Translate

มโนมยิทธิ An Analytical Study of Manomayiddhi in Buddhism : A Case Study of Phra Culฺapanthaka Thera

search-google Images
Maps   
“มโนมยิทธิ” แปลความตามตัวอักษรได้ว่า “มีฤทธิ์ทางใจ” คือ การรู้ การเห็น การสัมผัส ตามความเป็นจริงด้วยใจหลักสูตร วิชชา “มโนมยิทธิ” นี้ ปรากฏมีรจนาไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของ ..."มโนมยิทธิญาณ" มีอยู่ในพระไตรปิฎกหรือไม่ ...แนะแนวก่อนการฝึก "มโนมยิทธิ" (ทั้งสองแบบ ...
Search Resu มโนมยิทธิ คืออะไร ฝึกแล้วได้อะไรบ้าง ถอดจิตได้หรือป่าว  ฝึก มโนมยิทธิ คือฤทธิ์ทางใจ สามารถทำอะไรก็ได้ ได้ดังใจคิด เพียงแค่ตั้งจิต แล้วอธิษฐาน ก็จะเป็นดังใจคิดพิสดาร หายตัว คงกระพันชาตรี สะเดาะกุญแจ มีตาทิพย์หูทิพย์ ถอดจิต ถอดวิญญาณ สลับร่าง ให้หญิงเข้าร่าง 
   พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค มโนมยิทธิญาณ [๑๓๒] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิต รูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
   ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่านี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝักดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
               ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
              @๑. ญาณทัสสนะ เป็นชื่อของญาณชั้นสูง คือมรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจ-
               @   เวกขณญาณ และวิปัสสนาญาณ ฯ
               @๒. ได้แก่ธาตุ ๔ คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ฯ
   บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาหลักมโนมยิทธิในพระพุทธศาสนาเถรวาท และ 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความเป็นเอตทัคคะด้านมโนมยิทธิของพระจูฬปันถกเถระ เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดย การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎกและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า
1) คำว่า มโนมยิทธิ หรือ มโนมยาอิทธิ หมายถึง ญาณที่ทำให้เกิดฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ เช่น สามารถ นิรมิต (สรีระ) กายอื่นขึ้นนอกจากกายนี้ ให้มีรูปสำเร็จด้วยใจ สรีระที่เนรมิตขึ้นมานี้มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง สมบูรณ์เช่นเดียวกับสรีระกายเดิม ดังนั้น มโนมยิทธิ จึงเป็น ความสามารถทางใจของ ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ได้เนรมิตรูปกายอื่นให้เหมือนกายเดิมขึ้นมาจำนวนมากมาย ซึ่งกายที่เนรมิตขึ้นมานี้สำเร็จมาแต่ ใจนั่นเอง
2) ด้านเอตทัคคะในมโนมยิทธิของพระจูฬปันถกเถระ พบว่า พระจูฬปันถกเถระ เดิมเป็นพระไม่ ฉลาด ท่องจำเพียงคาถาเดียวก็ไม่ได้ แต่ได้รับการแนะนำวิธีปฏิบัติจากพระพุทธเจ้า ด้วยการลูบผ้าขาวและ บริกรรมว่า ผ้าเช็ดธุลี ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยคุณสมบัติพิเศษ คือมีฤทธิ์ทางใจ การพลิกแพลงจิต เมื่อหมอชีวกให้คนมานิมนต์ท่านรูปเดียวไปฉันอาหาร แต่ท่านกลับเนรมิตภิกษุขึ้นมาจำนวนพันรูป ซึ่งมีรูปร่าง หน้าตาเหมือนกันทั้งหมด คั้นคนนั้นถามว่า รูปใดชื่อจูฬปันถกะ ทั้งพันรูปก็ตอบพร้อมกันว่า อาตมาชื่อปันถกะ ในที่สุดพระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า รูปใดพูดก่อนว่า อาตมาชื่อปันถกะ ให้จับมือรูปนั้นมา เพราะพระรูปนั่นคือพระจูฬปันถกะองค์จริง
               คำสำคัญ: มโนมยิทธิในพระพุทธศาสนา, พระจูฬปันถกเถระ
บทนำ
   การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท มีมากมายหลายวิธี ดังบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งในแต่ละกรณีเป็นผลมาจากการฝึกฝนตนเองด้วยความตั้งอกตั้งใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของมนุษย์
Abstract
               This thematic paper is of 2 objectives: 1) to study the principle of Manomayiddhi in Theravada Buddhism, and 2) to study the outstanding in Manomayiddhi of Culapanthaka Thera. It is the Documentary Research analyzed data from Tipitaka and it's concerned texts.
               The results were found that :
1) The word Manomatddhi or Manomayaiddhi means the wisdom that makes something successful by mind. For example one can wishfully duplicate the new bodies those are resemble to the original body. These created bodies have composed of all complete organisms as well as the former body. Therefore Manomayiddhi is the mental success of the powerful monk.
2) On the expertise in Manomayiddhi of Culapanthaka Thera, it was found that in the beginning he is so dully person that he could not memorize only a single stanza. He, then, was guided to practice by the Buddha by rubbing the white cloth with say in his mind that "the dust cloth". With this technic, he can attain the Arhattaship with the auspicious quality. That is the Manomayiddhi and power of mental flexibility as mentioned earlier. When Jivaka, the Doctor sent the man to invite him for alms, the man saw the 1,000 monks in the Tenple. He asked then who is the Culapanthaka, the 1,000 monks replied him the same word that I am Culpanthaka. This causes him confuse a lot, he then, was suggest by the Buddha that he must hold the hand of the first monk who stare reply first. That monk is real Culapanthaka. Whereby, the Buddha praised him as the most outstanding in Manomayiddhi and power of mental flexibility than the other Bhikkhus.
