พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ คือหลีซิบิ๋นเป็นพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง พระองค์เป็นสมเด็จพระราชโอรสของพระเจ้าถังโกโจ๊คือถังตงหลีเอี๋ยน พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ครองราชสมบัติมาได้สิบสามปี ก็ประชวรสวรรคตได้สามวันแล้วกลับฟื้น เมื่อพระองค์นิ่งแน่ไปสามวันนั้น พระองค์ลงไปยังเมืองนรก ได้เห็นสัตว์นรกทนทุกเวทนาแสนสาหัส ครั้นพระองค์กลับฟื้นคืนมา ก็มีพระทัยศรัทธาเชื่อกรรมเชื่อผล ทรงสละพระราชทรัพย์แจกจ่ายไชยทาน กระทำการพระราชกุศลต่าง ๆ ครั้นมาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์กวนอิม แปลงกายเป็นเถรมาแนะนำให้พระองค์คิดไปอาราธนาพระไตรปิฎก มาตั้งพิธีสวดอุทิศให้พวกที่สู่กรรมนั้นได้พ้นโทษ พระองค์รับจึงสั่งให้พระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม
งุยเต็ง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เป็นผู้สำเร็จราชการ งุยเต็งถอดดวงจิตได้ทำราชการอยู่ในเมืองมนุษย์ แต่ถอดดวงจิตไปเป็นเพชรฆาตของเง็กเซียงฮ่องเต้ในสวรรค์ เมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงพระสุบินว่า มีพระยานาค มาขอให้พระองค์ช่วยชีวิต พระองค์ได้รับคำกับพระยานาคแล้ว จึงให้งุยเต็งเข้ามาในพระราชวังทรงเล่นหมากรุก มิได้ทรงทราบว่างุยเต็งถอดดวงจิตได้ เมื่อเวลากำลังเดินหมากรุกอยู่งุยเต็งง่วงหลับไปทีหนึ่ง ก็ไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องที่กลางอากาศ งุยเต็งมีบุตรหญิงคนหนึ่งยกให้ตั๊นกองหยีจอหงวนเป็นภรรยา
ถักทะลีทีอ่อง คือท้าวจตุราชเป็นที่แม่ทัพของเง็กเซียงฮ่องเต้ มีบุตรชายสามคนคือ กิมจาหนึ่ง หมอกจาหนึ่ง โลเฉียหนึ่ง ถักทะลีทีอ๋องมีอานุภาพเชี่ยวชาญ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงให้เป็นแม่ทัพสำหรับปราบปิศาจในที่ทั้งปวงเมื่อปิศาจร้ายเกิดขึ้นในที่ใด ก็คุมพลเทพบุตรไปกำจัดพวกปิศาจมารร้ายเหล่านั้น
โลเฉียเป็นบุตรที่สามของถักทะลีทีอ๋อง มีศักดาเดชานุภาพกล้าหาญแลมีอาวุธหกอย่างสำหรับกำจัดจับพวกผีศาจยักษ์มารร้าย แปลงกายได้หลายประการ เป็นทหารเอกของเง็กเซียงฮ่องเต้
ตั๊นกองหยีจอหงวนเข้าสอบไล่วิชาหนังสือได้ชั้นที่หนึ่ง เป็นขุนนางของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ชำนาญในการหนังสือยิ่งกว่าขุนนางทั้งปวงในเวลานั้น ได้บุตรสาวงุยเต็งชื่อนางอุนเกี๋ยวเป็นภรรยา มีบุตรชายคือถังซัมจั๋ง มารดาคือนางเตียวสีมีรับสั่งให้ไปกินเมืองกังจิว เมื่อลงเรือจ้างเล่าฮองเจ้าของเรือคิดร้าย จับตั๊นกองหยีมัดผลักลงน้ำ พระยานาครับไปเลี้ยงไว้มาจนพระถังซัมจั๋งบวชแล้ว จึงได้กลับมาเมืองมนุษย์ได้
นางอุนเกี๋ยวเป็นบุตรงุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่ ได้สามีคือตั๊นกองหยีจอหงวน มีบุตรชายคือพระถังซัมจั๋ง เมื่อนางตั๋นกองหยีจอหงวนจะไปเมืองกังจิว มากลางทางถูกโจรจับสามีทิ้งน้ำ เก็บเอาตรากับหนังสือสำคัญพานางไปเมืองกังจิว เวลานั้นนางกำลังมีครรภ์จำเป็นต้องตามใจเล่าฮ่องไปจนคลอดบุตรแล้ว ต่อพระถังซัมจั๋งได้บวชแล้ว นางจึงได้กลับเมือง
นางเตียวสีเป็นมารดาของตั๊นกองหยีจอหงวน เป็นย่าของพระถังซัมจั๋ง เมื่อตั๊นกองหยีได้เป็นขุนนางจะออกไปกินเมืองกังจิวก็รับมารดาไปด้วย แต่มากลางทางบังเอิญมารดาเป็นไข้ไปไม่ได้ ตั๊นกองหยีมีราชการร้อน ก็เช่าที่พักให้มารดาอยู่รักษาตัว ครั้นตั๊นกองหยีไปถูกโจรกระทำร้าย ตั้งแต่นั้นมาก็มิได้ข่าวเลย นางเตียวสีตั้งตาคอยบุตรร้องไห้จนตามัวมืดเป็นฝ้าแลไม่เห็นสิ่งใด มาจนพระถังซัมจั๋งได้บวชแล้วมาตามหา เลียตาให้ตาจึงได้สว่าง ต่อภายหลังมารดากับบุตรแลวงศ์ญาติจึงได้พร้อมกัน
จีนแสอวนซิ้วเซ้งเป็นบุตรอวนทีกังขุนนางฝ่ายโหร จีนแสอวนซิ้วเซ้งเป็นหมอดูทายดุจตาเห็น วิเศษกว่าหมอดูทั้งปวง พระยาเล่งอ๋องในมหาสมุดเกียฮ้อแปลงตัวมาทดรองความรู้ จีนแสทายดังตาเห็นเธอตั้งโต๊ะดูอยู่ที่ประตูเมืองข้างทิศตะวันตกในเมืองเชียงอาน
