไม่มีข้าวกินหาแต่น้ำมากินแก้หายอยากก่อนเถิด โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ ว่าแล้วก็ฉวยบาตรเหาะไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งคอยอยู่ข้างทางหลายชั่วโมงก็ไม่เห็นโป๊ยก่ายกลับมา พระถังซัมจั๋งเวลานั้นอยากน้ำ  น้ำลายแห้ง ทั้งหิวทั้งอยากน้ำทุรนทุรายไม่มีความสุข ซัวเจ๋งคอยโป๊ยก่ายไม่เห็นมา ก็เอาหาบวางลงแล้วพูดว่า พระอาจารย์คอยอยู่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ พระถังซัมจั๋งนั่งร้องไห้พูดไม่ออก ซัวเจ๋งก็เหาะไป ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่แต่ผู้เดียวในทันใดนั้น ได้ยินเสียงตึงตังพระถังซัมจั๋งตกใจแลไปดูเห็นเห้งเจียคุกเข่าอยู่ข้างทางสองมือยกคนโทน้ำมาถวาย พูดว่าอาจารย์ไม่มีข้าพเจ้าจะได้น้ำมาจากไหน น้ำนี้เย็นใสดีนิมนต์อาจารย์ฉันแก้อยากก่อน แล้วข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตมาถวาย
   พระถังซัมจั๋ง​ได้ฟังดังนั้นพูดว่า แม้ว่าเราจะตายโดยความอยากน้ำก็ตามเถิด ซึ่งว่าน้ำของเจ้าเอามาเราไม่ต้องการ จงรีบไปเสียให้พ้น เห้งเจียพูดว่าไม่มีข้าพเจ้าไปไซทีจะไปไม่ได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าไปได้ไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรแก่เจ้า อ้ายชาติลิงยังไม่ไปให้พ้นมากวนเราทำไม ฝ่ายเห้งเจียก็มีความโกรธชี้หน้าตวาดว่าตาขรัวแก่มีใจอาธรรม์ ทำหยาบช้าแก่เรามากแล้ว ก็ยกไม้ตะบองเหล็กหวดถูกกระดูกสันหลังพระถังซัมจั๋งทีหนึ่ง ก็ล้มคว่ำสลบอยู่กับที่ เห้งเจียก็เอาถุงย่ามที่ใส่ข้าวของไปหมดแล้ว ก็เหาะไปไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ฝ่ายโป๊ยก่ายเหาะไปข้างซอกเขามีเรือนอยู่หลังหนึ่ง เดิมเขาสูงบังอยู่แลไม่เห็น ครั้นเหาะมาข้างหน้าเขาก็แลเห็นบ้าน โป๊ยก่ายคิดในใจว่าเรารูปร่างอย่างนี้จะเข้าไปบิณฑบาตเห็นจะไม่ได้เข้า จำเราจะแปลงกายเสียเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นร่ายคาถาแปลงเป็นรูปพระสงฆ์นิโรธรูปหนึ่งเดินเข้าไปยังประตูบ้าน ร้องเรียกว่าท่านเจ้าบ้านยังมีเข้าสุกเหลืออยู่บ้างหรือ คนเดินทางมามีความอดอยากอาตมภาพบิณฑบาตพอให้อาจารย์ฉันสักมื้อหนึ่ง
   ในบ้านนั้นผู้ชายออกไปนาเหลือแต่ผู้หญิงสองคน เห็นพระสงฆ์มาบิณฑบาตมีกิริยาป่วยไข้ดังนั้นก็เอาข้าวสุกออกมาถวายให้เต็มบาตร โป๊ยก่ายก็กลับแล้วแปลงรูปตามเดิม เดินมาตามทางเก่าพบซัวเจ๋ง จึงให้ซัวเจ๋งเอาผ้าห่อข้าวเอาบาตรไปตักน้ำได้แล้วก็พากันกลับมาหาอาจารย์ ครั้นมาถึงเห็นพระอาจารย์นอนฟุบอยู่กับดิน ม้าก็ยืนกระทืบเท้าอยู่ข้างทาง ถุง​ย่ามข้าวของก็สูญหายไปหมด โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ทุบอกพูดว่าไม่ต้องตรึกตรอง นี่คืออ้ายพวกโจรที่เห้งเจียตีมัน ๆ ยังเหลืออยู่จึงตามมาฆ่าอาจารย์เราดังนี้ มันเอาข้าวของไปหมด ซัวเจ๋งเอาม้ามาผูกแล้วก็เข้าประคองอาจารย์ร้องไห้ พระถังซัมจั๋งได้สติพลิกตัวฟื้นขึ้นเห็นในปากไอออกร้อน ๆ และที่หน้าอกยังร้อน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งรู้สึกจึงบอกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าอาตมภาพยังไม่ตายดอก โป๊ยก่ายก็เข้าประคองให้นั่ง พระถังซัมจั๋งจึงบ่นว่าอ้ายชาติลิงมันมาทำเราดังนี้
   ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายถามว่าอ้ายชาติลิงที่ไหนมาทำแก่พระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งกินน้ำแล้ว พูดว่าสานุศิษย์ทั้งสองไปแล้ว เห้งเจียก็มารบกวนจะใคร่ขอร่วมไปไซทีด้วย อาตมภาพไม่รับรองเป็นอันขาด มันโกรธจึงเอาตะบองตีแล้วเก็บเอาถึงย่ามข้าวของไปหมด โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธด่าว่า อ้ายลิงมันสามารถทำแก่อาจารย์ได้ถึงเพียงนี้พูดดังนั้นแล้ว จึงสั่งให้ซัวเจ๋งอยู่เฝ้าอาจารย์ เราจะไปทวงตามเอาถุงย่ามและเข้าของ ซัวเจ๋งว่าพี่อย่าเพิ่งวุ่นวายเราคิดให้อาจารย์ไปพักที่บ้านนั้นก่อน จะได้หาน้ำร้อนน้ำชาให้เธอฉันแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายพยุงอาจารย์ขึ้นม้า แล้วก็พากันเดินมายังบ้านที่บิณฑบาตนั้น ครั้นถึงประตูบ้าน ในบ้านนั้นยังเหลือแต่ยายเฒ่าคนเดียว แลเห็นอาจารย์กับศิษย์พากันมา ก็หลบเข้าในบ้านบอกว่าไม่มีคนอยู่ เชิญไปที่อื่นเถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็เกาะโป๊ยก่ายลงจากม้าแล้ว เดินมาข้างประตูปราศรัยพูดว่า ท่านยายได้กรุณาด้วยเถิด อาตมภาพมีศิษย์สามคนพร้อมใจกันจะไปไซที บัดนี้ศิษย์คนใหญ่มันคิดร้ายใจพาล อาตมภาพไล่มันให้กลับไปเสียก็ไม่รู้เลย ว่าเธอจะมาทำร้ายอาตมภาพ คือได้มาตีเอาทีหนึ่งแล้วก็ลักเอาถุงย่ามเข้าของไป อาตมภาพจะให้ไปตามเอาของจะพักอยู่กลางทางก็ไม่สมควร จึงได้มาจะขออาศัยที่บ้านท่านยายพอให้ไปทวงของมาได้แล้ว อาตมภาพก็จะลาไปไม่อยู่ช้า ยายเฒ่าพูดว่าเมื่อตะกี้ก็มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตว่าอาจารย์อยู่เมืองใต้ถังจะไปไซที นี่ทำไมจึงมีมาอีกเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้น อดไมได้ก็หัวเราะแล้วพูดว่าที่พระสงฆ์มาบิณฑบาตนั้นคือตัวข้าพเจ้าเอง เพราะรูปกายข้าพเจ้าหยาบคายวิตกกลัวจะไม่ให้เข้า จึงต้องแปลงตัวเป็นพระสงฆ์มาบิณฑบาต ท่านยายไม่เชื่อจงดูที่ห่อผ้าน้องข้าพเจ้า ใช่เข้าที่ท่านยายทำบุญไปหรือไม่ใช่ ยายเฒ่ามาพิเคราะห์ดูเข้าก็จำได้ว่าข้าวของตัวที่ทำบุญไป ยายเฒ่าจึงนิมนต์ให้เข้าพักในบ้าน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พากันเข้าไปพักในบ้าน ยายเฒ่าก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย ซัวเจ๋งเอาน้ำร้อนปนกับเข้าสุกให้อาจารย์ฉันสองสามคำ พระถังซัมจั๋งถามว่าใครจะไปตามเอาข้าวของโป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปไม่ได้ เพราะไม่ชอบกันทั้งจะพูดจาก็หยาบคาย เห้งเจียเป็นคนดุร้ายจะเสียการ ให้​ซัวเจ๋งไปจึงจะได้ ซัวเจ๋งก็รับว่าจะไป พระถังซัมจั๋งจึงสั่งว่าถ้าไปถึงแล้ว แม้ว่าเธอยอมคืนถุงย่ามให้มาจงทำเคารพนบนอบขอบคุณ หากเธอไม่ให้ก็อย่าสู้รบโต้ตอบ จงรีบข้ามไปหาพระโพธิสัตว์กวนอิม เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ท่านฟัง นิมนต์ท่านไปถามเธอชำระให้
   ซัวเจ๋งรับคำสั่งแล้วก็ร่ายคาถารีบเหาะตรงไปยังทิศบูรพา หมายเขาฮวยก๊วยซัว ซัวเจ๋งเหาะมาได้สามวันสามคืนก็มาถึงเชาฮวยก๊วยซัว ก็ลงยังยอดเขาเดินมายังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ซัวเจ๋งแอบเข้าไปใกล้พิศดูก็เห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา สองมือกำลังคลี่แผ่นหนังสืออ่านว่าชุมพูทวีปเมืองใต้ถัง ข้าพเจ้าครองราชสมบัติเป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม มีเหตุด้วยวิญญาณจิตของข้าพเจ้าลงไปยังเมืองนรก ขอบใจท่านพระยามัจจุราชได้ส่งวิญญาณกลับคืนมายังมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงทำมหากุศลแผ่อุทิศไปให้แก่พวกที่ต้องทรมานทุกข์ในนรกนั้นให้พ้นจากโทษ เวลานั้นมีพระโพธิสัตว์กวนอิมเสด็จมาชี้แจงว่า ที่ประเทศไซทีมีพระไตรปิฎกธรรม มีอภินิหารกุศลอาจโปรดพวกที่ตกอยู่ในอบายภูมิให้พ้นโทษได้ ข้าพเจ้าจึงให้พระสงฆ์แซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง เป็นพระถังซัมจั๋งไปยังประเทศไซทีสืบหาพระไตรปิฎกธรรมอันวิเศษ จะได้อาราธนามายังเมืองใต้ถัง แม้ว่าข้ามไปไซทีทุก ๆ เมือง ขอให้เห็นแก่กาลกุศลดูตามหนังสือเดินทางฉบับนี้ จงปล่อยให้ไปโดยสะดวกเถิด เมืองใต้ถัง​พระเจ้าเจงกวนเสวยราชสมบัติได้สิบสามปีประทับตราเก้าดวง
   ตั้งแต่ออกจากเมืองไป ข้ามทุก ๆ เมืองมาตามทางได้สานุศิษย์สามคน ๆ ใหญ่ชื่อซึงหงอคงเห้งเจีย คนที่สองชื่อหงอเหนงแซ่ตือโป๊ยก่าย คนที่สามแซ่ซัวชื่อหงอเจ๋ง ซัวเจ๋งอ่านดังนี้ตั้งแต่ต้นจนปลาย ซัวเจ๋งแอบได้ยินก็รู้ว่าหนังสือเดินทางของอาจารย์ จึงเดินเข้าไปใกล้ร้องเรียกพี่เห้งเจียหนังสือเดินทางของอาจารย์พี่อ่านทำไม เห้งเจียก็เงยหน้าแลไปจำซัวเจ๋งไม่ได้ จึงร้องให้จับตัวพวกบริวารวานรก็เข้าล้อมจับซัวเจ๋งลากมาหาเห้งเจีย ๆ ตวาดว่าเจ้าอยู่ที่ไหน จึงบังอาจมาแอบดูในที่ของเรา ซัวเจ๋งเห็นว่าเห้งเจียแปรปรวนทำไม่รู้จักจึงเคารพพูดว่า อันส่วนพี่นั้นพระอาจารย์ท่านไม่พอใจมีความขุ่นเคืองไล่พี่เสียมิให้ติดตามไปด้วย เมื่อเวลานั้นน้องก็ยังมิได้ขอร้องต่ออาจารย์ ครั้นข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายไปหาข้าวหาน้ำอยู่ข้างนี้พี่มีกะใจมาหาอาจารย์อีก ท่านก็ถือมานะมั่นไม่ให้ไป พี่เอาตะบองตีอาจารย์ล้มคว่ำลงกับพื้นแล้ว ก็เอาถุงย่ามข้าวของมาเสีย บัดนี้ข้าพเจ้าช่วยอาจารย์ฟื้นแล้ว จึงมาตามกราบเท้าพี่ แม้ว่าพี่คิดถึงเมื่อครั้งได้ออกจากเขาได้พ้นทุกข์แล้วนั้น เอาถุงย่ามกลับไปหาอาจารย์แล้ว จะได้พร้อมกันไปไซที แม้ว่าพี่ไม่ไปก็ขอแต่ถุงย่ามให้ข้าพเจ้าเอาไป พี่อยู่ที่นี่รับซึ่งความสุข อย่างนี้ก็จะดีทั้งสองฝ่าย
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ พูดว่าซัวเจ๋งคิดดังนั้นไม่​ถูกใจเรา เราคิดว่าตีพระถังซัมจั๋งแลเอาถุงย่ามมา ไม่ใช่จะไม่คิดไปไซที เราก็มิใช่จะอยากอยู่ที่นี่ เราอ่านหนังสือเดินทางให้คล่องแล้วเราก็จะไปไซทีเอง อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมส่งไปเมืองใต้ถังให้สำเร็จโดยลำพังของเราเอง ให้แพร่หลายในชมพูทวีปรู้ทั่วกัน จะได้ยกย่องเราเป็นพระมหาราชครู ชื่อเสียงเราจะได้ปรากฎต่อ ๆ ไปจะไม่ดีหรือ ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า พี่เห็นความดังนั้นไม่พอ การณ์เหตุเดิมมาก็หาได้กล่าวว่าซึ่งเห้งเจียไปอาราธนาพระธรรมไม่ พระพุทธเจ้าได้ไว้พระไตรปิฎกแก่พระโพธิสัตว์กวนอิม เสด็จมายังเมืองใต้ถังเที่ยวหาผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก และพระโพธิสัตว์พูดว่าผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้น คือชื่อกิมเสี้ยนโพธิสัตว์ เป็นสาวกของพระองค์ เพราะเธอขาดฟังธรรม พระยูไลปรับโทษให้ไปปฏิสนธิยังเมืองใต้ถังประเทศจีน บวชในพระพุทธศาสนาโดยทางปฏิบัติบำเพ็ญบารมีให้ใหญ่กว้าง เอาคุณถ่ายโทษกว่าจะบริบูรณ์ซึ่งมรรคผล เพราะฉะนั้นจึงมีมารยักษ์ร้าย พวกเราได้ปลดเปลื้องธุระมาทั้งสามคนเป็นผู้รักษาธรรม แม้ว่าไม่มีพระถังซัมจั๋งไปด้วยแล้ว พระยูไลองค์ใดจะยอมให้พระไตรปิฎกมาเล่า คิดดังนั้นจะมิเสียเวลาเปล่าหรือ