               Keywords: Manomayiddhi in Buddhism, Phra Kulapanthaka Thera
ในทุกยุคสมัย เพราะธรรมะไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับสมัย คือ ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ดังพุทธพจน์ว่า “อกาลิโก แปลว่า ไม่จำกัดด้วยเวลา ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเวลา ทุกโอกาส บรรลุเมื่อใด ก็ได้รับผลเมื่อนั้น ไม่เหมือนผลไม้ที่ให้ผลตามฤดู” (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). 2553: 471) การบรรลุธรรมในชาติปัจจุบันของพระสาวกทุกรูป ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่วรรณะ สถานะทางสังคม กำเนิด การศึกษา มีพระสาวกมาจากวรรณะกษัตริย์ วรรณะ พราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร วรรณะจัณฑาล และวรรณะหินชาติ พระสาวกนั้นมีทั้งที่เคยเป็นกษัตริย์เคยเป็นพราหมณ์ และเคยเป็นคนรับใช้ เมื่อท่านเหล่านี้ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ความแตกต่างทาง วรรณะมิได้เป็นอุปสรรค เพราะทุกท่านมีอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรมได้ อุปนิสัยเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของพระสาวกแต่ละรูป (บรรจบ บรรณรุจิ. 2537: 23) และการบรรลุธรรมหรือการรู้แจ้งอริยสัจ 4 นี้ มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะหนทางการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงการบรรลุธรรม คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง อันได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นหนทางก่อให้เกิดปัญญา เป็นไปเพื่อความสงบ ระงับ เพื่อตรัสรู้ และมัชฌิมาปฏิปทาก็มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม9 ข้อ8: 592)
   แนวทางปฏิบัติธรรมที่หลายสำนักในปัจจุบันกล่าวถึง คือ มโนมยิทธิ เป็นการเจริญกรรมฐานโดยกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หรือใช้กสิณนิมิต สามารถทำให้เกิดฌานและอภิญญาได้ ส่งผลให้ผู้สำเร็จการปฏิบัติขั้นต้นมีหูทิพย์ ตาทิพย์ได้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง มโนมยิทธิ ความว่า มโน มยิทธิญาณ คือ ปัญญาที่ทำให้เกิดฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ สามารถนิรมิตกายอื่นขึ้นนอกจากกายนี้ ให้เหมือนกับกายที่เป็นอยู่เป็นต้น ดังอุปมาเรื่องงูกับคราบของงูเป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชชา 8 ของผู้สำเร็จฌานขั้นสูงสุด ชำนาญ จน คล่องแคล่ว
   มโนมยิทธินี้ เป็นวิชชาที่สำเร็จโดยมีฤทธิ์ทางใจ ซึ่งเริ่มต้นจากการบำเพ็ญสมาธิจนจิตสงบแล้วได้บรรลุฌาน แล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อ ดังนั้น ผู้ที่บรรลุธรรมด้วยวิธีนี้จะเป็นพระอรหันต์ผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4 (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม35 ข้อ784: 400) และอภิญญา 6 (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม11 ข้อ431: 307)
   จึงเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการการศึกษาวิเคราะห์มโนมยิทธิในพระพุทธศาสนา โดยมีพระจูฬปันถกเถระเป็นกรณีศึกษา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาเรื่อง “ศึกษาวิเคราะห์มโนมยิทธิในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษาพระจูฬปันถกเถระ” ตามที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎกและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้จักเป็นข้อมูลสำคัญที่เป็นแนวทางในการประพฤติสัมมาปฏิบัติแก่พุทธบริษัทและผู้สนใจสืบไป
               วัตถุประสงค์การวิจัย
               1) เพื่อศึกษาหลักมโนมยิทธิในพระพุทธศาสนาเถรวาท
               2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความเป็นเอตทัคคะด้านมโนมยิทธิของพระจูฬปันถกเถระ
               ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษาเรื่อง “ศึกษาวิเคราะห์มโนมยิทธิในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษาพระจูฬปันถกเถระ” ขอบเขตด้านเนื้อหานี้ มุ่งศึกษา หลักมโนมยิทธิในพระพุทธศาสนาเถรวาท และความเป็นเอตทัคคะด้าน มโนมยิทธิในพระพุทธศาสนา ของพระจูฬปันถกมหาเถระ