มุ้ยเกาอ๋องได้ชื่อที่พระอาจารย์ตั้งให้แล้ว ก็ชื่นชมยินดีเป็นที่สุดพระอาจารย์จึงสั่งศิษย์ทั้งหลายให้นำหงอคงออกไปที่ลานวัด กวาดล้างสิ่งโสโครกให้หมดสะอาด เพื่อรู้จักขนบทำเนียมที่ทางซึ่งจะไปมาให้รอบคอบ หงอคงกราบลาพระอาจารย์ สานุสิษย์ทั้งหลายก็พาหงอคงออกมาจัดที่หลับที่นอนข้างระเบียงนั้น ครั้นเวลาเช้า ๆ ทุกวันหงอคงก็เล่าเรียนหนังสือแลหัดเขียนหัดอ่าน แลทำการกิจวัตรต่าง ๆ บ้าง บางเวลาว่างการเล่าเรียนแล้วก็ปลูกต้นไม้ตักน้ำรดต้นไม้ในสวนแลขุดดินดายหญ้าในสวนตามเวลาการ
ครั้นอยู่ประมาณได้หกเจ็ดปีแล้ว มาวันหนึ่งพระอาจารย์
ประชุมสานุศิษย์ทั้งหลายพร้อมกัน พระอาจารย์ก็ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์แสดงในพระไตรลักษณ์ญาณ แลพระไตรสรณาคม แลพระไตรปิฎกธรรม แลญาณสามกิจสิบหกในอริยะสัจสี่ซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาแท้ แลถ้อยคำของพระอิสีดาบถ แลคำของนักปราชญ์ทั้งหลายมีขงจู๊เป็นต้น แต่ในพระพุทธศาสนาคำที่เรียกว่า ภาษิตนั้นมีอยู่สี่ประการ คือหนึ่งพุทธภาษิต สองสาวกภาษิต สามอิสีภาษิต สี่เทวดาภาษิต รวมคำภาษิตเป็นความแสดงธรรมคำสอนเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงลงเป็นหนึ่งในดวงจิตเป็นใจความดังนี้ ธรรมที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายนั้น คือ (อมัตตะธัม) อันท่านจัดเป็นอะสังขะตะธรรม ได้แก่พระนฤพาน ให้ผู้ปฏิบัติกระทำความเพ่งธรรมนั้นอยู่เป็นอารมณ์เสมอ
เมื่อขณะกำลังพระอาจารย์แสดงธรรมอยู่นั้น ซึงหงอคงฟัง
คำแสดงธรรมเกิดปีติยิ่งนัก ก็เกาหูแลเกาคางกระทำกิริยาหน้าเลิกรื่นเริง แลกระโดดโลดเต้นตบมือตามวิสัยเดิมของตนที่เป็นชาติวานร ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือเหลือบมาเห็นเข้า จึงถามซึงหงอคงว่า กำลังในที่ประชุมสดับธรรมเทศนาอยู่พร้อมกัน ทำไมตัวจึงไม่รักษากิริยาสำรวมกายวาจา ทำเป็นบ้าหลังตบมือโลดเต้นอย่างนั้นเล่า
ซึงหงอคงจึงตอบว่า ข้าพเจ้าตั้งใจฟังพระอาจารย์แสดง
ธรรมไพเราะเพราะหูจับใจเกิดปีติโสมนัสศรัทธาหาที่เปรียบมิได้ ก็เผลอสติไปโดยอำนาจปีติ จึงบังเกิดความไหวติงไปทั่วกายแลใจ ขอพระอาจารย์เจ้าได้กรุณายกโทษให้แก่ข้าพเจ้า
พระอาจารย์จึงถามว่า ตัวฟังเพราะหูนั้นยังจะรู้สึกหรือไม่ว่าตนมาอยู่ในถ้ำนี้ได้กี่ปีแล้ว
หงอคงจึงตอบว่ามากแลน้อยเท่าใดตามเวลากาลนั้น
ข้าพเจ้าไม่สามารถจะทราบได้ แต่ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยไปเก็บฟืนข้างเขานั้น เห็นต้นชมพู่งามที่ข้าพเจ้าเคยเก็บกินอิ่มเจ็ดครั้งแล้ว พระอาจารย์จึงพูดว่า ที่หลังเขานั้นเรียกชื่อว่า (ลันท้อซัว) ตัวเคยเก็บลูกชมพู่กินเจ็ดครั้งนั้นคือ กำหนดไว้เจ็ดปี ตัวมาอยู่กับเราประสงค์จะเรียนรู้ธรรมเพื่อมรรคผลในที่สุดอย่างไรหรือ จงชี้แจงความประสงค์ในใจเจ้า
หงอคงตอบว่า ขอพระอาจารย์ได้โปรดแล้วแต่จะเมตา ให้เรียนธรรมอันใด ที่ควรแก่มรรคผลจะพึงได้แลถึง ข้าพเจ้าก็จะปฏิบัติตามทุกประการกว่าจะสำเร็จได้
พระอาจารย์จึงชี้แจงว่า ในพระคำภีร์มีสามร้อยหกสิบคำภีร์ ทุก ๆ คำภีร์ย่อมประกอบเป็นทางมรรคผลได้ เราไม่รู้ว่าตัวเจ้าจะพอใจเรียนคำภีร์ใด
ซึงหงอคงจึงตอบว่าขอพระอาจารย์โปรดใคร่ครวญดูว่า คำภีร์ใดจะควรแก่นิสัยสันดานแห่งข้าพเจ้า
(๑) พระอาจารย์จึงว่า เราจะให้เจ้าเรียนพระคำภีร์ (ซุดหมึ้ง) คือเวทย์เจ้าจะชอบหรือไม่
ซึงหงอคงถามว่า คำภีร์ (ซุดหมึ้ง) อธิบายว่าอย่างไร ขอพระอาจารย์ได้โปรดแสดงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
พระอาจารย์จึงว่า (ซุดหมึ้ง) นั้น คือเชิญเจ้าเข้าทรงแลเชิญเทพารักษ์เรียกปิศาจต่าง ๆ ได้ทำกิริยาเหล่านี้
เป็นอารมณ์
หงอคงถามอาจารย์ว่า ถ้าเรียนกิจเหล่านี้เสร็จแล้ว ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายหรือ อาจารย์ตอบว่าไม่พ้น หงอคงว่า
ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าของดไว้ก่อนยังไม่เรียน
(๒) พระอาจารย์บอกว่าถ้าดังนั้นจะให้เรียน (หลิวหมึ้ง) จะพอใจหรือไม่
หงอคงถามว่าคำภีร์ (หลิวหมึ้ง) มีความว่ากระไร ขอพระอาจารย์ได้โปรดอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ
พระอาจารย์บอกว่า (หลิวหมึ้ง) นั้น คือจับยามดูฤกษ์คูณหารพระเคราะห์ร้ายดี แลแพทย์ยาอันจะรักษา
โรคต่าง ๆ หมอดูภูมิศาสตร์แผนที่ดีร้าย กะหมายยึดเหล่านี้เป็นอารมณ์
หงอคงถามว่า เรียนคำภีร์เหล่านี้อายุจะยืนไม่ตายหรือไม่ ขอพระอาจารย์ได้โปรดชี้แจง
พระอาจารย์จึงพูดว่า แม้ท่านอยากจะเรียนทางอายุยืนนั้น ต้องเหมือนเสาตั้งอยู่กลางเรือน
หงอคงถามว่า เสาตั้งอยู่กลางเรือนนั้นอย่างไร ข้าพเจ้าคนโง่ยังหาเข้าใจไม่ ขอท่านได้กรุณาโปรดอธิบาย
พระอาจารย์จึงพูดว่า เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย เมื่อจะปลูกเรือน ก็หวังใจจะให้มั่นคงยืนยาว จึงยก
เสาขึ้นตั้งค้ำอยู่กลางเรือน ย่อมไม่ซุดไม่เซเรือนจึงตั้งอยู่นานได้
หงอคงว่าถ้าเช่นนั้น กิริยาที่ทำเพียงเท่านั้น ข้าพเจ้ายังไม่เห็นว่าจะยั่งยืนดำรงถาวรไปได้สักเท่าใด ข้าพเจ้า
ของดก่อนยังไม่เรียน
(๓) พระอาจารย์ว่า ถ้าดังนั้นเราจะสอนให้เจ้าเรียนทาง (เจ่งหมึ้ง) คือระงับเจ้าจะพอใจหรือไม่
หงอคงถามพระอาจารย์ว่า (เจ่งหมึ้ง) นั้นคือมีความประการใด
พระอาจารย์ตอบว่า อดอาหารทำในใจให้หมดความกระสับกระส่าย เข้าที่หลับตาถือศีลห้ามเจรจาต่าง ๆ
นั่งขัดสมาธินิ่งอยู่กับที่ไมไหวติง
หงอคงถามว่า ถ้าทำกิจเหล่านี้สำเร็จแล้ว ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายอายุยืนหรือ อาจารย์ว่าดุจอิฐบนหัวตึก
หงอคงหัวเราะแล้วถามว่า ทำไมจึงเปรียบเหมือนอิฐบนหัวตึก มีความอธิบายว่าอย่างไร
พระอาจารย์ตอบว่า เหมือนอิฐบนหัวตึกนั้น คือเมื่อคนทั้งหลายจะคิดก่อตึกย่อมไปขุดเอาดินมาปั้นเป็นรูป
อิฐ แล้ววางอยู่ หาได้เอาเข้าไฟเผาให้สุกไม่ ครั้นมีฝนตกลงมาถูกอิฐนั้น ก็ละลายไปกับน้ำฝนฉะนั้น
หงอคงพูดว่าอย่างนี้ไม่มั่นคงยืนยาวอะไร ข้าพเจ้าไม่อยากเรียน
(๔) พระอาจารย์จึงว่า จะให้เรียนคำภีร์ (ต่องหมึ้ง) ตัวจะพอใจหรือไม่ หงอคงจึงถามพระอาจารย์ว่า จะให้เรียนคำภีร์ (ต่องหมึ้ง) นั้น เป็นประการใด
พระอาจารย์ตอบว่า คำภีร์ (ต่องหมึ้ง) นั้นประกอบการภายนอก คือประกอบน้ำให้เป็นไฟ ประกอบไฟ
ให้เป็นน้ำ จับศรยิงหน้าไม้เล่นแร่แปรธาตุ กิริยาเหล่านี้คือคำภีร์ (ต่องหมึ้ง) หงอคงถามว่า กิริยาเหล่านี้จะให้อายุยืนไม่ตายนั้นจะได้หรือไม่ พระอาจารย์ตอบว่า คำภีร์นี้จะยืนยาวเหมือน
กับดวงจันทร์ในน้ำ คือเป็นแต่เงาเท่านั้น
หงอคงจึงถามว่า เหตุใดจึงเหมือนแก่ดวงเดือนในน้ำเล่า
พระอาจารย์ตอบว่า ดวงเดือนอยู่กลางอากาศแต่เงาอยู่ในน้ำ ถึงอยู่ในน้ำก็จริงแต่จะหยิบหรือจะจับก็จะไม่ถูก
ครั้นถึงที่แล้วก็เปล่าไปไม่มีรูปแลลักษณะ แลไม่มั่นคงไม่เป็นแก่นสารอะไร ย่อมเป็นอะนัตตาทั้งสิ้นมิใช่ตัวตน
หงอคงจึงพูดว่า แม้มิใช่ตัวตนแลมิใช่แก่นสารอะไรไม่ควรจะเรียน
ท่านอาจารย์โผเถโจ๊ซือได้ยินหงอคงว่าไม่เรียน ท่านก็ลงมาจากธรรมาสน์ เดินตรงเข้ามาถึงหงอคง
จึงถามว่า ตัวเป็นเช่นวานร เหตุไรสอนอย่างนี้ก็ไม่เรียนสอนอย่างโน้นก็ไม่เรียน พระอาจารย์ฉวยได้ไม้บันทัดตีลง
ตรงศีศะหงอคงสามทีแล้ว พระอาจารย์ก็หันหลังกลับเข้ากุฎิปิดบานประตูเสีย
เวลานั้นเป็นในที่ประชุมพร้อมกันเห็นว่า พระอาจารย์มีความโกรธหงอคง ต่างก็มีความตกใจ
ทุก ๆ คน พากันเห็นไปว่าพระอาจารย์มีความโกรธหงอคงเป็นอันมาก เพราะหงอคงพูดโต้ตอบกวนใจพระอาจารย์
พากันบ่นว่าหงอคงต่างๆ
ขณะนั้นหงอคงมิได้มีความวิตกทุกข์ร้อนอะไรเลย ยิ่งมีความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก ด้วยหงอคงคิด
เห็นเป็นปัญหาของพระอาจารย์ก็นิ่งตรึกตรองอยู่ในใจว่า คือที่พระอาจารย์ตีศีษะเราสามทีนั้น ได้แก่เวลาสามยาม
พระอาจารย์คงจะบอกธรรมอันวิเศษให้แก่เราเป็นแน่