   เห้งเจียว่าน้องรู้หนึ่งไม่รู้สอง น้องพูดว่าน้องมีพระถังซัมจั๋งคุ้มไป เราก็มีพระถังซัมจั๋งจัดแจงไว้พร้อมแล้ว รอได้เวลาพรุ่งนี้เช้าเราก็จะไปไซที แม้ว่าไม่เชื่อเรา ๆ จะนิมนต์ออกมาให้ดู​พูดแล้วก็สั่งบริวารว่า จงไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งมา พวกวานรก็เข้าไปในประตูพยุงพระถังซัมจั๋งเดินออกมา มีม้าขาวตัวหนึ่งกับโป๊ยก่ายหาบของ ซัวเจ๋งถือไม้เท้าเดินตามมา ซัวเจ๋งแลไปเห็นดังนั้นก็โกรธพูดว่า เราไม่ได้เปลี่ยนรูปเปลี่ยนนามอะไร ทำไมจึงมีซัวเจ๋งที่ไหนมาอีกคนหนึ่งดังนี้ ซัวเจ๋งก็ชักตะบองตรงมาตีซัวเจ๋งแปลงล้มลงตายทันที เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องให้พวกบริวารล้อมจับ ซัวเจ๋งก็ตีฝ่าออกจากที่ล้อมได้แล้วก็รีบหนีออกจากทางเก่า เหาะขึ้นบนเวหาบ่นว่าอ้ายลิงมันถือดีดังนี้ เราจะเลยไปฟ้องพระโพธิสัตว์ให้ท่านทราบเรื่อง เห้งเจียเห็นซัวเจ๋งไปแล้วก็กลับเข้าถ้ำคัดเลือกลิงน้อยที่แปลงได้ ให้แปลงเป็นรูปซัวเจ๋งไว้อย่างเดิม แล้วก็สั่งให้ไปไซที
   ฝ่ายซัวเจ๋งออกจากเขาฮวยก๊วยซัวแล้ว ก็เหาะตัดตรงไปเขาโป๊ท่อซัว เหาะมาวันกับคืนหนึ่งก็ถึง ซัวเจ๋งก็ลงยังพื้นค่อยเดินมาใกล้สำนัก แลไปเห็นบัดจาเดินออกมาต้อนรับปราศรัยใต่ถามว่าท่านซัวเจ๋งทำไมไม่ไปตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ ซัวเจ๋งคำนับแล้วพูดว่า เหตุมีกิจธุระจะใคร่มาหาพระโพธิสัตว์ ขอท่านจงได้อนุเคราะห์นำข้าพเจ้าไปเฝ้าด้วยเถิด บัดจาก็รู้ว่าจะมาตามเห้งเจีย จึงเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ ๆ จึงให้บัดจาพาซัวเจ๋งเข้ามา ฝ่ายเห้งเจียยืนเฝ้าพระโพธิสัตว์อยู่ข้างแท่น แลไปเห็นซัวเจ๋งเดินเข้ามาก็นึกเข้าใจแน่ว่าเห็นพระอาจารย์จะมีภัยร้ายแล้ว จึงให้ซัวเจ๋งมาตาม​พระโพธิสัตว์ดอกกระมัง ซัวเจ๋งครั้นเข้ามาถึง แลเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่นก็ก้มหน้ากราบนมัการ แล้วเงยหน้าจะกราบเรียน แลไปเห็นเห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้นก็หาทันจะได้พูดจาอะไรไม่ ฉวยพลองกระโดดมาตีเอาเห้งเจีย ๆ ก็มิได้ต่อสู้ ซัวเจ๋งว่ามึงมีความผิดต้องโทษอกุศลแล้ว มึงยังแอบมาจะหลอกพระโพธิสัตว์หรือ
   พระโพธิสัตว์จึงตวาดห้ามว่า ซัวเจ๋งอย่าวุ่นวาย มีธุระอะไรจงบอกมาให้อาตมภาพทราบด้วย ซัวเจ๋งก็นมัสการโดยกำลังโกรธ เล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าจะมากราบเรียนให้ทราบไม่รู้เลยว่าเหาะมาอยู่นี่ก่อน แลไม่ทราบว่าเอาอะไรมากราบเรียนแก้ตัวแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น จึงพูดว่าซัวเจ๋งอย่าเอาโทษมาใส่เขา เห้งเจียมานี่ได้สี่วันแล้ว อาตมภาพก็ยังหาได้ปล่อยให้ไปไหนไม่ เหตุนี้จะเกิดขึ้นจากไหน ซัวเจ๋งพูดว่าที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องก็มีเห้งเจียคนหนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้เอาเท็จมากล่าว พระโพธิสัตว์ว่าถ้าจริงดังนั้นซัวเจ๋งจงไปกับเห้งเจียดูให้รู้ก่อน เมื่อไปถึงแล้วก็จะรู้ได้ เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น จึงชวนซัวเจ๋งคำนับลาพระโพธิสัตว์พากันออกจากสำนักก็รีบเหาะตรงไป

17 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 41 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๕)
เวลานั้นเห้งเจียจะร่ายคาถาทำจังงังให้หมู่หญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊ก ยืนอยู่ที่เดียวก็ยังหาทันไม่ พอได้ยินเสียงซัวเจ๋งร้องโวยวายขึ้น เห้งเจียหันไปถามว่าอะไรกัน ​ซัวเจ๋งบอกว่ามีหญิงผู้หนึ่งทำเป็นม้วนลมพายุ หอบเอาพระอาจารย์ไปแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็เหาะขึ้นกลางเวหาแลไปดูทั้งสิบทิศก็เห็นข้างทิศอุดรมีม้วนลมกลุ้ม ๆ ลิ่ว ๆ ไป เห้งเจียเห็นแล้วก็กลับหน้ามาเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า จงรีบตามเราไปตามอาจารย์โดยเร็ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เก็บของวางบนหลังม้าเสร็จแล้ว จึงหากันเหาะตามเห้งเจียมา
   ฝ่ายพวกหญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊กแลเห็นเหาะเหินเดินอากาศไปได้ดังนั้น ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้นทำเคารพทุก ๆ คน แล้วพูดว่ามีอภินิหารบารมีเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ชะรอยจะเป็นพระอรหันต์แน่ไม่ต้องสงสัยเลย ท่านน้องพระเจ้าแผ่นดินถังนั้นมีบารมีแก่กล้า พวกเรามีแต่นัยน์ตาไม่มีแก้วตาจึงได้คิดผิดไปดังนี้ หมายใจเสียว่าเหมือนมนุษย์ธรรมดา จึงได้เสียเวลาคิดป่วยการเปล่า ๆ ขอเชิญพระแม่เจ้าขึ้นสู่ราชรถกลับเข้าพระนครเถิด พระราชเทวีเมื่อได้พระสติก็ให้นึกละอายแก่พระทัย จึงพร้อมด้วยขุนนางใหญ่น้อย บ่ายหน้าราชรถคืนกลับเข้าสู่พระนคร
   ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเหาะไล่ตามม้วนลมนั้นมา ถึงภูเขาสูงอันหนึ่งก็เห็นม้วนลมนั้นเงียบสงบลง ก็หาได้รู้ว่าปีศาจนั้นจะไปข้างไหนไม่ พี่น้องทั้งสามคนก็พากันลดลงยังยอดเขา เที่ยวค้นหาแลไปข้างหน้าก็เห็นแห่งหนึ่ง มีศิลาสีเขียวตั้งอยู่มีแสงระยับสว่างไสวดุจแผ่นกระจกลับแล พ้นแผ่นศิลาเข้าไปข้างหลังนั้น มีบานประตูศิลาปิดงับอยู่บนขวางประตูมีอักษรใหญ่หกตัว คือเขาต๊อกตี๊ซัวถ้ำปี้แป้ต๋อง
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตรงเข้ามาจะเอาคราดเหล็กสับ เห้งเจียห้ามว่าน้องอย่าเพิ่งทำก่อน เพราะเราตามม้วนลมมาก็หารู้แน่ไม่ น้องทั้งสองจงพักอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว พี่จะเข้าไปสืบความดู ให้ได้ความก่อนแม้ว่าได้ความแล้วประการใดเราจึงค่อยคิดอ่านต่อไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียก็รอคอยที่นั่น เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงผึ้งตัวน้อยบินลอดเข้าไปในประตูถึงชั้นที่สอง แลไปเห็นหญิงนั่งอยู่บนแท่นผู้หนึ่ง สองข้างมีหญิงรูปร่างสวยกำลังรุ่นสาว ยืนเรียงรายสองแถว พากันหัวเราะโดยไม่รู้เหตุ เห้งเจียค่อย ๆ บินเข้าไปใกล้จับอยู่บนขื่อคอยแอบฟังเหตุการณ์ ประเดี๋ยวก็เห็นหญิงผมยาวคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน สองมือประคองถาดออกมา ในถาดนั้นมีของกินสองอย่างกำลังร้อน ๆ เดินขึ้นมาที่นางนั่งพูดว่า ขอแม่นางได้ทราบของกินสองสิ่งนี้ สิ่งหนึ่งแกงเนื้อคนสิ่งหนึ่งเป็นของเครื่องแจ
ตอน เรื่องวุ่นๆในเมืองแม่หม้าย ปิศาจแมงป่อง (ช่วงที่2)
   นางปิศาจได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอยู่ในหน้า จึงสั่งว่าพวกเจ้าจงเข้าไปพยุง ท่านพระถังซัมจั๋งออกมานี่ พวกหญิงบริวารเหล่านั้นก็พากันเข้าไปพะยุงพระถังซัมจั๋งออกมา เห้งเจียเห็นพระอาจารย์มีสีหน้าเหลืองสองตาแดงเหมือนร้องไห้ เห้งเจียนึกแต่ในใจว่า อาจารย์เราเห็นจะถูกยาแฝดเสียแล้ว ฝ่ายนางปีศาจยักษ์เห็นคนพยุงพระถังซัมจั๋งออกมา ก็ลงจากแท่นจับมือพระถังซัมจั๋งไว้แล้วจึงพูดว่า ท่านจงวางใจเถิดอย่าทุกข์โทมนัสเศร้าโศกไปให้ป่วยการเลย อันความบริบูรณ์มั่งมีศรีสุขสู้เมือง​ไซเหลียงก๊กไม่ได้ก็จริง แลความสำราญเงียบสงัดที่นี่ดีกว่า จะภาวนาสวดมนต์ก็เป็นที่สะอาดใจ ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นเพื่อนยากกันกว่าชีวิตจะหาไม่เถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางปีศาจยักษ์พูดเกี้ยวพานดังนั้น ก็มิได้โต้ตอบประการใด นางปีศาจจึงพูดต่อไปว่าท่านอย่ามีความเศร้าหมองเลย เมื่อเลี้ยงโต๊ะที่เมืองไซเหลียงก๊กในเวลานั้นข้าพเจ้าก็อยู่ แต่ไม่เห็นว่ายื่นให้ซึ่งของกิน มาบัดนี้ข้าพเจ้ามีของกินสองอย่าง คือ แจแลโช ตามแต่ท่านจะประสงค์เถิด พระถังซัมจั๋งนึกในใจว่าแม้ว่าเราไม่พูดจาโต้ตอบ อันหญิงปีศาจนี้หาเหมือนนางกระษัตริย์ไม่ นางยังมีธรรมเนียมะนุษย์ อันปีศาจนี้มันเป็นยักษ์มารร้ายกาจ แลอีกประการหนึ่งศิษย์ทั้งสามก็ยังไม่รู้เหตุการณ์ว่ามาตกทุกข์ได้ยากอยู่ที่นี่ไม่ บางทีปีศาจมันจะคิดหักหาญทำร้ายเราก็จะเสียซึ่งชีวิต คิดดังนั้นแล้วก็อุตส่าห์ออกวาจาตอบว่าอันของสองอย่างนั้น เรียกว่าแจเป็นอย่างไร โชเป็นอย่างไรข้าพเจ้าอยากทราบ นางปีศาจบอกว่าของแจทำต้มแกงไม่มีเนื้อสัตว์ ของโชนั้นต้มแกงด้วยเนื้อมนุษย์ พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมภาพเคยฉันแต่ของแจ
   นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเรียกสาวใช้ให้ยกน้ำร้อนน้ำชามา พวกคนใช้ก็ยกน้ำร้อนมาตั้งไว้ตามสั่ง นางปีศาจก็หยิบของแจยื่นส่งให้พระถังซัมจั๋งฉัน พระถังซัมจั๋งหยิบของโชส่งให้นางปีศาจ ต่างยื่นส่งกันไปมากินตามสบาย ฝ่ายเห้งเจียเป็นแมลงผึ้งจับอยู่บนขื่อ เห็นพระถังซัมจั๋งกับนาง​ปีศาจพุดจาปราศรัยกันดังนั้น ก็วิตกกลัวว่าพระอาจารย์จะฟุ้งซ่านลุ่มหลงไป เห้งเจียอดไม่ได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิม ชักตะบองโดดลงมาร้องว่าอีมารร้ายมึงอย่าทำเล่ห์กลหลอกอาจารย์กูเลย นางปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจ พ่นสายไฟออกจากปากมืดไปหมดทั้งถ้ำ เรียกสาวใช้ให้พาพระถังซัมจั๋งไปเก็บไว้ยังเดิม
   แล้วนางปีศาจก็จับพลองเหล็กกระโดดออกมายังหน้าประตูถ้ำ ด่าว่าอ้ายลิงมึงถืออย่างไรจึงอาจสามารถแอบเข้ามาในถ้ำของกู มึงมาต่อสู้แก่กูให้เห็นฝีมือกัน เห้งเจียเอาตะบองเหล็กขึ้นรับค่อยรบรอถอยมาจากถ้ำ ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง นั่งคอยอยู่หน้าถ้ำ แลไปเห็นคนทั้งสองกำลังต่อสู้กันออกมา โป๊ยก่ายสองมือจับคราดกระโดดมาร้องว่าพี่ขยับถอยไปก่อน ข้าพเจ้าจะสับอีมารด้วยคราดสักทีหนึ่ง

   นางปีศาจเห็นโป๊ยก่ายว่าจะเข้ามาทำร้าย จึงแผลงฤทธิ์ให้ไฟออกจากรูจมูกเป็นควันกลุ้มไม่แลเห็นอะไร แล้วบันดาลให้พลองนั้นบินแกว่งมาบนอากาศตีกระหนาบไม่รอรั้ง จนไม่รู้ว่าปีศาจจะมีสักกี่มือ เห้งเจียโป๊ยก่ายรอรับอยู่คนละข้าง นางปีศาจจึงพูดว่าหงอคงทำไมจึงไม่รู้เหตุการณ์ เราจำเจ้าได้เจ้าจำเราไม่ได้หรือที่วัดลุ่ยอิมยี่พระยูไลยังกลัวเรา ทำไมกับเจ้าอ้ายชาติสัตว์เดรัจฉานสองตนเท่านี้จะไปถึงไหน เห้งเจียโป๊ยก่ายรบแก่นางปีศาจหลายชั่วโมงก็ไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางปีศาจก็ร่ายเวทบันดาลเป็นสากตำเข้าบินมา เห้งเจียไม่ทันรู้ตัวสากตกถูกกลางกระหม่อมทีหนึ่ง เห้งเจียร้องโอยก็​ถลาถอยหนี โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ลากคราดถอยหนีไปเหมือนกัน ฝ่ายนางปีศาจมีชัยชนะแล้วกลับเข้าถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียถูกสากเจ็บปวดก็ประคองศรีษะหน้านิ่วคิ้วย่นเหลือจะทนได้ ออกปากร้องว่าร้ายแรง
   โป๊ยก่ายถามว่า กำลังรบกันอยู่ทำไมพี่จึงร้องขึ้นและกอดหัววิ่งหนีกลับมาดังนี้เล่า เห้งเจียประคองศรีษะร้องว่าเจ็บเหลือทน แล้วพูดว่าเพื่อเวลากำลังรบแก่ปีศาจมันเห็นเพลงอาวุธจวนจะแพ้เรา ไม่รู้ว่ามันแผลงฤทธิ์ด้วยประการใด บินมาถูกศรีษะเราทีหนึ่งเจ็บปวดเหลือจะทนได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องล่าหนี โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เพื่อเวลามิได้รบพุ่งแก่ใคร พี่พูดอวดว่าศรีษะของพี่ปลุกเสกประกอบด้วยธรรมอันเชี่ยวชาญแก่กล้า ถ้าจริงดังนั้น ทำไมจึงไม่คุ้มไว้ได้ ให้ถูกเจ็บอย่างนี้ทำไมเล่า เห้งเจียว่า อันความที่เล่าเรียนวิชาการที่คุ้มภัยก็ได้จริงเหมือนกัน ซึ่งเป็นมีดพร้าหรือหอกดาบ แหลนหลาวและไฟเผาสารพัดก็ไม่เป็นอันตรายจริง มาวันนี้นางปีศาจนี้ ไม่รู้ว่ามันเอาสิ่งไรทำให้เราได้ความเจ็บปวดเหลือทนดังนี้