   ขอบเขตของเอกสาร ศึกษาเอกสารชั้นปฐมภูมิ (Primary Source) ได้แก่ พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี พระวินัยปิฎกฉบับภาษาไทย พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาแปล ชุด 91 เล่ม ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และอรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฐกถา เพื่อเป็นการขยายความในเนื้อหาเพิ่มเติมจากคัมภีร์ พระไตรปิฎกให้มีความละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น และรวบรวมข้อมูลชั้นทุติยภูมิ (Secondary Source) ได้แก่ หนังสือ เอกสาร ตำรา และผลงานทางวิชาการต่างๆ ตลอดจนนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสารชั้นปฐมภูมิ และขั้นทุติยภูมิ มาวิเคราะห์โดยการเรียบเรียงแบบบรรยายเชิงพรรณนาต่อไป
               ผลการวิจัย 1. หลักมโนมยิทธิในพระพุทธศาสนาเถรวาท
   มโนมยิทธิญาณ คือ ปัญญาที่ทำให้เกิดฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ สามารถนิรมิตกายอื่นขึ้นนอกจากกายนี้ ให้ เหมือนกับกายที่เป็นอยู่ เป็นต้น ดังอุปมาเรื่อง งูกับคราบของงู เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชชา 8 ของผู้สำเร็จฌาน ขั้นสูงสุด ชำนาญ จนคล่องแคล่ว ดังนั้นผู้ที่จะมีฤทธิ์ดังกล่าวนี้ ได้ต้องเจริญฌานทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน และ มีความชำนาญมาก และก็เนรมิตรูปอื่น ด้วยใจที่ออกจากฌานสูงสุด รูปนั้นก็เหมือนกับรูปที่คิดไว้ และ เหมือนกับรูปของตนทุกประการ เป็นต้น
   เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของปัญญาระดับสูงที่อบรมฌานจนถึงขั้นสูงสุด ที่สำคัญยังไม่เข้าใจเรื่องฌาน ไม่ได้เห็นโทษของกิเลสในชีวิตประจำวัน แต่กับมีความต้องการฤทธิ์ด้วยโลภะ ดังนั้นโลภะ จึงไม่ใช่หนทางไปสู่ การเจริญสมถภาวนาเลย จึงเป็นเรื่องของปัญญาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ใคร บุคคลใด ที่จะไปทำมโนมยิ ทธิได้แบบง่ายๆ และมโนมยิทธิก็ไม่ใช่หนทางดับกิเลส
   ดังปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิกฎ ความว่า “ฤทธิ์ที่มาโดยนัยนี้ว่า ภิกษุในพระศาสนานี้เนรมิตกายอื่น นอกจากกายนี้ มีรูป สำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง เป็นต้น ชื่อว่า มโนมยา อิทธิ [มโนมยิทธิ] เพราะเป็นไปโดยสำเร็จแห่งสรีระที่สำเร็จมาแต่ใจ อันอื่น ในภายในสรีระนั่นเอง.” (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม9 ข้อ2: 90)
   เรื่องของฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) เป็นผลของการอบรมฌาน จนถึงความชำนาญคล่องแคล่ว และไม่ใช่ เป็นเรื่องง่าย เป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ประการสำคัญที่ควรพิจารณา คือ ไม่ใช่หนทาง ที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลส หนทางที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลส มีทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา อบรมเจริญมรรคมีองค์ 8 (สติปัฏฐาน) อันเป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลายดำเนินมาแล้ว ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นการเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง สิ่งที่สามารถศึกษา และ เข้าใจได้ในชีวิตประจำวัน คือ สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ ที่จะต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ เรื่องปกติธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน แต่รู้ได้ยาก เพราะเหตุว่า สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน ซึ่งจะต้องมีความอดทน พร้อมทั้งมีความเพียรที่จะฟังพระธรรมต่อไป
   ผู้ปฏิบัติจะต้องมีการสมาทานพระกรรมฐาน คือ การกล่าวบทบูชาต่างๆ ดังนี้ คำบูชาพระรัตนตรัย คำขอขมาพระรัตนตรัย การสมาทานศีล คำสมาทานพระกรรมฐาน เป็นต้น การฝึกแบบนี้ เมื่อสมาทานพระกรรมฐานแล้ว หรือก่อนเริ่มการปฏิบัติ หลวงพ่อฤาษี ท่านจะให้ธรรมะ (ที่บางท่านอาจจะเรียกว่าเทศน์) เป็นแนวทางปฏิบัติ ให้ทุกคนเข้าใจเสียก่อนประมาณ 10 นาที สำหรับบางทีหรือบางครั้งที่หลวงพ่อท่านไม่ว่างก็อาศัยเทปคำสอน ของหลวงพ่อท่านมาเปิดให้ผู้ตั้งใจปฏิบัติได้รับฟังแทน ทั้งแบบประยุกต์เต็มกำลังและครึ่ง กำลัง การฝึกแบบนี้ หลวงพ่อท่านจัดให้ครูเข้าไปแนะนำตามหลักสูตรประยุกต์ เพื่อหวังผลรวบรัด ช่วยให้ผู้เรียนปฏิบัติได้ผลเร็ว ท่านบอกว่าถ้าให้ปฏิบัติเองของบางคนใช้เวลาตั้ง 20 ปี ก็ยังไม่ได้ข้อแตกต่าง ระหว่างการไปหรือการรู้เห็น แบบครึ่งกำลัง และเต็มกำลัง นั้น ท่านบอกว่าการไปแบบครึ่งกำลังคล้ายๆ กับไปในเวลากลางคืน มืดบ้าง สว่างบ้าง ไม่แน่นอน ส่วนการไปแบบเต็มกำลังนั้น เหมือนกับตัวเราไปเอง เห็นชัดมาก ข้อที่เหมือนกันก็คือว่า จิต ยังเชื่อมโยงกับประสาทอยู่ตามเดิม ร่างกายยังรู้ตัวอยู่ พูดได้รู้เรื่อง และโต้ตอบกัน ได้ และ สำหรับผู้ที่มีปัญญาได้ศึกษาปฏิบัติตามจริต และบารมีแห่งตน โดยมีจุดมุ่งหมายในขั้นสุดท้ายอย่างเดียวกัน คือ พระนิพพาน การหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง มีวิมุตติญาณทัสสนะนั่นเอง รวมความว่า หลักสูตรพุทธศาสตร์ ในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า
(พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง). 2550: 34)
   พระองค์ทรงจำแนกไว้เป็น หมวดใหญ่ ได้แก่ สุกขวิปัสสโก, เตวิชโช (วิชชา 3), ฉฬภิญโญ (อภิญญา 6) และปฏิสัมภิทัปปัตโต (ปฏิสัมภิทาญาณ) นั่นคือ ผู้มีอุปนิสัยในหมวด สุกขวิปัสสโก จะเป็นผู้ที่เรียบๆ เรื่อยๆ ชอบสบายๆ ไม่อยากรู้อยากเห็นนัก อาศัยการอ่านจากตำราและฟังครูอาจารย์แนะนำก็พอใจแล้ว เมื่อปฏิบัติ อาจจะได้เห็นนิมิตบ้าง ผู้สนใจในหมวดเตวิชโช เป็นผู้ที่อยากรู้ อยากเห็น ชอบสงสัย ฟังแต่คำบอกเล่าก็ไม่เป็นที่พอใจ ต้องพิสูจน์ให้รู้ด้วยตัวเอง ให้เห็นประจักษ์ด้วยตัวเอง จึงจะเชื่อผู้มีอัชฌาสัย ในหมวดฉฬภิญโญ เป็น ผู้ซุกซน ชอบค้นคว้า อยากรู้-อยากเห็น ใจกล้า-ใจร้อน ว่องไว ตัดสินใจฉับพลันมากกว่าสองหมวดต้น ต้องรู้ได้ เห็นได้ และ ไปสัมผัสได้ จึงจะสุขใจพอใจ ผู้ที่มีบารมีในหมวดปฏิสัมภิทัปปัตโต จะเป็นผู้ทรงอิทธิบาท 4 มีความดีสูงมาก เพราะมีความสามารถเป็นปฏิสัมภิทาญาณ รู้รอบ และรอบรู้ ทั้งรู้ลึกและรู้กว้างในทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการจะรู้ได้ ยิ่งกว่าความสามารถของ 3 หมวดต้นรวมกัน แต่ทว่าผู้ที่จะมีความสามารถพิเศษตามหมวดนี้ได้ ต้องเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป วิชชามโนมยิทธิ ก็เป็นลักษณะวิชชาหนึ่งใน 6 ของ หมวด ฉฬภิญโญ
   ด้วยเหตุที่บุคคลในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่ใกล้กึ่งพุทธกาลเป็นต้นมา กล่าวได้ว่า ปัญญาในด้านธรรมะนั้นเสื่อมทรามลงมาก ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ในคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ผู้ที่อาศัยผ้ากาสาวพัสตร์ของพระพุทธศาสนา ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดเพี้ยนไปมากมาย บ้างถึงกับแบ่งพวกตั้งนิกายใหม่ก็มี ทำให้พุทธศาสนิกชนผู้สนใจจริง ไขว้เขว ไม่รู้ว่าข้อใดเป็นความจริง สิ่งไหนเป็นของปลอมปน (พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง). 2550: 37)
   ดังนั้น มโนมยิทธิ ที่หลวงพ่อฤาษีนำมาแนะนำสั่งสอนแก่ท่านทั้งหลาย จักได้เป็นเครื่องพิสูจน์ด้วยตัวเอง รู้เอง เห็นเอง ให้ได้ทั้งข้อเท็จจริงและข้อจริง แก้ข้อสงสัยให้ตัวเองได้ ทั้งท่านยังได้มุ่งหวังให้ พุทธศาสนิกชนได้เข้าถึงความดี ในพระศาสนา ทั้งเปลือก สะเก็ด กระพี้ และแก่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้ท่านเข้าใจได้ว่าการรักษาอารมณ์พระอริยเจ้า มีอารมณ์พระโสดาบันเป็นต้น เพื่อการหนีนรกและอบายภูมิอย่างถาวรนั้นไม่ยากเลย วิชชานี้จะพิสูจน์ได้ด้วยว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเหมาะสมทุกยุคทุกสมัย ตายแล้วไม่สูญ นิพพานไม่สูญ นรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริง และยังช่วยพิสูจน์เตือนสติได้ว่าตนเคยทำชั่วอะไรแล้วอยู่ในนรกขุมไหนมาบ้าง ทนทุกข์ทรมานอย่างไร จะได้เกรงกลัวบาปกรรม เลิกกระทำเสีย เพราะการอ่านตำรา หรือฟังเขาเล่าอย่างเดียว ไม่พอที่จะช่วยให้เรารู้จริง ไม่เกื้อหนุนให้เราหนีนรกได้
               2. เอตทัคคะด้านมโนมยิทธิของพระจูฬปันถกเถระพระจูฬปันถกเถระเมื่อได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้พิจารณาถึงธรรมที่ตนเองบรรลุแล้วได้เกิดปีติเปล่งอุทานว่า “เมื่อก่อนญาณคติ (ปัญญา)ของเราเกิดช้าไป จึงถูกใครๆ เขาดูหมิ่น พระพี่ชายก็ขับไล่ให้กลับไปอยู่บ้าน เรานั้นเสียใจไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูสังฆาราม เพราะความอาลัยในพระพุทธศาสนา พระศาสดาทรงประทานผ้าให้แก่เราแล้วตรัสว่า “เธอจงภาวนาให้ดี” เรารับพระดำรัสของพระชินสีห์ ยินดีในพระพุทธศาสนา ภาวนาสมาธิเพื่อเป็นพื้นฐานการบรรลุประโยชน์อันสูงสุด จึงได้บรรลุวิชชา 3 ตามลำดับ
   จูฬปันถก, ภิกษุ, พระ : มหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีกรุงราชคฤห์ และเป็นน้องชายของพระมหาปันถกะ ออกบวชในพระพุทธศาสนาปรากฏว่ามีปัญญาทึบอย่างยิ่งพี่ชายมอบคาถาเพียง 1 คาถาให้ท่องตลอดเวลา 4 เดือน ก็ท่องไม่ได้จึงถูกพี่ชายขับไล่เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัส ปลอบแล้วประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ให้ไปลูบคลำพร้อมทั้งบริกรรมสั้นๆ ว่า“รโชหรณ ๆ ๆ”