ครั้นเวลาค่ำลงในคืนวันนั้น หงอคงก็ทำเป็นนอนด้วยสานุศิษย์
ทั้งหลายตามเดิม หงอคงตั้งใจรอคอยเวลากว่าจะถึงกำหนด
ครั้นถึงเวลาสามยามเข้าแล้ว หงอคงก็ค่อยย่องเบา ๆ จัดแจงนุ่งห่มเสร็จแล้ว ก็ออกจากห้องเดิน
ไปทางหลังกุฎิพระอาจารย์ เห็นประตูเปิดอยู่ก็ดีใจ หงอคงจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้อง เห็นพระอาจารย์กำลังหลับ
อยู่ จึงนั่งคอยอยู่ที่น่าเตียงประมาณสักครู่หนึ่ง พระอาจารย์ก็รู้สึกตัวเหยียดสองเท้า ปากก็ร้องคำเป็นสัมมาทิฐิมรรค
ว่า ยากนักยากหนายากจริง ๆ อยากให้ธรรมอันวิเศษง่าย ๆ แต่ไม่พบคนที่มีศรัทธาความเชื่อจริง ๆ จึงไม่ควรให้
ธรรมอันวิเศษ แม้จะบอกให้ก็จะเสียธรรม ถึงจะสอนก็จะป่วยการเสียเวลา
หงอคงได้ยินพระอาจาริย์พูดดังนั้น จึงร้องบอกพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าสานุศิษย์ผู้จะศึกษาธรรม
อยู่นี่แล้ว ขอท่านได้กรุณาให้ทานธรรมแก่ข้าพเจ้าเถิด
ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้ยินเสียงหงอคง แล้วก็ลุกขึ้นห่มผ้านั่งอยู่บนเตียง ทำตวาดหงอคงว่า ท่าไม
เองไม่อยู่ข้างนอกล่วงเลยเข้ามาในนี้ทำไม ข้าหลับนอนอยู่เองไม่รู้หรืออย่างไร
หงอคงจึงตอบว่า เมื่อเวลาวานนี้พระอาจารย์ทำปริศนาให้ข้าพเจ้า ๆ คิดเห็นว่า พระอาจารย์คง
จะสอนธรรมวิเศษให้แก่ข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นพอเวลาได้สามยามข้าพเจ้าจึงได้เข้ามา เห็นพระอาจารย์ยังหลับอยู่
ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะเข้ามาใกล้ได้ จึงได้คอยอยู่จนพระอาจารย์ตื่น แลกล่าวถ้อยคำเป็นสัมมาทิฐิมรรคขึ้นแล้วจึง
สามารถเข้ามาใกล้ได้ดังนี้
ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือ
เมื่อได้ฟังหงอคงพูดดังนั้นก็นิ่งนึกตรึกตรองอยู่ จึงเห็นว่าชะรอย
เทพยดาฟ้าและดินให้หงอคงเกิดมา จึงสามารถอาจตีความของเราออกได้ฉะนี้
หงอคงเห็นเป็นโอกาสก็พูดต่อไปว่า ในที่นี้ไม่มีคน ขอพระอาจารย์ได้เมตาชี้ธรรมอันไม่ตายให้แก่
ข้าพเจ้าเถิด
พระอาจารย์จึงพูดแก่หงอคงว่า ตัวเจ้ามีนิสัยในทางธรรมแล้ว เราจะชี้แจงอธิบายในมูลธรรมให้
เจ้าขยับเข้ามาให้ใกล้จงระงับใจสงบกายวาจาคอยเงี่ยโสตสดับ เราจะบอกซึ่งธรรมอันวิเศษปราศจากความเศร้า
หมองแลอายุก็ยืนยาว
หงอคงคำนับกราบลงแล้ว ก็ค่อย ๆ คลานขยับเข้าไปใกล้แล้วก็นั่งคุกเข่าพนมมือสำรวมจิตและ
รักษาอิริยาบถเป็นอันดี ตั้งใจฟังธรรมที่พระอาจารย์จะบอกทางให้
ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือ จึงแสดงหัวใจธรรม การลึกล้ำวิเศษให้แจ่มแจ้งแนบเนียนรอบคอบ
ปลอดโปร่งโดยละเอียดอาศัยความปฏิบัติไม่พูดแก่ใคร สำรวมทั้งสิ้นมูลภาคของกำลังจึงสำเร็จได้ คือรักษาธรรมที่
ได้แจ้งแก่ใจแล้วนั้น อย่าให้หวั่นไหวรั่วไหลล้นออกไปได้ อุตสาหะทำจิตให้บริบูรณ์ตามธรรมควรแก่ธรรม ก็จะสำ
เร็จมรรคผลพ้นมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ไม่สามารถจะมาเบียดเบียนได้ ในเวลานั้นพระอาจารย์ได้แสดง
ธรรมแก่ซึงหงอคงให้เห็นซึ่งมูล รากของธรรมแล้ว หงอคงมีจิตอันสว่างใสบริสุทธิ์บริบูรณ์ เต็มไปด้วยกุศลธรรมที่
ตน ได้สดับ สว่างแจ้งในการสังวัธยายขึ้นสู่วาจาขึ้นใจแล้วก็นมัสการพระบารมีคุณแห่งธรรมแล้วก็กราบลา
พระอาจารย์กลับมาที่อยู่ของตน ตั้งใจสำรวมกิจอยู่ในธรรมได้สามปีเศษ
วันหนึ่งพระอาจารย์ขึ้นธรรมาสน์ ประชุมสานุศิษย์ทั้งหลายแสดงธรรม พระอาจารย์จึงถามศิษย์
ทั้งหลายว่าหงอคงไปไหน หงอคงได้ยินเสียงพระอาจารย์ก็เข้ามาใกล้บอกว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่
พระอาจารย์จึงถามว่า ตัวปฏิบัติบวชเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
หงอคงตอบพระอาจารย์ว่า มูลแห่งธรรมค่อยแจ่มแจ้งในสันดานมั่นคงบ้างแล้ว อาจารย์จึงพูดว่า ตัวลุมูลสันดานเข้าในมูลรากสดับเข้าในภาคนั้นแล้ว จงตั้งใจระวังภัยสามประการ อันร้ายแรง
หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดแนะดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่เป็นนาน แล้วจึงถามพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าเคย
ได้ฟังว่า บารมีมรรคผลก็แรงยืนยงคงเสมอฟ้า ไฟ น้ำ ประกอบกัน ร้อยอสงไขยก็ไม่เกิดได้ เหตุใด
จะยังมีภัยสามอย่างอันร้ายแรงอีกเล่า
พระอาจารย์จึงตอบว่า ซึ่งภัยทั้งสามมีการธรรมดา เพราะของก่อสร้างซึ่งเกิดแต่ดินน้ำลมไฟเบียดสูญ
จันทร์ซึ่งกันแลกัน ก็จะสำเร็จต่อภายหลัง ถ้าตั้งสติสดับก็มีราศีเพิ่มอายุ
แต่ต่อไปห้าร้อยปีข้างหน้า ฟ้าจะผ่าลงมา
ไฟฟ้าจะฟาดตัวเจ้าจงเร่งระวังตัวทำให้แจ่มแจ้งบริสุทธิ์เห็นมูลสันดานแล้ว จงเร่งหลีกหลบหนีให้พ้นอายุก็จะยืน
เสมอฟ้า ถ้าหลีกไม่พ้นตัวเจ้าก็จะสิ้นชีวิต แล้วต่อไปข้างหน้าอีกห้าร้อยปี ไฟกรดจะมาไหม้เจ้า ไฟที่จะเผาเจ้านั้นไม่
ใช่ไฟฟ้าไม่ใช่ไฟในมนุษย์ ไฟนั้นเรียกนามว่าขันธ์อัคคี คือไฟในกายของตัวเจ้า เกิดขึ้นเองจะเผาผลาญร่างกาย
ที่มีอาการสามสิบสองก็จะย่อยยับดับไปสิ้น ความรักษาได้สักพันปี ทุกข์ทรมานหนเดียวก็จะสิ้นไป แล้วไปข้างหน้า
อีกห้าร้อยปี ฟ้าจะให้ลมคือไฟลมอันมิใช่ลมสี่ทิศ เป็นลมที่หน้าผากของเจ้าเป่าเข้า ภายในท้องแซกทวารทั้งเก้า
กระดูกแลเนื้อก็จะป่นละเอียดร่างกายก็จะหลุดร่วงแยกแตกกันไปหมดสิ้น เพราะฉะนั้นไฟร้ายแรงเหล่านี้ตัว เร่ง
หลีกหลบให้พ้นได้แล้ว อายุก็จะยืนได้นานเท่าฟ้าและดิน
หงอคงได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้น ให้บังเกิดขนพองสยองเกล้า จึงคำนับกราบพระอาจารย์แล้ววิงวอน
ว่า ขอท่านได้กรุณาสอนธรรมที่จะหลีกหนีให้พ้นภัยทั้งสามนั้นให้ต่อไป
พระอาจารย์จึงพูดว่า ซึ่งภัยสามอย่างนั้นก็ยังมีทางที่จะหลีกหนีได้อยู่ ไม่ยากอะไร โดยมีกิริยาคาบ
ฟ้าคาบดินสองอย่าง คาบฟ้านั้นคือกิริยา (เทียนกัง) สามสิบหก คาบดินนั้นคือ (ตี้ซัว) มีกิริยาเจ็ดสิบสองคาบ
ตามแต่จะเรียนอย่างไหน ถ้าผู้ใดเรียนได้สำเร็จตลอดแล้วก็จะหนีพ้นภัยทั้งสามนั้นได้
หงอคงจึงบอกแก่ท่านอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าจะขอเรียนกิริยา (ตี้ซัว) คาบดิน ขอพระอาจารย์ได้โปรดบอก คาบดินให้แก่ข้าพเจ้าเถิด
พระอาจารย์จึงว่าแก่หงอคงว่า ถ้าตัวอยากเรียนกิริยาคาบดินก็จงขยับเข้ามาให้ใกล้ พระอาจารย์
ก็กระซิบบอกอุปเท่ห์ให้แก่หงอคงด้วยอุบายแลวิธีลัทธิต่าง ๆ หงอคงก็ได้ลุแก่คาบที่พระอาจารย์ประสิทธิ์ให้ โปร่งปรุทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งขึ้นไปทุกวัน ๆ
หงอคงก็ค่อยหัดค่อยฝึก จนถึงเนรมิตบิดเบือนแปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่าง แลทรงกำลัง
พลังมีฤทธากล้าหาญ อยู่มาวันหนึ่งพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือ กับสานุศิษย์ทั้งหลายนั่งอยู่น่าลานวัด
พร้อมกัน
พระอาจาริย์จึงถามหงอคงว่าตัวเรียนวุฒิวิทยา ได้กระทำให้สำเร็จมะโนรศแล้วดังปราถนา
หรือ
หงอคงจึงตอบพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าได้อุตสาหะพยายามประกอบกิจการบำเพ็ญเพียรภาวนาสำรวม
เวท ได้บันลุธรรมวิเศษส่วนอิทธิฤทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
พระอาจารย์จึงว่า ถ้าเจ้าร่ำเรียนทำให้สำเร็จได้จริงดังนั้นแล้ว เจ้าจงสำแดงวิทยาให้เราดู ให้เห็น
ปรากฎแก่ชนทั้งหลายซึ่งอยู่พร้อมกันในสถานที่นี้
หงอคงจึงสำรวมจิตบริกรรมกระทำอิทธิปาฏิหาร ย์ก้าวเดินจากพื้นดินได้ห้าก้าวลอยขึ้นไปบนอากาศ
หายลับไป ประมาณเคี้ยวหมากจืดแล้วก็กลับมา ประมาณเหาะไปได้สักสามโยชน์คือพันสองร้อยเส้น หงอคงก็ลงมา
ต่อหน้าพระอาจารย์แล้วยกมือขึ้นคำนับ กล่าววาจาว่าข้าพเจ้าเหาะได้อย่างนี้
พระอาจาริย์จึงว่าที่เหาะได้อย่างนี้เรียก
ว่าอาศัยเมฆไม่ใช่ดั้นเมฆ โบราณเขาดั้นเมฆเหาะไปได้รอบจักรวาลจึงเรียกว่าดั้นเมฆ
หงอคงอ้อนวอนพระอาจารย์ว่า ขอท่านได้กรุณาโปรดสอนให้ข้าพเจ้าเรียนวิชาดั้นเมฆได้ด้วยเถิด