   โป๊ยก่ายว่าถ้าดังนั้นเรากลับไปเมืองไซเหลียงก๊กหายาให้พี่ ปิดแก้ปวดเห็นจะดี เห้งเจียพูดว่าไม่มีบาดแผลและไม่บวมช้ำจะปิดยาอย่างไรได้ โป๊ยก่ายพูดว่าเพื่อข้าพเจ้ามีท้องจนท้องยุบเจ็บปวดก็ยังไม่เจ็บถึงสมอง ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายอย่าพูดเล่นให้เสียเวลา ด้วยเวลาก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว พี่เห้งเจียได้ความเจ็บปวด ทั้งพระอาจารย์ก็ไม่รู้​ว่าจะเป็นตายประการใด จะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อยู่ในถ้ำคงไม่เป็นไรอย่าวิตก เราพักพี่ชายเขาสักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งจึงค่อยคิดการต่อไป พูดดังนั้นแล้วทั้งสามคนก็พาค้นหาที่พักเป็นปรกติแล้วก็นอน
   ฝ่ายนางปีศาจ ครั้นได้ชัยชนะแล้ว กลับเข้าไปในถ้ำก็ทำใจดีรื่นเริงอ่อนน้อมไม่ดุร้าย สั่งให้พวกคนใช้ปิดประตูชั้นนอกให้มั่นคง สั่งให้นั่งยามอยู่สองคนคอยระวังผลัดเปลี่ยนกัน และสั่งให้สาวใช้ปัดกวาดเตียงนอนจุดโคมไฟขึ้นให้สว่างไสว คืนวันนี้เรากับท่านพระอนุชาเมืองใต้ถังจะมีความรื่นเริงกัน พวกสาวใช้ก็จัดการตามนางปีศาจสั่งทุกประการ ครั้นจัดเสร็จแล้ว ก็พากันเข้าไปข้างในพยุงพระถังซัมจั๋งมาที่นาง ฝ่ายนางปีศาจทำกิริยายียวนเล้าโลมจับมือพระถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่า ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นสามีภรรยากันอย่ามีความรังเกียจแต่อย่างใดเลย พระถังซัมจั๋งเมื่อได้เห็นปีศาจทำกิริยาอาการแลพูดจาดังนั้นตกประหม่าหน้าไม่มีสีโลหิต คิดแต่ในใจว่า แม้เราจะขัดขืนมิตามใจมัน ๆ ก็จะฆ่าเราเสีย อย่าเลยจำจะต้องผ่อนผันไปตามการ คิดแล้วก็เดินตามนางเข้าไปในห้อง
   เวลานั้นพระถังซัมจั๋งดุจบ้าใบ้ไม่เป็นสติสมประดี มิได้เงยหน้าแลดูสิ่งใด ครั้นเข้าในห้องสองต่อสองแล้ว นางปีศาจก็ทำกิริยาลูบคลำจับต้องโดยจิตอันกำหนด​ในกามราคะ แต่พระถังซัมจั๋งมิได้มีความยินดีนั่งนิ่งสำรวมจิตมิได้มีความปฏิพัทธ์เกี่ยวข้องในกามคุณ นางปีศาจก็เล้าโลมกอดรัดหวังจะให้ความกำหนัดแห่งพระถังซัมจั๋งกำเริบขึ้น แต่พระถังซัมจั๋งก็นั่งนั่งอยู่เหมือนบ้าใบ้ไม่แสดงความกำหนัดเสน่หา ในทางอสัทธรรมสังวาสจนเวลาล่วงเข้ายามสาม นางปีศาจมีความกำหนัดเร่าร้อนไปด้วยเพลิงราคะ เข้ากอดปล้ำทำประการ ใด ๆ พระถังซัมจั๋งก็สภาวะนิ่งอยู่มิได้กำเริบ นางปีศาจสุดที่จะคิดเพราะเป็นสตรี เมื่อบุรุษไม่ยินดีแล้ว ก็ไม่สามารถจะให้สำเร็จความประสงค์ของตนได้ จึงเรียกสาวใช้ให้เอาเชือกมามัดผูกพระถังซัมจั๋ง ดุจมัดคชสารและราชสีห์แล้วก็สั่งให้ลากลงไปที่ระเบียง พวกคนใช้ก็กระทำตาม นางปีศาจจึงให้ดับโคมไฟนอน
   ฝ่ายเห้งเจียพักอยู่ที่ข้างเขา พอตื่นรู้สึกก็เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแล้วพูดว่า เมื่อเวลากลางคืนเจ็บปวดศรีษะ เวลานี้ความเจ็บปวดก็หายแล้ว โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า แม้ว่าหายดีแล้วก็ให้มันลองดูอีกสักทีหรือจะเป็นอย่างใดอีกบ้าง เห้งเจียว่าเลิกเสียเถิดอย่าเอามาพูดอีกเลย โป๊ยก่ายว่าทิ้งอาจารย์เสียคืนหนึ่งแล้วไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด ซัวเจ๋งพูดว่าสว่างดีแล้วจะรีบไปกำจัดปีศาจเสียให้จงได้ จะได้แก้เอาพระอาจารย์ออกมา เห้งเจียว่าน้องจงคอยพี่อยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวพี่กับโป๊ยก่ายจะไปดูลาดเลาก่อน พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมด้วยโป๊ยก่ายรีบเดินขึ้นไปบนถ้ำ ครั้นเห้งเจียขึ้นไปถึงจึงสั่งโป๊ยก่าย​ให้รอคอยอยู่ที่หน้าถ้ำก่อน วิตกว่าเมื่อคืนนี้ปีศาจมันจะทำแก่พระอาจารย์ประการใดก็ยังไม่รู้ได้ พี่จะเข้าไปฟังดูให้รู้แน่ใจก่อน พูดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นแมลงผึ้งบินเข้าในถ้ำ ถึงประตูชั้นในแลเห็นคนนั่งยามอยู่สองคน มือถือเกราะนอนหลับอยู่ข้างประตู เห้งเจียก็บินเข้าไปยังห้องนางปีศาจที่นอนอยู่
   ฝ่ายนางปีศาจเวลากลางคืนอดนอนจึงได้หลับอยู่จนสายยังหาตื่นไม่ เห้งเจียก็ค่อย ๆ บินเข้าไปข้างในได้ยินเสียงพระอาจารย์ แลไปก็เห็นต้องมัดอยู่ดุจเขามัดสุกรนอนอยู่ข้างบันใด เห้งเจียก็บินลงมาใกล้ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเห้งเจีย จึงเรียกว่าเห้งเจียจงรีบมาช่วยชีวิตเราด้วยเถิด เห้งเจียถามว่าเมื่อคืนนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง พระถังซัมจั๋งตอบว่า การประเวณีแล้วก็ตายเสียดีกว่า เพราะไม่ยินดีด้วยกับมัน ๆ จึงได้มัดไว้ทรมานทรกรรมอย่างนี้ เวลานั้นอาจารย์กับศิษย์กำลังพูดกันอยู่นางปีศาจรู้สึกได้ยินเสียงว่าจะไปอาราธนาพระธรรมก็ตกใจตื่นขึ้น แม้นางปีศาจทำทรมานพระถังซัมจั๋งก็จริง แต่ใจนั้นยังมีความเสน่หาอาลัยพระถังซัมจั๋งอยู่มาก นางปีศาจได้ยินว่าจะไปก็รีบลงมาจากเตียงเดินเข้ามาที่มัดพระถังซัมจั๋งไว้ แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า อยู่เป็นผัวเมียกันไม่ดีหรือ จะไปอาราธนาพระธรรมทำไมให้ลำบาก
   เห้งเจียได้เห็นดังนั้นก็รีบบินออกจากอาจารย์มาบอกแก่โป๊ยก่ายว่า อาจารย์ท่านไม่ยอมตามใจ​นางปีศาจ เพราะฉะนั้นมันจึงทรมานมัดท่านไว้ เมื่อกี๊พี่กำลังพูดอยู่กับพระอาจารย์ มันตกใจตื่นขึ้นพี่จึงต้องรีบหนีมา โป๊ยก่ายถามว่า อาจารย์ได้พูดอะไรบ้างหรือ เห้งเจียบอกว่าพระอาจารย์ เธอพูดว่าตายเสียดีกว่าที่จะให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะ ชมว่าดี ๆ พระอาจารย์เราเป็นพระแท้ พี่น้องเราจึงพร้อมใจกันช่วยเธอให้ออกพ้นทุกข์ โป๊ยก่ายสองมือจับคราดเต็มกำลังสับกระชากประตูศิลาก็พังลงกระจายสามสี่ก้อน ฝ่ายพวกเฝ้าประตูกำลังนอนหลับก็ตกใจตื่น เห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปบอกแก่นางปีศาจว่า อ้ายรูปชั่วร้ายทั้งสองคนมาอีกแล้ว
   นางปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็จับอาวุธพลองรีบเดินออกมายังประตูถ้ำ ร้องด่าว่าอ้ายสัตว์ลิงสัตว์หมูมึงอายุมากเสียเปล่า ๆ ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ทำไมจึงบังอาจมาทำลายประตูถ้ำของเราเสียดังนี้ควรหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังนางปีศาจพูดดังนั้นก็ด่าว่าอีมารร้าย มัวเมาละโมบเต็มไปด้วยกามราคะท่วมกระบาลชาติสามารไม่มีดี มึงจะขับเขี้ยวอาจารย์กูให้ร่วมรักแก่มึงทำให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง ครั้นไม่ตามใจมึง ๆ ก็ทำทรมานทรกรรมต่าง ๆ มึงจะตกนรกหมกไหม้ใต้เถรเทวทัตมิได้รู้กลับมาเกิดในที่ดีอีกต่อไปแล้ว มึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมากูจะยกโทษให้มึงไว้ชีวิตไม่ฆ่าฟัน แม้ดื้อดึงขัดขวางอยู่ไม่กระทำตามกูว่า กูจะพังรื้อทั้งภูเขาให้ทะลายลงมิให้มึงตั้งรังอยู่ได้ต่อไป
   ​นางปีศาจได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็เตรียมตัวร่ายเวทเหมือนครั้งก่อน ไฟก็พุ่งออกจากรูจมูก มือถืออาวุธเข้าตีโป๊ยก่าย ๆ จับคราดยกขึ้นสับปีศาจ เห้งเจียเอาตะบองเหล็กเข้าระดมตี ปีศาจ นางปิศาจก็แผลงฤทธิ์ออกไม่รู้ว่ากี่มือ รับซ้ายรับขวาต่อสู้กันประมาณได้ห้าสิบเพลง โป๊ยก่ายถูกอาวุธที่ปากได้ความเจ็บปวดก็ถอยหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หวาดวิตกกลัวปีศาจ จึงได้ถอยหนีตามโป๊ยก่ายไป ฝ่ายนางปีศาจมีชัยแล้วก็กลับเข้าถ้ำ สั่งพวกบริวารให้เอาศิลาก้อนใหญ่ ๆ ซ้อนกันปิดปากถ้ำให้มั่นคง ฝ่ายซัวเจ๋งอยู่ที่ชายเขาปล่อยม้าให้กินหญ้า ได้ยินเสียงหมูร้องอยู่ที่ไหนก็ยังไม่เห็นตัว ครั้นแลไปก็เห็นโป๊ยก่ายยกปากวิ่งหนีมา ซัวเจ๋งถามว่านั่นเป็นอะไร โป๊ยก่ายบอกว่าไม่เป็นการเจ็บปวดเหลือทน เห้งเจียวิ่งถามตามมาทันหัวเราะว่าเมื่อวานนี้แช่งข้าหัวบวมวันนี้ปากเจ้าบวม
   โป๊ยก่ายครางร้องว่าเหลือทน พี่น้องทั้งสามกำลังคร่ำครวญแลไปเห็นยายเฒ่าผู้หนึ่ง มือซ้ายถือตะกร้าๆ หนึ่งเก็บผักเดินมาทางทิศอาคเนย์ ซัวเจ๋งชี้มือว่าพี่ยายเฒ่าที่ไหนเดินมาโน่นแน่ เห้งเจียหันไปดูก็เห็นบนศรีษะมีรัศมีปกคลุมอยู่ เห้งเจียจำได้ว่าพระโพธิสัตว์จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมานมัสการว่าพระโพธิสัตว์มาแล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์เหาะขึ้นบนอากาศ กลับเป็นรูปเดิมของพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเหาะตามขึ้นไปนมัศการบอกว่า พวกข้าพเจ้ามัวต่อสู้แก่ปีศาจไม่ทันจะมารับท่าน ขอได้โปรดอภัยแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ​บัดนี้พวกข้าพเจ้ามาถูกมารร้ายยากที่จะปราบลงได้ พระโพธิสัตว์บอกว่าสัตว์ตนนี้มันมีฤทธิ์ร้ายแรงนัก ที่มันต่อยคนให้เจ็บปวดนั้นคือปลายหางของมัน ตัวมันเป็นปีศาจแมลงป่องเพราะฉะนั้นมันจึงมีพิษที่ปลายหาง เมื่อก่อนอยู่ที่วัดลุ่ยอิมยี่ฟังพระแสดงธรรม พระยูไลแลเห็นไม่ชอบก็เอามือปัดมันไป มันหวนกลับต่อยนิ้วหัวแม่มือพระยูไลเจ็บปวดเหลือจะทน พระยูไลให้เทพบุตรกิมกังจับมัน ๆ หนีมาซ่อนอยู่แห่งนี้
   ท่านอยากจะให้อาตมาช่วยอาตมาเข้าใกล้ไม่ได้ แม้ว่าจะช่วยได้ก็รีบไปหาดาวเทพบุตรเบ๊ายิดแชกุน อยู่ข้างทิศบูรพาชั้นดาวดึงส์นั้นลงมา นั่นแลจึงจะปราบได้โดยง่าย พระโพธิสัตว์บอกให้เห้งเจียแล้วก็อันตรธานหายไป เห้งเจียครั้นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว ก็กลับลงมาบอกแก่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า พระอาจารย์เรามีดาวช่วยไม่เป็นไร พระโพธิสัตว์ท่านชี้แจงให้พี่ไปบนสวรรค์เชิญดาว เบ๊ายิดแชกุนให้ลงมาปราบปีศาจจึงจะได้ พี่จะรีบไปพูดแล้วก็เหาะไปยังดาวดึงส์ เห้งเจียตรงเข้าไปยังตำหนักก้วงเม้งเกง เวลานั้นท่านเบ๊ายิดแชกุนไม่อยู่ เพราะให้ไปตรวจชั้นฟ้าเห้งเจียเห็นไม่อยู่จะถอยกลับออกมา แลไปเห็นพลทหารยืนเป็นแถวข้างหลังนั้น ท่านเบ๊ายิดแชกุนกลับมา แล้วเห้งเจียกระทำคำนับ
   เบ๊ายิดแชกุน เห็นเห้งเจียก็คำนับตอบแล้ว ถามว่าท่านใต้เซียจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้ามาหาจินแสไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง เบ๊ายิดแชกุนถามว่าจะให้ช่วยธุระอย่างไรหรือ บัดนี้อยู่ในที่ตำบลใด เห้งเจียบอกว่า อยู่ที่เมืองไซเหลียงก๊กตำบล​เขาต๊อกติ๊ซัวถ้ำบี้แป้ต๋อง พระโพธิสัตว์กวนอิมท่านเสด็จมาบอกให้ว่านางปีศาจนั้นมันเป็นแมลงป่อง ชี้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่านจึงจะปราบได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอเชิญท่านไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้า