   ผ้านั้นหมองเพราะมือคลำอยู่เสมอ ทำให้ท่านมองเห็นไตรลักษณ์ และได้สำเร็จพระอรหัตท่านมีความชำนาญแคล่วคล่องในอภิญญา 6 ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏ์ หมายถึงฉลาดใน การปรับเปลี่ยนใจ คือได้รูปาวจรฌาน 4 (ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน) เพราะความฉลาดในสมาบัติ และผู้สามารถเนรมิตกาย มโนมัย หมายถึงเนรมิตกายที่เกิดขึ้นด้วยใจ เช่น ตามปกติภิกษุอื่นหลายรูป เนรมิตให้กายเกิดขึ้นมีรูปร่างลักษณะเหมือนกัน ทำงานอย่างเดียวกันได้เพียง 3 หรือ 4 รูป ไม่มากส่วนท่าน พระจูฬปันถกเนรมิตกายให้เป็นสมณะตั้ง 1,000 รูป โดยการนึกเพียงครั้งเดียวทั้งยังสามารถทำให้กายที่เนรมิตนั้นมีรูปร่างต่างกัน ทำการงานต่างกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงเลิศกว่าภิกษุผู้เนรมิตกายมโนมัยทั้งหลาย, ชื่อท่านเรียกง่ายๆ ว่า จูฬปันถูก, บางแห่งเขียนเป็น จุลลบันถก (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม2 ข้อ153: 326)
   การบรรลุธรรมของพระจูฬปันถกะ พระจูฬปันถกะนั้น ครั้นบวชแล้ว พระมหาปันถกเถระผู้เป็นพี่ชาย ได้พยายามอบรมสั่งสอนแต่ท่านมีปัญญาทึบ พี่ชายให้ท่องคาถา 4 บท ใช้เวลา 4 เดือน ยังท่องไม่ได้ จึงถูกขับไล่ออกจากวัด ท่านเสียใจยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตู (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม8 ข้อ75: 58)
   พระศาสดาทรงทราบเหตุการณ์นั้น จึงเสด็จมาปลอบเธอ แล้วได้ประทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้แล้วตรัสสอนให้บริกรรมว่า รโชหรณ์ รโชหรณ์ (ผ้าเช็ดธุลี) พร้อมกับให้เอามือลูบผ้านั้นไปมา ท่านได้ปฏิบัติตามนั้นไม่นานนัก ผ้าขาวผืนนั้นก็ค่อยๆ หมองไป สุดท้ายก็ดำสีเหมือนกับผ้าเช็ดหม้อข้าว ท่านเกิดญาณว่า แม้ผ้าขาวบริสุทธิ์อาศัย ร่างกายของมนุษย์ยังต้องกลายเป็นสีดำอย่างนี้ ถึงจิตของมนุษย์เดิมทีเป็นของบริสุทธิ์ อาศัยกิเลสจรมาก็ย่อมเกิดความเศร้าหมองเหมือนกับผ้าผืนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงแท้ ท่านบริกรรมผ้านั้นไปจนจิตสงบแล้วได้บรรลุฌานแต่นั้นเจริญวิปัสสนาต่อ ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญา
   บุญญาธิการ แม้พระจูฬปันถกเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบารมีอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาช้านาน จนในการแห่งพระทุมุตตรพุทธเจ้า ได้เห็นพระพุทธองค์ทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในเอตทัคคะว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เนรมิตกายอันสำเร็จด้วยฤทธิ์และผู้ฉลาดในการพลิกแพลงจิต จึงได้ตั้งความปรารถนาเพื่อจะเป็นเช่นนั้นบ้าง จึงได้ก่อสร้างบุญกุศล สมเด็จพระทศพลทรงพยากรณ์ว่าจะได้ในสมัยแห่งพระพุทธโคดม จึงสร้างสมบุญกุศลอีกหลายพุทธันดร มาสมคำพยากรณ์ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายจริงทุกประการ (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม8 ข้อ75: 58)
   ธรรมวาทะ เมื่อก่อนญาณคติ (ปัญญา) ของเราเกิดช้าไปจึงถูกใครๆ เขาดูหมิ่น พระพี่ชายก็ขับไล่ให้กลับไปอยู่บ้าน เรานั้นเสียใจไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูสังฆาราม เพราะความอาลัยในพระพุทธศาสนา พระศาสดา ทรงประทานผ้าให้แก่เราแล้วตรัสว่า เธอจงภาวนาให้ดี เรารับพระดำรัสของพระชินสีห์ ยินดีในพระพุทธศาสนา ภาวนาสมาธิ เพื่อเป็นพื้นฐานการบรรลุประโยชน์อันสูงสุด จึงได้บรรลุวิชชา 3 ตามลำดับ
   นิพพาน พระจูฬปันถกเถระนี้ก็เหมือนกับอสีติมหาสาวกทั่วไป เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้ช่วยพระศาสดาประกาศพระพุทธศาสนาตามความสามารถ สุดท้ายก็ได้ปรินิพพานดับสังขารและการเวียนว่ายอย่างสิ้นเชิง
   จูฬปันถกเถรคาถา : ภาษิตของพระจูฬปัตถกเถระ พระจูฬปันถกเถระกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า เมื่อก่อน ญาณคติ (ปัญญา) ของเราเกิดช้าไปจึงถูกใคร ๆ เขาดูหมิ่น พระพี่ชายก็ขับไล่ให้กลับไปอยู่บ้าน เรานั้นเสียใจไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูสังฆาราม เพราะความอาลัยในพระพุทธศาสนา พระศาสดาทรงประทานผ้าให้แก่เราแล้วตรัสว่า เธอจงภาวนาให้ดี เรารับพระดำรัสของพระชินสีห์ ยินดีในพระพุทธศาสนา ภาวนาสมาธิ เพื่อเป็นพื้นฐานการบรรลุประโยชน์อันสูงสุด จึงได้บรรลุวิชชา 3 ตามลำดับ (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม26 ข้อ557: 436)