พระอาจารย์ก็แนะนำสั่งสอนให้หงอคงท่องบ่นสังวัธยายจนขึ้นใจ จำได้แลประกอบบริกรรมทำทดลองก็สำเร็จได้ดัง
ประสงค์ทุกสิ่งทุกประการ พวกสานุศิษย์ทั้งหลายจึงถามหงอคงว่า พระอาจารย์สั่งสอนให้ท่านเหาะเหินเดินอากาศได้
ทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านได้เรียนทำสำเร็จดังประสงค์แล้วทุกประการหรือ
หงอคงตอบว่าข้าพเจ้าได้เรียนรู้แลทำได้
ทุกประการแล้ว
พวกเพื่อนศิษย์ทั้งหลายจึงว่า ถ้ากระนั้นท่านจงทำให้ข้าพเจ้าชมเห็นประจักษ์แก่ตาบ้างจะได้หรือไม่
หงอคงจึงว่าท่านทั้งหลายจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด ขอให้ท่านบอกมาข้าพเจ้าจะทำให้ท่านดู
ทุกประการ พวกเพื่อนศิษย์จึงขอให้เนรมิตเป็นต้นพฤกษาใหญ่ หงอคงก็ร่ายพระเวทสำรวมจิตบริกรรมภาวนา
ร่างกายก็สูญหายกลายเป็นต้นพฤกษาใหญ่สูงเทียมเมฆ พวกสานุศิษย์ก็ตบมือหัวเราะกันเป็นอันดังออกแซ่ไป
ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซืออยู่ในกุฎิได้ยินเสียงคนร้องดังนั้นก็ตกใจ จึงจับไม้เท้าเดินออกมาถาม
ว่าใครอยู่ข้างนอกทำอะไรกันเสียงอึกกระทึก
พวกสานุศิษย์ทั้งหลายนั่งอยู่พร้อมกัน ตอบว่ามิได้อึกกระทึก เป็นแต่หงอคง สำแดงฤทธิ์เนรมิตตน
เป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมเมฆ พวกข้าพเจ้าเห็นเป็นอัศจรรย์พากันพิศวงยินดี ในวิชาของหงอคงที่ทำฤทธิ์ได้เช่นนั้น
พระอาจารย์จึงตวาดว่า เมื่อตะกี้เราได้ยินเสียงออกแซ่ดูดังมิใช่คนบวชเรียน ทำการฟุ้งซ่าน
เช่นนี้ จะเป็นอันบวชเรียนอะไรได้
พวกศิษย์ทั้งหลายจึงบอกว่า เมื่อตะกี้พวกข้าพเจ้านั่งอยู่พร้อมกันได้ขอให้หงอคงสำแดงวิชาที่เขา
ได้จากพระอาจารย์ให้ดูเขาจึงได้ทำให้ดู
ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้ฟังศิษย์ทั้งหลายบอกดังนั้น จึงว่าพวกเจ้าหลีกไปเสียให้พ้น แลไปบอก
หงอคงให้เข้ามานี่ พวกศิษย์ทั้งหลายก็พากันหลีกไปแลบอกหงอคงว่า พระอาจารย์ให้หาตัว หงอคงก็เข้ามาหมอบ
กราบและเคารพอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ ๆ จึงถามหงอคงว่า ตัวแผลงฤทธิ์เดชอวดดีต่อหน้าคนเป็นอันมากอย่าง
นั้นให้เขาเห็น ถ้าเขาจะขอให้ตัวสอนเขา ถ้าตัวจะไม่สอนให้เขาก็จะเกิดภัยอันตรายขึ้นแก่ตัว เราจะป้องกันตัวเจ้ามิได้
หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้น ก็กราบลงแล้วขอโทษพระอาจารย์ ๆ จึงว่าเราไม่เอาโทษเจ้า
ดอก แต่ตัวเจ้าจะอยู่ในที่นี้ต่อไปไม่ได้
หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้น มีความเสียใจเป็นที่สุด จึงเรียนถามพระอาจารย์ว่า เมื่อเป็น
ดังนี้แล้วพระอาจารย์จะให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ไหนเล่า
พระอาจารย์จึงบอกว่าเจ้ามาจากที่ใด ก็จงกลับไปอยู่ในสถานที่นั้นเถิด
หงอคงได้ฟังพระอาจารย์ว่าดังนั้น ก็นิ่งนึกอยู่ในใจเป็นนานจึงนึกขึ้นมาได้ว่า เดิมเรามาจากทิศบูรพา
เมืองเง่าล่ายก๊ก เขาฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลียมต๋อง ครั้นนึกขึ้นได้แล้วก็นิ่งอยู่
พระอาจารย์จึงบอกแก่หงอคงว่า ตัวจงรีบไปให้พ้นจากที่นี้ ช้าไปตัวจะไม่รอดพ้นจากความตาย
หงอคงรับคำอาจารย์แล้วก็นมัสการลาพระอาจารย์และเพื่อนศิษย์ทั้งหลาย แล้วพระอาจารย์จึงว่า
หงอคงว่า ตัวกลับไปคงจะมีเหตุ ถ้ามีเหตุประการใดตัวจะแผลงฤทธิ์แผลงเดชด้วยประการใด ๆ ถ้าใครจะถาม
ว่าได้เล่าเรียนมาจากไหนใครเป็นครูบาอาจารย์ เจ้าอย่าได้บอกออกชื่อเราว่าเป็นครูบาอาจารย์แห่งเจ้าเลย
เป็นอันขาด ถ้าเจ้าบอกเล่าใครว่าเจ้าเป็นสานุศิษย์แห่งเราแลออกชื่อเรา เรารู้แล้วจะจับตัวเจ้ามาถลกหนังหัวเสีย
แลสับกระดูกเจ้าให้ป่นละเลียดแลกดวิญญาณของเจ้า ให้ลงไปตกอยู่ในนรกใต้เถรเทวะทัตอยู่ชั่วกัลปชั่วกัลป์
มิให้ตัวกลับมาได้อีกต่อไป
หงอคงเมื่อได้ฟังพระอาจาริย์กำชับสั่งเสียดังนั้นแล้ว หงอคงก็คำนับกราบลาพระอาจารย์ออก