   เบ๊ายิดแชกุนพูดว่า จะเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ก็จะช้าการไป ท่านใต้เซียมาถึงนี่แล้ว ทั้งพระโพธิสัตว์ก็ได้ชี้มาแล้ว ก็ไม่อาจขัดได้ ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะไปพร้อมกับท่านให้ทันเวลา เห้งเจียมีความดีใจพร้อมกันกับเบ๊ายิดแชกุน ออกจากประตูสวรรค์ตังทีหมึงเหาะมายังเขาต๊อกติ๊ซัว ครั้นถึงก็พากันลงยังยอดเขาเดินตรงมาที่หน้าถ้ำ ซัวเจ๋งแลไปเห็นก็ร้องเรียกโป๊ยก่ายว่า พี่เห้งเจียไปเชิญเบ๊ายิดแชกุนมาแล้ว โป๊ยก่ายแหงนหน้าพูดว่า อย่าถือข้าพเจ้าเลยเป็นคนป่วยไข้ เบ๊ายิดแชกุนถามว่า ท่านมีความป่วยเจ็บประการใดหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าเมื่อวานนี้ไปรบกับนางปีศาจ ในเวลากำลังรบกันอยู่ ไม่รู้ว่ามันเอาอะไรต่อยเอาที่ปากทีหนึ่ง ได้ความเจ็บปวดยังไม่หายจนบัดนี้
   เบ๊ายิดแชกุนว่า ท่านขยับมาข้าพเจ้าจะรักษาให้ โป๊ยก่ายก็ขยับมาใกล้ เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่ปากโป๊ยก่ายทีหนึ่งแล้ว เป่าทีหนึ่งความเจ็บปวดก็หายทันที โป๊ยก่ายดีใจที่สุดก็คำนับสรรเสริญว่าศักดิ์สิทธิ์แท้ ๆ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า ท่านจินแสช่วยลูบให้ข้าพเจ้าสักทีหนึ่งเถิด เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าก็ถูกทีหนึ่ง ค่อยเบาแต่ยังไม่หายขาด ยังแสบๆ ตึงๆ อยู่วิตกว่าจะแปรปรวนไปอีก ขอท่านจินแส​ได้ช่วยแก่ให้ข้าพเจ้าด้วย เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่กลางกระหม่อมเห้งเจียทีหนึ่ง เป่าทีหนึ่งด้วยลมปากก็หายไม่เจ็บแสบอีกต่อไป โป๊ยก่ายนึกโกรธขึ้นมาพูดว่า พี่ไปกำจัดอีปีศาจนั้นก็ไปเถิด
   เบ๊ายิดแชกุนว่าท่านทั้งสองจงไปล่อพอให้มันออกมาพ้นจากปากถ้ำ ข้าพเจ้าจะปราบมันเอง เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมกันลงมายังถ้ำ ถึงประตูโป๊ยก่ายก็เอาคราดสับกระชากประตูหักพังทลายลงทั้งสิ้น แล้วเข้าไปในถ้ำถึงชั้นสองก็เอาคราดสับกระชากพังลงทั้งสิ้น เวลานั้นนางปีศาจจะให้คนแก้มัดพระถังซัมจั๋ง จะใคร่เชิญมาฉันน้ำร้อนน้ำชา พอได้ยินเสียงพังประตูชั้นสองอึกกระทึกนางก็ลุกขึ้นจับอาวุธเดินออกมาจากที่ ตีโป๊ยก่าย ๆ ยกคราดขึ้นรับ เห้งเจียเอาตะบองตีนางปีศาจ ๆ รุกเข้ามาจะแผลงฤทธิ์ เห้งเจียโป๊ยก่ายรู้ทีก็ถอยหนีออกมานอกถ้ำ เห้งเจียจึงร้องว่าท่านเบ๊ายิดแชกุนอยู่ที่ไหน แลไปเห็นเบ๊ายิดแชกุนยืนอยู่บนเนินเขา แปลงกายเป็นรูปเดิมคือไก่ใหญ่ตัวหนึ่ง ยื่นศรีษะยาวประมาณแปดศอกหันตรงนางปีศาจร้องขึ้นคำหนึ่ง นางปีศาจก็กลายเป็นรูปเดิม คือแมลงป่อง เบ๊ายิดแชกุนร้องขันขึ้นอีกทีหนึ่ง แมลงป่องนั้นก็ล้มตายอยู่กับเนินเขานั้น
   โป๊ยก่ายตรงเข้ามาเหยียบกลางหลังด่าว่าอีสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมึงจึงไม่แผลงฤทธิ์ไปอีกเล่า ปีศาจก็นอนนิ่งไม่ไหวกาย โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับฟันจนละเอียดไปทั้งสิ้น ฝ่ายเบ๊ายิดแชกุนเห็นเสร็จธุระแล้วก็เหาะกลับไปยังวิมานสถาน ​เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คำนับขอบคุณไป พี่น้องทั้งสามก็พากันเข้าถ้ำ พวกคนใช้ของปีศาจก็พากันมาคุกเข่าคำนับพูดว่า ขอท่านได้โปรดพวกข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจมารร้าย พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ในเมืองไซเหลียงก๊ก นางปีศาจจับเอามาทั้งนั้น ท่านอาจารย์นั้นอยู่ข้างในห้องเฮียวปั๊งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ เห้งเจียพิจารณาดูคนเหล่านั้นก็เห็นว่ามิใช่ปีศาจจริง จึงเดินเลยเข้าไปข้างในค้นหาอาจารย์
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เห็นศิษย์มาพร้อมกันทั้งสามคนก็มีความยินดีพูดว่า อาตมภาพผู้เดียวศิษย์ทั้งหลายจึงได้ซึ่งความทุกข์ แล้วถามต่อไปว่าบัดนี้นางปีศาจนั้นเป็นประการใด โป๊ยก่ายบอกว่าอันหญิงนั้น เดิมเป็นแมลงป่องตัวเมีย หากพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกให้ไปหาเบ๊ายิดแชกุนลงมาปราบจึงได้ นางปีศาจนั้นข้าพเจ้าสับฟันละเอียดแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น มีความขอบคุณพระกวนอิมยิ่งนัก พวกศิษย์ทั้งสามก็หาอาหารให้พระอาจารย์ฉันเสร็จแล้ว ต่างก็พากันกินอิ่มแล้วก็พากันออกจากถ้ำ จึงเรียกพวกหญิงที่ปีศาจจับไว้นั้น ให้ออกมาแล้วก็ชี้ทางให้กลับไปทุกคน แล้วเอาหญ้าฟางทำคบจุดไฟเผาถ้ำนั้นไหม้เป็นจุณไป ก็นิมนต์อาจารย์ชนม้าตัดออกทางใหญ่หมายทิศปราจิณ

16 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 40 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๕๓)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินมาได้ยินเสียงร้องเรียกก็ตกใจ แลไปเห็นพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขา ยกบาตรเข้ามาพูดว่า บาตรข้าวนี้เป็นบาตรข้าวของท่านอาจารย์ คือท่านให้เห้งเจียไปบิณฑบาต เพราะท่านทั้งหลายไม่เชื่อฟังคำเห้งเจีย จึงได้รับความเดือดร้อนเพราะปีศาจร้ายกระทำให้เธอได้ทุกข์ยากเหลือเกินหาที่เปรียบมิได้ จนวันนี้จึงได้แก้เอาออกมาได้ นิมนต์ท่านฉันเสียก่อนแล้วจึงค่อยไปเถิด อย่าให้เสียความกตัญญูของท่านเห้งเจียเลย พระถังซัมจั๋งพูดว่า ซึ่งอาตมภาพทำให้เห้งเจียได้ความยากลำบากนั้น แม้ว่ารู้เป็นการเช่นนี้จะออกจากวงไปทำไมให้ได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้
   เห้งเจียพูดว่าเป็นเหตุเพราะอาจารย์ไม่เชื่อวงนั้น จึงให้ข้าพเจ้าไปรับทุกข์ทรมารห่วงของปีศาจ ทั้งน่าแค้นอ้ายกลับกลอกโป๊ยก่ายมึงแกล้งทำเล่น ให้​พระอาจารย์ไปต้องภัยใหญ่และให้เราต้องขึ้นฟ้าลงดิน เชิญพลเทพบุตรทั้งไฟทั้งน้ำ แม้พระพุทธเจ้าให้ยากิมตันมาก็ยังไม่สามารถจะปราบปีศาจได้ อาศัยพระพุทธเจ้าทรงชี้แจงเหตุผลให้ จึงไปเชิญท่านท้ายเสียงเล่ากุนลงมาจับจึงได้ อันปีศาจนั้นคือโคเขียวของท่านท้ายเสียงเล่ากุนหนีลงมาเป็นปีศาจร้าย
   พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียเล่าความดังนั้น ก็มีความรู้สึกได้สติคิดถึงความดีของเห้งเจีย จึงพูดแก่สานุศิษย์ว่า การที่เป็นแล้วก็พ้นมาได้แล้ว ต่อไปภายหน้าต้องเชื่อคำแนะนำของเห้งเจีย พูดดังนั้นแล้วก็ฉันจังหัน เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็แบ่งกันรับประทาน เห้งเจียเห็นข้าวยังร้อน ๆ จึงถามว่าข้าวนี้ก็หลายเวลาแล้วทำไมยังร้อนอยู่เล่า พระภูมิเจ้าที่คุกเข่าลงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านใต้เซียจะสำเร็จการจึงได้เอาข้าวร้อนมาให้กิน ครั้นกินข้าวอิ่มแล้วก็เก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ลาพระภูมิเจ้าที่
   พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าออกเดิน ตัดมรรคาข้ามเขาใหญ่หมายทิศปราจิณ เดินมาหลายเวลาในฤดูนั้นเป็นเดือนสามเดือนสี่ กำลังเดินมาก็พบลำคลองน้อยน้ำใสสีเขียวเยือกเย็น พระถังซัมจั๋งยอม้าพิจารณาดูเห็นต้นไม้ผลิดอกออกช่ออรชร งดงามน่าพึงชม มีเรือนกระท่อมน้อย ๆ อยู่ใต้ร่มไม้สองสามหลังเห้งเจียชี้ว่า ที่มีบ้านคนอยู่นั้นเห็นจะเป็นคนรับจ้างส่งข้ามเป็นแน่ โป๊ยก่ายก็วางหาบร้องเรียกว่า เจ้าเรือโวยเอาเรือมารับข้ามฟากทีเถิด เรียกซ้ำสองสามคำก็เห็นคนค้ำเรือเกะกะออกมา บัดเดี๋ยว​ก็ค้ำข้ามมาถึงฝั่งตะวันออก ร้องถามว่าผู้ที่จะข้ามฟากนั้นอยู่ที่ไหนมา พระถังซัมจั๋งขยับม้ามาริมฝั่ง แลไปก็เห็นหญิงเฒ่าค้ำเรือมา เห้งเจียถามว่าแม่เฒ่าหรือเป็นคนส่งเรือจ้าง
   หญิงนั้นรับว่าข้าพเจ้าเอง เห้งเจียถามว่า ก็ท่านตาไปไหนเล่าจึงไม่มา ใช้ให้ท่านยายส่งอย่างนี้ หญิงนั้นหัวเราะยิ้ม ๆ แล้วก็ไม่ตอบว่ากระไร พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็จูงม้ายกหาบลงเรือ หญิงนั้นก็ค้ำเรือออกจากท่าข้ามถึงฝั่ง พระถังซัมจั๋งก็ขึ้นบกสั่งให้โป๊ยก่ายแก้เอาเงินให้เจ้าของเรือจ้าง แล้ว
ตอน เรื่องวุ่นๆในเมืองแม่หม้าย ปิศาจแมงป่อง (ช่วงที่1)
เวลานั้นพระถังซัมจั๋ง อยากน้ำเห็นน้ำใสเย็นก็นึกอยากกิน เรียกโป๊ยก่ายให้เอาบาตรไปตักน้ำสักครึ่งบาตร โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าก็อยากกินเหมือนกัน โป๊ยก่ายฉวยได้บาตรก็ลงไปตักน้ำขึ้นมาส่งให้อาจารย์ พระถังซัมจั๋งรับบาตรมาฉันเข้าไปจนอิ่ม แล้วก็ส่งให้โป๊ยก่าย ๆ ก็กินเข้าไปจนอิ่มอีกคนหนึ่ง แล้วก็พะยุงพระถังซัมจั๋งขึ้นม้าจึงพากันเดินไปเดินมายังไม่ทันครึ่งชั่วโมง พระถังซัมจั๋งบ่นว่าปวดท้อง โป๊ยก่ายเดินตามอยู่ข้างหลังก็บ่นว่าเจ็บในท้อง
   ซัวเจ๋งพูดว่าเห็นจะถูกน้ำดอกกระมังพูดยังไม่ทันขาดคำ พระอาจารย์ร้องว่าเจ็บกระชั้นยิ่งหนักขึ้นทุกที โป๊ยก่ายก็ร้องกระชั้นเข้าอาจารย์กับศิษย์เจ็บเหลือที่จะทนได้ ท้องก็โตขึ้นทุกที เอามือคลำดูจุดก้อนโลหิตเคลื่อนไปเคลื่อนมา ในกายตัวพระถังซัมจั๋งไม่เป็นปรกติ แลไปข้างริมทางก็เห็นมีหมู่บ้าน เห้งเจียพูดว่าดีแล้วอาจารย์ที่ข้างนั้นมีโรงงานขายสุรา เราพากันเข้าไปบิณฑบาตรน้ำร้อนให้อาจารย์ฉัน แล้วถามดูบางทีจะ​มียาให้เจียดกินแก้เจ็บท้อง พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงพากันเข้าไปครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า แลไปเห็นที่นอกประตูบ้านมียายเฒ่านั่งอยู่ที่พื้นดินกำลังมัดปอ เห้งเจียก็เดินเข้าไปไกล้ ปราศรัยถามว่าท่านยายสบายอยู่หรือ พวกข้าพเจ้ามาจากประเทศทิศบูรพา อาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง เพราะเมื่อเวลาข้ามคลองมากินน้ำในคลองเข้าไปมีอาการให้เจ็บในท้องเป็นกำลัง
   ยายเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วถามว่า นี่ท่านไปกินน้ำในลำคลองนั้นมาหรือ เห้งเจียรับว่ากินมา ยายเฒ่าว่าเห็นจะเกิดสนุกขึ้นแล้ว พวกท่านจงเข้ามาข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟัง เห้งเจียก็ออกไปพยุงพระถังซัมจั๋งเข้ามา ซัวเจ๋งก็พยุงโป๊ยก่ายเข้ามา พระถังซัมจั๋งก็ร้องครางหน้านิ่วคิ้วย่นด้วยเจ็บท้องเหลือที่จะทนได้ เห้งเจียร้องขอน้ำร้อนยายเฒ่าจะให้อาจารย์กิน ยายเฒ่าก็ไม่ให้น้ำร้อนหัวเราะแล้วก็เดินไปหลังบ้านเรียกหญิงกลางคนออกมาสามสี่คน มองพระถังซัมจั๋งแล้วก็พากันหัวเราะ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็โกรธขยับเขี้ยวตวาดด้วยเสียงอันดัง พวกหญิงเหล่านั้นก็พากันตกใจ ต่างหกคว่ำคะมำหงายพากันวิ่งหนีเข้าไปหลังบ้าน เห้งเจียวิ่งมายึดไว้พูดว่าจงไปต้มน้ำร้อนเราจะปล่อย 
   ฝ่ายยายเฒ่าตัวสั่นงกๆ งันๆ บอกว่าน้ำร้อนนั้นแก้ไม่ได้ ท่านจงปล่อยข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง เห้งเจียก็ปล่อยยายเฒ่า ๆ บอกว่าที่เมืองนี้มีนามเรียกว่าไซเหลียงก๊ก ล้วนแต่หญิงทั้ง​เมืองไม่มีผู้ชาย เพราะฉะนั้นเห็นพวกท่านมาก็มีความชื่นชม อาจารย์ของท่านกินน้ำผิด ลำคลองนั้นเรียกว่าจื๊อป๊อฮ้อ คือคลองน้ำแม่ลูกนอกจากกำแพงเมือง มีหอรับลมอากาศ ที่ประตูมีสระเรียกส่องท้องสระชาวเมืองนี้ แม้อายุได้ยี่สิบปีกว่า จึงกล้ากินน้ำในคลองจื๊อป๊อฮ้อ ครั้นกินแล้วท้องเจ็บไปได้สามวันก็ตั้งครรภ์ก็ แล้วก็ไปที่หอกินลมอากาศ แล้วก็มายืนที่ปากสระส่องดูเงา แม้ว่ามีเงาคู่ก็มีครรภ์ อาจารย์ท่านได้กินน้ำในคลองนั้นแล้ว ก็จะมีครรภ์กำหนดว่าจะมีบุตร อันน้ำร้อนที่ไหนจะแก้ได้