               วิเคราะห์เอตทัคคะด้านมโนมยิทธิของพระจูฬปันถกเถระ
   ภูมิหลังของพระจูฬปันถกะครั้นบวชแล้ว พระมหาปันถกเถระผู้เป็นพี่ชาย ได้พยายามอบรมสั่งสอน แต่ท่านมีปัญญาทึบ พี่ชายให้ท่องคาถา 4 บท ใช้เวลา 4 เดือน ยังท่องไม่ได้ จึงถูกขับไล่ออกจากวัด ท่านเสียใจยืน ร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตู ในขณะนั้นพระศาสดาทรงทราบเหตุการณ์นั้นมาโดยตลอด จึงได้เสด็จไปเพื่อห้ามการลาสิกขาของพระจูฬปันถกะ แล้วได้ประทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้ แล้วตรัสสอนให้บริกรรมว่า “ระโชหะระณัง ระโชหะ ระณัง (ผ้าเช็ดธุลี)” พร้อมกับลูบผ้านั้นไปด้วย ไม่นานนักผ้าขาวผืนนั้นก็ค่อย ๆ หมองคล้ำไปจนเห็นเป็นสีดำ
               ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่าด้วยความอดทนและความเพียร จึงทำให้พระจูฬปันถกเถระพิจารณาเห็นว่าแม้ผ้าขาวบริสุทธิ์อาศัยร่างกายของมนุษย์ ยังต้องกลายเป็นสีดำอย่างนี้ ถึงจิตของมนุษย์ เดิมทีเป็นของบริสุทธิ์ อาศัยกิเลสจรมาก็ย่อมเกิดความเศร้าหมอง เหมือนกับผ้าผืนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงแท้
               จึงส่งผลให้พระจูฬปันถกเถระมีจิตใจจดจ่อ ตลอดจนมีสมาธิจากการบริกรรมผ้านั้นไปจนจิตสงบแล้ว ได้บรรลุฌาน แล้วได้เจริญวิปัสสนาต่อ จึงทำให้พระจูฬปันถกเถระ ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญา
   พระจูฬปันถกเถระ ได้นำท่อนผ้าเก่านั่นเท่านั้นเป็นของเศร้าหมองย้อมด้วยฝุ่นธุลี แต่ธุลีคือราคะเป็นต้น เหล่านั้นมีอยู่ในภายในและจงนำธุลี คือราคะเป็นต้นนั้นไปเสีย ธุลีเป็นชื่อของราคะธุลีคำว่าธุลีนี้ เป็นชื่อของโทสะ ธุลีคำว่าธุลีนี้เป็นชื่อของโมหะ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นละธุลีนั้นได้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี การละวางต่อราคะ โทสะ และโมหะ เป็นการฝึกขัดเกลาบ่มเพาะนิสัยให้ค่อยจางหายไปจากจิตใจ
   พระจุลปันถกเถระเนรมิตภิกษุ 1,000 รูป ภิกษุมีฤทธิ์เพราะแทงตลอดสัจจะแล้วจึงกล่าวว่า เจ้าจงจับที่ชายจีวรภิกษุองค์ที่กล่าวก่อน พระจุลลปันถกะบรรลุถึงความเป็นใหญ่ในธรรมทั้งหลายในบัดนี้ เพราะอาศัยเรามิใช่แต่เพียงในบัดนี้ แม้ในปางก่อน จุลลปันถกะนี้ก็ถึงความเป็นใหญ่ในโภคะแม้ในโภคะทั้งหลาย ก็เพราะอาศัยเราเช่นกัน เป็นการสะท้อนถึงการตั้งมั่นในคำพูดที่จะกระทำให้ได้อย่างจริงจัง และเป็นการเอื้ออาทรในการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในการร่วมกันทำกิจการใดๆ ก็ตามที
   ในเรื่องการเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เนรมิตกาย อันสำเร็จได้ด้วยใจนั้น ก็เพราะภิกษุทั้งหลายเหล่าอื่น เมื่อจะเนรมิตกายให้เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดขึ้น 3 รูปบ้าง 4 รูปบ้าง แต่ทำคนมากให้บังเกิดเป็นเหมือนคนเดียวกัน ไม่ได้ ชื่อว่ากระทำกิริยาอาการได้อย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้นิรมิต มโนมัยกาย
   ผ้าขาวผืนเดียวไปเช็ดมือ และเพียรทำความรู้สึกตัว มีสติอยู่เนืองๆ ไปตลอดทั้งวันว่ากำลังใช้ผ้าเช็ดมือแล้วจักเข้าใจเอง เป็นกุศโลบายในการสอนของพุทธองค์ที่ให้คนตั้งมั่นอยู่ในสติ มีสมาธิ และมีจิตใจจดจ่ออยู่ กับสิ่งที่กระทำ ก็จะสามารถทำให้บรรลุไปสู่ความสำเร็จได้ตามที่ได้ตั้งใจไว้ทุกประการ
   อภิปรายผล พระสงฆ์ นับว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยและเป็นหนึ่งในพุทธบริษัทซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบหลัก เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูกทาง ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ ควรแก่การต้อนรับ ควรแก่ของทำบุญ ควรแก่การกราบไหว้เป็น แหล่งปลูกฝังและเผยแพร่ความดีที่ยอดเยี่ยมของโลก และยึดมั่นในอุดมการณ์ของผู้แสดงธรรม จึงสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ มีปฏิปทาการประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของพุทธบริษัทและรักษาพระธรรม (เสฐียร พันธ รังษี. 2526: 35) ดังนั้น การเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เนรมิตกาย อันสำเร็จได้ด้วยใจนั้น ก็เพราะภิกษุทั้งหลาย เหล่าอื่น เมื่อจะเนรมิตกายให้เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดขึ้น 3 รูปบ้าง 4 รูปบ้าง แต่ทำคนมากให้บังเกิดเป็นเหมือนคนเดียวกันไม่ได้ ชื่อว่ากระทำกิริยาอาการได้อย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ นิรมิตมโนมัยกาย