จากถ้ำ จึงสำรวมจิตบริกรรมพระเวทคาถากายาก็ลอยขึ้นดั้นเมฆข้ามมหาสมุทรใหญ่ บัดเดี๋ยวใจก็แลเห็นเขาฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลียมต๋อง จึงนึกในใจว่าเมื่อไปกระดูกก็หนักกายก็หนัก ครั้นรู้วิชาเล่าเรียนสำเร็จ กระดูกก็เบาตัวก็เบาไปทั้งสิ้น คนในโลกนี้ไม่มีความเพียร ถ้าใครมีความเพียรเหมือนแก่เรา ก็สามารถจะรู้ได้ดีจนสว่างไสวเช่นเราฉะนี้ หงอคงจึงสกดเมฆให้ลดลงถึงพื้นแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ก็ได้ยินเสียงนกหกร่ำร้องออกแซ่ไป เหมือนหนึ่งจะแสดงความยินดีต้อนรับฉะนั้น
โดยเหตุที่เห็นหงอคงกลับมา หงอคงครั้นกลับมาถึงสำนักถ้ำแล้ว ก็ร้องเรียกบริวารลิงทั้งหลายและบอกว่าเรามาถึงแล้ว
ฝ่ายบริวารลิงทั้งหลายที่อยู่ตามภูเขาแลอยู่พุ่มไม้ เมื่อได้ยินเสียงมุ้ยเก้าอ๋อง ก็พรั่งพรูกันมาห้อมล้อม
มุ้ยเก้าอ๋อง แล้วคุกเข่าลงคำนับ จึงถามมุ้ยเก้าอ๋องว่า ไต้อ๋องตั้งแต่ไปจากข้าพเจ้าทำไมจึงนานนัก
ข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจคอยท่านดุจว่าเวลาหิวคอยจะกินอาหารฉะนั้น อยู่ภายหลังถูกอ้ายปิศาจร้ายชื่อ
ว่า หุนซีหม้อกุน มาแย่งชิงที่ถ้ำ พวกข้าพเจ้าสู้รบไม่คิดแก่ชีวิต แต่สู้มันมิได้ มันจับเอาพวกบริวาร
แลลูกหลานไปเป็นอันมากแล้ว เป็นบุญนักหนาที่ไต้อ๋องได้กลับมาเวลานี้ ถ้าแม้ไต้อ๋องยังไม่กลับมา
พวกข้าพเจ้าออกสู้รับ มันคงจะจับไปได้หมดทั้งสิ้น
หงอคงได้ยินพวกบริวารเล่าให้ฟังดังนั้นก็มีความ
โกรธยิ่งนัก ตบมือ กระทืบเท้า แหงนหน้า นัยน์ตากลอก ออกปากว่า อ้ายยักษ์ผีดิบมันบังอาจ
สามารถมาข่มเหงบริวารของเราอย่างนี้ เราจะไปตามแก้แค้นมันให้จงได้
พวกบริวารจึงบอกว่า อ้ายพวกปิศาจนั้นมันอยู่ข้างทิศอุดร หงอคงถามว่า ใกล้หรือไกล ประมาณทางสักเท่าไร พวก
บริวารบอกว่า เมื่อมันมาก็มีพายุ เมื่อมันไปก็เป็นหมอกมืดคลุ้ม ไม่รู้ว่าหนทางไปมาจะใกล้ไกลสักเท่าใด
หงอคงจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น เราจะไปสืบดูก่อน ว่าแล้วหงอคงก็บริกรรมร่ายพระเวทคาถาเหาะลอยขึ้น
ไปบนอากาศไปทางทิศอุดร พิเคราะห์ดูเห็นภูเขาหนึ่งยอดเยี่ยมตระหง่านสูงเทียมเมฆ มีลำธารแลห้วยเหวลึกลงไป
ถึงภูมิภาค มีกระแสชลประกอบเป็นธาตุน้ำ สักประเดี๋ยวได้ยินเสียงพูดกัน
หงอคงจึงเหาะลงค้นดูที่คูข้างเพิงหน้า
เขา มีถ้ำชื่อว่า จุ๊ยจ่างต๋อง ข้างหน้ามีถ้ำบริวารปิศาจน้อยกระโดดโลดเต้นเข้ามาใกล้ แต่พวกปิศาจหาได้เห็นหงอคง
ไม่ เพราะกำลังเล่นเพลินอยู่ หงอคงก็กระโดดเข้ามาใกล้ร้องว่า พวกเอ็งอย่าวิ่งหนี ตัวเราอยู่เขาฮวยก๊วยซัว จุ๊ยเลียม
ต๋อง เจ้าของถ้ำข้างทิศพายัพ นายพวกเจ้าชื่อ หุนซีหม้อกุน เหตุใดจึงสามารถไปกระทำย่ำยีข่มเหงบริวารพวกลิงของ
เราหลายครั้งแล้ว ตัวเราจะมาลองฝีมือดูให้เห็นฤทธิ์แลกำลัง พวกเอ็งจงเร่งไปบอกนายเอ็งให้รีบมารบกันโดยเร็ว
พวกบริวารปิศาจเหล่านั้น
เมื่อได้ฟังหงอคงว่าดังนั้น ก็พากันวิ่งตรงเข้าถ้ำบอกแก่นายว่า ภัยจะมา
ถึงแล้ว ข้างนอกมีอ้ายลิงเผือกตัวหนึ่งมาท้าทายชวนรบ มันบอกว่า มันอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ว่าท่าน
ไปข่มเหงบริวารลูกหลานของเขา เขาจึงมา จะต่อรบแก่ท่าน หุนซีหม้อไต้กุนได้ยินบริวารบอกมาดังนั้นจึงหัวเราะแล้ว
พูดว่า เราได้ยินลิงปิศาจน้อยบอกว่า มีนายลิงตัวหนึ่งตั้งตัวเป็นไต้อ๋องไปบวชเรียนเสียแล้ว บัดนี้ เห็นมันจะกลับมา
พวกเอ็งเห็นมันมานั้นมันถือเครื่องศัสตราวุธอันใดมาด้วยหรือเปล่า
พวกบริวารเหล่านั้นบอกว่า ไม่เห็นมันถือเครื่อง
ศัสตราวุธสิ่งไรเลย เห็นแต่แต่งตัวสวมเสื้อแดง คาดพุงผ้าสีเหลือง สอดรองเท้าดำ ดูท่วงทีกิริยาสุภาพ แต่ทำท่าทาง
แข็งแรง คอยอยู่ที่นอกประตูถ้ำ
หม้ออ๋องได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นสวมเกราะ มือจับง้าว เรียกพวกบริวารเดินตามหลังออกมาที่หน้าถ้ำ
จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ใครหวาเป็นเจ้าของถ้ำฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลียมต๋อง
หงอคงได้ยินเสียงก็เหลือบไปดู เห็นหุนซีหม้อกุนที่ศีรษะมีหมวกทองคำ ตัวสวมเสื้อดำ สอดเกราะ
เหล็ก เท้าสอดรองเท้าดำทำด้วยหนัง บั้นเอวโตประมาณสิบกำ ตัวสูงประมาณสามวา มือถือง้าวเป็นอาวุธ
หงอคงจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปิศาจ เอ็งไม่รู้จักเราหรือ
หม้ออ๋องเห็นหงอคงแล้วจึงหัวเราะพูดว่า ตัวเอ็งก็ต่ำเตี้ยไม่ถึงสี่ศอก อายุก็ยังไม่ถึงสามสิบปี ใน
มือก็ไม่มีอาวุธ ทำไมจึงอาจสามารถมาทำใจโตอวดดี จะมาหาที่ตายหรืออย่างไร
หงอคงว่า กูไม่มีอาวุธ มีแต่สองมือก็จะให้มึงเห็นกำลังได้ ว่าแล้วหงอคงก็กระโดดเข้าชกคางหม้อ
อ๋อง หม้ออ๋องเอามือรับไว้ จึงพูดว่า ตัวของเจ้าทั้งเตี้ยทั้งเล็ก ตัวเราทั้งสูงทั้งใหญ่ ถ้าเราจะถืออาวุธรบแก่เจ้า
บริวารทั้งหลายจะหัวเราะแลดูถูกเราได้ ว่าแล้วหม้ออ๋องก็ทิ้งอาวุธเสีย ตั้งท่ามวยเข้าชกหงอคง หงอคงก็แข็งข้อรับ
ชกกันชุลมุน
หม้ออ๋องมือยาวชกข้ามศีรษะหงอคง หงอคงคอยหลบ ชกได้ถนัด ก็ถูกทุกที หม้ออ๋องเห็นหงอคงว่องไว
ด้วยเป็นชาติลิง แต่แข็งใจเข้าสู้เป็นหลายยก ถูกชกเป็นหลายที จึงฉวยเอาอาวุธฟันลงไปที่ศีรษะหงอคง หงอคงก็
ตลบได้ ไม่ถูกต้อง หงอคงกระโดออกไปห่าง จึงร่ายมนต์พระคาถาถอนขนใส่ปากภาวนาแล้วพ่นออกไปเป็นลิง
บริวารสามร้อยตัวเข้ากลุ้มรุมกันล้อมหม้ออ๋องไว้รอบตัว
อันหงอคงนั้นเมื่อเดิมไปเรียนวิชาสำเร็จมีขนอยู่แปดหมื่นสี่พันเส้น ทุก ๆ ขนย่อมผันแปรได้
ต่าง ๆ พวกลิงน้อยกายสิทธิ์เหล่านั้นโลดโผนว่องไวก็กรูกันเข้าล้อมหม้ออ๋องทั้งสายขวา บ้างก็เข้าฉุดคร่าแล
รวบรัดจนอาวุธหลุดจากมือ
หงอคงก็กระโจมเข้าชิงอาวุธหม้ออ๋องมาได้ ก็เอาอาวุธฟันถูกหม้ออ๋องตัวขาดเป็นสอง
ท่อน แล้วก็ไล่ประหารบริวารเข้าไปในถ้ำฆ่าพวกผีดิบบริวารหม้ออ๋องล้มตายลงไปสิ้น แล้วอ่านคาถาเรียกขนกลับ
เข้าในตัวตามเดิม แต่บริวารลิงน้อย ๆ ที่หุนซีหม้อกุนอ๋องจับมาขังไว้ในถ้ำนั้นหงอคงก็เรียกออกมาจากถ้ำประมาณสี่
ห้าสิบลิง แล้วหงอคงเอาไฟเผาถ้ำจุ๊ยจ่างต๋องไหม้เป็นจุณไปหมดสิ้น แล้วเรียกบริวารลิงเหล่านั้นมาสั่งว่า พวกเจ้า
ทั้งหลายจงหลับตาเสียทุก ๆ ตัว พวกลิงเหล่านั้นก็กระทำตามคำนายสั่ง หงอคงก็ร่ายพระเวทกระทำให้เป็นลมพัด
หอบเอาบริวารลิงเหล่านั้นไปจนถึงที่ถ้ำเก่าตามเดิม
แล้วหงอคงก็ร้องบอกว่า พวกเอ็งจงลืมตาดูเถิด พวกลิง
น้อย ๆ เหล่านั้นก็พากันลืมตาขึ้นดู เห็นที่อยู่เดิมของตนแน่แล้วก็จำได้ จึงพากันกระโดดวิ่งเข้าในถ้ำ
ฝ่ายพวกบริวารลิงทั้งหลายใหญ่น้อยก็เรียงรายกันเข้ามาประชุมพร้อมกันคำนับหงอคงกล่าวถ้อยคำ
สรรเสริญหงอคงต่าง ๆ แล้วไต่ถามว่า ตั้งแต่ไต้อ๋องไปเรียนวิชาก็ช้านานประมาณกว่าสิบปี ท่านได้ไปถึงไหน จึง
ได้วิชาอันประเสริฐสมความปรารถนามาดังนี้
หงอคงจึงตอบว่า ตั้งแต่ปีออกจากถ้ำไปได้รับความลำบากยากกายเหลือเกิน ต้องข้ามมหา
สมุทรใหญ่ จึงได้ไปถึงเขตชมพูทวีป แล้วก็เที่ยวไป พบปะมนุษย์ จึงได้เรียนหัดกิริยาท่าทางรู้จักนุ่ม
แล้วใช่แต่
เท่านั้น ยังระเหระหนเที่ยวไปอีกประมาณแปดเก้าปีเพื่อจะค้นหาผู้วิเศษจะได้เรียนวิชาต่าง ๆ ก็ยังไม่พบเห็นเป็นช้า
นาน มาวันหนึ่งคิดข้ามมหาสมุทรไปทางทิศประจิม ขึ้นฝั่งแล้วเที่ยวสืบดู ก็ได้พบพระอาจารย์ผู้สอนธรรมอันวิเศษอายุ
ยืนเท่าฟ้าแลดิน พวกวานรพากันสรรเสริญว่า วิชาอย่างนี้ประเสริฐหาที่สุดมิได้แล้ว
หงอคงจึงแจ้งความแก่บริวารว่า พวกเจ้าทั้งหลายจงทราบว่า พระอาจารย์ท่านได้ให้ชื่อแลแซ่เรา
แล้ว คือ แซ่ซึง ชื่อหงอคง
พวกบริวารทั้งหลายได้ยินหงอคงบอกว่า แซ่ซึง ชื่อหงอคง ก็พากันตบมือร้องว่า
ดีแล้ว ๆ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะถือเอาแซ่ซึงด้วยกันทุก ๆ ตนเหมือนตัวท่าน
มีคำเทียบว่า ก๊วนทงเจ๊กแส่ซินกวยปิ๋ง แปลว่า ตลอดกันแซ่เดียวทั้งสิ้น จี๋ต่ายหยงเทียนเซียนเล็ก
เมี้ย แปลว่า ต้องคอยเทวดาเลือกชื่ออันงาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น