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้นก็ตกใจถามเห้งเจียว่า ถ้าดังนั้นจะทำประการใด โป๊ยก่ายก็ค่อยประคองท้องเดินมาถามว่า หากจะมีลูกพวกเราไม่มีทวารลูกจะออกทางไหน เห้งเจียหัวเราะว่า เขาย่อมว่าแตงสุกก็หล่นเอ็ง อันท้องนั้น ครั้นถึงเวลาก็แยกชายโครงมีทางลูกก็ออกมาเอ็ง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความเจ็บปวดมากขึ้น ซัวเจ๋งหัวเราะว่าพี่อย่าดิ้นรนไปท้องลูกจะช้ำชอกจะเกิดเจ็บปวดมากขึ้น โป๊ยก่ายเสียใจร้องไห้ จับเห้งเจียไว้แล้วพูดว่าพี่จ๋า พี่ช่วยถามยายเฒ่านั้นดูว่าที่ไหนจะมีหมอตำแยรับมาสำรองสักสองสามคน ถึงเวลาจะได้ช่วยนวดเคล้น ซัวเจ๋งหัวเราะพูดว่าพี่อย่านวดเคล้นนักกระเพาะลูกจะแตกตาย พระถังซัมจั๋งถามว่าท่านยาย ที่ตำบลนี้มียาแก้บ้างหรือไม่ จะได้ให้สานุศิษย์ไปเจียดมาจะได้กินแก้ให้ท้องลดเสีย
   ​ยายเฒ่าจึงบอกว่า ถึงจะกินยาก็แก้ไม่ได้ ที่ตำบลนี้ไปทางทิศอาคเนย์มีภูเขาหนึ่ง นามเรียกว่าเขาเก๊ยเอี่ยงซัว มีถ้ำเรียกว่ากั้วยี้ต๋อง ในถ้ำนั้นมีสระน้ำเรียกว่าสระโละทัยจั๊ว ถ้าได้น้ำในสระนั้นมากินสักอึกหนึ่ง ท้องลูกนั้นก็ยุบหายไปเป็นปรกติเหมือนอย่างเดิม แต่ในปัจจุบันนี้จะเอาน้ำนั้นไม่ได้เสียแล้ว เมื่อปีก่อนมีเต้าหยินคนหนึ่ง ตั้งนามว่ายู่อี่จินเซียม มาจองเอาถ้ำนั้นเป็นของตน แปลงนามเรียกว่า สำนักจิ๋วเซียนอาน และปกครองรักษาสระนั้นไม่ให้ผู้ใดมาตักน้ำได้โดยง่าย หากผู้ใดจะต้องการก็ต้องมีของกำนัน เป็ดไก่เหล้าแลของหวานต่าง ๆ และเงินด้วยถ้ามีให้ดังนั้น จึงจะให้น้ำไป ก็ท่านอาจารย์มาจากทางไกล จะเอาของกำนันที่ไหนไปให้เขาได้เล่า จะต้องคอยรอตามเวลาเมื่อคลอดเถิด
   เห้งเจียได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้นก็ดีใจ จึงถามว่าท่านยายระยะทางตั้งแต่นี้ไปถึงเขาเก๊ยเอี่ยงซัวนั้น หนทางประมาณสักเท่าใด ยายเฒ่าบอกว่าสามพันโยชน์เศษ เห้งเจียว่าดีแล้ว ๆ จึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ท่านอย่าวิตกเลยจงวางใจเถิด ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปเอาน้ำนั้นมาให้ท่านฉัน เห้งเจียก็ยืมขวดยายเฒ่าใบหนึ่งถือออกจากบ้าน เหาะขึ้นบนอากาศไปยังเขาเก๊ยเอี่ยงซัว ยายเฒ่าเห็นเห้งเจียเหาะเหินได้ดังนั้นก็ยกมือขึ้นเคารพ พูดว่าท่านผู้นี้มีฤทธิ์อานุภาพมากเชี่ยวชาญแท้ จึงเรียกหญิงในบ้านออกมาสองสามคน มาทำความเคารพพระถังซัมจั๋ง ต่างสรรเสริญว่าเป็นพระอัศจรรย์ ทุกคนก็พากันไปหาข้าวแจมาถวาย ​ฝ่ายเห้งเจียเหาะมาประเดี๋ยวก็ถึงเขาเก๊ยเอี่ยงซัว จึงลงยังยอดเขาเที่ยวสอดส่องแลไป ก็เห็นข้างหลังเขามีสำนัก เห้งเจียก็เดินเข้าไปยังประตู แลเข้าไปดูเห็นมีตาเฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าลาน เห้งเจียก็ลงกับพื้นแล้ว ก็เดินเข้าไปใกล้กระทำความคำนับปราศรัย
   ฝ่ายตาเฒ่าก็ทำคำนับตอบแล้วถามว่า ท่านมาจากไหน มาถึงที่นี้มีธุระ ประสงค์สิ่งใดหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังเพราะมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปประเทศไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรม อาจารย์ข้าพเจ้ากินน้ำในลำคลอง จื๊อป๊อฮ้อเข้าไปก็ให้ปวดท้องเหลือที่จะทนได้ ถามชาวบ้านบอกว่ากินน้ำนั้นเข้าไปก็มีครรภ์เหลือที่จะแก้ได้ จึงสืบถามชาวบ้านนั้น เขาบอกว่าเขานี้มีสระน้ำทำลายครรภ์ ให้เอาน้ำสระนี้กินจึงจะแก้ได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ามาหาท่านยู่อี่จินเซียม ขอน้ำนั้นไปแก้ไขอาจารย์ข้าพเจ้า ขอท่านได้ช่วยนำไปชี้สระให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
   ตาเฒ่าเต้าหยินได้ฟังเห้งเจียเล่าบอกดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าที่ตำบลนี้เดิมเรียกว่า กั๊วยี้ต๋องบัดนี้เรียกว่า (จิ๋วเซียนอาน) ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ของยู่อี่จีนเซียน ก็ท่านมีนามกรชื่อใด เราจะได้บอกให้ท่านทราบ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าเป็นศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋งมีนามเรียกว่าซึงหงอคง ตาเฒ่าถามว่าก็ของกำนันเป็ด หมู ไก่ เหล้าและเครื่องตามเคยมีครบแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าพวกข้าพเจ้าเดินทางไกลมีแต่ความกันดารจะ​เอาหมูเป็ดไก่แลสุราของกำนันมาแต่ไหน ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าท่านอาจารย์ทำไมจึงโง่อย่างนั้นเล่า ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าปกครองรักษาสระน้ำนี้ ก็หาได้ให้ท่านผู้ใดไปเปล่า ๆ ไม่ ท่านจงกลับไปหาของมาก่อนเราจึงจะนำความเข้าไปบอกให้ ถ้ามิฉะนั้นก็จงเชิญท่านกลับไปเสียเถิด อย่าพึงนึกว่าจะได้เลย
   เห้งเจียพูดว่ามนุษย์จิตกว้างใหญ่ดุจฟ้า ท่านโปรดนำชื่อข้าพเจ้าเข้าไปบอกท่านคงจะมีจิตเมตาบางทีจะให้บ้างดอกกระมัง เต้าหยินก็นำความเข้าไปบอก ฝ่ายยู่อี่จินเซียม ยังไม่ทันฟังเหตุการณ์ตลอด ได้ยินออกชื่อซึงหงอคง ก็บันดาลโทสะมีจิตร้ายเกิดขึ้น ก็ผุดลุกขึ้นเรียกเอาเสื้อมาเปลี่ยน มือก็ถืออาวุธไม้ตะขอเหล็กเดินออกมาข้างนอกประตูร้องถามว่าอ้ายซึงหงอคงอยู่ที่ไหน เห้งเจียแลเห็นก็ยกมือขึ้นคำนับ พูดว่าข้าพเจ้าเองคือหงอคง ยูอี่จินเซียนพูดว่าตัวคือหงอคงจำเราได้หรือไม่ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าเข้ารับปฏิบัติตามทางพระพุทธศาสนาแล้ว เพื่อนฝูงพี่น้องที่รู้จักกันมาแต่เดิม ก็ห่างเหินมิได้ไปมาหาสู่กันนานแล้ว บัดนี้มีธุระติดตามอาจารย์ ขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ว่าง ที่รู้จักกันก็ลืมไปบ้าง บัดนี้ข้ามลำคลองจื๊อป๊อฮ้อ ถามชาวบ้านไซเหลียงบอกชื่อท่านจึงได้ทราบว่าท่านอยู่ที่นี้ ยู่อี่จินเซียมได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ตัวจงไปตามทางของตัว ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามทางของข้าอย่ามาเกี่ยวข้องกันเลย
   เห้งเจียพูดว่าเพราะอาจารย์ของข้าพเจ้ากินน้ำในลำคลองจื๊อป๊อฮ้อ​เข้าไปก็เจ็บท้องตั้งครรภ์ ข้าพเจ้าจึงได้มาถึงสำนักท่านจะใคร่ขอน้ำสักขวดหนึ่ง ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าให้พ้นจากภัย ยู่อี่จินเซียมได้ฟังดังนั้นนัยน์ตาลุก ถามว่าอาจารย์ของตัวชื่อถังซัมจั๋งมิใช่หรือ เห้งเจียว่านั่นและ จินเซียมกัดฟันว่าพวกเจ้าได้ พบปะเซี้ยเอ็งใต้อ๋องบ้างหรือเปล่า เห้งเจียพูดว่าเธออยู่ที่ถ้ำฮ้วยหุ้นต๋องนามเรียกว่าอั้งฮั้ยยี้ปีศาจนั่นหรือ ท่านกับเธอเป็นอะไรกันดอกกระมัง ยู่อี่จินเซียมพูดว่าอั้งฮั้ยยี้นั้นคือหลานของเรา งู่หม้ออ๋องนั้นคือพี่น้องของเรา ครั้งก่อนเธอได้ให้ข่าวมาให้เราว่า ถังซัมจั๋งมีสานุศิษย์ใหญ่ชื่อซึงหงอคงถือตัวว่ามีฤทธิ์ฆ่าเธอเสียแล้ว เราจะใคร่แก้แค้นบัดนี้เจ้าจะมาขอน้ำอะไร
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์เห็นจะผิด งู่หม้ออ๋องพี่ของท่านนั้น เดิมได้คบเป็นมิตรสหายแก่ข้าพเจ้า แต่ตัวท่านข้าพเจ้าหาได้รู้จักไม่ บัดนี้หลานของท่าน อั้งฮั้ยยี้ก็ได้ดีแล้วเป็นสานุศิษย์พระกวนอิม นามเรียกว่า (เสียนใช้ท่งจื๊อ) พวกข้าพเจ้าก็ยังไม่เท่าเธอ ทำไมท่านอาจารย์จึงมีความเคืองแค้นข้าพเจ้าเล่า ยู่อี่จินเซียมตวาดว่า อ้ายลิงยังมาพูดกลับกลอก หลานของเราอยู่แต่ลำพังตามสบาย ต้องไปตามหลังเป็นข้าเขาจะดีอะไร เจ้าอย่าทำล่วงเกินจงมาลองกินขอเหล็กสักทีหนึ่ง จะมีรสชาติอย่างไรบ้าง ว่าแล้วก็ยกตะขอเหล็กขึ้นจะตีเห้งเจีย ๆ ก็ยกตะบองขึ้นรับหยุดพูดว่าอย่าพูดเรื่องรบพุ่งกันเลย ขอน้ำให้ข้าพเจ้าไปเถิด ยู่อี่จินเซียมด่าว่าอ้ายลิงมึงไม่รู้จักตาย จงมาลองดูสักสามสี่​เพลง ถ้าเจ้าชนะเรา ๆ จะยอมให้น้ำไป ถ้าแพ้เรา ๆ จะฆ่าเจ้าเสียเพื่อแก้แค้นแทนหลานเรา เห้งเจียขัดใจจึงว่าอ้ายนี่ ไม่รู้จักพระกาฬมึงอยากจะแพ้ชนะก็จงมาลองดู ว่าแล้วก็แกว่งตะบองตรงมาจะตี ยู่อี่จินเซียมยกขอเหล็กรับรบกันได้ยี่สิบเพลง เห้งเจียแกว่งตะบองดุจกังหันตีบุกบั่นมิได้ยั้งมือ
   ยู่อี่จินเซียมอ่อนกำลังลงรับไม่อยู่ ก็ผละหนีขึ้นบนเขา เห้งเจียไล่ตามไปไม่ทันแล้วก็กลับมาที่สำนัก เต้าหยินแลเห็นดังนั้นก็ปิดประตู เห้งเจียฉวยขวดก็ลงมาถีบประตูหักลงไปที่บ่อน้ำ แลเห็นตาเฒ่าเต้าหยินนอนซ่อนอยู่ข้างบ่อน้ำ เห็นเห้งเจียเข้ามาก็วิ่งหนีไป เห้งเจียก็เอาถังหย่อนลงไปจะตักน้ำ ยู่อี่จินเซียมก็ย้อนแอบเข้ามาเอาตะขอเหล็กตีหลังเห้งเจียทีหนึ่งก็ล้มคว่ำลงกับพื้น เห้งเจียลุกขึ้นได้เอาตะบองไล่ตียู่อี่จินเซียม ๆ ก็วิ่งตลบหนีอยู่ข้างบ่อ แล้วพูดว่าเจ้าทำอย่างไรก็ตักน้ำไปไม่ได้
   เห้งเจียพูดว่ามึงจะมาตีกู ๆ จับได้จะทำมึงให้สาหัส ยู่อี่จินเซียมก็ไม่อาจจะเข้ามาใกล้ คอยระวังมิให้เห้งเจียตักน้ำได้ มือขวาเห้งเจียถือตะบองมือซ้ายจับเชือก หย่อนถังลงไปลากน้ำขึ้นมา ยู่อี่จินเซียมก็เอาไม้ขอเหล็กมาเกี่ยวเชือกมิให้ลากขึ้น ต่างดึงกันไปมา เชือกก็หลุดจากมือเห้งเจียถังตกลงไปในบ่อน้ำ เห้งเจียขัดใจจับไม้ตะบองไล่มาตีตะบมไม่เลือกว่าหัวหู ยู่อี่จินเซียมก็วิ่งหนีไป เห้งเจียจะกลับมาเอาน้ำก็ไม่มีถังจะตัก แลวิตกว่าอ้ายยู่อี่จินเซียมจะเอาขอมาเกี่ยวอิกคิดขึ้นได้ว่า จำจะต้องไปเรียกซัวเจ๋งมาช่วยจึง​จะได้ คิดดังนั้นแล้วก็เหาะกลับมายังบ้านที่พัก เห้งเจียลดลงยังพื้นเดินเข้าไปเรียกซัวเจ๋ง ข้างในบ้านก็ได้ยินพระอาจารย์กับโป๊ยก่ายร้องครางไม่หยุด
   ซัวเจ๋งได้ยินเสียงเห้งเจียเรียกก็ออกมารับ เห้งเจียเข้าไปหาพระอาจารย์แล้วเล่าให้ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็โทมนัสร้องไห้แล้วพูดว่า ถ้าดังนั้นจะทำอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ากลับมาเพื่อพาซัวเจ๋งไปช่วยกัน คือข้าพเจ้าจะคอยต้อนตีอ้ายยู่อี่จินเซียมไว้ แม้ได้ช่องให้ซัวเจ๋งเข้าตักน้ำ พระถังซัมจั๋งว่าไปทั้งสองคนแล้ว อาตมภาพกับโป๊ยก่ายก็เจ็บจะได้ผู้ใดปฏิบัติรักษาเล่า ฝ่ายยายเฒ่าเจ้าของบ้านจึงพูดว่า ท่านผู้เป็นเจ้าขอจงวางใจเถิด พวกข้าพเจ้าจะขอรับดูแลเอง พวกท่านก็จวนเวลาการที่จะคลอด ข้าพเจ้ามีความสงสารแก่ท่าน จะมีความลำบากมาก พวกข้าพเจ้าเห็นฤทธาอานุภาพสานุศิษย์ของท่านเชี่ยวชาญ เหาะเหินเดินอากาศได้ พวกข้าพเจ้าก็ทราบว่าท่านเป็นผู้มีอะภินิหารย์บารมีธรรมมากแก่กล้าเป็นอันขาดพวกข้าพเจ้าไม่อาจทำร้ายท่าน
   เห้งเจียร้องเอ๊ะพวกท่านเป็นผู้หญิงจะคิดฆ่าใครได้ ยายเฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า นี่หากพวกท่านพากันมาที่บ้านข้าพเจ้าก่อน ถ้าหากว่าเลยไปหมู่บ้านที่สองก็จะรอดไปไม่พ้น โป๊ยก่ายกำลังครางอยู่ได้ยินดังนั้น ถามว่าจะรอดไม่พ้นจะเป็นอย่างไร ยายเฒ่าบอกว่าในบ้านข้าพเจ้านี้มีห้าหกคนก็มีอายุมากด้วย​กันทุกคน แลความกำหนัดในการประเวณีก็หมดสิ้นฤดูแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดความที่จะทำลายท่านได้ หมู่บ้านที่สองนั้นอายุก็กำลังรุ่นเรี่ยวแรงด้วยความกำหนัดในการประเวณี ที่ไหนเลยจะยอมให้ท่านรอดพ้นไปได้ คงจะจับไว้รวมประเวณีแก่พวกเขาเป็นแน่ แม้พวกท่านไม่ยอมก็จะช่วยกันจับฆ่าเสีย และตัดเพศในตัวท่านไปที่ไหนเลยชีวิตจะได้รอดไปได้
   โป๊ยก่ายพูดว่าถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าคงไม่เป็นไรเพราะเนื้อข้าพเจ้าเป็นหมู จะตัดเอาไปก็เหม็นคาว ถ้าเห็นดังนั้นจะตัดเอาของข้าพเจ้าไปทำไม เห้งเจียหัวเราะว่าอย่าพูดให้มากไปจงฝ่าฝืนกำลังไว้จะได้ออกลูก เห้งเจียก็ยืมถังเอาเชือกของยายเฒ่าส่งให้ซัวเจ๋งพร้อมกันเหาะไปบัดเดี๋ยวก็ถึงเขาเก๊ยเอี๊ยงซัวลงยังพื้น เห้งเจียจึงสั่งซัวเจ๋งว่าน้องจงซ่อนแอบคอยดู แม้พี่ล่อมันออกนอกแล้วเวลารบกันชุลมุน ก็รีบไปที่บ่อตักเอาน้ำไปก่อน เห้งเจียสั่งซัวเจ๋งเสร็จแล้ว ก็ถือตะบองมายังประตูถ้ำ ร้องเรียกให้เปิดประตู ตาเฒ่าเต้าหยินก็วิ่งเข้าไปบอก ฝ่ายยู่อี่จินเซียมได้ฟังก็โกรธถือขอเหล็กออกมาที่ประตูถ้ำ ตวาดว่าอ้ายลิงมึงจะมาทำไมอีกเล่า เห้งเจียตอบว่าเราจะมาเอาน้ำ
   ยู่อี่จินเซียมพูดว่า อันบ่อนี้เป็นบ่อของเราได้ปกครองเป็นเจ้าของรักษามาช้านาน แม้ว่าพระยามหากระษัตริยเจ้านายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยจะต้องการ ก็ต้องมีเครื่องของกำนันหมู เป็ด ไก่ เหล้าคาวหวานมาคำนับเราจึงจะได้ไป อันตัวเจ้ากับเราเป็นผู้ไม่ชอบกัน จะขืนมามือเปล่าจะให้เจ้า​อย่างไรได้ เห้งเจียถามว่าเอ็งจะไม่ยอมให้เราแน่ละหรือ ยู่อี่จินเซียมว่า ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นแน่แล้ว เห้งเจียแกว่งตะบองกระโจม ตี จินเซียมยกขอเหล็กขึ้นรับรบกันไปมาที่หน้าประตูถ้ำ ล่อไล่กันไปข้างชายเขา ซัวเจ๋งเห็นได้ที ก็ตรงเข้าไปในถ้ำ เดินมาที่บ่อแลไปเห็นตาเฒ่าเต้าหยินออกมากั้นถามว่าเจ้าคนนี้มาแต่ไหนเข้ามาทำไมที่นี่ จะเข้ามาตักน้ำหรือ
   ซัวเจ่งก็วางถังลงชักพลองออกตีตาเฒ่าทีหนึ่งถูกที่แขนขวาหักล้มลงร้องดินร้องฟ้าอึกกะทึกแล้วก็คลานหนีไปข้างใน ซัวเจ๋งก็เอาถังลงไปในบ่อตักน้ำได้แล้วก็หิ้วออกพ้นประตูสำนักแล้วก็เหาะไปร้องตะโกนเห้งเจียว่าพี่ปล่อยมันเสียเถิด ข้าพเจ้าตักน้ำได้แล้ว เห้งเจียได้ยินซัวเจ๋งร้องบอกดังนั้น ก็ยั้งมือพูดว่า จินเซียมจงฟังข้าพูด เราตั้งใจจะตีเจ้าให้สิ้นชีวิต เพราะเจ้าทำผิดแต่ยังไม่ถึงที่ตาย เพราะข้ารู้อยู่ว่าเจ้าเป็นพี่น้องของงู่หม้ออ๋อง บัดนี้น้องเราก็เอาน้ำทำได้แล้วเรายกโทษให้เจ้า แม้ว่าภายหลังมีผู้ใดมาจะเอาน้ำ เจ้าอย่าได้ขัดขืนอย่างนี้ต่อไป จินเซียนก็ไม่เชื่อฟังตรงเข้ามายกตะขอเหล็กจะตีเห้งเจีย เห้งเจียหลบทันกระโดดรุกเข้าใกล้กระชากแย่งเอาตะขอเหล็กมาได้ก็หักเสียเป็นสองท่อนแล้ว รวมเข้าสองท่อนหักเสียอีกเป็นสี่ท่อนโยนทิ้งลงกับพื้นแล้วพูดว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงอาจสามารถถึงอย่างนี้หรือ
   จินเซียมเห็นดังนั้น มีความอดสูเป็นที่สุดร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เห้งเจียหัวเราะแล้วก็เหาะตามซัวเจ๋งมา เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมา​บัดเดี๋ยวก็ถึงบ้านที่พักอาศัยเดินเข้าไปในบ้าน เห็นโป๊ยก่ายนั่งพิงประตูกุมท้องร้องคราง เห้งเจียถามว่าเมื่อไรโป๊ยก่ายจะอยู่ไฟ โป๊ยก่ายว่าพี่อย่าหัวเราะเยาะเลยพี่ไปได้น้ำมาหรือเปล่า ซัวเจ๋งเดินตามหลังมาบอกว่าได้น้ำมาแล้ว พระถังซัมจั๋งพูดว่าทำให้ศิษย์ทั้งสองได้ความลำบากมาก ฝ่ายยายเฒ่าในบ้านก็พากันดีใจพูดสรรเสริญ เห้งเจียว่าศิษย์อย่างนี้หายากนัก ยายเฒ่าก็เอาถ้วยอย่างงามตักเอาน้ำที่เอามานั้นถวายพระถังซัมจั๋งให้ฉัน แล้วบอกว่าท่านอาจารย์ค่อย ๆ ฉันเถิด สักถ้วยหนึ่งท้องนั้นก็จะยุบหายไปเอง
   โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าไม่ต้องเอาถ้วยชามใส่ดอก จะกินทั้งถังอย่างนั้นก็ได้ ยายเฒ่าพูดว่าท่านกินอย่างนั้นจะมิฆ่าตัวเสียหรือ แม้ว่ากินหมดทั้งถังก็จะไหลออกมาทั้งสิ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าไม่กล้ากินมาก ขอครึ่งถ้วยก็พอ โป๊ยก่ายก็กินเข้าไปครึ่งถ้วย สักประเดี๋ยวพระถังซัมจั๋งทั้งโป๊ยก่ายท้องก็ลั่นครืดคราดไปพักหนึ่ง โป๊ยก่ายอดทนไม่ได้ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะก็ไหลออกมา พระถังซัมจั๋งคิดจะออกไปนอกบ้านหาที่ลับถ่ายอุจาระ เห้งเจียห้ามว่าอย่าออกไปเลย วิตกจะไปต้องลมร้ายโรคจะกำเริบขึ้น จะทำให้เกิดความเดือดร้อนมากไป ยายเฒ่าเจ้าของบ้านไปเอาถังมาสองใบตั้งไว้สำรอง บัดเดี๋ยวใจพระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายในท้องก็หายเจ็บ ที่ก่อเป็นก้อนโลหิต​ก็หายยุบท้องก็เล็กไปเหมือนอย่างเดิม ยายเฒ่าก็ไปต้มเข้าต้มน้ำแล้วก็ยกมาให้กินแก้ระหวย โป๊ยก่ายพูดว่าท่านยายขอน้ำให้ชะล้างก่อนแล้วกินข้าวต้มจึงจะดี ยายเฒ่าก็ไปต้มน้ำร้อนยกมาตั้งไว้ พระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายก็มาอาบน้ำชำระกายแล้วก็ฉันข้าวต้ม พระถังซัมจั๋งฉันได้สองชาม โป๊ยก่ายกินได้ถึงสิบสี่ สิบห้าชาม เห้งเจียหัวเราะพูดว่า อ้ายหมูอย่ากินมากนักท้องจะครากตาย ยายเฒ่าเห็นโป๊ยก่ายกินได้มากจึงสั่งให้จัดแจงหุงข้าวมาเติมอีก
   ยายเฒ่าบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า น้ำที่เหลือนั้นขอไว้ให้ข้าพเจ้าเถิด เห้งเจียจึงอนุญาตว่า ท่านยายจะเอาไว้ทำอะไรก็ตามแต่ใจท่านยายเถิด ยายเฒ่าก็เอาขวดใส่แล้วนำไปฝังไว้ในบ้าน บอกว่าน้ำในขวดนี้ข้าพเจ้าจะเอาไว้ใส่โลง คนทั้งหลายต่างมีความยินดี ครั้นข้าวสุกแล้วก็จัดยกมาถวาย พระถังซัมจั๋งกับศิษย์กินเสร็จแล้วก็พักอยู่คืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งฉันแล้วอาจารย์กับศิษย์ต่างก็ลายายเฒ่าแลคนในบ้านใหญ่น้อยทุก ๆ คนแล้วก็ออกจากบ้านเดินไป
(บทที่ ๕๔)
  ประมาณได้สี่สิบโยชน์ แลไปข้างหน้าเห็นกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งชี้ว่านี่ก็ใกล้กำแพงเมืองไซเหลียงก๊กมีแต่ผู้หญิงทั้งเมือง พวกเราจงสำรวมอิริยาบถอย่าให้เพลิดเพลินไปด้วยรูปและสี ศิษย์ทั้งสามก็ฟังอาจารย์สั่ง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงต้นถนนทางทิศตะวันออก เห็นผู้คนกำลังแออัด บ้างสาวบ้างแก่บ้างขายบ้างซื้อ ล้วนแต่ผู้หญิงทั้งนั้น พอแลเห็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนเดินมา คนเหล่านั้นก็พากันรื่นเริง​ดีใจพูดกันว่า พระมนุษย์มาแล้ว พระมนุษย์มาแล้ว บัดเดี๋ยวก็พากันมาดูแน่นหลามไปทั้งถนน พูดหัวเราะกันออกแซ่หู พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเดินไปไม่ได้ โป๊ยก่ายร้องว่าข้าเชื้อหมู ข้าเชื้อหมู เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป จงออกกิริยาหยาบ ๆ จึงจะดี โป๊ยก่ายก็ตั้งใบหูชันขึ้น ขนหัวพองยื่นปากออกร้องเสียงดังคำหนึ่ง พวกผู้หญิงเหล่านั้นก็พากันหกล้มคว่ำหงายวิ่งหนีแหวกทางออกกว้าง
   พระถังซัมจั๋งก็ขับม้ารีบเดินไป มาได้อีกสักประเดี๋ยวแลเห็นสองข้างถนนมีตึกรามห้องหอเป็นลำดับเรียงรายดูงดงาม บ้างขายสุราและยาของกินและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาจารย์กับศิษย์พากันเดินไปพอถึงที่เลี้ยว แลไปเห็นขุนนางหญิงคนหนึ่ง ร้องเรียกว่าท่านเป็นแขกเมืองมาจากทางไกล อย่าเพิ่งเข้าไปในเมือง เชิญไปพักที่หอรับแขกที่ประตูเมืองนั้นก่อน เอาชื่อเสียงลงบัญชีแล้ว ข้าพเจ้ากราบทูลแล้วจึงจะเซ็นอนุญาตให้ไป
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ลงจากม้า แลไปที่ประตูเห็นมีแผ่นป้ายหนังสือใหญ่สามตัวว่า หอเงงเอี๊ยงเป็นที่สำหรับพักแขกเมือง พระถังซัมจั๋งบอกแก่เห้งเจียว่า ยายเฒ่านั้นได้บอกว่าที่ประตูเมืองมีหอเงงเอี๊ยงที่รับแขกก็มีจริงดังที่ยายเฒ่าบอก ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่าพี่โป๊ยก่ายไม่ไปส่องท้องดูจะมีสองรูปหรือเปล่า ยายเฒ่าบอกว่าที่นี่มีบ่อส่องท้อง โป๊ยก่ายว่าอย่าพูดเลอะไป เรากินน้ำทำลายเสียแล้วจะไปส่องดูอะไรอีกเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าจงระงับไว้บ้าง ​หญิงขุนนางก็มานิมนต์ขึ้นบนหอนั่งที่สมควรแล้ว จึงให้ยกน้ำชามาถวาย อันคนใช้เหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น ทั้งมีแต่สาว ๆ ทั้งนั้น ทั้งรูปร่างก็สะอาดสำอางนุ่งห่มแต่งตัวก็ล้วนแต่แพรสีต่าง ๆ หญิงขุนนางจึงถามว่า ท่านอาจารย์เป็นชาวเมืองไหนพากันมาจะไปข้างไหน เห้งเจียตอบว่าพวกข้าพเจ้าอยู่ทิศตะวันออกเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปเมืองไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ท่านอาจารย์นั้นคือพระเจ้าน้องยาเธอนามเรียกถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าทั้งสามนี้คือสานุศิษย์ของเธอ รวมทั้งม้าข้าพเจ้าเป็นห้าด้วยกัน และมีหนังสือเดินทางสำหรับตัวมาด้วย ขอท่านได้พิจารณาเถิด
   ขุนนางหญิงได้ฟังแล้วจึงจับปากกาเขียนลงสารบบ ลงจากที่คุกเข่าทำความเคารพพระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าขออนุญาตข้าพเจ้าคือขุนนางพนักงานน่าที่รับแขกเมือง ไม่ทราบว่าท่านผู้ใหญ่จะได้ออกไปรับแต่ไกล ทำความเคารพแล้วก็ลุกขึ้น เรียกคนพนักงานเลี้ยงมาสั่งให้จัดข้าว กับมาเลี้ยง พนักงานก็จัดมาพร้อมตามสั่งเสร็จ หญิงขุนนางจึงพูดว่า นิมนต์ท่านอาจารย์ฉันจังหัน ข้าพเจ้าจะนำความเข้าไปกราบทูลเปลี่ยนหนังสือให้ท่านไปไซที พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงนั่งลงฉัน ฝ่ายหญิงขุนนางนั้นครั้นถวายแล้ว ก็ไปแต่งตัวเข้าในพระราชวังในตำหนักเง้าห้องเล้าบอกแก่พวกขันธีว่า ข้าพเจ้าขุนนางรับแขกเมืองมีกิจธุระจะเข้าเฝ้าพระองค์ ขันธีก็เข้าไปกราบทูลจึงมีรับสั่งให้เข้าไปชั้นใน ขันธีก็ออกมานำเข้าไป ครั้นถึงก็ถวายคำนับตามธรรมเนียม
   เจ้า​ผู้หญิงจึงถามว่าเข้ามามีกิจธุระอะไรหรือ หญิงขุนนางกราบทูลว่าข้าพเจ้ารับผู้อยู่เมืองใต้ถัง นามเรียกพระถังซัมจั๋งเป็นน้องของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง มีสานุศิษย์มาสามคนกับม้าด้วยหนึ่งม้ารวมเป็นห้า จะขึ้นไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก จะมาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เจ้าหญิงได้ฟังดังนั้นก็มีความเลื่อมใสโสมนัสยินดี จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อคืนนี้เราฝันเห็นไปว่า ขวดทองมีลายสีระยับอย่างงดงามส่องแสงสว่างไสว พิเคราะห์ดูก็สมแก่เหตุอันนี้เปนการดีหาที่เปรียบมิได้ ขุนนางซ้ายขวากราบทูลถามว่า พระองค์ทรงเห็นว่าด้วยประการใด เจ้าหญิงจึงตรัสว่า เมืองใต้ถังคือเป็นผู้ชายและพระถังซัมจั๋งพระเจ้าน้องยาเธอ อันเมืองเรานี้ตั้งแต่มีฟ้ามีดินมีเมืองนี้มา ที่เป็นเจ้าต่อ ๆ มาก็ไม่เคยเห็นผู้ชายมาถึงเมืองนี้ บัดนี้มีน้องชายพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังมาคิดดูจะเป็นเทวดาดลใจให้มา เราจะยกราชสมบัติให้เธอเป็นเจ้าเมือง เราจะยอมเป็นอัครมเหสีร่วมรักแก่เธอให้เกิดบุตรเกิดนัดดาต่อเชื้อต่อวงศ์ต่อๆ กันไป เราคิดอย่างนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นเป็นประการใด 
   พวกขุนนางผู้หญิงได้ฟังดังนั้น ต่างก็สรรเสริญขึ้นพร้อมกันว่าควรแล้ว ขุนนางพนักงานรับแขกจึงทูลขึ้นว่า ซึ่งพระองค์ทรงคิดการนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่วิตกว่าพระถังซัมจั๋งเธอมีสานุศิษย์สามคน มีลักษณะไม่สมเป็นรูปมนุษย์ เจ้าหญิงถามว่า ก็รูปร่างน้องยาเธอนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ขุนนางรับแขกกราบทูลว่า น้องยาเธอนั้นรูปลักษณะสมควรเป็นเจ้าคนนายคน​ผิวพรรณผ่องใส คนทั้งสามนั้นหน้าตาดุร้ายรูปร่างหยาบคายคล้ายปีศาจยักษ์มาร เจ้าหญิงว่าถ้ากระนั้นก็ให้เธอทั้งสามรับหนังสือเดินทางไปไซที เอาไว้แต่พระถังซัมจั๋งองค์เดียวอย่างนี้จะไม่ดีหรือ ขุนนางผู้หญิงทั้งหลายพร้อมกันทูลว่า พระองค์ทรงคิดอย่างนี้ดีแล้ว พวกข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยแล้ว แต่ยังขัดอยู่ที่จะจัดวิวาหะการ จะต้องมีเฒ่าแก่จึงจะเป็นการถูกต้อง
   เจ้าหญิงตรัสว่าตามแต่ท่านจะเห็นควรอย่างไร ครั้นตรัสเสร็จแล้ว จึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่จัตุสดมภ์ไปกับขุนนางรับแขก แล้วจึงจะให้ราชรถไปรับ ขุนนางทั้งสองก็ออกมาจากพระราชวังไปยังหอรับแขก ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์พักอยู่ที่หอพอฉันเข้าแล้วแลเห็นคนมามาก จึงถามสานุศิษย์ว่าเขาจะมาทำไมกัน โป๊ยก่ายว่าเห็นจะเป็นเจ้าหญิงใช้ให้มารับพวกเราดอกกระมัง เห้งเจียว่า เห็นจะไม่ใช่มาเชิญ ชะรอยจะเป็นเฒ่าแก่ พระถังซัมจั๋งถามว่า ถ้าหากว่าจะข่มขืนเราโดยเหตุนั้น เราจะขัดขวางโต้ตอบอย่างไร เห้งเจียพูดว่าแม้เป็นดังนั้นจริง พระอาจารย์ต้องผ่อนผันตามการ ข้าพเจ้าจะคิดแก้ไขต่อภายหลัง พูดยังไม่ทันขาดคำขุนนางทั้งสองก็พอมาถึง เข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงเคารพ
   พระถังซัมจั๋งย่อตัวลงปราศรัยพูดว่า อาตมภาพไม่มีบุญวาสนาอะไร ท่านทั้งสองต้องลงคุกเข่าดังนี้ ขุนนางทั้งสองสอดตาดูพระถังซัมจั๋งเห็นลักษณะรูปร่างงดงามมีราศีเปล่งปลั่งสมควรจะเป็นสามีของเจ้า​เรา เห็นดังนั้นแล้วก็มีความพอใจพูดว่า ถ้าดังนี้ในเมืองของเราก็จะมีความเจริญขึ้น ขุนนางทั้งสองก็ลุกขึ้นพนมมือ ยืนอยู่สองข้างพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเห็นท่านน้องยาเธอก็มีความยินดีที่สุด พระถังซัมจั๋งย่อตัวปราศรัยว่า อาตมภาพเป็นผู้ถือบวชจะมีอะไรที่ไหนยินดีเล่า ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองพูดว่าที่เมืองนี้ คือเมืองไซเหลียงก๊ก ล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งเมือง ตั้งแต่เดิมมาก็หามีผู้ชายมาถึงนี่ไม่ มาบัดนี้ท่านมาถึงนี่ก็เป็นบุญ จึงได้พบปะแก่ท่าน ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของเจ้าแห่งข้าพเจ้า ให้มาขอท่านเป็นสามีของเจ้าข้าพเจ้า
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมาภาพมาถึงเมืองนี้ ก็มีสานุศิษย์มาด้วยสามคน ใจคอหยาบช้าไม่ทราบว่าท่านจะประสงค์คนไหน ขุนนางรับแขกพูดว่า ข้าพเจ้าได้นำความเข้าไปกราบทูลแล้ว เจ้าของข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่สุด ตรัสว่าเมื่อคืนนี้พระองค์ทรงพระสุบินไปว่า พระองค์เห็นขวดทรงมีรัศมีเป็นดอกดวงดูงดงาม แลบานกระจกทรงมีแสงส่องฟุ้งออกสว่างไสว เพราะฉะนั้นพระองค์ทราบว่าท่านมาถึงเมืองนี้ ก็เป็นที่นิยมของพระองค์ จะใคร่ผูกสมัครร่วมรักแก่ท่านเป็นสามีภรรยา และจะยกราชสมบัติให้แก่ท่านครอบครองเป็นเจ้าเมือง ส่วนเจ้าหญิงจะยอมเป็นพระมเหสี จึงให้ขุนนางผู้ใหญ่มาพูดให้ข้าพเจ้าเป็นเฒ่าแก่ฝ่ายชาย เพื่อจะได้กระทำการวิวาหะมงคล
   ​พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก้มหน้านิ่งมิได้โต้ตอบประการใด ขุนนางผู้ใหญ่พูดว่า แม้ว่าเชื้อผู้ชายพบปะเวลาอย่างนี้แล้ว ไม่ควรจะให้คลาดเคลื่อน เพราะอย่างนี้จะไปหาที่ไหน ธรรมดาเขาจะให้ครอบครองบ้านเมือง ควรท่านจะต้องมีความยินดียอมรับไมตรีเถิด พวกข้าพเจ้าจะได้ไปกราบทูล พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งงงงวยดุจคนบ้าหาสติมิได้ โป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้นอดไม่ได้ ก็ร้องว่าท่านจัตุสดมภ์จงกลับไปกราบทูลเถิด ว่าพระอาจารย์ของข้าพเจ้าปฏิบัติบวชมาก็สำเร็จแล้ว เป็นอันขาดไม่รับซึ่งราชสมบัติบริโภคกามคุณ ท่านไม่มีความยินดีในการบ้านเรือนของฆราวาสแล้ว ชอให้รีบไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ไปไซที ข้าพเจ้าจะอยู่รับธุระนี้ท่านจะเห็นเป็นประการใด
   ขุนนางจัตุสดมภ์ครั้นได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น อกใจก็ซ่านเสียวรัวสั่นไปทั้งกาย มิได้อาจตอบโต้ประการใด จึงขุนนางรับแขกพูดแก่โป๊ยก่ายว่าตัวท่านเป็นผู้ชายก็จริง แต่รูปร่างหยาบคายไม่เป็นที่พอพระทัยของเจ้านายเรา โป๊ยก่ายว่าท่านยังไม่เข้าใจของหยาบก็ตามหยาบจะต้องใช้ได้ทั้งสิ้น เห้งเจียตวาดว่าอย่าพูดให้เลอะเทอะไปตามแต่ความพอใจของพระอาจารย์ควรไปก็ไปควรอยู่ก็อยู่ พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่าพูดอย่างไรจึงจะดี เห้งเจียว่าถ้าอย่างใจข้าพเจ้าคิดก็ได้อาจารย์อยู่ที่นี่ดี พบเนื้อคู่ไกลร้อยโยชน์ดังนี้ก็นับว่าเป็นนิสัยอันใหญ่ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถ้าอยู่รับราชสมบัติที่นี่แล้ว ใครเล่าจะไปไซที การของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังจะมิล้มละลายหรือ
   ​ขุนนางจัตุสดมภ์พูดว่านางพระยาให้ข้าพเจ้ามาพูดแก่ท่านว่า ต่อตามความประสงค์ของพระองค์ แล้วจึงจะเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ท่านทั้งสามไปไซทีอย่างนั้นจะไม่ดีหรือ เห้งเจียว่าท่านคิดดังนั้นเห็นจะสำเร็จได้ พวกข้าพเจ้าไม่ขัดข้องจะยอมให้อาจารย์อยู่เป็นสามีของเจ้าท่าน ขอท่านจงเปลี่ยนหนังสือให้ข้าพเจ้าพี่น้องไปไซที อาราธนาพระธรรมกลับมาแล้ว จึงจะแวะขอเสบียงอาหารกลับไปเมืองใต้ถัง ขุนนางจัตุสดมภ์และขุนนางรับแขกก็คำนับเห้งเจียแล้วพูดว่า มีความขอบใจท่านเป็นที่สุด
   โป๊ยก่ายว่าบัดนี้พวกข้าพเจ้าพี่น้องก็พร้อมใจยอมแล้ว ท่านจงไปกราบทูลแก่นางพระยาเจ้าของท่าน ให้จัดเครื่องโต๊ะมาให้พวกข้าพเจ้าพี่น้องรับประทานสักเวลาหนึ่งจะได้ลาไปไซที ขุนนางจัตุสดมภ์พูดว่าข้าพเจ้าจะจัดมาให้ตามท่านต้องการ ว่าแล้วก็สั่งเจ้าพนักงานให้จัดทำเครื่องโต๊ะมาให้ พวกเจ้าพนักงานก็ไปจัดมาตั้งพร้อมตามสั่งของขุนนางผู้ใหญ่ ๆ มีความยินดีกลับไปกราบทูล ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางทั้งสองกลับไปแล้ว ก็มาจับมือเห้งเจียพูดว่าเห้งเจียทำดังนี้จะมิคิดฆ่าเราเสียหรือ ทำไมจึงรับเขาว่าจะให้เราอยู่ทำการวิวาหะเป็นผัวเมียแก่เจ้าหญิง พวกเจ้าจะไปไซทีถ้าดังนั้นอาตมภาพตายเสียดีกว่า เห้งเจียว่าท่านอาจารย์จงวางใจเถิดข้าพเจ้ามิใช่จะไม่รู้กิริยาจิตของท่านเมื่อไรมี เพราะมาพบมนุษย์อย่างนี้จำเป็นจะต้องเอากลซ้อนกลจึงจะได้ 
   พระถังซัมจั๋งถามว่าอย่างไรจึงเรียกว่าเอากลซ้อนกล เห้งเจียพูดว่าถ้าหากถือมั่นไม่ยอมเธอก็จะไม่เปลี่ยนหนังสือให้ไป บางทีจะกลุ้มรุมมาจับอาจารย์จะเชือดเนื้อเถือหนัง พวกข้าพเจ้าที่ไหนจะยอมให้ทำ ก็คงจะต้องเกิดวิวาทรบพุ่งกันขึ้นพวกข้าพเจ้ามีอาวุธไม้มือหนัก ที่เมืองนี้ก็เพียงเป็นมนุษย์มิใช่ปีศาจยักษ์ร้ายอะไร ส่วนพระอาจารย์ก็ตั้งแต่เมตาจิตสัตว์เล็กใหญ่ก็ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แม้ว่าเกิดตีรันรบพุ่งมนุษย์ก็คงจะตายนับไม่ถ้วน ที่ไหนอาจารย์จะยอมให้ทำได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าที่เห้งเจียคิดได้ดังนี้ก็เป็นความดีที่สุดอยู่แล้ว แต่วิตกว่าถ้าแต่งการวิวาหะแล้วนางจะให้ร่วมประเวณีด้วยเธอดังนั้น อาตมจะยอมให้เสียพรหมจรรย์ได้หรือ เมื่อไม่ยอมแล้วการก็จะไม่สำเร็จอยู่เอ็งจะทำประการใด
   เห้งเจียพูดว่าวันนี้ทำยอมตามเร็ว ๆ คงจะแต่งตามธรรมเนียมของกษัตริย์มีราชรถมารับท่าน ๆ อย่าขัดขืนจงขึ้นราชรถเข้าไปในวัง ขึ้นนั่งที่บัลลังก์แก้วแล้ว เรียกเอาตรามาประทับหนังสือมอบให้พวกข้าพเจ้าแล้ว ท่านรับสั่งให้จัดราชรถจะตามส่งพวกข้าพเจ้า และให้จัดโต๊ะเลี้ยงแล้วจึงขึ้นราชรถส่งไป ท่านจึงบอกแก่นางเจ้าว่าจะส่งสานุศิษย์ออกจากเมืองแล้ว จึงกลับมาทำการวิวาหะมงคลอยู่กับนางพระยา กระทำให้พวกเจ้าและขุนนางมีความยินดีไม่ขัดขวาง แต่พอส่งออกนอกเมืองแล้ว พระอาจารย์ลงจากราชรถให้ซัวเจ๋งพยุงขึ้นม้าออกเดิน ข้าพเจ้าจะร่ายคาถาทำให้คนทั้งหลายนั้นยืนอยู่ที่เดียว พวกเราเดินไปสักคืนหนึ่งวันหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าจะเรียกคาถาถอนปล่อยให้คนเหล่านั้นกลับรู้สึกตัวคืนเข้าเมือง ซึ่งทำการตามที่ข้าพเจ้าคิดนี้​เป็นประโยชน์สองประการ คือหนึ่งไม่เป็นอันตรายแก่ชีวิตมนุษย์ สองไม่เสียพรหมจรรย์ของพระอาจารย์ อย่างนี้เรียกกลสนิทคิดหนีออกจากอันภัย ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เป็นอันตราย พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ดุจบุคคลอันเสพสุราเมาแล้วสร่าง หรือหนึ่งนอนหลับฝันแล้วตื่น สรรเสริญเห้งเจียว่าขอบคุณสานุศิษย์ มีความลึกซึ้งอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว
   ฝ่ายขุนนางทั้งสองกลับเข้าไปเฝ้า ครั้นถึงจึงถวายคำนับแล้วกราบทูลว่า ที่พระองค์ทรงพระสุบินนั้นเป็นการตรงแก่เหตุการณ์เป็นมงคลหาที่เปรียบมิได้ นางพระยาได้ฟังขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองเข้ามากราบทูลดังนั้นมีพระทัยใสโสมนัส สา จึงลงจากพระแท่นที่ประทับทรงพระสรวลยิ้มแย้ม ตรัสถามว่าท่านทั้งสองออกไปถามพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินถังพูดว่ากระไรบ้าง ขุนนางผู้ใหญ่กราบทูลว่าข้าพเจ้าออกไปถึงที่รับแขก ก็กระทำคำนับพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง ๆ ได้ปราศรัยรับรองตามกิริยาแขกเมืองแล้ว ข้าพเจ้าชักนำพูดถึงวิวาหะการท่านก็ยังไม่ยอมตกลง สานุศิษย์ใหญ่เอออวยยอมให้อาจารย์เป็นสามีของพระองค์ ขอให้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้เธอทั้งสามไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก เมื่อขากลับจะแวะขอเสบียงอาหารแล้วจะลากลับไปเมืองใต้ถัง นางพระยาถามว่า พระเจ้าน้องยาเธอได้พูดจาว่ากระไรบ้างหรือเปล่า นางขุนนางจัตุสดมภ์ทูลว่า พระอนุชาเจ้าแผ่นดินใต้ถัง​หาได้พูดจาว่ากระไรไม่ ยอมตามความประสงค์ของพระองค์ แต่สานุศิษย์ทั้งสามของเธอจะขอให้เลี้ยงโต๊ะก่อน นางกษัตริย์ได้ฟังดังนั้นมีความปลุกปลื้มโสมนัสยินดี จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะและจัดราชรถออกไปรับพระอนุชาพระเจ้าใต้ถัง
   ฝ่ายขุนนางทั้งหลาย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานทุกหน้าที่ก็จัดการตามสั่งและจัดรถพระที่นั่งพร้อม ครั้นได้เวลานางพระยาก็ขึ้นทรงรถ ขุนนางผู้หญิงก็แห่ห้อมล้อมตามเสด็จออกจากพระราชวัง มาถึงที่หอรับแขกขุนนางรับแขกเมือง ก็บอกแก่พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ให้ทราบว่าเสด็จมาแล้ว พระถังซัมจั๋งก็จัดแจงแต่งตัวคอยรับ พอราชรถถึงนางกษัตริย์ก็แหวกพระวิสูตรลงจากราชรถตรัสถามว่า ไหนพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง ขุนนางจัตุสดมภ์ทูลว่าที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะนั่นแล นางกษัตริย์ทอดพระเนตรพิเคราะห์ดูพระถังซัมจั๋งโดยละเอียด เห็นว่าสมควรเป็นผู้มีวาสนาที่จะครอบบ้านครองเมืองได้ แลทั้งรูปโฉมก็เป็นที่น่าเสน่หา นางให้มีความปฏิพัทธ์ลุ่มหลงจนลืมพระองค์ตรัสเชิญว่า ขอเชิญพระเจ้าน้องยาเธอขึ้นประทับบนราชรถ พระถังซัมจั๋งให้มีความอดสูละอายแก่ใจ โดยเหตุที่มิได้คุ้นเคยในการประโลมโลก และปราศจากความยินดีในรูปเสียงกลิ่นรส จึงไม่มีความกระสันพันธ์ผูกพิสมัยในนาง 
   แต่โป๊ยก่ายเป็นคนหนักอยู่ในกามเป็นนิสัยนอนจมอยู่ในสันดาน เมื่อได้เห็นรูปโฉมนางพระยาโสภาผ่องใสน่าพึงชม ก็ให้เกิดความปฏิพัทธ์กำหนัดในการสังวาส ที่สุด​ไม่ควรกล่าว จนน้ำลายโป๊ยก่ายไหลลืมสติตะลึงไป เวลานั้นมือแลเท้าโป๊ยก่ายอ่อนเพลียลง ดุจพระยาสีหราชถูกน้ำค้างเข้าผิงไฟ บัดเดี๋ยวใจก็เหือดแห้งไปหมด ฝ่ายนางพระยาไม่สามารถจะอดกลั้นความเสน่หาอยู่ได้ก็ตรงเข้าจับมือพระถังซำจั๋งพูดว่า ท่านจงขึ้นราชรถเสด็จเข้าไปในพระราชวังด้วยข้าพเจ้าเถิด พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางพูดดังนั้น จิตใจให้หวั่นหวาดอุธัจสะทกสะท้านพูดไม่ออกตัวสั่น เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่า พระอาจารย์จะเกรงกลัวอะไรนักหนา ขอท่านจงขึ้นรถเข้าไปในพระราชวังเถิด จะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้พวกข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียพูดเตือนให้สติดังนั้น จึงขืนใจเดินออกมาเคียงกับนางขึ้นราชรถเดียวกัน เคลื่อนรถเข้าในพระราชวัง เห้งเจียให้ซัวเจ๋งยกหาบใส่บ่าจูงม้าตามรถไป โป๊ยก่ายก็วิ่งไปก่อนเข้าไปที่ตำหนักเหงาฮ่องเล้า บ่นว่าถาวรสบายดีจริง แต่ไม่ได้การทำไมไม่เห็นมีเหล้ายากับแกล้มเล่า
   ขุนนางเจ้าพนักงานผู้หญิง เห็นโป๊ยก่ายมาร้องทวงกินดังนั้นก็ตกใจ ไม่กล้าจะเข้าไปจึงกลับมายังราชรถกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทราบ ที่เหงาฮ่องเล้ามีคนปากยาวร้องทวงกินเหล้ากินแกล้มอยู่อึกกระทึก นางพระยาได้ทราบดังนั้น จึงถามพระถังซัมจั๋งว่า คนปากยาวหูใหญ่นั้นเป็นศิษย์คนใหญ่มิใช่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า เป็นศิษย์ที่สองของอาตมภาพ เธอท้องใหญ่กินจุ เป็น​ห่วงแต่การกินกลัวจะไม่พอเพียงเท่านั้น ขอนางเจ้าได้ให้เจ้าพนักงานจัดหาเลี้ยงเธอก่อน นางกษัตริย์จึงตรัสถามเจ้าพนักงานว่า ได้จัดหาไว้พร้อมแล้วหรือ เจ้าพนักงานทูลว่าได้จัดหาไว้บนตำหนักพร้อมแล้วทุกประการทั้งสองอย่าง นางจึงถามว่าจัดอะไรไว้ทั้งสองอย่าง นางขุนนางจึงทูลว่า คือจัดไว้ทั้งเครื่องแจแลเครื่องโช
   นางกษัตริย์จึงถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านจะกินแจหรือจะกินโช พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพก็กินแจสานุศิษย์ทั้งสามก็กินแจทั้งสามคน พูดยังไม่ทันขาดคำลงขุนนางจัตุสดมภ์ก็มาเชิญขึ้นตำหนักเลี้ยงโต๊ะ พูดว่าวันนี้วันดีเลี้ยงโต๊ะแล้วจะได้ทำการวิวาหะมงคล พรุ่งนี้จะได้ยกพระถังซัมจั๋งขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ เมื่อนางกษัตริย์ได้ฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น มีพระทัยใสโสมนัส สา หาที่เปรียบมิได้ จึงจูงมือพระถังซัมจั๋งลงมาจากราชรถขึ้นสู่พระที่นั่งตังก๊อกเดินเข้าไปเห็นที่ข้างตำหนักมีพวกมโหรีพิณพาทย์นั่งคอยท่าอยู่ สองข้างโต๊ะมีหญิงรุ่นกำหนัดผัดหน้าทาแป้งแต่งตัวนุ่งแพรห่มสี ยืนเรียงรายกันอยู่ดุจนางเทพธิดา ที่กลางตำหนักก็จัดไว้สองที่ ข้างขวาโต๊ะแจ ข้างซ้ายโต๊ะโช ลดลงชั้นล่างล้วนแต่เครื่องโชทั้งนั้น นางกษัตริย์เห็นจัดเสร็จแล้ว จึงรินสุราใส่ถ้วยมาเชิญให้พระถังซัมจั๋งกิน เห้งเจียพูดว่า อาจารย์แลพวกข้าพเจ้ากินแจทั้งนั้น จงเชิญอาจารย์นั่งโต๊ะแจนั้นเถิด พวกข้าพเจ้านั่งชั้นล่างก็ได้
   นางขุนนางพูดชมว่าดีอย่างนี้แลควรแล้ว อาจารย์กับศิษย์ก็​เหมือนบิดากับบุตรไม่ควรนั่งเสมอกัน ขุนนางพนักงานก็รีบจัดลดลงอีกสามที่เสร็จแล้ว นางพระยาก็ยกถ้วยสุราเชิญพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม เห้งเจียขยิบตาอาจารย์ให้ยกถ้วยตอบคำนับ พระถังซัมจั๋งลุกจากเก้าอี้ยกถัวยมาเชิญนาง ๆ รับถ้วยสุรามานั่งโต๊ะที่หนึ่งแล้ว บรรดานางขุนนางใหญ่น้อยก็ทำคำนับแล้วพร้อมกันเข้านั่งตามลำดับยศ พวกมโหรีพิณพาทย์ก็กระทำเพลงบำเรอขับร้อง ฝ่ายโป๊ยก่ายเสพสุราแลอาหารมากสิ้นสุราเจ็ดแปดถ้วย แล้วร้องว่าเอามาขวดใหญ่ ๆ จะกินให้สบายใจ แล้วจะได้ต่างคนต่างไปตามมีธุระอย่ามาหลงกินให้มากจะเสียการ เรารีบกินจะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทาง นางกษัตริย์ได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงสั่งเจ้าพนักงานให้เอาสุราขวดใหญ่มาให้โป๊ยก่ายกินตามสบาย เจ้าพนักงานก็เอาสุราปั้นใหญ่มารินให้โป๊ยก่ายกินอีกถ้วยหนึ่ง
   พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวลุกขึ้นเดินมาที่โต๊ะนางพูดว่า อาตมภาพมีความขอบใจเป็นที่สุด ส่วนที่เลี้ยงก็พอแล้ว ขอเชิญขึ้นพระที่นั่งจะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้แก่สานุศิษย์ไป นางกษัตริย์ก็ลุกออกจากที่จับมือพระถังซัมจั๋งพากันเดินขึ้นบนปราสาทใหญ่ นางอนุญาตให้พระถังซัมจั๋งขึ้นบนพระที่นั่ง พระถังซัมจั๋งว่าไม่ควรตามท่านเสนาบดีจัตุสดมภ์ว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันมหามงคลฤกษ์ อาตมภาพจึงจะขึ้นนั่งได้ แต่วันนี้ขอจงเปลี่ยนหนังสือประทับตราส่งให้เธอทั้งสามไปเสียก่อน นางพระยาก็ประทับบนเก้าอี้แล้วเรียกเอาหนังสือเดินทาง​เห้งเจียก็หยิบหนังสือออกส่งให้ นางพระยาทรงรับมาคลี่ดูโดยละเอียดก็เห็นมีดวงตราของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังประทับอยู่ข้างบน รองลงมาตราเมืองโป๊เชียงก๊ก รองลงมาตราเมืองโอเกยก๊ก รองลงมาตราเมืองเซียตี้ก๊ก ทรงพิเคราะห์ดูตลอดแล้วก็ยิ้มสรวล แล้วตรัสว่าท่านนี้แซ่ตั๊นหรือ
   พระถังซัมจั๋งบอกว่าแซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง แต่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้โปรดให้เป็นพระอนุชา จึงพระราชทานให้แซ่ถัง นางกษัตริย์ทรงถามว่าในหนังสือนี้ทำไมไม่มีชื่อสานุศิษย์ทั้งสามเล่า พระถังซัมจั๋งตอบว่า ศิษย์ทั้งสามคนนี้มิใช่คนในเมืองใต้ถัง อาตมภาพได้เมื่อมาตามทาง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือ นางกษัตริย์ตรัสว่า ถ้ากระนั้นท่านกับข้าพเจ้าเติมชื่อเธอทั้งสามลงในหนังสือจะมิดีหรือ พระถังซัมจั๋งว่าแล้วแต่จะทรงเห็นควร นางจึงเรียกให้พนักงานนำพู่กันกับน้ำหมึกมาแล้ว จึงถามชื่อและแซ่คนทั้งสามนั้นแล้วก็เขียนลงท้ายหนังสือชื่อซึงหงอคง แลหงอเหนง ซัวหงอเจ๋ง เขียนชื่อคนทั้งสามเสร็จแล้ว ก็ประทับตราเข้าผนึกส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็รับหนังสือพลัน ส่งให้ซัวเจ๋งเก็บสิ่งของเข้าห่อเสร็จแล้ว จึงรับสั่งให้ขันธีเอาทองคำมาถาดหนึ่ง รางวัลให้แก่เห้งเจียแล้วตรัสว่า จงเอาไปเป็นเสบียงใช้สอยตามทาง เมื่อไปอาราธนาพระไตรปิฎกกลับมาแล้วจะขอบคุณท่านให้จงหนัก
   ​เห้งเจียว่าพวกข้าพเจ้าเป็นผู้บวช อันเงินทองไม่ต้องเอาติดไป ไปตามทางถึงแห่งหนตำบลใดก็บิณฑบาตเขากินต่อ ๆ ไป นางเห็นเห้งเจียไม่รับทอง จึงมีรับสั่งให้เอาแพรมาสิบม้วน แล้วรับสั่งว่าจะทำก็ไม่ทันเวลา จงเอาไปทำเสื้อผ้านุ่งห่มกันหนาวเถิด เห้งเจียว่าคนถือบวชจะนุ่งห่มแพรสีไม่ควร ผ้าผ่อนก็ยังมีอยู่ขอพระองค์อย่ามีความวิตกเลย นางกษัตริย์เห็นเห้งเจียไม่รับแล้ว จึงรับสั่งให้ขันทีนำข้าวสารมาสามถัง แล้วพูดแก่เห้งเจียว่า ของเหล่านั้นไม่รับไปก็ตามทีเถิด จงเอาข้าวสารไปจะได้หุงกินตามทาง โป๊ยก่ายก็รับข้าวสารใส่ย่ามเสร็จแล้ว ก็พร้อมกันทั้งสามคนมาคำนับนางพระยา
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่นางว่า ขอเชิญพระองค์เสด็จไปกับอาตมภาพเพื่อส่งคนทั้งสามออกไปจากเมือง อาตมภาพสั่งเสียเธอเสร็จแล้วจะได้กลับมากับพระองค์ ครองราชสมบัติเป็นบรมสุขอยู่สิ้นกาลนาน ส่วนนางกษัตริย์พาซื่อมิได้รู้สึกในกลอุบาย จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดราชรถเสร็จแล้ว ก็ขึ้นทรงรถพร้อมด้วยพระถังซัมจั๋ง นางขุนนางใหญ่น้อยก็ตามเสด็จ บรรดาพวกชาวเมืองก็ตั้งโต๊ะบูชาตลอดสองข้างทาง ชาวเมืองตั้งใจจะคอยดูราชรถนางพระยาและพระถังซัมจั๋ง ครั้นชาวเมืองได้เห็นก็พากันสรรเสริญออกแส้เสียงทั้งสองข้างทาง ประเดี๋ยวรถพระที่นั่งก็มาถึงประตูเมืองด้านข้างทิศปราจิณ เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็เดินมาใกล้ราชรถร้องด้วย​เสียงอันดังว่า พระองค์ไม่ต้องไปส่งไกลดอก พวกข้าพเจ้าจะขอทูลลาที่นี้ นางจึงให้รถหยุดพระถังซัมจั๋งก็ลงจากรถทำคำนับพูดว่า ขอพระองค์จงเสด็จกลับไปเถิด อาตมภาพจะขอถวายพระพรลาไปไซทีอาราธนาพระธรรม
   ฝ่ายนางกษัตริย์ เมื่อได้ทรงฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็ตกตะลึงจับพระถังซัมจั๋งไว้แล้วก็ตรัสว่า พระเจ้าน้องยาเธอ ข้าพเจ้ายกราชสมบัติให้จะขอท่านไว้เป็นพระราชสามี พรุ่งนี้ฤกษดีก็จะได้ขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว เหตุใดจึงได้มาแปรปรวนไปดังนี้เล่า โป๊ยก่ายได้ยินนางตรัสดังนั้น ก็เดินตรงเข้ามาที่ข้างรถยกหัวขึ้นทำหูชันตวาดด้วยเสียงอันดังว่าพวกข้าพเจ้าถือบวช ใครจะมาร่วมรักกับกระดูกแห้งอย่างนั้นได้หรือ จงปล่อยอาจารย์เราไปเถิด เมื่อนางได้เห็นรูปร่างโป๊ยก่ายน่าเกลียดน่ากลัวดังนั้น แลทำเสียงดังออกท่าดุร้ายดังนั้นก็ตกพระทัยล้มเข้าไปในรถ ซัวเจ๋งก็เข้าอุ้มอาจารย์ออกจากหมู่คนแล้วพยุงให้ขึ้นม้า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งร้องตวาดว่า พระเจ้าน้องยาเธอจะหนีไปข้างไหนเราจะมาร่วมรักแก่ท่าน ซัวเจ๋งร้องด่าว่าอีขโมยมึงไม่รู้จักหรือ จึงชักไม้ตะบองออกตีลงไปที่ศรีษะหญิงนั้น ๆ ก็อันตรธานกลายเป็นลมใหญ่มืดมัว หอบเอาพระถังซัมจั๋งไปทางไหนก็ไม่ทันรู้