   ผู้เป็นเลิศในทาง คือ เป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษสูงกว่าผู้อื่น เอตทัคคะ เป็นตำแหน่ง พิเศษที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสาวกผู้มีความเป็นเลิศทางใดทางหนึ่ง โดยทรงพิจารณาถึงคุณธรรมหรือความรู้ความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมกว่าพระสาวกอื่น พระสาวกที่ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ มีทั้งฝ่าย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา เอตทัคคะมีเฉพาะในครั้งพุทธกาลเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงตั้งเอง (พระ ธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช). 2541: 1,421) ซึ่ง พระจุลปันถกเถระเป็นผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ เพราะได้รูปาวจรฌาน 4 พระมหาปันถกเถระ เป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ เพราะเป็นผู้ฉลาดในสมาบัติ พระมหาปันถกะ ชื่อว่า ผู้ฉลาดใน ปัญญาวิวัฏฏะ เพราะเป็นผู้ฉลาดในวิปัสสนา
   พระจุลปันถกเถระ เป็นผู้ได้รูปาวจรฌาณ ออกจากองค์ฌานแล้วบรรลุพระอรหัต ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ พระมหาปัณถกะเป็นผู้ได้อรูปาวจรฌาน ออกจากองค์ฌานแล้วบรรลุพระอรหัต ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ เช่น การเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 นี้เท่านั้นจัดว่าเป็นทางสายกลางที่อำนวยผลให้บรรลุพระนิพพานในปัจจุบันชาติได้ ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจะให้บรรลุผลสำเร็จจะต้องเดินให้ถูกทางและต้องเดินไปตามลำดับขั้นตอนเพื่อเป็นการอบรม บ่มอินทรีย์ 5 คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาให้แก่กล้า จึงสามารถเดินไปตามทางจนบรรลุจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ (พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม). 2552: 3)
   องค์ความรู้จากงานวิจัย คุณประโยชน์ของวิชามโนมยิทธิ มีดังนี้ (1) เป็นการปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อเข้าถึงแก่นพระพุทธศาสนา แบบมีอภิญญา สมาบัติรวมทั้งวิปัสสนาญาณด้วย (2) ได้ญาณ 8 ในขณะบริกรรม ภาวนา ตามลมหายใจ เข้า /ออก ให้กำหนดพุทธนิมิต ให้จิตป็นผู้รู้ จิตเป็นผู้เห็น ได้อานิสงค์ พุทธานุสสติ ในบางกรณี ระลำถึงพระอริยสงฆ์ ได้อานิสงค์ สังฆานุสสติ เมื่อขณะจิตทรงอารมณ์ฌาน ที่ 1 2 3 4 ได้อานิสงค์ ขององค์ฌานต่างตามลำดับ
   เบื้องต้น จะเกิดความคล่องตัว ในวิปัสสนาญาณ และได้อานิสงค์ ในการเกิดในพรหมโลก ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึง 12 ตามแต่กำลังใจในการเข้าฌานได้ เมื่อมาตั้งกำลังใจในการพิจารณา ในอริยะสัจจะ ข้อที่ 1 คือ ทุกข์ ใน เบื้องต้นอันได้แก่ (1) ความเกิดเป็นทุกข์ (2) ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ (3) ความพลัดพรากของรักของ ชอบเป็นทุกข์ (4) ความแก่ที่ย่างก้าวเข้ามาเป็นทุกข์ (5) ความตายที่ก้าวเข้ามาเป็นทุกข์ /ได้อานิสงค์ ในธรรม มานุสสติกรรมฐาน
   เนื่องด้วยวิปัสสนาญาณ 9 เมื่อตั้งใจอธิษฐานว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดใน พรหมโลก เทวะโลก มนุษยโลก อบายภูมิ 4 เราไม่ต้องการที่จะไปเกิดอีก ภายหลังจากตายไปในชาตินี้ เราขอมุ่งตรงอย่างเดียว คือพระนิพพาน ได้อานิสงค์ ขณิกะนิพพาน ในขณะนั้นจิตจะว่างจากกิเลสชั่วขณะ เข้าสู่กระแสแห่ง อริยะเจ้าเบื้องต้น (พระโสดาบัน ต้นๆ) ชั่วขณะ ทิพย์จักขุญาณ หรือเป็นผลของอภิญญานั้นเอง ได้ อานิสงค์ ให้ถอดอทิสมานกายได้ เพราะจิตว่าง จากกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองร้อยใจ
   เมื่อได้พบพระพุทธเจ้าที่นำอทิสมานกายไปสู่โลกแห่งความเป็นทิพย์ ได้อานิสงค์ พุทธานุสติ เมื่อได้พบพระอริยะสงฆ์ ที่นำอทิสมานกายไปสู่โลกแห่งความเป็นทิพย์ ได้อานิสงค์ สังฆานุสติ เมื่อได้พบ เทวดา หรือพรหมที่นำอทิสมานกายไปสู่โลกแห่งความเป็นทิพย์ ได้อานิสงค์ เทวตานุสติ เมื่อได้บารมีมาถึงลำดับที่ 12 นี้แล้วความดีเดิม ที่เคยฝึกได้ อภิญญา 5 จะรวมตัวกันจนเป็นผลในชาติปัจจุบัน เป็นอภิญญา เล็กๆ น้อยๆ คือทิพยจักขุญาณ และ ฤทธิ์ทางใจ นั้นเอง ได้อานิสงค์ สามารถที่จะท่องเที่ยวใน อบายภูมิ 4, มนุษยโลก, เทวะโลก, พรหมโลก, และ เมืองพระนิพพานในที่สุด เมื่อได้ฤทธิ์ทางใจแล้วจะได้อานิสงค์ เป็นความรู้ตามมาอีก 8 อย่าง หรือ ญาณ 8 นั้นเอง เมื่อรู้ความไม่เที่ยงในภพทั้ง 4 แล้ว และรู้ความเที่ยงในพระนิพพาน จิต ก็จะเบื่อหน่ายในการเกิดในภพทั้ง 4 และตั้งกำลังใจไว้ที่พระนิพพาน เพียงสถานที่เดียว ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้เอง ขอให้ข้าพระพุทธเจ้า และหมู่คณะจงได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด
               สรุป มโนมยิทธิญาณ คือ ปัญญาที่ทำให้เกิดฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ สามารถนิรมิตกายอื่นขึ้นนอกจากกายนี้ ให้ เหมือนกับกายที่เป็นอยู่เป็นต้น ดังอุปมาเรื่องงูกับคราบของงูเป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชชา 8 ของผู้สำเร็จฌานขั้นสูงสุด ชำนาญ จนคล่องแคล่ว
   ดังนั้นผู้ที่จะมีฤทธิ์ดังกล่าวนี้ ได้ต้องเจริญฌานทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน และมีความชำนาญมาก และ ก็เนรมิตรูปอื่นด้วยใจที่ออกจากฌานสูงสุด รูปนั้นก็เหมือนกับรูปที่คิดไว้และเหมือนกับรูปของตนทุกประการ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของปัญญาระดับสูงที่อบรมฌานจนถึงขั้นสูงสุด ที่สำคัญยังไม่เข้าใจเรื่องฌาน ไม่ได้เห็นโทษของกิเลสในชีวิตประจำวัน แต่กับมีความต้องการฤทธิ์ด้วยโลภะ ดังนั้นโลภะ จึงไม่ใช่หนทางไปสู่ การเจริญสมถภาวนาเลย จึงเป็นเรื่องของปัญญาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ใคร บุคคลใดที่จะไปทำมโนมยิทธิได้แบบง่ายๆ และมโนมยิทธิก็ไม่ใช่หนทางดับกิเลส
   เรื่องของฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) เป็นผลของการอบรมฌาน จนถึงความชำนาญคล่องแคล่วและไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ประการสำคัญที่ควรพิจารณา คือ ไม่ใช่หนทางที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลส หนทางที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลส มีทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา อบรมเจริญมรรคมีองค์ 8 (สติปัฏฐาน) อันเป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลายดำเนินมาแล้ว ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ตั้งแต่เบื้องต้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นการเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
   สิ่งที่สามารถศึกษา และเข้าใจได้ในชีวิตประจำวัน คือ สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ที่จะต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ เรื่องปกติธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน แต่รู้ได้ยาก เพราะเหตุว่า สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน ซึ่งจะต้องมีความอดทน พร้อมทั้งมีความเพียรที่จะฟังพระธรรมต่อไป
ศึกษาวิเคราะห์มโนมยิทธิในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษาพระจูฬปันถกเถระ การศึกษาเชิงวิเคราะห์มโนมัยยิตในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษาพระจุลปันตกะเถระ
บรรณานุกรม
               พระไตรปิฎกภาษาไทย. (2539). ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
               พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2553). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ 14.
               กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธนธัชการพิมพ์ จำกัด. บรรจบ บรรณรุจิ. อสีติมหาสาวก. (2537). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสภา.
               พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง). (2550). “มโนมยิทธิ”. เรียบเรียงโดย สุนิสา วงศ์ราม. ศูนย์พุทธศรัทธา. สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน.สระบุรี : สาขาวัดท่าซุง
               เสฐียร พันธรังษี. (2526). ศาสนาเปรียบเทียบ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : ผดุงวิทยาการพิมพ์
               พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช). (2541). คำวัด. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา.
               พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม). (2552). ธัมมจักกัปปวัตนสูตร. แปลโดยพระคันธสาราภิวงศ์. กรุงเทพมหานคร :
               โรงพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจากัด ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์.

ไม่มีความคิดเห็น: