Translate

19 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 44 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๙)
 เมื่อกำลังเดินมาดูวันคืนก็เร่งรีบในฤดูเดือนเก้าเดือนสิบพากันต้องแดดแผดร้อน พระถังซัมจั๋งถามว่าฤดูนี้ ทำไมจึงร้อนมากขึ้นดังนี้ โป๊ยก่ายพูดว่าได้ยินเขาว่าหนทางทิศปราจิณนี้มีเมืองหนึ่งเรียกว่า ก๊ะรีก๊ก เป็นที่ตะวันตกและเรียกว่าสิ้นทางฟ้า แม้เวลาจวนเย็นเจ้าแผ่นดินให้คนขึ้นกำแพงเมืองตีกลองเป่าเขากระบือเพราะดวงตะวันเป็นธาตุไฟ ตกลงในทะเลเปรียบเหมือนไปจุ่มน้ำเสียงเดือดดัง แม้ไม่ตีกลองเป่าเขากระบือกลบเสียงไว้ เสียงดังสะท้านเด็กทารกก็ตกใจตาย ที่ตำบลนี้มีอายอบร้อนดังนี้ เห็นจะถึงเมืองตะวันตกนั้นดอกกระมัง
   เห้งเจียฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นอดไม่ได้ หัวเราะแล้วก็พูดว่าอ้ายหมูอย่าพูดเลอะเทอะไปไม่มีหลักฐาน อันจะคิดดูว่าเมืองก๊ะรีก๊กใกล้ดังนี้ทีเดียวหรือ หากจะประมาณดูเสมออายุอาจารย์เท่านี้แก่แล้วหนุ่ม ๆ แล้วแก่อย่างนี้สักสามหนก็เห็นจะยังไม่ถึง โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ว่าไม่ใช่เมืองตะวันตกก็เมืองอะไรเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าคิดดูก็จะเป็นอากาศแปรปรวนวิปริตดอกกระมัง จึงได้ฝนกลายเป็นร้อนอย่างนี้ไปได้ คนทั้งสามพูดโต้ตอบกันไปมาแลไปเห็นหมู่บ้านมีตึกมุงกระเบื้องแดงห้องหอก็ก่อด้วยอิฐแดง ประตูหน้าต่างนอกในล้วนทาด้วยสีแดงทั้งสิ้น
   ​พระถังซัมจั๋งลงจากม้าเรียกเห้งเจียให้เข้าไปที่หมู่บ้านนั้น ถามข่าวชาวบ้านดูว่าอันไอร้อนนั้นด้วยเหตุประการใด เห้งเจียก็เอาตะบองซ่อนในเสื้อ แล้วเดินเข้าไปยังประตูบ้าน เห็นตาเฒ่าเดินออกมาคนหนึ่งเงยหน้าเห็นเห้งเจียก็ตกใจ เอาไม้สักเท้าชี้ว่านี่เจ้ามาแต่ไหน เป็นคนอะไรมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเรามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่าท่านตาอย่าตกใจกลัวข้าพเจ้าเลย ไม่ใช่ยักษ์มารอะไรหรอก ข้าพเจ้ามาจากประเทศจีนเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระแผ่นดินให้ไปอาราธนาพระไตรปิฎกเมืองไซทีอาจารย์กับศิษย์สี่คนด้วยกัน บัดนี้ข้ามมาถึงนี่ กระทบไออากาศร้อนผิดปรกติไม่รู้ถึงเหตุผลอันนั้น อยากจะทราบว่าตำบลนี้เรียกว่าตำบลอะไร จึงได้มาเพื่อจะถามความให้สิ้นสงสัย แลเพื่อให้เข้าใจชัดแน่
   ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นค่อยวางใจออกหัวเราะได้ จึงพูดว่าท่านอย่าถือข้าพเจ้าเลยคนแก่หูตาไม่เห็นไม่รู้จักว่าต่ำสูง ที่ท่านว่ามาด้วยกันหลายคนนั้นอยู่ที่ไหน ขอเชิญมาพักที่ในบ้านข้าพเจ้าก่อนเถิด เห้งเจียจึงเอามือกวักร้องเรียกให้เข้ามา พระถังซัมจั๋งแลเห็นก็พร้อมกันเข้ามากับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวปราศรัยแก่ตาเฒ่า ตาเฒ่าแลเห็นพระถังซัมจั๋งรูปร่างงดงาม แต่โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั้นรูปร่างหน้าตาไม่น่าดู ตาเฒ่าก็นิมนต์เข้านั่งพักข้างใน สั่งคนใช้ยกน้ำร้อนน้ำชาออกมาถวาย พระถังซัมจั๋งจึงถามตาเฒ่าว่าท่านตาตำบลนี้เหตุใดฤดูฝน ทำไมจึงแปรเป็นฤดูร้อนมากอย่างนี้เล่า ตาเฒ่าจึงบอกว่าตำบลนี้เรียกว่า เขาฮ้วยเอี้ยมซัวคือเขตเขาไฟ ร้อนตลอดอยู่อย่างนี้เป็นนิจทั้งสิบสองเดือน พระถังซำจั๋งถามว่าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้อยู่ข้างไหน จะขวางทางที่จะไปไซทีนั้นหรือเปล่า
   ตาเฒ่าบอกว่าหนทางจะไปไซทีนั้นไปไม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปไกลประมาณหกสิบโยชน์ ตรงทิศไซทีนี้ไปมีแปดร้อยโยชน์รอบภูเขานั้นล้วนแต่ไฟลุกประจำอยู่อย่างนั้นเสมอ หญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่ขึ้นมาได้หากว่าจะข้ามเขานี้ไป ตัวเป็นทองแดงหรือเหล็กก็จะต้องละลายไหม้เป็นจุณไปทั้งสิ้น พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นตกใจไม่อาจถามต่อไป ได้ยินเสียงคนร้องขายขนมอยู่นอกรั้ว แต่ใส่เกวียนเหล็กเข็นมา
   เห้งเจียก็ถอนเอาขนหางออกเส้นหนึ่ง เสกเป็นเบี้ยทองแดงแล้วเดินออกไปซื้อขนม ชายหนุ่มนั้นหยิบขนมส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียเอาเบี้ยทองแดงส่งให้เจ้าขนมแล้วรับขนมใส่มือ ขนมนั้นกำลังมีไอร้อน เห้งเจียรู้สึกดุจถ่านไฟกำลังลุก ร้องว่าร้อนนัก ๆ แลร้อนดังนี้เห็นจะกินไม่ได้ เจ้าของขนมยืนหัวเราะแล้วพูดว่า กลัวความร้อนจะมาทำไมที่นี่  ที่นี่ร้อนทั่วไปทุกแห่ง เห้งเจียจึงพูดว่าตัวเป็นลูกผู้ชายไม่รู้จักเหตุ คำโบราณท่านย่อมว่าฤดูไม่หนาวไม่ร้อนข้าวกล้าก็ไม่เกิด ตัวพูดว่าร้อนตลอดสิบสองเดือนดังนี้ แม้ว่าอยากได้ข้าวทำขนมจะได้​เข้ามาทำที่ไหนเล่า บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่าตำบลนี้แม้ว่าอยากได้ข้าวก็ต้องเคารพขอพัดเทวดา
   เห้งเจียถามว่าพัดเทวดานั้นเป็นอย่างไร บุรุษผู้นั้นตอบว่า อันพัดนั้นเป็นเหล็กรูปคล้ายแก่ใบกล้วย แม้ขอมาได้โบกทีหนึ่งไฟก็ดับ โบกสองทีก็เกิดลม โบกสามทีก็เกิดฝน พวกข้าพเจ้าก็ลงกล้าทันเวลาได้ผลก็เก็บไว้ เพราะฉะนั้นจึงได้ผลเมล็ดข้าวไว้เลี้ยงชีวิตทุกวันนี้ ถ้าไม่มีพัดนั้นหญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่มี เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้ามาในบ้าน เอาขนมถวายพระอาจารย์แล้วพูดว่า พระอาจารย์จงวางใจเถิด ฉันขนมนี้แล้วข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟัง พระถังซัมจั๋งรับเอาขนมนั้นไว้แล้ว เห้งเจียจึงหันไปถามตาเฒ่าเจ้าของบ้านว่า ท่านตารู้ว่าเทวดาพัดเหล็กนั้นอยู่ที่ไหน ตาเฒ่าถามว่าท่านจะถามทำไมหรือ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าได้ยินคนขายขนมพูดว่า เทวดานั้นมีพัดอยากจะใคร่ขอมาพัดให้เขาไฟนั้นดับจะได้ข้ามไป และอยากจะให้ชนทั้งหลายทำไร่ไถนาได้ผลข้าวกล้าไว้เลี้ยงชีวิตต่อไป ตาเฒ่าว่าอันความนั้นก็จริงดังท่านพูด วิตกแต่ท่านจะไม่มีของกำนันไปหาท่านเทวดาที่ไหนจะให้พัดมาเล่า
   พระถังซัมจั๋งถามว่าเทวดานั้นจะต้องประสงค์สิ่งใดหรือ ตาเฒ่าบอกว่าพวกชาวบ้านตำบลนี้สิบปีไปขอครั้งหนึ่ง ต้องมีธูปเทียน ดอกไม้ เหล้า หมู เป็ด ไก่ แพะ แล้วอาบน้ำชำระตัวให้สะอาด ตั้งใจไปถึงที่ถ้ำเทวดา ขอร้องอ้อนวอนจึงจะได้มา   ​เห้งเจียถามว่าเขานั้นอยู่ที่ไหน ตำบลนั้นชื่ออะไร ประมาณทางไกลจากนี่สักเท่าได ข้าพเจ้าจะได้ไปขอยืมพัด ตาเฒ่าบอกว่าเขานั้นอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ เขานั้นนามเรียกว่า เขาจุ้ยหุ้นซัว ในนั้นมีถ้ำเรียกว่าถ้ำ (ปอเจียวต๋อง) จากนี้ไปประมาณไกลพันห้าร้อยโยชน์
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น พูดว่าไม่สู้ไกลนักดอกข้าพเจ้าจะไปหา พูดแล้ววับเดียวก็หายไป ตาเฒ่าเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วพูดว่าท่านเป็นผู้สำเร็จเชี่ยวชาญเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ไม่บอกให้ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบบ้างเลย ในบ้านตาเฒ่าไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ ต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาพระถังซัมจั๋งยิ่งขึ้น ฝ่ายเห้งเจียเหาะไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว ก็ลงไปยังยอดเขา จะใคร่ค้นหาปากถ้ำเดินมาบังเอิญได้ยินเสียงคนตัดฟืนในป่า เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้คำนับแล้วถามว่า ท่านที่ตัดฟืนอยู่นั้นข้าพเจ้าขอถามสักคำหนึ่งเถิด คนตัดฟืนหันมาคำนับตอบถามว่า ท่านจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียถามว่านี่เรียกเขาจุ๊ยหุ้นซัวใช่หรือไม่ คนตัดฟืนบอกว่านี่และ เห้งเจียถามว่าที่เทวดาพัดเหล็ก ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นอยู่ที่ไหน คนตัดฟืนหัวเราะพูดว่า ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นมีแต่พัดเหล็กเทวดาไม่มี มีแต่พัดเหล็กก๋งจู๊ และชื่อล่อซั่วหนึงเป็นเมียของงู่ม่ออ๋อง

   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นตกตะลึงใจหาย นึกว่ามาพบคนพยาบาทกันเข้าแล้ว เมื่อก่อนนั้นที่เขาเก๊ยเอี้ยงซัว เราก็กำจัดอั้งฮั้ยยี้ คือ​ลูกของนางล่อซั่วนี้ แลเมื่อก่อนนั้นพบกับอามันที่ถ้ำพั้วยี่ต๋อง อามันก็ยังไม่ให้น้ำ จะคิดแก้แค้นแทนหลานของมัน บัดนี้มาพบแม่มันที่ไหนจะยืมพัดได้ แต่ได้มาถึงที่นี่แล้ว ไม่รู้ที่จะทำประการใด ก็ผละจากคนตัดฟืน เดินตรงไปยังถ้ำปอเจียวต๋อง แลเห็นบานประตูปิดแน่น พิจารณาดูรอบคอบเห็นที่รื่นเริงสง่างาม เห้งเจียตรงเข้าเคาะประตูร้องเรียกว่า พี่งู่ม่ออ๋องเปิดประตูรับด้วย มีคนมาถอดกลอนประตูเปิดออก แลเข้าไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกมา มือหนึ่งถือกะเช้า มือหนึ่งถือไม้ตะขอ ดูรูปร่างเศร้าหมองรุงรังไม่ตกแต่งร่างกายแต่ดูกิริยาเป็นคนใจบุญ เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า แม่หนูช่วยโปรดบอกนางก๋งจู๊ทราบด้วย ว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้เดินทางมาก็ติดขัดที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะขอยืมพัดไปพัด เมื่อสมประสงค์แล้ว จะเอากลับมาคืนให้
   จึงนางนั้นถามว่า ท่านชื่อเรียงเสียงใดจงบอกมาให้แจ้ง ข้าพเจ้าจะนำความไปบอกให้ เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง นางนั้นได้ฟังก็กลับเข้าไปบอกแก่นางล่อซั่วว่า ขอแม่นางจงได้ทราบ บัดนี้มีหงอคงอยู่ประเทศจีนจะขอยืมพัดดับไฟ จะได้ข้ามไปให้พ้นเขาฮ้วยเอี้ยมซัวแล้วจะเอากลับคืนให้ ฝ่ายนางล่อซั่วได้ยินขึ้นชื่อว่า หงอคงดุจไฟลุกเอาน้ำมันรด​เติม ให้เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาทันที จึงด่าว่าอ้ายสัตว์ลิง วันนี้มึงมาถึงที่นี่นางจึงให้คนเอาเครื่องแต่งตัวมา นางสวมเกราะแล้วมือก็ถืออาวุธเกี่ยมทั้งสองมือเดินออกมา ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายหงอคงมึงอยู่ที่ไหน เห้งเจียแลเห็นก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า พี่สะไภ้ข้าพเจ้ามาคอยนานแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ตวาดว่าใครเป็นพี่สะใภ้มึงที่ไหน ใครให้มึงมาคอยทำไม
   เห้งเจียตอบว่า พี่งู่ม่ออ๋องผูกไมตรีเป็นพี่ข้าพเจ้า ก็พี่เป็นภรรยาเธอไม่ใช่พี่สะใภ้จะให้เรียกอะไรเล่า นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายลิง แม้ว่ามึงคิดเป็นฉันญาติ มึงก็ไม่คิดทำให้ลูกเราตกอยู่ในหลุมบ่อดังนั้น เห้งเจียทำเป็นไม่รู้ ถามว่าลูกของพี่คือใครที่ไหน นางล่อซั่วพูดว่าลูกเราอั้งฮั้ยยี้ถูกเจ้าคิดกลอุบายทำวงศ์ญาติของเราย่อยยับ เราจะตามตัวแก้แค้นให้ลูกเราก็ยังไม่พบตัว วันนี้เจ้าเอาชีวิตมาส่งถึงประตูบ้าน ใครจะละชีวิตเจ้าให้รอดไปได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊าก ๆ พักหนึ่งแล้วพูดว่า พี่ทำไมจึงไม่ตรองดูเหตุการณ์เดิมนั้นมันเป็นประการใด มาหลงแค้นเคืองข้าพเจ้า คือบุตรของพี่จับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าไปจะต้มแกง พระโพธิสัตว์มาเอาตัวอั้งฮั้ยยี้ไป ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าออกได้ บัดนี้อั้งฮั้ยยี้ไปอยู่กับพระโพธิสัตว์เป็นเสี้ยนใช้ท่งจื๊อรักษาตามทางชอบธรรม อายุยืนเสมอดินฟ้าเป็นประเสริฐยิ่ง ไม่ขอบคุณข้าพเจ้ายังกลับมาแค้นเคืองฉะนี้เห็นถูกต้องแล้วหรือ
   ​นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น พูดว่ามึงอ้ายชาติลิงฝีปากดี ลูกของเราถึงไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ทำอย่างไรจึงจะได้มาหาเราได้เห็นหน้ากันแม่ลูก เห้งเจียหัวเราะพักใหญ่ แล้วพูดว่าพี่อยากจะใคร่พบหรือ จะยากอะไรนักหนา พี่จงขอยืมพัดให้ข้าพเจ้าพัดดับไฟที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวส่งอาจารย์ข้าพเจ้าข้ามพ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าจะข้ามไปน่ำไฮ้ขอแก่พระโพธิสัตว์เชิญอั้งฮั้ยยี้มาหาพี่อย่างนี้แม่ลูกจะได้พบปะกัน แล้วพี่จึงดูอั้งฮั้ยยี้จะซูบผอมบุบสลายอย่างไรบ้าง แม้ว่าอั้งฮั้ยยี้บุบสลายอย่างไรแล้ว เมื่อเวลานั้นพี่จึงค่อยแค้นเคืองข้าพเจ้าจึงจะถูก หากว่าบริบูรณ์ยิ่งกว่าเก่าพี่ก็ต้องคิดถึงคุณข้าพเจ้าให้จงมากเถิด นางล่อซั่วจึงพูดว่า อ้ายลิงสอพลอทำกระดิกลิ้น มึงจงยื่นหัวมาให้เราฟันด้วยเกี่ยมสักสองสามที แม้ว่าทนได้เราจึงจะให้ยืมพัด แม้ว่าทนไมได้เจ้าก็ต้องไปหาพระยามัจจุราชเถิด
   เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็พนมมือ เดินมาใกล้นางล่อซั่วหัวเราะพูดว่า พี่ไม่ต้องพูดมากข้าพเจ้าจะยื่นศรีษะให้ท่าน ตามแต่พี่จะฟันมากน้อยสักเท่าใดก็ตามใจเถิด แล้วจะต้องให้ข้าพเจ้าขอยืมพัดไปทำธุระบ้างก็แล้วกัน นางล่อซั่วสองมือจับเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจียสักสิบทีเห้งเจียก็ยืนเฉยไม่เห็นมีบาดแผล และเจ็บป่วยประการใด นางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจขยับตัวจะหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นถามว่าพี่จะไปไหน ต้องให้เรายืมพัดก่อน นางล่อซั่วพูดว่าของวิเศษของเราใครจะให้เจ้าไปง่าย ๆ ดังนั้น เห้งเจียพูดว่าถ้าไม่ยอมให้ก็จงลองกินตะบองของอาดูสักทีหนึ่งก่อน เห้งเจียมือหนึ่งยึดนางล่อซั่วมือหนึ่งชักตะบองออกจากหู นางล่อซั่วก็สลัดมือหลุดพ้น สองมือถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันฟาดเห้งเจีย เห้งเจียก็แกว่งตะบองเข้าประจัญบานรบกัน ต่างออกกำลังโดยเข้มแข็งรบกันอยู่บนยอดเขาจุ๊ยหุ้นซัวจนเวลาบ่ายไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางล่อซั่วเห็นตะบองหนักมากจะทานไม่ไหว จึงชักพัดวิเศษออกพัดโบกไปทีหนึ่งก็บันดาลเกิดลมพัดหอบเอาเห้งเจียปลิวไปตามลม ยั้งตัวก็ไม่ได้ไม่อยู่ ฝ่ายนางล่อซั่วมีชัยชนะแล้วก็กลับเข้าถ้ำ
• • • • • • • • •
จบเล่ม ๒ ไซอิ๋ว
เล่ม ๓ ยังพิมพ์ต่อไป น่าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๓
   ​ฝ่ายเห้งเจียนั้นถูกม้วนลมหอบไปลิ่ว ๆ จะตกลงดินก็ไม่ตกลงได้ เปรียบดุจพายุพัดใบไม้ปลิวลอย และดุจกระแสน้ำอันเชี่ยวไหลส่งดอกไม้ที่ล่องลอยในกลางมหาสมุทร ปลิวไปคืนหนึ่งจนสว่างจึงมาตกที่ยอดเขา เห้งเจียสองมือยึดเอาก้อนศิลาใหญ่ไว้ หยุดอยู่ครู่หนึ่งพอหายหอบจึงพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็รู้ได้ว่า ถึงเขาพระสุเมรุแล้ว เห้งเจียก็ถอนใจใหญ่ว่า อีนางคนนี้มันร้ายแรงจริงเหลือเกิน มันทำอย่างไรจึงได้ส่งเรามาถึงนี่ เราจำได้เมื่อครั้งก่อนเคยมาที่นี่หาพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดไปช่วยปราบปีศาจ อึ้งฮอง ช่วยอาจารย์เรา ที่เขาฮองกุ้ยซัวนั้นมาทางทิศอาคเนย์ ทางประมาณสามพันโยชน์ บัดนี้มาถึงนี่ไม่รู้ว่าระยะทางสักเท่าไร จำเราจะต้องลงไปถามดูจึงจะรู้แน่จะได้กลับไปทางเก่าได้ เวลาเมื่อกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น พอได้ยินเสียงระฆังดังสนั่น เห้งเจียก็รีบเดินลงมาจากยอดเขาตรงมายังสำนักใหญ่ ที่ประตูมีเต้าหยินคนหนึ่ง แลเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็รีบเดินเข้าไปบอกว่า บัดนี้มีคนที่มาหาครั้งก่อนมาอีกแล้ว เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็รีบเดินออกมารับเข้าไปข้างใน แล้วถามว่านี่ท่านไปอาราธนาพระธรรมมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าที่ไหนจะได้กลับเร็วดังนั้น เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า ก็ยังไปไม่ถึงวัดลุ่ยอิมยี่ ใต้เซียกลับมานี่ทำไมเล่า
   เห้งเจียบอกว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้ามาพึ่งท่านช่วยปราบปีศาจอึ้งฮอง ครั้นพ้นจากนั้นเดินไป อันความทรมานลำบากนั้นเหลือที่จะพรรณาได้ บัดนี้มาถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวก็ไม่ข้ามไปได้ ครั้นได้ยินว่ามีพัดเทวดาจึงจะดับไฟเขานั้นได้ ข้าพเจ้าจึงได้สืบหาอันที่จริงพัดนั้นของเมียงู่ม่ออ๋องซึ่งเป็นมารดาของอั้งฮั้ยยี้ เธอโกรธว่าข้าพเจ้าจับบุตรเธอมาให้พระกวนอิมเป็นสานุศิษย์ไม่ได้เห็นหน้าลูก เธอแค้นเคืองผูกพยาบาทข้าพเจ้าไม่ยอมให้ยืมพัดไป จึงได้เกิดรบพุ่งกันขึ้น เธอเอาพัดโบกทีหนึ่งเกิดเป็นลมพัดปลิวมาถึงนี่ข้าพเจ้าจำได้ จึงเข้ามานมัการถามหนทางที่จะกลับไป ตั้งแต่นี่ถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวประมาณทางใกล้ไกลสักเท่าใดไม่ทราบ พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า หญิงนั้นนามเรียกว่า ล่อซั่วเรียกพัดเหล็กก๋งจู๊ อันพัดนั้นเริ่มมีฟ้าดิน ประกอบอากาศธาตุบังเกิดมีพัดอันนี้ เพราะฉะนั้นจึงดับไฟได้ หากว่าโบกถูกคนทีหนึ่งก็ปลิวไปแปดหมื่นสี่พันโยชน์จึงจะหยุด ที่นี่จะไปตำบลเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนั้นทางประมาณห้าหมื่นโยชน์ นี่หากเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพเรียกเมฆหยุดได้ หาไม่ก็ยังจะไปไกลกว่านี้อีก เห้งเจียบ่นว่าร้ายแรงเหลือเกิน ไม่ทราบว่าอาจารย์ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรจึงจะข้ามเขาไปได้
   เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า เห้งเจียจงวางใจเถิด หากได้มาถึงนี่​แล้ว ก็เป็นนิสัยของพระถังซัมจั๋งและจะให้เห้งเจียสำเร็จความคิด เมื่อครั้งก่อนพระยูไลเจ้าได้สั่งไว้และให้ของวิเศษไว้สองสิ่ง คือไม้เท้ามังกรและยาระงับลม ไม้เท้าก็เอาไปกำจ้ดปีศาจอึ้งฮองเสียแล้ว ยังแต่เม็ดยาวิเศษยังมิได้ใช้ วันนี้จะให้เห้งเจียเอาไปคุ้มห้ามซึ่งลมร้ายมิให้ทำอันตรายแก่เห้งเจียได้ เมื่อได้พัดนั้นมาแล้วเห้งเจียก็จะสำเร็จซึ่งความคิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นมัสการขอบคุณ เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงล้วงเอาเม็ดยาออกมาจากมือเสื้อ ส่งให้เห้งเจียแขวนที่คอเสื้อแล้วเอาเข็มเย็บติดแน่น แล้วเล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงนำเห้งเจียออกจากสำนักชี้มือสั่งว่าจงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนี้ คือที่นางล่อซั่วอยู่
   เห้งเจียคำนับลาพระโพธิสัตว์แล้ว ก็เหาะมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว เห้งเจียก็ลงยังหน้าถ้ำเข้าไปเอาไม้ตะบองเคาะกระทุ้งบานประตูเรียกว่าเปิดประตู ๆ เห้งเจียจะมาเอาพัดไปใช้ หญิงเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกนางล่อซั่วว่า เห้งเจียมาอีกแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ให้นึกครั่นคร้ามพูดว่า อ้ายลิงตัวนี้มันจะมีความดีเป็นแน่ อันพัดวิเศษของเราแม้ว่าโบกไปทีหนึ่งถูกคนก็ปลิวไปถึงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ทำไมจึงกลับมาได้เร็วนักดังนี้ ครั้งนี้เราจะต้องโบกสักสองสามทีอย่าให้มันกลับมาได้ คิดดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัวผูกรัดแน่นหนามั่นคงแล้ว สองมือก็ถือเกี่ยมเดินออกมา ร้องเรียกว่าอ้ายเห้งเจียมึงไม่กลัวเราหรือจึงได้กล้ากลับมาอีกฉะนี้
   ​เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่สะใภ้พี่อย่าเหนียวแน่นไปทำไม จงขอให้น้องยืมไปส่งอาจารย์ข้ามพ้นไป แล้วก็จะกลับเอามาคืนให้ ข้าพเจ้ากับพี่ก็มีความสัตย์ต่อกัน ซึ่งเป็นสุจริตกุนจื๊อแล้วหากยืมสิ่งของใด ๆ ไป ก็จะต้องเอาคืนกลับส่งให้แก่เจ้าของ นางล่อซั่วด่าว่าอ้ายลิง ซึงหงอคง มึงพูดผิดธรรมเนียม ความเจ็บอายยังไม่แก้แค้นได้ จะมาเอาของให้ขอยืมมีอย่างที่ไหน มึงอย่าหนีมึงจงมากินเกี่ยมของแม่สักทีก่อน เห้งเจียก็ยกตะบองเหล็กขึ้นรับรบกัน ไปประมาณหกเจ็ดเพลง นางล่อซั่วก็อ่อนกำลังลง จึงชักพัดวิเศษออกโบกไปสองที เห้งเจียก็ยืนเฉยอยู่ เอาตะบองเก็บแล้วก็ยืนหัวเราะก๊าก ๆ พูดว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน พัดอยู่กับมือตัว ๆ จะพัดอย่างไรก็พัดไป หากเราไหวติงสักนิดเดียวก็มิใช่คนเก่งนักเลงแท้ นางล่อซั่วก็เอาพัดโบกไปอีกสองที เห้งเจียก็ไม่ไหวติงนางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจถอยหนีเข้าถ้ำใส่กลอนปิดประตูเงียบไม่ออกมาอีก
   เห้งเจียเห็นนางล่อซั่ว หายเงียบอยู่ในถ้ำไม่กล้าออกมาอีก ก็แผลงฤทธิ์แกะเม็ดยาที่คอเสื้อมาใส่ปากอม แล้วก็แปลงกายเป็นแมลงหวี่บินตามเข้าไปในถ้ำ เห็นนางล่อซั่วกำลังหอบร้องว่าอยากน้ำให้เอาน้ำชามา พวกหญิงคนใช้ก็ยกน้ำชามาปั้นหนึ่ง รินใส่ชามใหญ่เต็มชาม กากชาละเอียดลอยเป็นชิ้นๆ อยู่ เห้งเจียแลเห็นดังนั้น ก็โผลงปนกับกากชาในน้ำชา หญิงคนใช้ส่งชามน้ำชาให้นางล่อซั่ว ๆ ไม่ทันจะพิจารณากำลังอยากก็ดื่มกลืนเข้าไปในท้อง ​เห้งเจียตามน้ำชาเข้าไปในท้องได้แล้ว ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมร้องเรียกเสียงดังว่าพี่สะใภ้ให้พัดแก่ข้าพเจ้าโดยง่ายเถิด จะได้ไม่เป็นอันตราย นางล่อซั่วตกใจถามคนใช้ว่า พวกเจ้าปิดประตูนอกหรือเปล่า พวกคนทั้งหลายบอกว่าปิดแล้ว นางล่อซั่วพูดว่าประตูก็ปิดแล้ว เหตุใดเห้งเจียมันจึงเรียกดังนี้ พวกคนใช้บอกว่าได้ยินเสียงอยู่ในท้องแม่
   นางล่อซั่วเรียกว่าเห้งเจียเจ้าทำกลอุบายซ่อนอยู่ที่ไหน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักทำกลอะไร เราแผลงฤทธิ์เข้ามานั่งอยู่ในท้องพี่นี้เอง ข้าพเจ้าเห็นใส้พุงทั้งสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นพี่อยากน้ำก็เข้ามาแก้อยากให้พี่ เห้งเจียก็แกล้งทำหน่วงหนักลงไปทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บที่ท้องน้อยเหลือจะทนได้ ก็ทรุดนั่งลงกับพื้นร้องว่าเจ็บปวดเหลือที่จะทนแล้ว เห้งเจียว่าพี่อย่าวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะแสบหัวใจให้ เห้งเจียก็เอามือกระทุ้งขึ้นทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บในหัวใจแลจะขาดใจ ล้มคว่ำลงกับพื้นร้องว่าตายแล้ว จึงพูดว่าอาเห้งเจียขอชีวิตให้พี่เถิด เห้งเจียก็ยั้งมือถามว่า จำข้าพเจ้าได้แล้วหรือ ข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าพี่งู่ม่ออ๋อง จะยกชีวิตให้จงรีบเอาพัดมาให้เราขอยืม นางล่อซั่วบอกว่าจงออกมาเอาไปเถิด เห้งเจียว่าจงเอาพัดมาให้เราเห็นก่อนเราจึงจะออกไป นางก็เรียกคนใช้ให้เอาพัดมาถือยืนอยู่ข้างหน้า เห้งเจียก็เลื่อนขึ้นที่คอหอย พูดว่าเรายกชีวิตให้จงอ้าปากให้กว้างเราจะออกไป นางก็อ้าปากแล้ว เห้งเจียก็แปลงเป็นแมงหวี่บิน​ลอดออกมาโผจับที่พัดนางก็ไม่รู้ อ้าปากสองสามทีแล้วร้องเรียกว่าทำไมไม่ออกเล่า
   เห้งเจียก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม มือก็จับเอาพัดแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าอยู่นี่มิใช่หรือ แล้วเห้งเจียพูดว่าขอบใจให้เราขอยืมพัดก็ออกเดิน พวกเหล่านั้นก็เปิดประตูส่งให้ไป เห้งเจียออกจากถ้ำแล้วก็เหาะกลับไปหาอาจารย์ บัดเดี๋ยวก็กลับมาถึงตำบลบ้านอั้งเจียนจึง ลงยังพื้นเดินเข้าไปในบ้านเคารพอาจารย์แล้ว จึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้อาจารย์ฟังทุกประการ แล้วก็หยิบพัดส่งให้ตาเฒ่าเจ้าของบ้านดู ถามตาเฒ่าว่าพัดเล่มนี้ไม่ใช่หรือ ตาเฒ่าบอกว่าใช่เล่มนี้แหละ พระถังซัมจั๋งมีความยินดี อาจารย์กับศิษย์ก็พร้อมกันลาตาเฒ่าออกจากบ้าน พากันมาได้ประมาณสี่สิบโยชน์ไอร้อนขึ้นผ่าว ๆ ซัวเจ๋งร้องว่าฝ่าเท้าออกร้อน โป๊ยก่ายว่าม้าเดินเร็วกว่าทุกวันเพราะด้วยแผ่นดินร้อนม้าจึงไม่ปรกติ เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ลงจากม้าก่อน ข้าพเจ้าจะเอาพัดโบกไฟได้หยุดคอยมีลมฝนตกลงแล้ว แลให้แผ่นดินเย็นจึงค่อย ๆ ข้ามเขาไป 
   เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปเอาพัดโบกที่มีไฟไปทีหนึ่งที่บนเขาไฟก็ลุกโชติขึ้น พัดอีกทีหนึ่งไฟก็ยิ่งลุกมากขึ้นพัดอีกทีหนึ่งไฟก็ลุกสูงขึ้นสักพันศอก ค่อยลุกค่อยแรงบินปลิวมาติดตัวเห้งเจีย ๆ ก็ถอยวิ่งหนีกลับ ไฟก็ติดไหม้ขนเห้งเจีย ๆ ก็รีบวิ่งร้องเรียกอาจารย์ได้ถอยหนีกลับไปก่อน พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันวิ่งถอยกลับไปทางเก่า ประมาณ​ยี่สิบโยชน์ก็พากันหยุดพัก พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เห้งเจียก็โยนทิ้งพัดลงกับพื้นพูดว่าไม่แน่นอน ถูกอีปีศาจมันหลอกให้แล้ว โป๊ยก่ายถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร
   เห้งเจียพูดว่าเราเอาพัดโบกไปทีหนึ่งไฟก็ลุกแรงขึ้น สองทีก็ยิ่งลุกแรงขึ้นสามทีก็ลุกลามมีเปลวบินสูงขึ้นเป็นพันศอก นี่หากวิ่งหนีทันจึงไหม้บ้างแต่เล็กน้อย ถ้าหนีไม่ทันก็ต้องตายเป็นแน่ ซัวเจ๋งว่าไฟลุกรุนแรงไม่มีทางจะไปไซทีดังนี้จะคิดอย่างไรดี โป๊ยก่ายพูดว่าดูทางไหนไม่มีไฟก็ไปทางนั้นจะต้องเป็นทุกข์อะไร พระถังซัมจั๋งถามว่าทางไหนไม่มีไฟ โป๊ยก่ายบอกว่าทิศตะวันออก ทิศอุดร ทิศอาคเนย์ไม่มีไฟ พระถังซัมจั๋งถามว่าทิศไหนมีพระไตรปิฎกธรรม โป๊ยก่ายพูดว่าทิศไซทีมีพระธรรม พระถังซัมจั๋งพูดว่าเราจะต้องไปทิศตะวันตกที่มีพระธรรมจึงจะสำเร็จ ซัวเจ๋งพูดว่ามีธรรมมีไฟไม่มีธรรมไม่มีไฟอย่างนี้ก็ยากที่จะไปจะกลับ
   อาจารย์กับศิษย์กำลังตรึกตรองกันอยู่ ก็พอได้ยินเสียงร้องเรียกว่าท่านเห้งเจียไม่ต้องเป็นทุกข์ เชิญมารับประทานเข้าแจก่อนแล้วจึงค่อยคิดไป อาจารย์กับศิษย์ก็หันไปแลดู เห็นคนแก่คนหนึ่งแต่งตัวงดงาม มือถือไม้เท้าหัวมังกรเท้าสอดรองเท้าเหล็ก บนหลังสะพายปลาตัวหนึ่งมือถือถาดทองแดงหนึ่งถาด ในถาดใส่เข้าแจแลกับเดินเข้ามาทางทิศตะวันตก มาถึงก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าคือเจ้าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้ เห็นท่านรักษาพระถังซัมจั๋งมาทางนี้ จึงได้เอาเข้าแจมาถวายสักเวลาหนึ่ง
   ​เห้งเจียพูดว่าอันการกินนั้นทีหลัง อันไฟลุกอย่างนี้สักเมื่อไรจะดับ จะได้พาอาจารย์เราพ้นไปได้ เจ้าเขาตอบว่าจะต้องขอยืมพัดนางล่อซั่วจึงจะดับได้ เห้งเจียเดินไปหยิบพัดมาส่งให้เจ้าเขาดู บอกว่านี่มิใช่หรือที่ไฟลุกพัดเข้าก็ยิ่งลุกใหญ่ไป เจ้าเขาพิจารณาดูพัดแล้วก็หัวเราะพูดว่าท่านถูกหลอกเสียแล้ว เห้งเจียถามว่าทำอย่างไรจึงจะได้ของจริง เจ้าเขาสองมือกอดอกย่อตัวยิ้ม ๆ แล้วจึงพูดว่า แม้ว่าได้กำลังใหญ่ก็จะสำเร็จการ กำลังใหญ่นั้นคืองู่ม่ออ๋อง

[เล่ม 2] ตอนที่ 43 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๘)
 เมื่อเหาะมาตามทางเห้งเจียคิดจะไปให้ถึงก่อน แต่ซัวเจ๋งห้ามไว้โดยซัวเจ๋งมีความสงสัยเห้งเจียว่าจะทำอุบายประการใดก็ไม่รู้ เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมาไม่ช้าก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว ลงยังพื้นเดินเข้าไปที่ประตูถ้ำ​แลไปเห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา ทำกิริยาลุกนุ่งห่มไม่ผิดเห้งเจีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ก็ผละจากซัวเจ๋งโดดเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายนี่มึงเป็นปีศาจร้ายที่ไหน จึงอาจสามารถแปลงเป็นรูปเราดังนี้
   ฝ่ายเห้งเจียนั้นก็มิได้โต้ตอบประการใด จับตะบองโดดลงมาจากแท่น ตรงเข้ารบกับเห้งเจีย เห้งเจียทั้งสองรบกันไม่รู้ว่าใครจริงใครปลอม แล้วก็เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ฝ่ายซัวเจ๋งก็เหาะตามขึ้นไปแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยข้างไหนได้ เพราะไม่ทราบว่าคนไหนปลอมคนไหนจริง จึงกลับลงมายังพื้นตีขนาบเข้าไปในถ้ำ พวกลิงเหล่านั้นก็พากันตกใจกลัว จึงหนีกระจัดกระจายไปทั้งสิ้น ซัวเจ๋งเข้าไปค้นหาถุงย่ามก็มิได้พบเห็น จึงเหาะกลับขึ้นไปคิดจะเข้าช่วยรบก็ไม่รู้ว่าคนไหนจะจริงและปลอม เห้งเจียร้องส่งซัวเจ๋งว่า เจ้าช่วยไม่ได้ก็ให้รีบกลับไปบอกแก่พระอาจารย์ว่า ที่นี่มีเหตุขึ้นดังนี้ พี่จะรบล่อมันไปเขาน่ำไฮ้ ให้พระโพธิสัตว์ชำระให้เห็นเท็จและจริง เมื่อเห้งเจียร้องสั่งซัวเจ๋งดังนั้น เห้งเจียปลอมก็ร้องสั่งเหมือนดังนั้นซุ่มเสียงก็ไม่ฝิดกัน ซัวเจ๋งก็เหาะกลับไปหาพระอาจารย์
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางจนมาถึงเขาน่ำไฮ้ พวกเทวดาเทพารักษ์ก็ตกใจตื่น จึงพากันเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ว่า มีเห้งเจียทั้งสองรบกันมาถึงที่นี่แล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมด้วยฮุยไง้เสี้ยนใช้ท่งจื๊อ​กับนางเล่งหนึงลงจากบัลลังก์ เดินออกไปจากสำนักตวาดว่าอ้ายพวกสัตว์มึงจะไปข้างไหน เห้งเจียทั้งสองก็ยั้งมือพูดว่าขอพระโพธิสัตว์ได้ทราบ อ้ายนี่รูปร่างกิริยาเหมือนตัวข้าพเจ้ารบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องจนมาถึงที่นี่ยังไม่แพ้ชนะกัน ซัวเจ๋งเข้าช่วยไม่ได้ข้าพเจ้าให้กลับไปหาอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงรบล่อมาถึงนี่ขอพึ่งพระโพธิสัตว์โปรดเล็งญาณจักษุพิจารณาดู ให้เห็นเหตุเท็จและจริงชั่วดีด้วยเถิด เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเห้งเจียจริงเหมือนกัน
   พระโพธิสัตว์กับเทพยดาทั้งหลาย พิจารณาดูเป็นนานก็มิได้รู้ว่าข้างไหนเท็จข้างไหนจริง พระโพธิสัตว์จึงบอกว่าเจ้าทั้งสองจงละมืออยู่ก่อน เห้งเจียทั้งสองก็ต่างคนต่างถอยออกห่างกัน ทั้งสองข้างต่างพูดว่าข้าพเจ้าจริงข้างนั้นปลอม พระโพธิสัตว์จึงเรียกบัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อมากระซิบสั่งว่า เจ้าทั้งสองจงไปคุมอยู่คนละข้างอาตมาจะร่ายคาถาบีบขมับหัว แม้ว่าคนไหนจริงก็ปวดศรีษะคนไหนปลอมก็ไม่ปวด บัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น ต่างก็แยกกันไปคุมคนละคน พระโพธิสัตว์ก็ร่ายคาถาเห้งเจียทั้งสองก็เจ็บปวดพร้อมกันหมุนคว่ำลงกับพื้น เอามือประคองศรีษะร้องว่าเจ็บปวดทนไม่ได้แล้ว ขอท่านได้งดเถิดอย่าภาวนาเลย พระโพธิสัตว์ก็หยุดภาวนาเห้งเจียทั้งสองหายปวดพร้อมกันก็เข้ารบกันอีกต่อไป พระโพธิสัตว์ก็สิ้นปัญญาไม่รู้ที่จะคิดประการใดจึงร้องเรียกหงอคงคำหนึ่ง เห้งเจียทั้งสองก็ขานรับ พระโพธิสัตว์บอกว่าเห้งเจียเคยขึ้นไปทำจลาจลบน​ดาวดึงส์วิมานสวรรค์ เทวดาอินทร์พรหมก็รู้จักจำได้ทุกคน จงขึ้นไปให้เทวดาอินทร์พรหมพิจารณาเถิดจะได้ชำระตัดสินให้
   เห้งเจียทั้งสองได้ฟังดังนั้น ต่างคนก็คำนับลาไปออกจากน่ำไฮ้รบกันพลางถอยกันพลางต่อสู้กันไป จนขึ้นถึงประตูสวรรค์น่ำทีหมึง พวกเทวดาใหญ่น้อยทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์ แลเห็นดังนั้นก็พากันถืออาวุธออกสกัดกั้นมิให้เข้าไป แล้วร้องถามว่า จะมาทำอะไรกันที่บนนี้ มิใช่ที่สนามรบพุ่งกัน เห้งเจียจึงพูดว่าข้าพเจ้ารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีถึงกลางทาง ข้าพเจ้าตีโจรตายเธอเกลียดข้าพเจ้าไล่ข้าพเจ้ามิให้ตามเธอไปไซที ไม่รู้ว่าอ้ายปีศาจอะไรแปลงตัวเหมือนข้าพเจ้า ไปตีพระถังซัมจั๋งสลบแล้วก็ลักเอาถุงย่ามที่ใส่สิ่งของไปเสีย แลไปชิงเอาที่ถ้ำอยู่ของข้าพเจ้าครอบครองตั้งตัวเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าต่อสู้รบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องไล่กันมาจนถึงน่ำไฮ้ซัว พระโพธิสัตว์ก็พิจารณาไม่ออกไม่รู้ว่าข้างไหนเป็นเห้งเจียปลอม ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาขอให้หมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายช่วยกัน พิเคราะห์ดูว่าใครจะเท็จและจริง เห้งเจียปลอมก็พูดดังนั้นเหมือนกัน
   ฝ่ายหมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายก็พากันพิจารณาดู ก็มิได้รู้ว่าใครเท็จใครจริง เห้งเจียทั้งสองร้องว่าท่านทั้งหลายไม่เข้าใจได้ก็หลีกทางให้ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ พวกเทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่ฟัง จึงเปิดปล่อยให้เข้าประตู เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางเลยเข้าประตูสวรรค์ รบกันมาจนถึงหน้าปราสาทเหลงเซียวเต้ย ​หมู่เทวดาผู้ใหญ่เห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้มีเห้งเจียทั้งสองรบต่อสู้กันมา เทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่อยู่ ร้องว่าจะเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลยังไม่สิ้นความก็ได้ยินเสียงอึกกะทึกเข้ามา เง็กเซียงฮ่องเต้แลไปเห็น พระองค์ก็เสด็จลงจากบัลลังก์ตรัสถามว่า เจ้าทั้งสองมีเหตุอย่างไรจึงได้ล่วงขึ้นมาทำวุ่นวายดังนี้ เห้งเจียทูลว่าขอพระเป็นเจ้าได้โปรด ข้าพเจ้าได้สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ก็ไม่อาจล่วงเกินหมิ่นประมาท เหตุด้วยปีศาจนี้มันแปลงปลอมข้าพเจ้ากระทำการทุจริต
   เห้งเจียก็เล่าความจริงทุกประการให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟัง ขอพระองค์ได้โปรด เห้งเจียปลอมมันก็เล่าให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟังบ้างดุจเดียวกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้น จึงมีรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเอากระจกวิเศษที่จับปีศาจออกมาส่องดู แม้ว่าจริงอย่างไรก็จะรู้ได้หากว่าเท็จก็สูญหายไป
   ถักทะลีทีอ๋องก็เอากระจกนั้นมาส่องดู เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พร้อมกับเทพยดาทั้งหลายพิเคราะห์ดูในบานกระจก ก็แลเห็นเห้งเจียทั้งสองยืนอยู่ในกระจก รูปร่างกิริยานุ่งห่มไม่ผิดกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าใครเท็จใครจริง จึงขับไล่ให้ออกจากสวรรค์ทั้งสองคน เห้งเจียทั้งสองต่างก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราพากันไปหาอาจารย์จึงจะรู้ได้แน่ พูดกันดังนั้นแล้วก็เข้ารบกันต่อไปอีก ซัวเจ๋งตั้งแต่กลับมาหาอาจารย์ จึงเล่าให้อาจารย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เมื่อแรกคิดว่าเห้งเจียตี​อาตมภาพ ไม่รู้เลยว่าปีศาจแปลงเป็นเห้งเจียมาทำร้ายดังนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าปีศาจนั้นมันแปลงเป็นอาจารย์และมากับโป๊ยก่ายคนหนึ่ง และแปลงเป็นข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเอาพลองตีตายกลายเป็นปิศาจลิง แต่ที่มันแปลงเป็นเห้งเจียนั้น ยากที่จะรู้ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พูดกันไปมาประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงบนอากาศอึกกะทึกก้องโกลาหลลงมา จึงพากันออกมาดู ก็เห็นเห้งเจียสองคนรบกันมา
   โป๊ยก่ายแลเห็นก็อดไม่ได้ ตะโกนร้องว่าพี่เห้งเจียอย่าละถอยมันข้าพเจ้ามาแล้ว เห้งเจียทั้งสองก็ร้องเรียกว่าน้องจงมาช่วยพี่ด้วย ซัวเจ๋งบอกแก่อาจารย์ว่า ข้าพเจ้ากับพี่โป๊ยก่ายไปกันออกมาคนละคนแล้วอาจารย์ร่ายคาถา ถ้าคนไหนปวดศรีษะคนนั้นเป็นจริงได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าคิดดังนี้ดี ซัวเจ๋งก็มาจับเห้งเจียคนหนึ่ง บอกโป๊ยก่ายให้จับเห้งเจียคนหนึ่ง ต่างคนต่างจับกันคนละคน ลากมายังหน้าบ้านยายเฒ่า พระถังซัมจั๋งก็ร่ายคาถา เห้งเจียทั้งสองก็พร้อมกัน ร้องปวดศรีษะพร้อมกันทั้งสองคนว่าปวดเต็มทีแล้ว อย่าภาวนาเลยหยุดเถิด พระถังซัมจั๋งก็หยุดไม่ภาวนา ก็มิได้รู้ว่าคนไหนจะจริงคนไหนจะเท็จ เห้งเจียทั้งสองก็เข้ารบกันอีกต่อไป เห้งเจียจึงร้องเรียกโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งสั่งว่าน้องทั้งสองจงรักษาอาจารย์ไว้ พี่จะรบแก่มันไปหาพระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราช ให้พระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราชพิจารณาเพื่อเห็นจริงแล้วจะกลับ เห้งเจียมันก็สั่งดังนั้นเหมือนกันแล้วก็เข้าชุลมุนฟัดเหวี่ยงกันไป มาบัดเดี๋ยวก็ไม่เห็น
   ​โป๊ยก่ายถามซัวเจ๋งว่า เมื่อน้องไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นโป๊ยก่ายปลอมหามของอยู่ ทำไมจึงไม่ชิงเอามาเสียเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าเมื่อเวลานั้นเห็นซัวเจ๋งปลอมข้าพเจ้าก็โจมตีซัวเจ๋งปลอมนั้นตาย พวกมันเห็นดังนั้นก็เข้าล้อมจับข้าพเจ้า ๆ ก็ตีซ้ายป่ายขวา หนีรอดชีวิตมาได้ แล้วภายหลังเห้งเจียทั้งสองกำลังรบกันอยู่กลางอากาศ ข้าพเจ้าได้กลับเข้าไปในถ้ำ เห็นมีชะวากในถ้ำมีน้ำไหล ก็หารู้ว่าประตูนั้นเข้าทางใดไม่ จึงได้กลับออกมา โป๊ยก่ายพูดว่าไม่เข้าใจ เมื่อครั้งก่อนพี่ได้ไปเชิญเห้งเจีย พี่ได้เข้าไปในถ้ำนั้น เห็นพี่เห้งเจียเข้าไปผลัดเครื่องนุ่งห่ม เธอดำน้ำเข้าไปที่ชะวากน้ำไหลนั้น ชะรอยจะเป็นประตูในอยู่ตรงนั้นเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปค้นดูในเวลาเมื่อมันไม่อยู่ดังนี้ จะได้ถุงย่ามของเราดอกกระมัง ครั้นได้มาเราจะได้พากันไป แม้เห้งเจียจะมาเราก็ไม่ต้องการ โป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้น ก็พูดว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ หมายตรงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบล่อกันมาจนถึงประตูเมืองนรก พวกหมู่ผีทั้งหลายได้ยินเสียงกึกก้องหวั่นไหวก็ตกใจ พากันหนีซุกซ่อนเอาตัวรอด ที่ใจกล้าก็วิ่งเข้าไปบอกพระยาเงียมฬ่ออ๋องว่า ขอใต้อ๋องให้ทราบ บัดนี้มีเห้งเจียรบกันกึกก้องโกลาหล ใกล้ประตูเข้ามาแล้ว เวลานั้นพระยามัจจุราชกำลังประชุมพร้อมกันทั้งสิบองค์ยัง​ตำหนักซุมลอเต้ย ได้ยินพวกผีมาบอกดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เกณฑ์ทหารมาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ยคอยระวังอยู่ แลให้ไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง นิมนต์มาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ย ประเดี๋ยวก็เห็นเห้งเจียทั้งสองรบกันชุลมุล เข้ามาถึงหน้าตำหนักซุมลอเต้ย พวกทหารก็ออกมาสกัดกั้นไว้ ถามว่าท่านมีเหตุอย่างไรจึงได้รบกันวุ่นวายเข้ามาถึงนี่เล่า
   เห้งเจียจึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังแล้ว จึงพูดว่าบัดนี้ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านเงียมฬ่ออ๋องเอาบัญชีสารบบออกมาตรวจดู เพื่อจะได้รู้ว่าอ้ายเห้งเจียปลอมคนนี้มันเกิดมาแต่ไหน จะได้จับเอาวิญญาณและขับไล่มันไปเสียให้พ้น อย่าให้มันมาทำวุ่นวายขึ้นอย่างนี้อีกต่อไป เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเดียวกัน เงียมฬ่ออ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้สมุห์บัญชีค้นสารบบตรวจดูจนตลอด ก็ไม่เห็นมีเห้งเจียปลอม เอาสารบบพวกสัตว์มีขนมาตรวจดูร้อยสามสิบแห่ง ที่แห่งวานรนั้น เมื่อครั้งเห้งเจียได้สำเร็จภาคย์ลงมาแผ่อำนาจ เอาสารบบมาลบชื่อวานรเสียหมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมาชื่อลิงก็ไม่มีจนเท้าทุกวันนี้
   ครั้นตรวจดูแล้วพระยาเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบองค์บอกแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ตรวจดูแล้วในสารบบทั้งหลายไม่มีชื่อ แม้ว่าจะให้เห็นจริงก็เชิญท่านกลับขึ้นไปยังมนุษย์โลกนั้นเถิด เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋องพูดว่าจงยั้งก่อน อาตมภาพจะให้ (ที่เทีย) ฟังดูก็จะรู้ว่าใครจะเท็จแลจริง อันที่เทียนั้นคือ​สัตว์คล้ายสิงห์โต นอนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเตจองอ๋อง หากนอน กกอยู่กับดินแล้วก็ฟังรู้ได้ตลอดซึ่งการร้ายและดี เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง จึงมีคำสั่งให้สัตว์ที่เทียนั้นนอนฟัง สัตว์นั้นก็นอนราบลงกับพื้น บัดเดี๋ยวก็เงยศรีษะขึ้นบอกแก่พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องว่า อันปีศาจเห้งเจียปลอมนี้ก็จริง แต่ไม่ควรจะพูดออกในเวลานี้ แลมีกำลังจะช่วยจับก็ไม่ได้ พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องถามว่าเหตุใดจึงจะช่วยไม่ได้และทำไมจึงไม่ควรจะพูดออก ทีเทียพูดว่าแม้พูดออกในเวลานี้ก็จะเกิดจลาจลวุ่นวายที่ตำหนักซุมลอเต้ยนี้ก็มิได้เปนสุข และกำลังฤทธิ์อานุภาพนั้นก็เสมอกับเห้งเจีย ในนรกนี้จะมีใครฝีมือสักเท่าใดจึงจะช่วยจับได้
   พระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง ถามว่าถ้าดังนั้นจะทำประการใดดี ทีเทียบอกว่าอภินิหารแห่งพระพุทธ พระธรรมไม่มีผู้ใดเสมอ เตจองอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้ จึงบอกแก่เห้งเจียว่าท่านทั้งสองรูปร่างเหมือนกันฤทธาอานุภาพเสมอกัน แม้จะให้เท็จแลจริงแล้ว จงรีบไปไซทีหาพระยูไลที่วัดลุ่ยอิมยี่เถิดจึงจะได้รู้แน่ เห้งเจียทั้งสองพร้อมกันพูดว่าเห็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะขอลาไป เห้งเจียทั้งสองก็รบกันขับเขี้ยวไปมา แล้วพูดว่าเราทั้งสองจงไปไซทีหาพระยูไลชำระให้เห็นจริง พูดแล้วก็เข้าบุกบั่นรบกันต่อไป
   ฝ่ายพระยาเงียมฬ่ออ๋องก็ส่งพระโพธิสัตว์ไปยังที่ เงียมฬ่ออ๋องทั้งหลายก็กลับไปยังที่ เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางเหาะพลางมาจนถึงเขาเล่งจื้อซัว เสียงอึกกะทึกกึกก้องโกลาหลหวั่นไหวในพื้นพสุธา​เวลานั้นหมู่เทพยดาอินทร์พรหมและหมู่สาวกทั้งหลาย กำลังแวดล้อมเฝ้าพระยูไลเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ในพระอารามใหญ่ พระยูไลก็เคลื่อนลงจากบัลลังก์แก้ว ตรัสแก่อินทร์พรหมและเทพบุตรสาวกทั้งหลายว่า บรรดาที่มาสดับธรรมเทศนาจงสำรวมจิตอันหนึ่งคอยดู สองจิตรบกันมาแล้ว ในหมู่ประชุมก็ตั้งตาคอยแลดู จึงเห็นเห้งเจียทั้งสองต่อสู้กันมา ร้องฟ้าร้องดินอึกกะทึกมาถึงหน้าอารามลุ่ยอิมยี่ หมู่เทพบุตรกับเจ้ากิมกังทั้งหลายก็ออกสะกัดกั้นไว้ .แล้วถามว่านี่จะรบกันไปข้างไหน
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันแปลงทำเหมือนรูปข้าพเจ้า ๆ จะมาหาพระยูไล ขอให้ท่านพิจารณาดูให้รู้แน่ว่าเท็จและจริงประการใด หมู่เทพยดาอินทร์พรหมทั้งหลายกั้นกางไว้ไม่อยู่ ก็เลยล่วงเข้ามาถึงที่หน้าพระ ต่างคุกเข่าลงนมัสการแล้ว จึงเล่าแต่ต้นจนปลายให้พระยูไลฟัง พูดว่าข้าพเจ้าไปถึงชั้นฟ้าและลงไปยังเมืองนรกก็ไม่มีใครสามารถจะพิจารณารู้ได้ จึงได้มาเฝ้าพระองค์เจ้า ขอพระบารมีได้โปรดทรงพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริง ข้าพเจ้าจะได้กลับไปรักษาพระถังซัมจั๋งพามานมัสการพระพุทธองค์ อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมกลับไปเมืองใต้ถัง กระทำให้แพร่หลายแก่มหาชนในประเทศทิศบูรพา
   พระยูไลเจ้าเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ทรงทราบในพระญาณว่าเท็จจริงประการใดแล้ว พระองค์จะทรงแสดงให้แจ้งทันใดนั้น บังเอิญแลไปเห็นเมฆสีเขียวลอยลิ่วมา ครั้นถึงแลเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมลงจากเมฆเข้ามาเคารพพระยูไลเจ้าแล้ว พระยูไลเจ้า​ถามว่า กวนอิมรู้บ้างหรือว่าเห้งเจียทั้งสองนี้ใครจริงใครเท็จ พระกวนอิมทูลว่าเดิมได้มาที่สำนักข้าพเจ้า ๆ พิจารณาไม่ออก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้พระองค์โปรดให้เห็นเท็จและจริง พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่ากวนอิม ถึงจะมีอภินิหารใหญ่กว้างก็จริง จะพึงรู้ได้แต่การโลก หารู้หมดซึ่งสัตว์เกิดนั้นไม่ และหารู้มูลรากของสัตว์ได้ไม่ พระกวนอิมจึงเคารพขอให้พระองค์โปรดทรงแสดง พระจึงตรัสว่า อันในโลกนี้มีภูมิห้า คือฟ้าหนึ่ง ดินหนึ่ง เจ้าหนึ่ง มนุษย์หนึ่ง ผีเปรตหนึ่ง แลมีปูมห้า เลี่ยนหนึ่ง เกล็ดหนึ่ง ขนหนึ่ง ปีกหนึ่ง ปุ่มหนึ่ง
   ที่เห้งเจียทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวอยู่ในภูมิห้านี้ มีนามเรียกว่ามูลวานร ลิงที่หนึ่งนั้นนามเรียกว่าเจี๊ยเก๊า แปลงกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และรู้ฟ้าดินและเหตุร้ายดี ลิงที่สองนั้นนามเรียกว่าเบ๊เก๊า เข้าในทางอากาศฟ้าดินรู้การของมนุษย์ได้หนีตายทำให้อายุยืนได้นานปี ลิงที่สามนั้นนามเรียกว่าอวนเก๊า จับพระอาทิตย์พระจันทร์รวบพันธ์ภูเขาเข้าได้เป็นหนึ่ง เล่นฟ้าเล่นดินทดเข้าออกทำได้ดังนึก ลิงที่สี่นั้นนามเรียกว่ามิเก๊าหูฟังได้ทุกอย่าง เข้าใจตรวจกิจพิจารณาการรู้ข้างหน้าข้างหลังรู้แจ้งซึ่งการทั้งปวง ลิงทั้งสี่นี้ไม่ร่วมอยู่ในภูมิห้าปูมห้าไม่เข้าหมู่สองจำพวกนี้
   ตถาคตพิจารณาดู หงอคงปลอมนั้นคือลิงมิเก๊า ๆ แม้จะยืนอยู่ในที่เดียว ๆ การไกลพันโยชน์ก็อาจเข้าใจได้ มนุษย์พูดจาว่ากระไรก็รู้ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นรูปร่างน้ำเสียงจึงอย่างเดียวกันแก่เห้งเจีย
   ​มิเก๊าได้ยินพระตรัสดังนั้น ถูกต้องมูลเหตุของตัวอกใจก็ให้ไหวหวาด จะรีบเหาะหนีเอาตัวรอด พระยูไลตรัสสั่งให้หมู่เทพบุตรล้อมไว้ เห้งเจียจะตรงเข้าตี พระยูไลก็ทรงห้ามว่าเห้งเจียอย่าทำเขาเลย ตถาคตจะจับให้ ลิงมิเก๊าจิตใจให้สะดุ้งกลัวคิดว่าจะหนีไปไม่พ้น ก็ไหวกายแปลงเป็นแมลงผึ้งรีบบินหนีไป จึงพระยูไลเอาบาตรขว้างไปครอบไว้ แมลงผึ้งก็เข้าอยู่ในบาตร พระองค์ก็ทรงเรียกบาตรนั้นกลับคืนมา ทรงตรัสแก่เทพบุตรทั้งหลายว่า ลิงมิเก๊าอยู่ในบาตรตถาคตแล้ว จึงหมู่เทพยดาทั้งหลายได้พากันมาดู ก็ได้เห็นลิงมิเก๊านอนคุดอยู่ในบาตร เห้งเจียอดไม่ได้เอาตะบองกระทุ้งศรีษะทีหนึ่ง ลิงมิเก๊าก็ถึงแก่ความตาย เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ลิงมิเก๊าจึงได้สาปสูญตั้งแต่นั้นมา
   พระยูไลเห็นดังนั้น ก็ไม่เป็นที่พอพระทัย ทรงตรัสว่าทำไมเห้งเจียจึงทำดังนี้เล่า เห้งเจียกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระกรุณาแก่สัตว์ชั่วร้ายอย่างนี้เลย มันตีอาจารย์ข้าพเจ้าแล้วและเอาเข้าของมาเสียด้วย โทษมันก็ควรถึงแก่ความตายอยู่แล้ว พระยูไลจึงสั่งให้เห้งเจียรีบไปรักษาพระถังซัมจั๋งเถิด เห้งเจียคุกเข่าเคารพทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบพระอาจารย์ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าไปร่วม ข้าพเจ้ากลับไปจะเสียเวลาเปล่า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสกถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะได้ทูลลาพระองค์ไปอยู่ยังที่เดิม พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสแก่เห้งเจียว่าเห้งเจียอย่าคิดวุ่นวายไป ตถาคตจะให้พระกวนอิมไปส่งถังซัมจั๋ง​เธอก็ต้องให้ไปอยู่เอง เห้งเจียจงอุตส่าห์รักษาพระถังซัมจั๋งให้ตลอด เมื่อเวลาสำเร็จแล้วจะได้ขึ้นนั่งบนแท่นบัว
   พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างนั้นได้ยินพระองค์ตรัสแก่เห้งเจียดังนั้น ก็กระทำเคารพลาพาเห้งเจียออกจากพระอาราม เหาะขึ้นกลางเวหาแล้วก็ตรงไป ครั้นถึงบ้านยายเฒ่าที่พระถังซัมจั๋งอาศัยอยู่ก็ลงยังพื้น ฝ่ายคนในบ้านกับซัวเจ๋ง แลเห็นก็บอกแก่อาจารย์ออกมานิมนต์พระโพธิสัตว์ ๆ พูดว่า เมื่อวันก่อนที่ตีถังซัมจั๋งนั้น คือลิงมิเก๊า ต่อไปหาพระยูไลบอกให้จึงได้รู้แจ้ง บัดนี้เห้งเจียก็ตีตายแล้ว ส่วนเห้งเจียนั้นต้องให้ตามรักษาไปตามเดิม เมื่อเวลาเดินทางไปพบผีปิศาจยักษร้ายสัตว์ร้าย เธอจะได้ช่วยป้องกันไปกว่าจะถึงเขาเล่งจิ๋วซัว จะได้อาราธนาพระธรรมอย่าให้โกรธขึ้งเคืองแค้นเธอจะเสียการอันใหญ่ในเบื้องหน้า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระกวนอิมสั่งสอน ก็เคารพรับคำสั่ง เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังขอบคุณพระโพธิสัตว์ ก็ได้ยินเสียงลมกระพือมา คนทั้งหลายแลไปเห็นโป๊ยก่ายเหาะมาบนอากาศ หลังสะพายถุงย่ามมาถึงก็ลงยังพื้น โป๊ยก่ายแลไปเห็นพระโพธิสัตว์ก็คุกเข่าลงเคารพนมัสการแล้ว จึงพูดว่าข้าพเจ้าไปถึงเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นพระถังซัมจั๋งปลอม โป๊ยก่ายปลอม ข้าพเจ้าตีตายทั้งสองคน แต่อันที่จริงมันเป็นลิงปีศาจ ข้าพเจ้าเอาถุงย่ามมาตรวจก็ไม่หายอะไรสักสิ่งเดียว ได้แล้วก็กลับมา แต่ยังไม่ทราบว่าเห้งเจียทั้งสองนั้นจะตกไปถึงไหน พระโพธิสัตว์จึงเล่าความให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ ​โป๊ยก่ายก็มีความยินดีหาที่สุดมิได้ อาจารย์แลศิษย์ก็พากันเคารพพระโพธิสัตว์ก็เหาะกลับไป อาจารย์กับศิษย์ก็ร่วมจิตกันตามเดิมจึงลายายเฒ่าเจ้าของบ้าน จัดแจงพร้อมแล้วก็พากันออกเดินเข้าทางใหญ่หมายทิศปราจิณ

18 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 42 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๖)
 เดินพลางชมพลางตามแนวป่า แลไปก็เห็นภูเขาสูงก็พากันเดินข้ามเขาไปทางทิศตะวันตก เป็นเนินลาดเสมอ โป๊ยก่ายจะแผลง​ฤทธิ์ก็ส่งหาบให้ซัวเจ๋งหาบ โป๊ยก่ายก็เอาคราดไล่ม้าให้วิ่ง เห้งเจียถามว่านั่นจะทำอะไรกัน โป๊ยก่ายว่าเวลาก็จวนจะค่ำ ตั้งแต่ขึ้นเขาเดินมาก็เกือบวันหนึ่งแล้ว ในท้องก็หิวโหยวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะใคร่หาบ้านคนจะได้บิณฑบาตข้าวกินสักมื้อหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่จะไล่ม้านั้นให้ไปเร็ว ๆ ว่าแล้วเห้งเจียก็ชักตะบองออกเดินมาใกล้ม้าเอาตะบองแกว่งหมุนทีหนึ่ง ม้าก็วิ่งดุจลูกเกาทัณฑ์ ถามว่าม้าทำไมกลัวเห้งเจียไม่กลัวโป๊ยก่ายนั้นเป็นอย่างไร มีคำตอบว่า เห้งเจียแต่ก่อนเมื่ออยู่บนสวรรค์เคยเลี้ยงม้าปราบเสียออกเข็ดฝีมือ อาศัยเหตุนี้มาจนทุกวันนี้ม้าก็ต้องย่อมกลัววานรทุกตัวไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ายอไม่หยุดไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็จับบังเหียนรั้งกดลงกับอานปล่อยวิ่งไปตามวิสัย ประมาณทางสักสองร้อยเส้นจึงค่อย ๆ เดิน เมื่อกำลังเดินมาได้ยินเสียงม้าฬ่อเสียงคนร้องกู่ข้างทางคะเนเสียงสักสามสี่สิบคน แลไปก็เห็นคนเดินออกมา มือถืออาวุธทุก ๆ คนออกสกัดหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วถามว่าพระสงฆ์นั้นจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งให้อกสั่นขวัญหาย นั่งไม่อยู่พลัดตกจากหลังม้าลงมา ลุกขึ้นยืนข้างทางร้องว่าท่านใต้อ๋องยกชีวิตให้ข้าพเจ้าเถิด
   ฝ่ายหัวหน้าโจรสองคนพูดว่า เราไม่ทุบไม่ตีมีสิ่งของอะไรก็เอามาให้เราเสียโดยดีแล้วก็ไม่ต้องทุบตี พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้แน่ว่าพวกโจร จึงเดินมาพนมมือพูดว่า อาตมภาพมาจาก​เมืองใต้ถังฝ่ายทิศบูรพา มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้อาตมภาพไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จากบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว แม้มีโสหุ้ยเสบียงอาหารมาก็หมดสิ้นแล้ว อาตมภาพเป็นสงฆ์ไปถึงไหนก็บิณฑบาตเขาฉัน พอเลี้ยงชีวิตไปเท่านั้น ไม่มีเงินทองข้าวของสิ่งใดเลย ขอท่านได้กรุณาเถิด
   ฝ่ายนายโจรทั้งสองพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งใจคอยดุจเสือมาสกัดทางอยู่ ปราถนาจะประสงค์ทรัพย์สมบัติเงินทอง จะให้เราผ่อนผันอย่างไรได้ หากว่าเงินทองข้าวของไม่มีจริงแล้ว เสื้อผ้าก็ควรถอดออกมาให้ และทิ้งม้าไว้ที่นี่แล้ว เราจึงจะปล่อยให้ไปได้ หาไม่ก็ไม่ฟังกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันเสื้อผ้านั้นขาด ๆ เสีย ๆ อาตมภาพบิณฑบาตเขามาพอพันกายท่านจะให้ถอดออกจากกายดังนี้ ก็เหมือนฆ่าอาตมภาพเสียเหมือนกัน จะเป็นบาปกรรมแก่ท่านต่อไปหาควรไม่ นายโจรได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็โกรธฉวยไม้พลองตรงมาจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้จักการกลับกลอก เห็นการจวนตัวไม่รู้ที่จะแก้ไขอย่างไรได้ จึงพูดว่าท่านอย่าเพิ่งลงมือ อาตมภาพมีศิษย์มาด้วยข้างหลังมีเงินติดตัวมาสองสามตำลึง รอมาถึงอาตมภาพจะเอาให้ท่าน นายโจรพูดว่า สงฆ์ผู้นี้พูดกลับกลอกเอาเชือกมัดเสียจึงจะได้ พวกบริวารก็เอาเชือกมัดพระถังซัมจั๋งชักโยงขึ้นบนต้นไม้สูง
   ฝ่ายศิษย์ทั้งสามวิ่งตามหลังมา โป๊ยก่ายหัวเราะไม่หยุด แล้ว​พูดว่าพระอาจารย์ห้อใหญ่ไปตามสบายใจแล้ว ไม่รุ้ว่าจะไปถึงไหน โป๊ยก่ายเหลือบไปเห็นอาจารย์แขวนห้อยอยู่บนต้นไม้สูง จึงร้องบอกเห้งเจีย ซัวเจ๋ง ให้ดูว่าอาจารย์คอยอยู่โน่นแล้ว ใจคออาจสามารถขึ้นอยู่บนต้นไม้สูงผูกชิงช้าไกวเล่นตามสบายใจ เห้งเจียแลไปเห็นแล้วว่าเจ้าอย่าพูดให้เลอะเทอะ อาจารย์เราถูกแขวนอยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าสองคนค่อย ๆ เดิน พี่จะรีบไปก่อนหากจะมีเหตุอะไรดอกกระมัง เห้งเจียก็รีบขึ้นเนินเขาสูงแลไปก็เห็นพวกโจรตั้งอยู่เป็นหมู่ เห้งเจียดีใจพูดว่าดีแล้วลาภจะมาถึงแล้ว พูดดังนั้นแล้วก็แปลงตัวเป็นสามเณรน้อยอายุประมาณสิบหกขวบ บนบ่าสะพายห่อผ้าใหญ่เดินตรงมาที่อาจารย์ร้องเรียกว่าอาจารย์นั้นเป็นเหตุอะไร พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้รู้ว่าเห้งเจีย จึงพูดว่าทำไมจึงไม่ช่วยแก้เราเล่า
ตอน หงอคงตัวปลอม (ช่วงที่1)
เห้งเจียถามว่านั่นเพราะเหตุอะไรจึงได้เป็นดังนี้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าพวกเหล่านั้นสกัดทางเราไว้มิให้เราไป จะทวงเอาค่าเดินทางสิ่งของไม่มีจะให้เขา ๆ จึงมัดแขวนไว้อย่างนี้ คอยว่าเห้งเจียมาจะได้คิดดูมีอะไรจะได้ให้เขา เพราะเหตุดังนี้เราจะทำประการใดดี เห้งเจียถามว่าอาจารย์ได้พูดจารับรอง ผ่อนผันไว้แก่เขาอย่างไรบ้างเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าเขาเร่งรัดจะมาตีมาทุบ อาตมภาพก็ไม่รู้ที่จะแก้ตัวอย่างไร จึงได้อ้างว่าข้าวของมีอยู่ที่เห้งเจีย อย่าเพิ่งทุบตีให้คอยสานุศิษย์ก่อนพวกเหล่านี้จงหยุดให้ เป็นเวลาที่เข้าคับแค้นจงได้พูดดังนั้น เห้งเจียพูดว่าดีแล้วตามอาจารย์พูดอย่างนี้ก็สมควรถูกต้องแล้ว
​ ฝ่ายนายโจรแลบ่าวไพร่เห็นเห้งเจียพูดโต้ตอบกับอาจารย์ดังนั้นก็พากันกรูเข้าล้อม นายโจรเข้ามาใกล้พูดว่าสามเณรอาจารย์นั้นบอกว่า ข้าวของเงินทองอยู่ที่สามเณร ๆ จงรีบเอามาให้เราโดยเร็วเราจะยกชีวิตให้ แม้พูดขัดขวางสักครึ่งคำไม่พอใจเรา เราจะให้ชีวิตวินาศลงกับพื้นเดี๋ยวนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็วางถุงลงแล้วพูดว่า ท่านอยุติธรรมทั้งหลายไม่ต้องทวงถามไปทำไมกับข้าวของ ในห่อนี้มีทองคำไม่สู้มากหนักยี่สิบแท่ง เงินสักสามสี่สิบแท่งเงินที่ละเอียด ๆ ยังไม่ได้คิด จะต้องประสงค์แล้วจงเอาไปทั้งห่อเถิด ขอแต่อย่าตีอาจารย์ของอาตมภาพเลย คำโบราณท่านย่อมว่าเงินทองเป็นของปลายเหตุ มีกุศลแลบุญย่อมเป็นต้นเหตุ เงินทองเป็นของปลายพวกอาตมภาพก็เป็นพระเป็นสงฆ์ก็มีแต่เที่ยวบิณฑบาต ขอท่านได้แก้ปล่อยอาจารย์ออกมาก่อนแล้ว อาตมภาพจะนำของเหล่านี้มอบให้ท่านทั้งสิ้น ฝ่ายโจรเหล่านั้นเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าตาสงฆ์แกเหนียวแน่นสามเณรเล็กนี้ดีไม่ขี้เหนียว นายโจรทั้งสองจึงบอกให้พวกบริวารโจรเหล่านั้นแก้มัดพระถังซัมจั๋งลงมา แล้วก็ขึ้นม้าหนีไป เห้งเจียเอาแซ่หวดม้าเข้าสองสามทีม้าก็วิ่งไปทางเก่า เห้งเจียร้องว่าไปผิดทางแล้วเห้งเจียจะฉวยห่อวิ่งตามไป พวกโจรก็เข้าล้อมสะกัดไว้ถามว่าจะไปข้างไหนข้าวของเอาไว้ก่อนอย่าให้ถึงลงมือ เห้งเจียว่าของนั้นจะต้องปันเป็นสามส่วน นายโจรพูดว่าเจ้าเณรน้อยนี้กลับกลอกทำกลอุบายแต่พอให้อาจารย์หลุดเท่านั้น ของในนั้นมีมากน้อยเท่า​ใด ถ้ามีมากก็จะแบ่งปันให้ไปซื้อผลไม้กิน เห้งเจียว่าเอาข้าวของที่ไหนมามีเล่า พี่ทั้งสองหากเป็นนายโจรไปปล้นที่ไหนได้ข้าวของ ขอให้มาแบ่งให้แก่ข้าพเจ้าบ้างซิจึงจะชอบ นายโจรได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วพูดว่าเจ้าเณรนี้ไม่รู้จักความตายเลย ข้าวของก็ไม่ยอมให้กลับจะมาขอแบ่งส่วนเอาที่ข้าจงดูไม้ตะพดลายนี้เถิด นายโจรก็ตีศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที เห้งเจียก็มิได้แสดงความเจ็บปวดหน้าตาปรกติอยู่กลับหัวเราะเสียงดังสนั่น พูดว่าพี่ถ้าตีดังนี้ตีอีกพันทีก็ไม่รู้สึกว่าเจ็บอย่างไร นายโจรเห็นดังนั้นก็ตกใจพูดว่าเจ้าเณรน้อยคนนี้หัวมันช่างแข็งจริง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าไม่แข็งถึงดังนั้นดอกพูดเล่นตามการดังนั้นเอง พวกโจรก็ไม่ฟังถ้อยคำกรูเข้ามาสามสี่คนตีเห้งเจีย เห้งเจียร้องห้ามว่าท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งโกรธก่อน รอข้าพเจ้าจะเอาออกมาให้ พูดแล้วเห้งเจียก็ชักออกจากหูเป็นเข็มปักอันหนึ่งแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนบวชเรียนเงินทองไม่มี ๆ แต่เข็มเล่มหนึ่งนี้ให้แก่ท่านเท่านั้น
   นายโจรก็นึกเสียใจว่าปล่อยพระสงฆ์ที่มีเข้าของไปเสียแล้ว จับสามเณรคนจนไว้เราไม่เข้าใจเย็บสอยจะเอาเข็มไปทำอะไรได้ เห้งเจียเห็นนายโจรพูดว่าไม่ต้องการก็จับแกว่งทีหนึ่ง ก็ใหญ่ขึ้นเท่าตะบองอันหนึ่งปักลงยังพื้นแล้ว ร้องบอกว่าท่านทั้งหลายมาถอนเอาไปได้แล้วข้าพเจ้าจะยกให้ นายโจรทั้งสองก็มาสั่นถอน คิดดูก็น่าสงสัย เปรียบประดุจตั๊กแตนจับเสาศิลา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กระโดดมา​จับถอนเบา ๆ ก็ขึ้นแล้วเอาตะบองชี้พวกโจรว่า พวกเจ้าไม่รู้จักมาโดนเข้าเสียแล้ว นายโจรโกรธเอาพลองตีศรีษะเห้งเจียอีกห้าหกสิบที เห้งเจียก็หัวเราะพูดว่า พวกเจ้าตีข้าเมื่อยมือแล้ว ทีนี้จะต้องให้ข้าตีบ้าง ว่าแล้วเห้งเจียก็ออกท่าตะบองหวดไปทีหนึ่ง ถูกนายโจรล้มลงกับพื้นสิ้นใจตาย นายโจรอีกคนหนึ่งเห็นดังนั้น ก็ด่าว่าอ้ายโล้นนี้ไม่รู้จักธรรมเนียม ข้าวของก็ไม่ให้กลับมาฆ่าคนเสียดังนี้ เห้งเจียว่าจงเงียบยับยั้งก่อน คอยเราตีเสียให้ตายทุกคนให้สิ้นรากเหง้าจึงจะได้ ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองหวดไปทีหนึ่งถูกนายโจรล้มลงตายอีกคนหนึ่ง พวกบริวารเหล่านั้นก็ตกใจพากันวิ่งหนีไปทั้งสิ้น
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกำลังม้าวิ่งกลับไป ก็มาพบโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ๆ ร้องว่าอาจารย์ทำไมเดินมาทางนี้เล่า ผิดทางเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งชักม้าหยุดแล้วพูดว่า จงรีบไปบอกแก่เห้งเจียว่า อย่าให้ลงตะบองเลย จงเห็นแก่เพื่อนมนุษย์เถิดอย่าทำให้ถึงแก่ความตายเลย โป๊ยก่ายว่าอาจารย์จงหยุดพักก่อน ข้าพเจ้าจะไปบอกเธอเอง พูดแล้วโป๊ยก่ายก็รีบวิ่งไปใกล้จะถึง ร้องตะโกนว่าพี่เห้งเจีย พระอาจารย์สั่งว่าอย่าตีคนเลย เห้งเจียว่าใครได้ทันตีใครที่ไหนเล่า โป๊ยก่ายถามว่าพวกโจรไปข้างไหนหมดเล่าจึงไม่เห็นสักคนเดียว เห้งเจียบอกว่าพวกบริวารของมันหนีไปหมดแล้ว เหลือแต่นายมันสองคนยังนอนหลับอยู่ โป๊ยก่ายเดินเข้ามาใกล้แลดูเห็นคนนอนอยู่ น้ำเมือก​อะไรไหลออกมาเปรอะหัวดังนั้น เห้งเจียบอกว่าพี่พึ่งตีตายหัวสมองทะเล้นเยื่อออกมา
   โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ตกใจวิ่งกลับไปบอกพระถังซัมจั๋งว่า พวกโจรกลับไปหมดแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่า มันไปทางไหน โป๊ยก่ายบอกว่าพี่เห้งเจียตีนอนตายอยู่สองคน พวกนั้นมันหนีไปหมดแล้ว แต่จะไปทางไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจ บ่นว่าน่าแค้นอ้ายลิงแท้ ๆ ใจคอช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ตีเขาจนถึงแก่ความตาย พูดดังนั้นแล้วก็ชักม้ากลับมาพร้อมด้วยโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเดินมา ครั้นถึงที่ ๆ โจรตายนั้นแล้วแลเห็นโลหิตออกเลอะพื้นดิน คนตายก็นอนอยู่กับพื้น พระถังซัมจั๋งไม่พอใจจะแลดู จึงสั่งให้โป๊ยก่ายเอาไปฝังเสีย อาตมภาพจะสวดมนต์สักจบหนึ่ง
   โป๊ยก่ายว่าอาจารย์เห็นจะผิดดอกกระมัง ก็เห้งเจียตีคนตายจะให้ข้าพเจ้าเป็นสัปเหร่อจะได้อยู่หรือ เห้งเจียถูกอาจารย์ว่าใจคอไม่สู้จะสบาย ครั้นได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงตวาดโป๊ยก่ายว่าอ้ายชาติหมูยังไม่รีบเอาไปฝังหรือ ประเดี๋ยวจะล่อด้วยตะบองตายตามอ้ายโจรไปอีกศพเดี๋ยวนี้ โป๊ยก่ายตกใจกลัวรีบไปข้างเนินเขา เอาคราดสับดินลงขุดหลุมแล้ว แบกเอาศพทั้งสองใส่ลงไปเอาดินกลบแน่นแล้วเอาดินมูลขึ้นเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงหยิบดินจุดธูปอธิษฐานว่า นายโจรจงฟังอาตมภาพจะขออธิษฐาน เหตุคิดถึงสานุศิษย์ของอาตมภาพ เพราะพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปไซที​อาราธนาพระธรรม มาถึงที่นี่พบท่านหลายคน อาตมภาพอ้อนวอนว่ากล่าวแต่ถ้อยคำที่ดี ท่านก็มิได้เชื่อฟัง จึงมาปะเห้งเจียมือร้ายใจกล้า ตีด้วยตะบองถึงแก่ความตาย อาตมภาพสงสารคิดถึงซากศพนอนอยู่กลางดิน จึงให้โป็ยก่ายเอาไปฝังแล้ว แม้ว่าลงไปยังนรกฟ้องแก่พระยามัจจุราชต้องตามเหตุผล เห้งเจียแซ่ชึงอาตมภาพแซ่ตั๊นฆ่ามีตัวอยู่อย่าฟ้องอาตมภาพเลย
   โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์ต้องชี้แจงให้หมดจด คือเมื่อเวลาเธอตีนั้น ข้าพเจ้าและซัวเจ๋งไม่ได้อยู่ที่นั่น พระถังซัมจั๋งก็กล่าวตามคำโป๊ยก่ายว่า แม้ว่าฟ้องก็จงฟ้องแต่เห้งเจียคนเดียว ที่โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งนั้นมิได้เกี่ยวข้อง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ท่านเป็นผู้ใหญ่ช่างไม่มีจิตกตัญญูเลย เพราะว่าเพื่อด้วยอาจารย์ไปอาราธนาพระธรรม ได้ความทุกข์ทรมานนั้นเท่าไรแล้ว มาวันนี้ข้าพเจ้าพลั้งผิดตีโจรร้ายตายสองคน ท่านไปชี้สอนให้มันไปฟ้องข้าพเจ้ายังพระยามัจจุราช ข้าพเจ้าตีมันตายก็จริงแต่ท่านไปอาราธนาพระธรรม ถ้าข้าพเจ้าไม่เป็นสานุศิษย์ของท่านตามมาที่ไหนจะได้ตีคนตายเล่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะมีคำสั่งบ้าง ว่าแล้วก็ถือไม้ตะบองมายืนข้างหลุมผี กระทุ้งสามทีแล้วพูดว่าอ้ายโจรตายโหงเองจงฟังเราพูดเรายอมให้เองตีเราก่อนเจ็ดที แล้วก็ตีอีกเจ็ดทีแปดทีเราก็ไม่เจ็บไม่ช้ำ เจ้าทำให้เราได้ความเดือดร้อนเราจึงได้ตีเจ้าตาย ​ต่อให้เจ้าไปฟ้องที่ไหนเราก็ไม่กลัว เง็กเซียงฮ่องเต้ท่านรู้จักเรา เทพบุตรทั้งหลายก็เคยชอบกัน ดาวรอบท้องฟ้าก็เป็นเพื่อนแก่เรา เทพารักษ์และพระภูมิเจ้าที่ก็เกรงใจเรา เทพยดารักษาจักรวาลก็ชอบกันสนิท ทุก ๆ เขตภูมิเจ้านายศักดิ์สิทธิ์ทั้งพระยามัจจุราชก็เกรงใจทั้งสิ้นตามแต่เจ้าจะไปฟ้องเราเถิดเราไม่กลัวทั้งสิ้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ จึงพูดว่าอาตมภาพกล่าวคำอธิษฐานดังนั้นก็ปราถนาจะให้เป็นคนดี ตัวทำไมจึงถือเอาเป็นจริงดังนั้นเล่า เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ได้พูดไปแล้วก็ช่างเถิด เวลายังวันอยู่รีบไปหาที่อาศัยเถิด พระถังซัมจั๋งจิตก็ยังไม่หายโกรธ จึงขึ้นหลังม้าเห้งเจียยังขุ่นในใจอยู่ อาจารย์กับศิษย์ต่างดีแต่หน้าในใจก็ต่างติเตียนกัน เดินมาสักประเดี๋ยวแลไปข้างหน้า เห็นที่ข้างทางใหญ่เข้าไปในแนวป่านั้นมีหมู่บ้าน พระถังซัมจั๋งเอาแซ่ม้าชี้พูดว่าพวกเราเข้าไปพักที่หมู่บ้านนั้นเถิด แล้วก็พากันเดินเข้าไปถึงที่หน้าบ้าน พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา พระถังซัมจั๋งจึงทักถาม ตาเฒ่าจึงถามว่าพระสงฆ์ท่านมาแต่เมืองไหนจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพนี้อยู่เมืองใต้ถัง จะไปไซทีอาราธนาธรรม มาถึงนี่ก็จวนค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจะลาไป
   ตาเฒ่าพูดว่าหนทางตั้งแต่เมืองท่านมาถึงที่นี่มิใช่ใกล้ ทำไมท่านผู้เดียวจึงได้มาถึงที่นี่ได้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมภาพมีศิษย์​มาด้วยสามคนเป็นเพื่อน ตาเฒ่าถามว่าก็สานุศิษย์อยู่ที่ไหนเล่า พระถังซัมจั๋งเอามือชี้ว่าที่ยืนอยู่ข้างทางนั่นและ ตาเฒ่าก็แลไปเห็นทั้งสามคนหน้าตาหยาบคายไม่น่าดูทุก ๆ คน ตาเฒ่าหันกลับจะเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งยึดไว้แล้วพูดว่าท่านตาจงเมตตาขอให้อาศัยพักสักคืนหนึ่งเถิด ตาเฒ่าสั่นศรีษะโบกมือพูดว่าไม่ใช่อย่างคน จะเป็นยักษ์มารอะไรก็ไม่รู้ คนหนึ่งคล้ายเงือก คนหนึ่งคล้ายม้าปากยาว คนหนึ่งหน้าคล้ายกับรามสูร  เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้นก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ที่คล้ายเงือกนั้นคือเหลนของข้าพเจ้า ที่หน้าเหมือนม้านั้นคือโหลนของข้าพเจ้าเอง ตาเฒ่าเห็นหน้าตาเห้งเจียดังนั้นใจคอไม่สบายจะถอยเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งจึงตามเข้าไปในบ้าน ข้างในบ้านมียายเฒ่าคนหนึ่งจูงเด็กอายุประมาณสักหกขวบ เดินมาถามว่าอะไรกันที่ไหน พระถังซัมจั๋งจึงเล่าให้ยายเฒ่าฟังทุกประการว่า อันสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น รูปร่างหยาบคายก็จริง แต่สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัตทั้งสามคน ไม่เหมือนคนโหดร้ายทั้งหลายดอก จะกลัวเธอทำไม
   ตายายเฒ่าทั้งสองได้ฟังชี้แจงดังนั้น จึงค่อยหายความกลัวจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งให้เชิญเข้ามา พระถังซัมจั๋งจึงเดินออกไปสั่งศิษย์ทั้งสามว่า จงระมัดระวังกิริยาให้เรียบร้อย ศิษย์ทั้งสามก็จูงม้าพาหาบเข้าไปยังเรือนตาเฒ่า นั่งพักคอยฟังอาจารย์จะใช้สอย ฝ่ายยายเฒ่ามีจิตศรัทธาจึงจัดแจงยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง เวลานั้นก็จวนจะโพล้เพล้ คนในบ้านก็จัดแจงตามตะกียงและโคมไฟสว่าง​ไสว พระถังซัมจั๋งถามตาเฒ่าว่าท่านแซ่อะไร อายุได้เท่าใดแล้ว ตาเฒ่าตอบว่าข้าพเจ้าแซ่เอี่ยวอายุได้เจ็ดสิบสี่ปีแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่ามีบุตรกี่คน ตาเฒ่าบอกว่ามีคนเดียวที่ยายแก่จูงมานั้นแลคือหลาน พระถังซัมจั๋งขอพบบุตรชาย ตาเฒ่าพูดว่าข้าพเจ้าก็แก่แล้วเลี้ยงลูกคนนี้แสนจะลำบากกับมันวันนี้พ่อมันไม่อยู่ พระถังซัมจั๋งถามว่าไปค้าขายที่ไหนหรือ
   ตาเฒ่าสั่นศรีษะพูดว่าคิดแล้วก็น่าสงสาร แม้ว่าชอบค้าขายก็เป็นบุญของข้าพเจ้า อันกิจการบ้านเรือนไม่เอาเป็นธุระทั้งสิ้น ตั้งใจทำแต่การอัปยศไม่มีความดี เที่ยวคบค้าคนพาลตีชิงวิ่งราวสกัดทางขวางหน้าฆ่าคนสารพัดจะเป็นแต่การอกุศลทั้งสิ้น เมื่อห้าวันหายไปไม่เห็นกลับมาจนวันนี้ พระถังซัมจั๋งไม่ซักถามต่อไปอีก นึกแต่ในใจว่าเห็นจะเป็นอ้ายโจรที่เห้งเจียตีตายนั้นดอกกระมัง แล้วพระถังซัมจั๋งพูดว่าพ่อแม่จิตใจเป็นกุศล เหตุไฉนบุตรจึงได้เป็นไปเช่นนั้น เห้งเจียว่าลูกอย่างนี้ไม่ใช่คนดีเลี้ยงไว้ทำไม ข้าพเจ้าจะช่วยจับตีเสียให้ตายจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ตาเฒ่าว่าข้าพเจ้าก็อยากจะให้มันพ้นหูพ้นตาไปเสียขัดด้วยผู้คนก็ไม่มีจึงต้องนิ่งอยู่ ไว้มันเพื่อให้ช่วยกลบดินให้ข้าพเจ้าเมื่อภายหลัง ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าว่าดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า พี่เห้งเจียอย่าพูดสนุกปากไป ขอหญ้าท่านตาสักมัดหนึ่ง หาที่ปูลาดนอนพักพรุ่งนี้จะได้ไป ตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็นำพาอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนออกไปที่สวน ชี้ให้อาศัยอยู่ที่กระท่อมน้อยแล้ว​ตาเฒ่าก็กลับเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พักนอนอยู่ที่นั่น
   ฝ่ายพวกโจรนั้น ลูกตาเฒ่ากับพรรคพวกอยู่ในหมู่นั้นด้วย เมื่อเวลาเช้าเห้งเจียตีนายโจรตายเสียสองคน พวกบริวารเหล่านั้นก็พากันซุกซ่อนวิ่งหนีเอาตัวรอด พอเวลายามสามมารวมกันเป็นหมู่มาเคาะประตูเรียกตาเฒ่า ๆ กำลังนอนได้ยินก็เดินออกมาเปิดประตู ได้ยินพวกโจรบ่นว่าหิวข้าว ๆ ฝ่ายลูกชายตาเฒ่าก็ไปในบ้านเรียกลูกเมียตื่นขึ้นหุงข้าวต้มแกง ก็เลยไปหลังสวนหอบฟืนเข้ามาแล้ว ถามภรรยาว่าม้าขาวที่หลังสวนนั้นของใคร ภรรยาบอกว่าม้าของพระสงฆ์ที่ท่านมาจากเมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อเย็นนี้ท่านมาขออาศัยพักนอน พ่อแม่เลี้ยงดูเธอแล้ว จึงชี้ให้อาศัยกระท่อมน้อยนอน
   ลูกตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ดีใจออกไปนอกบ้านตบมือหัวเราะบอกแก่พวกกันว่า เหมาะแล้ว ๆ คนพยาบาทแก่พวกเราอยู่ในบ้านเรา พวกเหล่านั้นถามว่า คนพยาบาทใครที่ไหน ลูกตาเฒ่าบอกว่าพวกพระสงฆ์ที่ตีนายเราตายนั้นเป็นไรเล่า บัดนี้มาอาศัยนอนอยู่ที่ในสวนหลังบ้านเรากำลังนอนหลับ พวกโจรพากันพูดว่าดีแล้ว ๆ จับเอาตัวให้ได้แล้วสับฟันให้เนื้อป่นละเอียด จะได้แก้แค้นแทนให้นายเรา ลูกตาเฒ่าห้ามว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน จงพากันออกไปลับมีดให้คมก่อน
   ฝ่ายตาเฒ่าแอบได้ยินพวกโจรคิดกันดังนั้น จึงค่อย ๆ เดินออกไปสวนปลุกพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามให้ตื่นขึ้นแล้ว บอกว่า​พวกโจรนั้นพาพวกมามากหลายคน รู้ว่าพวกท่านมาพักอยู่ที่นี่มันจะคิดฆ่าพวกท่าน ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าท่านมาจากเมืองไกล ไม่พอใจจะให้ฆ่าท่าน จงรีบเก็บเข้าของข้าพเจ้าจะส่งท่านให้ไปทางหลังสวน พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นก็ขอบคุณเป็นที่สุด ตาเฒ่าก็กลับมานอนต่อไป ฝ่ายพวกโจรครั้นลับหอกดาบแล้ว ก็พากันมากินข้าวเวลานั้นพอย่างเข้ายามสามแล้วก็พร้อมกันต่างถืออาวุธต่าง ๆ ตรงมายังหลังบ้านที่สวนแลไปไม่เห็นคน จึงจุดใต้คบค้นหารอบสวนก็ไม่เห็น เห็นประตูหลังบ้านเปิดทิ้งอยู่ จึงพูดกันว่าเห็นจะหนีไปทางนี้ ก็พากันโห่ร้องไล่ตามไปจนเวลาตะวันขึ้นก็ยังเร่งรีบไล่ตาม
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อออกจากประตูสวนก็รีบเดินมา ได้ยินเสียงโห่ร้องมาตามหลัง จึงหันมาแลดูเห็นเป็นหมู่ประมาณสักสามสิบคน ล้วนมีมือถืออาวุธวิ่งตามมาจึงพูดแก่ศิษย์ทั้งสามว่าเราจะทำอย่างไรดี เห้งเจียว่าจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระป้องกันปราบปรามเอง พระถังซัมจั๋งจึงว่าเห้งเจียทำแต่พอให้เข็ดหลาบเกรงกลัวแล้วถอยไปเท่านั้น อย่าทำให้ถึงแก่ล้มตายเลย ครั้นพวกโจรไล่มาใกล้เข้าแล้ว เห้งเจียก็ชักตะบองหันหน้ามาสถัด ถามว่าท่านทั้งหลายจะพากันไปข้างไหน พวกโจรด่าว่าอ้ายพวกหัวโล้นมึงจงใช้ชีวิตของนายกู ด่าแล้วต่างคนก็เข้าล้อมเห้งเจีย ๆ ก็เอาตะบองฟาดซ้ายฟาดขวา พวกโจรก็ล้มราบลงไปทั้งสิ้น บ้าง​ก็ตายบ้างก็เจ็บบ้างก็ลุกวิ่งหนีไป พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้า เห็นเห้งเจียตีคนตายหลายคน ไม่อยากจะเห็นก็รีบขับม้าเดินไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็วิ่งติดตามไป เห้งเจียจึงถามพวกโจรที่ถูกเจ็บว่า คนไหนเป็นบุตรตาเฒ่า
   พวกโจรเจ็บครางร้องบอกว่าคนที่สวมเสื้อสีเหลืองนั่นแลบุตรตาเฒ่า เห้งเจียตรงมาฉวยมีดตัดเอาศรีษะหิ้วขึ้นเลือดกำลังสดไหลอยู่ เห้งเจียก็รีบเดินตามมาทันพระถังซัมจั๋ง ยกศรีษะขึ้นบอกพระอาจารย์ว่า ศรีษะนี้คือศรีษะของบุตรตาเฒ่าอ้ายคนอกตัญญูข้าพเจ้าตัดเอาศรีษะมา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจสิ้นสติพลัดตกจากหลังม้า ครั้นได้สติจึงด่าว่าอ้ายชาติลิงมึงเหมือนฆ่าเราจงรีบเอาไปให้พ้น โป๊ยก่ายก็เอาศรีษะนั้นไปกลบดินเสีย ซัวเจ๋งจึงเข้าประคองอาจารย์ขึ้นม้า พระถังซัมจั๋งร่ายพระคาถายี่สิบจบ ก็จับรัดศรีษะเห้งเจียเจ็บปวดหมุนคว่ำลงกับพื้น เห้งเจียร้องว่าพระอาจารย์ ผิดพลั้งอย่างไรก็จงพูดจากันเถิด อย่าทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ไม่มีเรื่องอะไรไม่ให้เจ้าตามเราไปอีกจงกลับเถิด เห้งเจียกำลังเจ็บอุตส่าห์พูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไล่ให้ข้าพเจ้ากลับเล่า
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอ้ายคนร้ายไม่ใช่คน ตั้งใจจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อวานนี้ฆ่านายโจรตายเสียสองคน เราก็ไม่พอใจว่าคนไม่มีเมตตาจิต จนถึงบ้านตาเฒ่าได้พึ่งเขาให้ข้าวให้น้ำและพักอาศัยนอน ทั้งเขายังได้เปิดประตูให้หนีพ้นภัย แม้ว่าลูกจะชั่วร้ายอย่างไรก็ไม่ควรจะไปตัดเอา​ศรีษะเขามาทำไมหาใช่เหตุไม่ เราได้สั่งสอนอยู่เสมอ ๆ จิตใจก็ไม่มีเมตตาสักเท่าเส้นผม เราจะเอาเจ้าไว้ทำไม เจ้าจงรีบไปเสียโดยเร็วอย่าให้ถึงแก่ร่ายคาถาอีก เห้งเจียจึงว่าอาจารย์อย่าร่ายคาถาเลยข้าพเจ้าจะไป ว่าแล้วก็เหาะขึ้นบนเวหา
(บทที่ ๕๗)
   ฝ่ายเห้งเจียลอยอยู่บนกลางอากาศ คิดจะกลับไปยังถ้ำเดิมของตัว ก็นึกอายแก่พวกลิงบริวาร แต่ตรึกตรองอยู่นานจะไปจะอยู่ก็แสนยาก จึงคิดขึ้นมาได้ว่าอย่ากระนั้นเลย เรากลับไปหาอาจารย์ดูอีกสักครั้งหนึ่งเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลดลงมายังพื้นเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ขอพระอาจารย์ยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด สืบต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าจะไม่ทำอีกต่อไป พระถังซัมจั๋งไม่ได้ตอบว่ากะไร ชักม้าหยุดร่ายคาถา เห้งเจียเจ็บปวดก็ล้มลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมยังไม่ไปให้พ้น ยังจะกลับมาพันธ์ผูกอาตมาทำไม เห้งเจียร้องว่า อาจารย์อย่าร่ายคาถาเลย ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าวิตกว่าไม่มีข้าพเจ้าไปด้วย อาจารย์ไปจะไม่ถึงไซที
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ด่าว่าอ้ายชาติลิงโหดร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่มีดี แม้ว่าเราจะไปถึงหรือไม่ถึงก็ไม่เกี่ยวอะไรแก่เจ้าจงรีบไปให้พ้น ถ้าขืนอยู่ช้าเราจะร่ายคาถาไม่หยุด เห้งเจียเห็นอาจารย์ไม่มีความอาลัยแล้ว ก็สุดที่จะคิดอ่านชี้แจงพูดจาต่อไป จึงเหาะขึ้นบนเวหาก็นึกขึ้นได้ว่าสงฆ์นี้ช่างไม่คิดถึง​คุณของเราเลย จำเราจะไปหาพระกวนอิมเล่าให้ท่านฟัง คิดดังนั้นแล้วก็เหาะตรงไปยังน่ำไฮ้ บัดเดี๋ยวใจก็ถึงน่ำไฮ้ เห้งเจียก็เข้าไปยังสำนัก ครั้นถึงประตูใหญ่มีบัดจากับเสี้ยนใช้นำพาไปหาพระโพธิสัตว์ เห้งเจียก็เดินตามเข้าไป เหลือบขึ้นไปเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่น เห้งเจียก็ย่อตัวกราบนมัสการลงกับพื้นแล้ว ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นก็ให้บัดจาพยุงขึ้น พระโพธิสัตว์จึงถามว่า เห้งเจียมีความขัดข้องอย่างไรหรือ จงบอกมาให้เราแจ้ง อาตมภาพจะได้แก้ไขให้
   เห้งเจียร้องไห้พลางพูดพลางว่า ข้าพเจ้าตั้งใจได้รับแต่ความทุกข์ยาก พึ่งพระบารมีท่านปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนให้ และให้ข้าพเจ้าตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที เพื่ออาราธนาพระธรรม ข้าพเจ้าก็ตั้งใจหาได้คิดแก่ร่างกายแลพชีวิต ปลดเปลื้องมารร้ายให้แก่เธอก็เพราะความปราถนาจะใคร่ได้มรรคผลในเบื้องหน้า ลบล้างความผิดที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน พระถังซัมจั๋งเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณของข้าพเจ้า มาหลงด้วยจิตอกุศลมิได้ตรึกตรองให้เห็นดำและขาว มาขับไล่ข้าพเจ้ามิให้ติดตามไปดังนี้ พระโพธิสัตว์ถามว่าการดำขาวนั้นเป็นอย่างไร จงแสดงซึ่งเหตุผลให้เราฟังดูจะเป็นประการใด เห้งเจียจึงยกเหตุที่ฆ่าพวกโจรและบุตรตาเฒ่านั้น ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ
   ​พระโพธิสัตว์จึงพูดว่า พระถังซัมจั๋งถือมั่นในสันดานโดยความกุศลไม่มีความประมาท ไม่ทำสัตว์ที่มีชีวิตและวิญญาณให้ตกล่วงไป เห้งเจียถึงมีฤทธาอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ก็จริง อันลูกตาเฒ่าผิดก็จริงแต่ยังเป็นส่วนมนุษย์ หากจะตัดสินโดยความตรง ข้อผิดนั้นจะตกอยู่แก่เห้งเจีย เห้งเจียก็กราบลงร้องไห้ว่า แม้ข้าพเจ้ามีความผิดไม่ชอบธรรมก็จะต้องเอาคุณหักโทษ ไม่ถึงแก่เหตุที่จะไล่ข้าพเจ้า ขอพระบารมีได้กรุณา ท่านร่ายพระคาถาถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออกคืนให้ท่าน ปล่อยข้าพเจ้ากลับไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเถิด พระโพธิสัตว์หัวเราะแล้วพูดว่า อันห่วงมงคลนั้นของพระยูไลให้มา อาตมาไม่มีคาถาอะไรจะถอนได้ เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะขอกราบลาไป พระโพธิสัตว์ถามว่าท่านจะไปข้างไหน เห้งเจียว่า จะไปไซทีหาพระยูไลให้ถอนมงคลนี้ออก พระโพธิสัตว์พูดว่าเห้งเจียจงรอก่อน อาตมภาพจะเล็งญาณดู สมาโทษให้อย่างไหนจะดี
   พระโพธิสัตว์จึงนั่งบัลลังก์บัว เข้าที่แผ่ใข่ญาณสำรวมสามคนเข้าแล้ว เอาปัญญาจักษุเล็งดูรอบ บัดเดี๋ยวก็ออกจากตนพูดว่า เห้งเจียบัดเดี๋ยวพระถังซัมจั๋งจะได้รับความคับแค้นถึงตัว ไม่ช้าก็จะต้องตามมาหาตัวเห้งเจียที่นี่ จงคอยอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ไว้อาตมภาพจะบอกแก่พระถังซัมจั๋ง ให้เห้งเจียไปไซทีด้วยจึงจะสำเร็จมรรคผล เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์ดังนั้น จึงยกมือขึ้นนมัสการยืนคอยอยู่ข้างหลัง ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งตั้งแต่ไล่เห้งเจียไปแล้ว ก็ให้โป๊ยก่ายจูงม้าซัวเจ๋งหาบของรีบเดินไป เดินทางมาได้ห้าสิบโยชน์ พระถังซัมจั๋งยอม้าหยุดร้องบอกศิษย์ว่า ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ยามสามออกจากบ้านตาเฒ่า แลทั้งถูกเห้งเจียทำการไม่พอใจให้ลมเสีย เวลาก็จวนเพลท้องออกหิวและอยากน้ำ แลใครจะไปบิณฑบาตมาให้กินเล่า โป๊ยก่ายพูดว่า นิมนต์ท่านลงจากหลังม้าหยุดพักคอยข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตเอง พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นก็ลงจากม้านั่งพักคอยอยู่ โป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นกลางอากาศมองดูรอบทั้งแปดทิศแล้วก็ลงยังพื้นบอกแก่อาจารย์ว่า ไมมีที่จะบิณฑบาตเพราะบ้านเรือนไม่มี พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ไม่มีข้าวกินหาแต่น้ำมากินแก้หายอยากก่อนเถิด โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ ว่าแล้วก็ฉวยบาตรเหาะไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งคอยอยู่ข้างทางหลายชั่วโมงก็ไม่เห็นโป๊ยก่ายกลับมา พระถังซัมจั๋งเวลานั้นอยากน้ำ  น้ำลายแห้ง ทั้งหิวทั้งอยากน้ำทุรนทุรายไม่มีความสุข ซัวเจ๋งคอยโป๊ยก่ายไม่เห็นมา ก็เอาหาบวางลงแล้วพูดว่า พระอาจารย์คอยอยู่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ พระถังซัมจั๋งนั่งร้องไห้พูดไม่ออก ซัวเจ๋งก็เหาะไป ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่แต่ผู้เดียวในทันใดนั้น ได้ยินเสียงตึงตังพระถังซัมจั๋งตกใจแลไปดูเห็นเห้งเจียคุกเข่าอยู่ข้างทางสองมือยกคนโทน้ำมาถวาย พูดว่าอาจารย์ไม่มีข้าพเจ้าจะได้น้ำมาจากไหน น้ำนี้เย็นใสดีนิมนต์อาจารย์ฉันแก้อยากก่อน แล้วข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตมาถวาย
   พระถังซัมจั๋ง​ได้ฟังดังนั้นพูดว่า แม้ว่าเราจะตายโดยความอยากน้ำก็ตามเถิด ซึ่งว่าน้ำของเจ้าเอามาเราไม่ต้องการ จงรีบไปเสียให้พ้น เห้งเจียพูดว่าไม่มีข้าพเจ้าไปไซทีจะไปไม่ได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าไปได้ไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรแก่เจ้า อ้ายชาติลิงยังไม่ไปให้พ้นมากวนเราทำไม ฝ่ายเห้งเจียก็มีความโกรธชี้หน้าตวาดว่าตาขรัวแก่มีใจอาธรรม์ ทำหยาบช้าแก่เรามากแล้ว ก็ยกไม้ตะบองเหล็กหวดถูกกระดูกสันหลังพระถังซัมจั๋งทีหนึ่ง ก็ล้มคว่ำสลบอยู่กับที่ เห้งเจียก็เอาถุงย่ามที่ใส่ข้าวของไปหมดแล้ว ก็เหาะไปไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ฝ่ายโป๊ยก่ายเหาะไปข้างซอกเขามีเรือนอยู่หลังหนึ่ง เดิมเขาสูงบังอยู่แลไม่เห็น ครั้นเหาะมาข้างหน้าเขาก็แลเห็นบ้าน โป๊ยก่ายคิดในใจว่าเรารูปร่างอย่างนี้จะเข้าไปบิณฑบาตเห็นจะไม่ได้เข้า จำเราจะแปลงกายเสียเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นร่ายคาถาแปลงเป็นรูปพระสงฆ์นิโรธรูปหนึ่งเดินเข้าไปยังประตูบ้าน ร้องเรียกว่าท่านเจ้าบ้านยังมีเข้าสุกเหลืออยู่บ้างหรือ คนเดินทางมามีความอดอยากอาตมภาพบิณฑบาตพอให้อาจารย์ฉันสักมื้อหนึ่ง
   ในบ้านนั้นผู้ชายออกไปนาเหลือแต่ผู้หญิงสองคน เห็นพระสงฆ์มาบิณฑบาตมีกิริยาป่วยไข้ดังนั้นก็เอาข้าวสุกออกมาถวายให้เต็มบาตร โป๊ยก่ายก็กลับแล้วแปลงรูปตามเดิม เดินมาตามทางเก่าพบซัวเจ๋ง จึงให้ซัวเจ๋งเอาผ้าห่อข้าวเอาบาตรไปตักน้ำได้แล้วก็พากันกลับมาหาอาจารย์ ครั้นมาถึงเห็นพระอาจารย์นอนฟุบอยู่กับดิน ม้าก็ยืนกระทืบเท้าอยู่ข้างทาง ถุง​ย่ามข้าวของก็สูญหายไปหมด โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ทุบอกพูดว่าไม่ต้องตรึกตรอง นี่คืออ้ายพวกโจรที่เห้งเจียตีมัน ๆ ยังเหลืออยู่จึงตามมาฆ่าอาจารย์เราดังนี้ มันเอาข้าวของไปหมด ซัวเจ๋งเอาม้ามาผูกแล้วก็เข้าประคองอาจารย์ร้องไห้ พระถังซัมจั๋งได้สติพลิกตัวฟื้นขึ้นเห็นในปากไอออกร้อน ๆ และที่หน้าอกยังร้อน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งรู้สึกจึงบอกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าอาตมภาพยังไม่ตายดอก โป๊ยก่ายก็เข้าประคองให้นั่ง พระถังซัมจั๋งจึงบ่นว่าอ้ายชาติลิงมันมาทำเราดังนี้
   ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายถามว่าอ้ายชาติลิงที่ไหนมาทำแก่พระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งกินน้ำแล้ว พูดว่าสานุศิษย์ทั้งสองไปแล้ว เห้งเจียก็มารบกวนจะใคร่ขอร่วมไปไซทีด้วย อาตมภาพไม่รับรองเป็นอันขาด มันโกรธจึงเอาตะบองตีแล้วเก็บเอาถึงย่ามข้าวของไปหมด โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธด่าว่า อ้ายลิงมันสามารถทำแก่อาจารย์ได้ถึงเพียงนี้พูดดังนั้นแล้ว จึงสั่งให้ซัวเจ๋งอยู่เฝ้าอาจารย์ เราจะไปทวงตามเอาถุงย่ามและเข้าของ ซัวเจ๋งว่าพี่อย่าเพิ่งวุ่นวายเราคิดให้อาจารย์ไปพักที่บ้านนั้นก่อน จะได้หาน้ำร้อนน้ำชาให้เธอฉันแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายพยุงอาจารย์ขึ้นม้า แล้วก็พากันเดินมายังบ้านที่บิณฑบาตนั้น ครั้นถึงประตูบ้าน ในบ้านนั้นยังเหลือแต่ยายเฒ่าคนเดียว แลเห็นอาจารย์กับศิษย์พากันมา ก็หลบเข้าในบ้านบอกว่าไม่มีคนอยู่ เชิญไปที่อื่นเถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็เกาะโป๊ยก่ายลงจากม้าแล้ว เดินมาข้างประตูปราศรัยพูดว่า ท่านยายได้กรุณาด้วยเถิด อาตมภาพมีศิษย์สามคนพร้อมใจกันจะไปไซที บัดนี้ศิษย์คนใหญ่มันคิดร้ายใจพาล อาตมภาพไล่มันให้กลับไปเสียก็ไม่รู้เลย ว่าเธอจะมาทำร้ายอาตมภาพ คือได้มาตีเอาทีหนึ่งแล้วก็ลักเอาถุงย่ามเข้าของไป อาตมภาพจะให้ไปตามเอาของจะพักอยู่กลางทางก็ไม่สมควร จึงได้มาจะขออาศัยที่บ้านท่านยายพอให้ไปทวงของมาได้แล้ว อาตมภาพก็จะลาไปไม่อยู่ช้า ยายเฒ่าพูดว่าเมื่อตะกี้ก็มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตว่าอาจารย์อยู่เมืองใต้ถังจะไปไซที นี่ทำไมจึงมีมาอีกเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้น อดไมได้ก็หัวเราะแล้วพูดว่าที่พระสงฆ์มาบิณฑบาตนั้นคือตัวข้าพเจ้าเอง เพราะรูปกายข้าพเจ้าหยาบคายวิตกกลัวจะไม่ให้เข้า จึงต้องแปลงตัวเป็นพระสงฆ์มาบิณฑบาต ท่านยายไม่เชื่อจงดูที่ห่อผ้าน้องข้าพเจ้า ใช่เข้าที่ท่านยายทำบุญไปหรือไม่ใช่ ยายเฒ่ามาพิเคราะห์ดูเข้าก็จำได้ว่าข้าวของตัวที่ทำบุญไป ยายเฒ่าจึงนิมนต์ให้เข้าพักในบ้าน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พากันเข้าไปพักในบ้าน ยายเฒ่าก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย ซัวเจ๋งเอาน้ำร้อนปนกับเข้าสุกให้อาจารย์ฉันสองสามคำ พระถังซัมจั๋งถามว่าใครจะไปตามเอาข้าวของโป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปไม่ได้ เพราะไม่ชอบกันทั้งจะพูดจาก็หยาบคาย เห้งเจียเป็นคนดุร้ายจะเสียการ ให้​ซัวเจ๋งไปจึงจะได้ ซัวเจ๋งก็รับว่าจะไป พระถังซัมจั๋งจึงสั่งว่าถ้าไปถึงแล้ว แม้ว่าเธอยอมคืนถุงย่ามให้มาจงทำเคารพนบนอบขอบคุณ หากเธอไม่ให้ก็อย่าสู้รบโต้ตอบ จงรีบข้ามไปหาพระโพธิสัตว์กวนอิม เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ท่านฟัง นิมนต์ท่านไปถามเธอชำระให้
   ซัวเจ๋งรับคำสั่งแล้วก็ร่ายคาถารีบเหาะตรงไปยังทิศบูรพา หมายเขาฮวยก๊วยซัว ซัวเจ๋งเหาะมาได้สามวันสามคืนก็มาถึงเชาฮวยก๊วยซัว ก็ลงยังยอดเขาเดินมายังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ซัวเจ๋งแอบเข้าไปใกล้พิศดูก็เห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา สองมือกำลังคลี่แผ่นหนังสืออ่านว่าชุมพูทวีปเมืองใต้ถัง ข้าพเจ้าครองราชสมบัติเป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม มีเหตุด้วยวิญญาณจิตของข้าพเจ้าลงไปยังเมืองนรก ขอบใจท่านพระยามัจจุราชได้ส่งวิญญาณกลับคืนมายังมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงทำมหากุศลแผ่อุทิศไปให้แก่พวกที่ต้องทรมานทุกข์ในนรกนั้นให้พ้นจากโทษ เวลานั้นมีพระโพธิสัตว์กวนอิมเสด็จมาชี้แจงว่า ที่ประเทศไซทีมีพระไตรปิฎกธรรม มีอภินิหารกุศลอาจโปรดพวกที่ตกอยู่ในอบายภูมิให้พ้นโทษได้ ข้าพเจ้าจึงให้พระสงฆ์แซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง เป็นพระถังซัมจั๋งไปยังประเทศไซทีสืบหาพระไตรปิฎกธรรมอันวิเศษ จะได้อาราธนามายังเมืองใต้ถัง แม้ว่าข้ามไปไซทีทุก ๆ เมือง ขอให้เห็นแก่กาลกุศลดูตามหนังสือเดินทางฉบับนี้ จงปล่อยให้ไปโดยสะดวกเถิด เมืองใต้ถัง​พระเจ้าเจงกวนเสวยราชสมบัติได้สิบสามปีประทับตราเก้าดวง
   ตั้งแต่ออกจากเมืองไป ข้ามทุก ๆ เมืองมาตามทางได้สานุศิษย์สามคน ๆ ใหญ่ชื่อซึงหงอคงเห้งเจีย คนที่สองชื่อหงอเหนงแซ่ตือโป๊ยก่าย คนที่สามแซ่ซัวชื่อหงอเจ๋ง ซัวเจ๋งอ่านดังนี้ตั้งแต่ต้นจนปลาย ซัวเจ๋งแอบได้ยินก็รู้ว่าหนังสือเดินทางของอาจารย์ จึงเดินเข้าไปใกล้ร้องเรียกพี่เห้งเจียหนังสือเดินทางของอาจารย์พี่อ่านทำไม เห้งเจียก็เงยหน้าแลไปจำซัวเจ๋งไม่ได้ จึงร้องให้จับตัวพวกบริวารวานรก็เข้าล้อมจับซัวเจ๋งลากมาหาเห้งเจีย ๆ ตวาดว่าเจ้าอยู่ที่ไหน จึงบังอาจมาแอบดูในที่ของเรา ซัวเจ๋งเห็นว่าเห้งเจียแปรปรวนทำไม่รู้จักจึงเคารพพูดว่า อันส่วนพี่นั้นพระอาจารย์ท่านไม่พอใจมีความขุ่นเคืองไล่พี่เสียมิให้ติดตามไปด้วย เมื่อเวลานั้นน้องก็ยังมิได้ขอร้องต่ออาจารย์ ครั้นข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายไปหาข้าวหาน้ำอยู่ข้างนี้พี่มีกะใจมาหาอาจารย์อีก ท่านก็ถือมานะมั่นไม่ให้ไป พี่เอาตะบองตีอาจารย์ล้มคว่ำลงกับพื้นแล้ว ก็เอาถุงย่ามข้าวของมาเสีย บัดนี้ข้าพเจ้าช่วยอาจารย์ฟื้นแล้ว จึงมาตามกราบเท้าพี่ แม้ว่าพี่คิดถึงเมื่อครั้งได้ออกจากเขาได้พ้นทุกข์แล้วนั้น เอาถุงย่ามกลับไปหาอาจารย์แล้ว จะได้พร้อมกันไปไซที แม้ว่าพี่ไม่ไปก็ขอแต่ถุงย่ามให้ข้าพเจ้าเอาไป พี่อยู่ที่นี่รับซึ่งความสุข อย่างนี้ก็จะดีทั้งสองฝ่าย
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ พูดว่าซัวเจ๋งคิดดังนั้นไม่​ถูกใจเรา เราคิดว่าตีพระถังซัมจั๋งแลเอาถุงย่ามมา ไม่ใช่จะไม่คิดไปไซที เราก็มิใช่จะอยากอยู่ที่นี่ เราอ่านหนังสือเดินทางให้คล่องแล้วเราก็จะไปไซทีเอง อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมส่งไปเมืองใต้ถังให้สำเร็จโดยลำพังของเราเอง ให้แพร่หลายในชมพูทวีปรู้ทั่วกัน จะได้ยกย่องเราเป็นพระมหาราชครู ชื่อเสียงเราจะได้ปรากฎต่อ ๆ ไปจะไม่ดีหรือ ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า พี่เห็นความดังนั้นไม่พอ การณ์เหตุเดิมมาก็หาได้กล่าวว่าซึ่งเห้งเจียไปอาราธนาพระธรรมไม่ พระพุทธเจ้าได้ไว้พระไตรปิฎกแก่พระโพธิสัตว์กวนอิม เสด็จมายังเมืองใต้ถังเที่ยวหาผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก และพระโพธิสัตว์พูดว่าผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้น คือชื่อกิมเสี้ยนโพธิสัตว์ เป็นสาวกของพระองค์ เพราะเธอขาดฟังธรรม พระยูไลปรับโทษให้ไปปฏิสนธิยังเมืองใต้ถังประเทศจีน บวชในพระพุทธศาสนาโดยทางปฏิบัติบำเพ็ญบารมีให้ใหญ่กว้าง เอาคุณถ่ายโทษกว่าจะบริบูรณ์ซึ่งมรรคผล เพราะฉะนั้นจึงมีมารยักษ์ร้าย พวกเราได้ปลดเปลื้องธุระมาทั้งสามคนเป็นผู้รักษาธรรม แม้ว่าไม่มีพระถังซัมจั๋งไปด้วยแล้ว พระยูไลองค์ใดจะยอมให้พระไตรปิฎกมาเล่า คิดดังนั้นจะมิเสียเวลาเปล่าหรือ
   เห้งเจียว่าน้องรู้หนึ่งไม่รู้สอง น้องพูดว่าน้องมีพระถังซัมจั๋งคุ้มไป เราก็มีพระถังซัมจั๋งจัดแจงไว้พร้อมแล้ว รอได้เวลาพรุ่งนี้เช้าเราก็จะไปไซที แม้ว่าไม่เชื่อเรา ๆ จะนิมนต์ออกมาให้ดู​พูดแล้วก็สั่งบริวารว่า จงไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งมา พวกวานรก็เข้าไปในประตูพยุงพระถังซัมจั๋งเดินออกมา มีม้าขาวตัวหนึ่งกับโป๊ยก่ายหาบของ ซัวเจ๋งถือไม้เท้าเดินตามมา ซัวเจ๋งแลไปเห็นดังนั้นก็โกรธพูดว่า เราไม่ได้เปลี่ยนรูปเปลี่ยนนามอะไร ทำไมจึงมีซัวเจ๋งที่ไหนมาอีกคนหนึ่งดังนี้ ซัวเจ๋งก็ชักตะบองตรงมาตีซัวเจ๋งแปลงล้มลงตายทันที เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องให้พวกบริวารล้อมจับ ซัวเจ๋งก็ตีฝ่าออกจากที่ล้อมได้แล้วก็รีบหนีออกจากทางเก่า เหาะขึ้นบนเวหาบ่นว่าอ้ายลิงมันถือดีดังนี้ เราจะเลยไปฟ้องพระโพธิสัตว์ให้ท่านทราบเรื่อง เห้งเจียเห็นซัวเจ๋งไปแล้วก็กลับเข้าถ้ำคัดเลือกลิงน้อยที่แปลงได้ ให้แปลงเป็นรูปซัวเจ๋งไว้อย่างเดิม แล้วก็สั่งให้ไปไซที
   ฝ่ายซัวเจ๋งออกจากเขาฮวยก๊วยซัวแล้ว ก็เหาะตัดตรงไปเขาโป๊ท่อซัว เหาะมาวันกับคืนหนึ่งก็ถึง ซัวเจ๋งก็ลงยังพื้นค่อยเดินมาใกล้สำนัก แลไปเห็นบัดจาเดินออกมาต้อนรับปราศรัยใต่ถามว่าท่านซัวเจ๋งทำไมไม่ไปตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ ซัวเจ๋งคำนับแล้วพูดว่า เหตุมีกิจธุระจะใคร่มาหาพระโพธิสัตว์ ขอท่านจงได้อนุเคราะห์นำข้าพเจ้าไปเฝ้าด้วยเถิด บัดจาก็รู้ว่าจะมาตามเห้งเจีย จึงเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ ๆ จึงให้บัดจาพาซัวเจ๋งเข้ามา ฝ่ายเห้งเจียยืนเฝ้าพระโพธิสัตว์อยู่ข้างแท่น แลไปเห็นซัวเจ๋งเดินเข้ามาก็นึกเข้าใจแน่ว่าเห็นพระอาจารย์จะมีภัยร้ายแล้ว จึงให้ซัวเจ๋งมาตาม​พระโพธิสัตว์ดอกกระมัง ซัวเจ๋งครั้นเข้ามาถึง แลเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่นก็ก้มหน้ากราบนมัการ แล้วเงยหน้าจะกราบเรียน แลไปเห็นเห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้นก็หาทันจะได้พูดจาอะไรไม่ ฉวยพลองกระโดดมาตีเอาเห้งเจีย ๆ ก็มิได้ต่อสู้ ซัวเจ๋งว่ามึงมีความผิดต้องโทษอกุศลแล้ว มึงยังแอบมาจะหลอกพระโพธิสัตว์หรือ
   พระโพธิสัตว์จึงตวาดห้ามว่า ซัวเจ๋งอย่าวุ่นวาย มีธุระอะไรจงบอกมาให้อาตมภาพทราบด้วย ซัวเจ๋งก็นมัสการโดยกำลังโกรธ เล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าจะมากราบเรียนให้ทราบไม่รู้เลยว่าเหาะมาอยู่นี่ก่อน แลไม่ทราบว่าเอาอะไรมากราบเรียนแก้ตัวแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น จึงพูดว่าซัวเจ๋งอย่าเอาโทษมาใส่เขา เห้งเจียมานี่ได้สี่วันแล้ว อาตมภาพก็ยังหาได้ปล่อยให้ไปไหนไม่ เหตุนี้จะเกิดขึ้นจากไหน ซัวเจ๋งพูดว่าที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องก็มีเห้งเจียคนหนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้เอาเท็จมากล่าว พระโพธิสัตว์ว่าถ้าจริงดังนั้นซัวเจ๋งจงไปกับเห้งเจียดูให้รู้ก่อน เมื่อไปถึงแล้วก็จะรู้ได้ เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น จึงชวนซัวเจ๋งคำนับลาพระโพธิสัตว์พากันออกจากสำนักก็รีบเหาะตรงไป

17 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 41 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๕)
เวลานั้นเห้งเจียจะร่ายคาถาทำจังงังให้หมู่หญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊ก ยืนอยู่ที่เดียวก็ยังหาทันไม่ พอได้ยินเสียงซัวเจ๋งร้องโวยวายขึ้น เห้งเจียหันไปถามว่าอะไรกัน ​ซัวเจ๋งบอกว่ามีหญิงผู้หนึ่งทำเป็นม้วนลมพายุ หอบเอาพระอาจารย์ไปแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็เหาะขึ้นกลางเวหาแลไปดูทั้งสิบทิศก็เห็นข้างทิศอุดรมีม้วนลมกลุ้ม ๆ ลิ่ว ๆ ไป เห้งเจียเห็นแล้วก็กลับหน้ามาเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า จงรีบตามเราไปตามอาจารย์โดยเร็ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เก็บของวางบนหลังม้าเสร็จแล้ว จึงหากันเหาะตามเห้งเจียมา
   ฝ่ายพวกหญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊กแลเห็นเหาะเหินเดินอากาศไปได้ดังนั้น ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้นทำเคารพทุก ๆ คน แล้วพูดว่ามีอภินิหารบารมีเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ชะรอยจะเป็นพระอรหันต์แน่ไม่ต้องสงสัยเลย ท่านน้องพระเจ้าแผ่นดินถังนั้นมีบารมีแก่กล้า พวกเรามีแต่นัยน์ตาไม่มีแก้วตาจึงได้คิดผิดไปดังนี้ หมายใจเสียว่าเหมือนมนุษย์ธรรมดา จึงได้เสียเวลาคิดป่วยการเปล่า ๆ ขอเชิญพระแม่เจ้าขึ้นสู่ราชรถกลับเข้าพระนครเถิด พระราชเทวีเมื่อได้พระสติก็ให้นึกละอายแก่พระทัย จึงพร้อมด้วยขุนนางใหญ่น้อย บ่ายหน้าราชรถคืนกลับเข้าสู่พระนคร
   ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเหาะไล่ตามม้วนลมนั้นมา ถึงภูเขาสูงอันหนึ่งก็เห็นม้วนลมนั้นเงียบสงบลง ก็หาได้รู้ว่าปีศาจนั้นจะไปข้างไหนไม่ พี่น้องทั้งสามคนก็พากันลดลงยังยอดเขา เที่ยวค้นหาแลไปข้างหน้าก็เห็นแห่งหนึ่ง มีศิลาสีเขียวตั้งอยู่มีแสงระยับสว่างไสวดุจแผ่นกระจกลับแล พ้นแผ่นศิลาเข้าไปข้างหลังนั้น มีบานประตูศิลาปิดงับอยู่บนขวางประตูมีอักษรใหญ่หกตัว คือเขาต๊อกตี๊ซัวถ้ำปี้แป้ต๋อง
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตรงเข้ามาจะเอาคราดเหล็กสับ เห้งเจียห้ามว่าน้องอย่าเพิ่งทำก่อน เพราะเราตามม้วนลมมาก็หารู้แน่ไม่ น้องทั้งสองจงพักอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว พี่จะเข้าไปสืบความดู ให้ได้ความก่อนแม้ว่าได้ความแล้วประการใดเราจึงค่อยคิดอ่านต่อไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียก็รอคอยที่นั่น เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงผึ้งตัวน้อยบินลอดเข้าไปในประตูถึงชั้นที่สอง แลไปเห็นหญิงนั่งอยู่บนแท่นผู้หนึ่ง สองข้างมีหญิงรูปร่างสวยกำลังรุ่นสาว ยืนเรียงรายสองแถว พากันหัวเราะโดยไม่รู้เหตุ เห้งเจียค่อย ๆ บินเข้าไปใกล้จับอยู่บนขื่อคอยแอบฟังเหตุการณ์ ประเดี๋ยวก็เห็นหญิงผมยาวคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน สองมือประคองถาดออกมา ในถาดนั้นมีของกินสองอย่างกำลังร้อน ๆ เดินขึ้นมาที่นางนั่งพูดว่า ขอแม่นางได้ทราบของกินสองสิ่งนี้ สิ่งหนึ่งแกงเนื้อคนสิ่งหนึ่งเป็นของเครื่องแจ
ตอน เรื่องวุ่นๆในเมืองแม่หม้าย ปิศาจแมงป่อง (ช่วงที่2)
   นางปิศาจได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอยู่ในหน้า จึงสั่งว่าพวกเจ้าจงเข้าไปพยุง ท่านพระถังซัมจั๋งออกมานี่ พวกหญิงบริวารเหล่านั้นก็พากันเข้าไปพะยุงพระถังซัมจั๋งออกมา เห้งเจียเห็นพระอาจารย์มีสีหน้าเหลืองสองตาแดงเหมือนร้องไห้ เห้งเจียนึกแต่ในใจว่า อาจารย์เราเห็นจะถูกยาแฝดเสียแล้ว ฝ่ายนางปีศาจยักษ์เห็นคนพยุงพระถังซัมจั๋งออกมา ก็ลงจากแท่นจับมือพระถังซัมจั๋งไว้แล้วจึงพูดว่า ท่านจงวางใจเถิดอย่าทุกข์โทมนัสเศร้าโศกไปให้ป่วยการเลย อันความบริบูรณ์มั่งมีศรีสุขสู้เมือง​ไซเหลียงก๊กไม่ได้ก็จริง แลความสำราญเงียบสงัดที่นี่ดีกว่า จะภาวนาสวดมนต์ก็เป็นที่สะอาดใจ ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นเพื่อนยากกันกว่าชีวิตจะหาไม่เถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางปีศาจยักษ์พูดเกี้ยวพานดังนั้น ก็มิได้โต้ตอบประการใด นางปีศาจจึงพูดต่อไปว่าท่านอย่ามีความเศร้าหมองเลย เมื่อเลี้ยงโต๊ะที่เมืองไซเหลียงก๊กในเวลานั้นข้าพเจ้าก็อยู่ แต่ไม่เห็นว่ายื่นให้ซึ่งของกิน มาบัดนี้ข้าพเจ้ามีของกินสองอย่าง คือ แจแลโช ตามแต่ท่านจะประสงค์เถิด พระถังซัมจั๋งนึกในใจว่าแม้ว่าเราไม่พูดจาโต้ตอบ อันหญิงปีศาจนี้หาเหมือนนางกระษัตริย์ไม่ นางยังมีธรรมเนียมะนุษย์ อันปีศาจนี้มันเป็นยักษ์มารร้ายกาจ แลอีกประการหนึ่งศิษย์ทั้งสามก็ยังไม่รู้เหตุการณ์ว่ามาตกทุกข์ได้ยากอยู่ที่นี่ไม่ บางทีปีศาจมันจะคิดหักหาญทำร้ายเราก็จะเสียซึ่งชีวิต คิดดังนั้นแล้วก็อุตส่าห์ออกวาจาตอบว่าอันของสองอย่างนั้น เรียกว่าแจเป็นอย่างไร โชเป็นอย่างไรข้าพเจ้าอยากทราบ นางปีศาจบอกว่าของแจทำต้มแกงไม่มีเนื้อสัตว์ ของโชนั้นต้มแกงด้วยเนื้อมนุษย์ พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมภาพเคยฉันแต่ของแจ
   นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเรียกสาวใช้ให้ยกน้ำร้อนน้ำชามา พวกคนใช้ก็ยกน้ำร้อนมาตั้งไว้ตามสั่ง นางปีศาจก็หยิบของแจยื่นส่งให้พระถังซัมจั๋งฉัน พระถังซัมจั๋งหยิบของโชส่งให้นางปีศาจ ต่างยื่นส่งกันไปมากินตามสบาย ฝ่ายเห้งเจียเป็นแมลงผึ้งจับอยู่บนขื่อ เห็นพระถังซัมจั๋งกับนาง​ปีศาจพุดจาปราศรัยกันดังนั้น ก็วิตกกลัวว่าพระอาจารย์จะฟุ้งซ่านลุ่มหลงไป เห้งเจียอดไม่ได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิม ชักตะบองโดดลงมาร้องว่าอีมารร้ายมึงอย่าทำเล่ห์กลหลอกอาจารย์กูเลย นางปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจ พ่นสายไฟออกจากปากมืดไปหมดทั้งถ้ำ เรียกสาวใช้ให้พาพระถังซัมจั๋งไปเก็บไว้ยังเดิม
   แล้วนางปีศาจก็จับพลองเหล็กกระโดดออกมายังหน้าประตูถ้ำ ด่าว่าอ้ายลิงมึงถืออย่างไรจึงอาจสามารถแอบเข้ามาในถ้ำของกู มึงมาต่อสู้แก่กูให้เห็นฝีมือกัน เห้งเจียเอาตะบองเหล็กขึ้นรับค่อยรบรอถอยมาจากถ้ำ ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง นั่งคอยอยู่หน้าถ้ำ แลไปเห็นคนทั้งสองกำลังต่อสู้กันออกมา โป๊ยก่ายสองมือจับคราดกระโดดมาร้องว่าพี่ขยับถอยไปก่อน ข้าพเจ้าจะสับอีมารด้วยคราดสักทีหนึ่ง

   นางปีศาจเห็นโป๊ยก่ายว่าจะเข้ามาทำร้าย จึงแผลงฤทธิ์ให้ไฟออกจากรูจมูกเป็นควันกลุ้มไม่แลเห็นอะไร แล้วบันดาลให้พลองนั้นบินแกว่งมาบนอากาศตีกระหนาบไม่รอรั้ง จนไม่รู้ว่าปีศาจจะมีสักกี่มือ เห้งเจียโป๊ยก่ายรอรับอยู่คนละข้าง นางปีศาจจึงพูดว่าหงอคงทำไมจึงไม่รู้เหตุการณ์ เราจำเจ้าได้เจ้าจำเราไม่ได้หรือที่วัดลุ่ยอิมยี่พระยูไลยังกลัวเรา ทำไมกับเจ้าอ้ายชาติสัตว์เดรัจฉานสองตนเท่านี้จะไปถึงไหน เห้งเจียโป๊ยก่ายรบแก่นางปีศาจหลายชั่วโมงก็ไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางปีศาจก็ร่ายเวทบันดาลเป็นสากตำเข้าบินมา เห้งเจียไม่ทันรู้ตัวสากตกถูกกลางกระหม่อมทีหนึ่ง เห้งเจียร้องโอยก็​ถลาถอยหนี โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ลากคราดถอยหนีไปเหมือนกัน ฝ่ายนางปีศาจมีชัยชนะแล้วกลับเข้าถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียถูกสากเจ็บปวดก็ประคองศรีษะหน้านิ่วคิ้วย่นเหลือจะทนได้ ออกปากร้องว่าร้ายแรง
   โป๊ยก่ายถามว่า กำลังรบกันอยู่ทำไมพี่จึงร้องขึ้นและกอดหัววิ่งหนีกลับมาดังนี้เล่า เห้งเจียประคองศรีษะร้องว่าเจ็บเหลือทน แล้วพูดว่าเพื่อเวลากำลังรบแก่ปีศาจมันเห็นเพลงอาวุธจวนจะแพ้เรา ไม่รู้ว่ามันแผลงฤทธิ์ด้วยประการใด บินมาถูกศรีษะเราทีหนึ่งเจ็บปวดเหลือจะทนได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องล่าหนี โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เพื่อเวลามิได้รบพุ่งแก่ใคร พี่พูดอวดว่าศรีษะของพี่ปลุกเสกประกอบด้วยธรรมอันเชี่ยวชาญแก่กล้า ถ้าจริงดังนั้น ทำไมจึงไม่คุ้มไว้ได้ ให้ถูกเจ็บอย่างนี้ทำไมเล่า เห้งเจียว่า อันความที่เล่าเรียนวิชาการที่คุ้มภัยก็ได้จริงเหมือนกัน ซึ่งเป็นมีดพร้าหรือหอกดาบ แหลนหลาวและไฟเผาสารพัดก็ไม่เป็นอันตรายจริง มาวันนี้นางปีศาจนี้ ไม่รู้ว่ามันเอาสิ่งไรทำให้เราได้ความเจ็บปวดเหลือทนดังนี้
   โป๊ยก่ายว่าถ้าดังนั้นเรากลับไปเมืองไซเหลียงก๊กหายาให้พี่ ปิดแก้ปวดเห็นจะดี เห้งเจียพูดว่าไม่มีบาดแผลและไม่บวมช้ำจะปิดยาอย่างไรได้ โป๊ยก่ายพูดว่าเพื่อข้าพเจ้ามีท้องจนท้องยุบเจ็บปวดก็ยังไม่เจ็บถึงสมอง ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายอย่าพูดเล่นให้เสียเวลา ด้วยเวลาก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว พี่เห้งเจียได้ความเจ็บปวด ทั้งพระอาจารย์ก็ไม่รู้​ว่าจะเป็นตายประการใด จะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อยู่ในถ้ำคงไม่เป็นไรอย่าวิตก เราพักพี่ชายเขาสักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งจึงค่อยคิดการต่อไป พูดดังนั้นแล้วทั้งสามคนก็พาค้นหาที่พักเป็นปรกติแล้วก็นอน
   ฝ่ายนางปีศาจ ครั้นได้ชัยชนะแล้ว กลับเข้าไปในถ้ำก็ทำใจดีรื่นเริงอ่อนน้อมไม่ดุร้าย สั่งให้พวกคนใช้ปิดประตูชั้นนอกให้มั่นคง สั่งให้นั่งยามอยู่สองคนคอยระวังผลัดเปลี่ยนกัน และสั่งให้สาวใช้ปัดกวาดเตียงนอนจุดโคมไฟขึ้นให้สว่างไสว คืนวันนี้เรากับท่านพระอนุชาเมืองใต้ถังจะมีความรื่นเริงกัน พวกสาวใช้ก็จัดการตามนางปีศาจสั่งทุกประการ ครั้นจัดเสร็จแล้ว ก็พากันเข้าไปข้างในพยุงพระถังซัมจั๋งมาที่นาง ฝ่ายนางปีศาจทำกิริยายียวนเล้าโลมจับมือพระถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่า ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นสามีภรรยากันอย่ามีความรังเกียจแต่อย่างใดเลย พระถังซัมจั๋งเมื่อได้เห็นปีศาจทำกิริยาอาการแลพูดจาดังนั้นตกประหม่าหน้าไม่มีสีโลหิต คิดแต่ในใจว่า แม้เราจะขัดขืนมิตามใจมัน ๆ ก็จะฆ่าเราเสีย อย่าเลยจำจะต้องผ่อนผันไปตามการ คิดแล้วก็เดินตามนางเข้าไปในห้อง
   เวลานั้นพระถังซัมจั๋งดุจบ้าใบ้ไม่เป็นสติสมประดี มิได้เงยหน้าแลดูสิ่งใด ครั้นเข้าในห้องสองต่อสองแล้ว นางปีศาจก็ทำกิริยาลูบคลำจับต้องโดยจิตอันกำหนด​ในกามราคะ แต่พระถังซัมจั๋งมิได้มีความยินดีนั่งนิ่งสำรวมจิตมิได้มีความปฏิพัทธ์เกี่ยวข้องในกามคุณ นางปีศาจก็เล้าโลมกอดรัดหวังจะให้ความกำหนัดแห่งพระถังซัมจั๋งกำเริบขึ้น แต่พระถังซัมจั๋งก็นั่งนั่งอยู่เหมือนบ้าใบ้ไม่แสดงความกำหนัดเสน่หา ในทางอสัทธรรมสังวาสจนเวลาล่วงเข้ายามสาม นางปีศาจมีความกำหนัดเร่าร้อนไปด้วยเพลิงราคะ เข้ากอดปล้ำทำประการ ใด ๆ พระถังซัมจั๋งก็สภาวะนิ่งอยู่มิได้กำเริบ นางปีศาจสุดที่จะคิดเพราะเป็นสตรี เมื่อบุรุษไม่ยินดีแล้ว ก็ไม่สามารถจะให้สำเร็จความประสงค์ของตนได้ จึงเรียกสาวใช้ให้เอาเชือกมามัดผูกพระถังซัมจั๋ง ดุจมัดคชสารและราชสีห์แล้วก็สั่งให้ลากลงไปที่ระเบียง พวกคนใช้ก็กระทำตาม นางปีศาจจึงให้ดับโคมไฟนอน
   ฝ่ายเห้งเจียพักอยู่ที่ข้างเขา พอตื่นรู้สึกก็เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแล้วพูดว่า เมื่อเวลากลางคืนเจ็บปวดศรีษะ เวลานี้ความเจ็บปวดก็หายแล้ว โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า แม้ว่าหายดีแล้วก็ให้มันลองดูอีกสักทีหรือจะเป็นอย่างใดอีกบ้าง เห้งเจียว่าเลิกเสียเถิดอย่าเอามาพูดอีกเลย โป๊ยก่ายว่าทิ้งอาจารย์เสียคืนหนึ่งแล้วไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด ซัวเจ๋งพูดว่าสว่างดีแล้วจะรีบไปกำจัดปีศาจเสียให้จงได้ จะได้แก้เอาพระอาจารย์ออกมา เห้งเจียว่าน้องจงคอยพี่อยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวพี่กับโป๊ยก่ายจะไปดูลาดเลาก่อน พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมด้วยโป๊ยก่ายรีบเดินขึ้นไปบนถ้ำ ครั้นเห้งเจียขึ้นไปถึงจึงสั่งโป๊ยก่าย​ให้รอคอยอยู่ที่หน้าถ้ำก่อน วิตกว่าเมื่อคืนนี้ปีศาจมันจะทำแก่พระอาจารย์ประการใดก็ยังไม่รู้ได้ พี่จะเข้าไปฟังดูให้รู้แน่ใจก่อน พูดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นแมลงผึ้งบินเข้าในถ้ำ ถึงประตูชั้นในแลเห็นคนนั่งยามอยู่สองคน มือถือเกราะนอนหลับอยู่ข้างประตู เห้งเจียก็บินเข้าไปยังห้องนางปีศาจที่นอนอยู่
   ฝ่ายนางปีศาจเวลากลางคืนอดนอนจึงได้หลับอยู่จนสายยังหาตื่นไม่ เห้งเจียก็ค่อย ๆ บินเข้าไปข้างในได้ยินเสียงพระอาจารย์ แลไปก็เห็นต้องมัดอยู่ดุจเขามัดสุกรนอนอยู่ข้างบันใด เห้งเจียก็บินลงมาใกล้ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเห้งเจีย จึงเรียกว่าเห้งเจียจงรีบมาช่วยชีวิตเราด้วยเถิด เห้งเจียถามว่าเมื่อคืนนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง พระถังซัมจั๋งตอบว่า การประเวณีแล้วก็ตายเสียดีกว่า เพราะไม่ยินดีด้วยกับมัน ๆ จึงได้มัดไว้ทรมานทรกรรมอย่างนี้ เวลานั้นอาจารย์กับศิษย์กำลังพูดกันอยู่นางปีศาจรู้สึกได้ยินเสียงว่าจะไปอาราธนาพระธรรมก็ตกใจตื่นขึ้น แม้นางปีศาจทำทรมานพระถังซัมจั๋งก็จริง แต่ใจนั้นยังมีความเสน่หาอาลัยพระถังซัมจั๋งอยู่มาก นางปีศาจได้ยินว่าจะไปก็รีบลงมาจากเตียงเดินเข้ามาที่มัดพระถังซัมจั๋งไว้ แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า อยู่เป็นผัวเมียกันไม่ดีหรือ จะไปอาราธนาพระธรรมทำไมให้ลำบาก
   เห้งเจียได้เห็นดังนั้นก็รีบบินออกจากอาจารย์มาบอกแก่โป๊ยก่ายว่า อาจารย์ท่านไม่ยอมตามใจ​นางปีศาจ เพราะฉะนั้นมันจึงทรมานมัดท่านไว้ เมื่อกี๊พี่กำลังพูดอยู่กับพระอาจารย์ มันตกใจตื่นขึ้นพี่จึงต้องรีบหนีมา โป๊ยก่ายถามว่า อาจารย์ได้พูดอะไรบ้างหรือ เห้งเจียบอกว่าพระอาจารย์ เธอพูดว่าตายเสียดีกว่าที่จะให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะ ชมว่าดี ๆ พระอาจารย์เราเป็นพระแท้ พี่น้องเราจึงพร้อมใจกันช่วยเธอให้ออกพ้นทุกข์ โป๊ยก่ายสองมือจับคราดเต็มกำลังสับกระชากประตูศิลาก็พังลงกระจายสามสี่ก้อน ฝ่ายพวกเฝ้าประตูกำลังนอนหลับก็ตกใจตื่น เห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปบอกแก่นางปีศาจว่า อ้ายรูปชั่วร้ายทั้งสองคนมาอีกแล้ว
   นางปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็จับอาวุธพลองรีบเดินออกมายังประตูถ้ำ ร้องด่าว่าอ้ายสัตว์ลิงสัตว์หมูมึงอายุมากเสียเปล่า ๆ ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ทำไมจึงบังอาจมาทำลายประตูถ้ำของเราเสียดังนี้ควรหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังนางปีศาจพูดดังนั้นก็ด่าว่าอีมารร้าย มัวเมาละโมบเต็มไปด้วยกามราคะท่วมกระบาลชาติสามารไม่มีดี มึงจะขับเขี้ยวอาจารย์กูให้ร่วมรักแก่มึงทำให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง ครั้นไม่ตามใจมึง ๆ ก็ทำทรมานทรกรรมต่าง ๆ มึงจะตกนรกหมกไหม้ใต้เถรเทวทัตมิได้รู้กลับมาเกิดในที่ดีอีกต่อไปแล้ว มึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมากูจะยกโทษให้มึงไว้ชีวิตไม่ฆ่าฟัน แม้ดื้อดึงขัดขวางอยู่ไม่กระทำตามกูว่า กูจะพังรื้อทั้งภูเขาให้ทะลายลงมิให้มึงตั้งรังอยู่ได้ต่อไป
   ​นางปีศาจได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็เตรียมตัวร่ายเวทเหมือนครั้งก่อน ไฟก็พุ่งออกจากรูจมูก มือถืออาวุธเข้าตีโป๊ยก่าย ๆ จับคราดยกขึ้นสับปีศาจ เห้งเจียเอาตะบองเหล็กเข้าระดมตี ปีศาจ นางปิศาจก็แผลงฤทธิ์ออกไม่รู้ว่ากี่มือ รับซ้ายรับขวาต่อสู้กันประมาณได้ห้าสิบเพลง โป๊ยก่ายถูกอาวุธที่ปากได้ความเจ็บปวดก็ถอยหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หวาดวิตกกลัวปีศาจ จึงได้ถอยหนีตามโป๊ยก่ายไป ฝ่ายนางปีศาจมีชัยแล้วก็กลับเข้าถ้ำ สั่งพวกบริวารให้เอาศิลาก้อนใหญ่ ๆ ซ้อนกันปิดปากถ้ำให้มั่นคง ฝ่ายซัวเจ๋งอยู่ที่ชายเขาปล่อยม้าให้กินหญ้า ได้ยินเสียงหมูร้องอยู่ที่ไหนก็ยังไม่เห็นตัว ครั้นแลไปก็เห็นโป๊ยก่ายยกปากวิ่งหนีมา ซัวเจ๋งถามว่านั่นเป็นอะไร โป๊ยก่ายบอกว่าไม่เป็นการเจ็บปวดเหลือทน เห้งเจียวิ่งถามตามมาทันหัวเราะว่าเมื่อวานนี้แช่งข้าหัวบวมวันนี้ปากเจ้าบวม
   โป๊ยก่ายครางร้องว่าเหลือทน พี่น้องทั้งสามกำลังคร่ำครวญแลไปเห็นยายเฒ่าผู้หนึ่ง มือซ้ายถือตะกร้าๆ หนึ่งเก็บผักเดินมาทางทิศอาคเนย์ ซัวเจ๋งชี้มือว่าพี่ยายเฒ่าที่ไหนเดินมาโน่นแน่ เห้งเจียหันไปดูก็เห็นบนศรีษะมีรัศมีปกคลุมอยู่ เห้งเจียจำได้ว่าพระโพธิสัตว์จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมานมัสการว่าพระโพธิสัตว์มาแล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์เหาะขึ้นบนอากาศ กลับเป็นรูปเดิมของพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเหาะตามขึ้นไปนมัศการบอกว่า พวกข้าพเจ้ามัวต่อสู้แก่ปีศาจไม่ทันจะมารับท่าน ขอได้โปรดอภัยแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ​บัดนี้พวกข้าพเจ้ามาถูกมารร้ายยากที่จะปราบลงได้ พระโพธิสัตว์บอกว่าสัตว์ตนนี้มันมีฤทธิ์ร้ายแรงนัก ที่มันต่อยคนให้เจ็บปวดนั้นคือปลายหางของมัน ตัวมันเป็นปีศาจแมลงป่องเพราะฉะนั้นมันจึงมีพิษที่ปลายหาง เมื่อก่อนอยู่ที่วัดลุ่ยอิมยี่ฟังพระแสดงธรรม พระยูไลแลเห็นไม่ชอบก็เอามือปัดมันไป มันหวนกลับต่อยนิ้วหัวแม่มือพระยูไลเจ็บปวดเหลือจะทน พระยูไลให้เทพบุตรกิมกังจับมัน ๆ หนีมาซ่อนอยู่แห่งนี้
   ท่านอยากจะให้อาตมาช่วยอาตมาเข้าใกล้ไม่ได้ แม้ว่าจะช่วยได้ก็รีบไปหาดาวเทพบุตรเบ๊ายิดแชกุน อยู่ข้างทิศบูรพาชั้นดาวดึงส์นั้นลงมา นั่นแลจึงจะปราบได้โดยง่าย พระโพธิสัตว์บอกให้เห้งเจียแล้วก็อันตรธานหายไป เห้งเจียครั้นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว ก็กลับลงมาบอกแก่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า พระอาจารย์เรามีดาวช่วยไม่เป็นไร พระโพธิสัตว์ท่านชี้แจงให้พี่ไปบนสวรรค์เชิญดาว เบ๊ายิดแชกุนให้ลงมาปราบปีศาจจึงจะได้ พี่จะรีบไปพูดแล้วก็เหาะไปยังดาวดึงส์ เห้งเจียตรงเข้าไปยังตำหนักก้วงเม้งเกง เวลานั้นท่านเบ๊ายิดแชกุนไม่อยู่ เพราะให้ไปตรวจชั้นฟ้าเห้งเจียเห็นไม่อยู่จะถอยกลับออกมา แลไปเห็นพลทหารยืนเป็นแถวข้างหลังนั้น ท่านเบ๊ายิดแชกุนกลับมา แล้วเห้งเจียกระทำคำนับ
   เบ๊ายิดแชกุน เห็นเห้งเจียก็คำนับตอบแล้ว ถามว่าท่านใต้เซียจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้ามาหาจินแสไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง เบ๊ายิดแชกุนถามว่าจะให้ช่วยธุระอย่างไรหรือ บัดนี้อยู่ในที่ตำบลใด เห้งเจียบอกว่า อยู่ที่เมืองไซเหลียงก๊กตำบล​เขาต๊อกติ๊ซัวถ้ำบี้แป้ต๋อง พระโพธิสัตว์กวนอิมท่านเสด็จมาบอกให้ว่านางปีศาจนั้นมันเป็นแมลงป่อง ชี้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่านจึงจะปราบได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอเชิญท่านไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้า
   เบ๊ายิดแชกุนพูดว่า จะเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ก็จะช้าการไป ท่านใต้เซียมาถึงนี่แล้ว ทั้งพระโพธิสัตว์ก็ได้ชี้มาแล้ว ก็ไม่อาจขัดได้ ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะไปพร้อมกับท่านให้ทันเวลา เห้งเจียมีความดีใจพร้อมกันกับเบ๊ายิดแชกุน ออกจากประตูสวรรค์ตังทีหมึงเหาะมายังเขาต๊อกติ๊ซัว ครั้นถึงก็พากันลงยังยอดเขาเดินตรงมาที่หน้าถ้ำ ซัวเจ๋งแลไปเห็นก็ร้องเรียกโป๊ยก่ายว่า พี่เห้งเจียไปเชิญเบ๊ายิดแชกุนมาแล้ว โป๊ยก่ายแหงนหน้าพูดว่า อย่าถือข้าพเจ้าเลยเป็นคนป่วยไข้ เบ๊ายิดแชกุนถามว่า ท่านมีความป่วยเจ็บประการใดหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าเมื่อวานนี้ไปรบกับนางปีศาจ ในเวลากำลังรบกันอยู่ ไม่รู้ว่ามันเอาอะไรต่อยเอาที่ปากทีหนึ่ง ได้ความเจ็บปวดยังไม่หายจนบัดนี้
   เบ๊ายิดแชกุนว่า ท่านขยับมาข้าพเจ้าจะรักษาให้ โป๊ยก่ายก็ขยับมาใกล้ เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่ปากโป๊ยก่ายทีหนึ่งแล้ว เป่าทีหนึ่งความเจ็บปวดก็หายทันที โป๊ยก่ายดีใจที่สุดก็คำนับสรรเสริญว่าศักดิ์สิทธิ์แท้ ๆ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า ท่านจินแสช่วยลูบให้ข้าพเจ้าสักทีหนึ่งเถิด เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าก็ถูกทีหนึ่ง ค่อยเบาแต่ยังไม่หายขาด ยังแสบๆ ตึงๆ อยู่วิตกว่าจะแปรปรวนไปอีก ขอท่านจินแส​ได้ช่วยแก่ให้ข้าพเจ้าด้วย เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่กลางกระหม่อมเห้งเจียทีหนึ่ง เป่าทีหนึ่งด้วยลมปากก็หายไม่เจ็บแสบอีกต่อไป โป๊ยก่ายนึกโกรธขึ้นมาพูดว่า พี่ไปกำจัดอีปีศาจนั้นก็ไปเถิด
   เบ๊ายิดแชกุนว่าท่านทั้งสองจงไปล่อพอให้มันออกมาพ้นจากปากถ้ำ ข้าพเจ้าจะปราบมันเอง เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมกันลงมายังถ้ำ ถึงประตูโป๊ยก่ายก็เอาคราดสับกระชากประตูหักพังทลายลงทั้งสิ้น แล้วเข้าไปในถ้ำถึงชั้นสองก็เอาคราดสับกระชากพังลงทั้งสิ้น เวลานั้นนางปีศาจจะให้คนแก้มัดพระถังซัมจั๋ง จะใคร่เชิญมาฉันน้ำร้อนน้ำชา พอได้ยินเสียงพังประตูชั้นสองอึกกระทึกนางก็ลุกขึ้นจับอาวุธเดินออกมาจากที่ ตีโป๊ยก่าย ๆ ยกคราดขึ้นรับ เห้งเจียเอาตะบองตีนางปีศาจ ๆ รุกเข้ามาจะแผลงฤทธิ์ เห้งเจียโป๊ยก่ายรู้ทีก็ถอยหนีออกมานอกถ้ำ เห้งเจียจึงร้องว่าท่านเบ๊ายิดแชกุนอยู่ที่ไหน แลไปเห็นเบ๊ายิดแชกุนยืนอยู่บนเนินเขา แปลงกายเป็นรูปเดิมคือไก่ใหญ่ตัวหนึ่ง ยื่นศรีษะยาวประมาณแปดศอกหันตรงนางปีศาจร้องขึ้นคำหนึ่ง นางปีศาจก็กลายเป็นรูปเดิม คือแมลงป่อง เบ๊ายิดแชกุนร้องขันขึ้นอีกทีหนึ่ง แมลงป่องนั้นก็ล้มตายอยู่กับเนินเขานั้น
   โป๊ยก่ายตรงเข้ามาเหยียบกลางหลังด่าว่าอีสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมึงจึงไม่แผลงฤทธิ์ไปอีกเล่า ปีศาจก็นอนนิ่งไม่ไหวกาย โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับฟันจนละเอียดไปทั้งสิ้น ฝ่ายเบ๊ายิดแชกุนเห็นเสร็จธุระแล้วก็เหาะกลับไปยังวิมานสถาน ​เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คำนับขอบคุณไป พี่น้องทั้งสามก็พากันเข้าถ้ำ พวกคนใช้ของปีศาจก็พากันมาคุกเข่าคำนับพูดว่า ขอท่านได้โปรดพวกข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจมารร้าย พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ในเมืองไซเหลียงก๊ก นางปีศาจจับเอามาทั้งนั้น ท่านอาจารย์นั้นอยู่ข้างในห้องเฮียวปั๊งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ เห้งเจียพิจารณาดูคนเหล่านั้นก็เห็นว่ามิใช่ปีศาจจริง จึงเดินเลยเข้าไปข้างในค้นหาอาจารย์
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เห็นศิษย์มาพร้อมกันทั้งสามคนก็มีความยินดีพูดว่า อาตมภาพผู้เดียวศิษย์ทั้งหลายจึงได้ซึ่งความทุกข์ แล้วถามต่อไปว่าบัดนี้นางปีศาจนั้นเป็นประการใด โป๊ยก่ายบอกว่าอันหญิงนั้น เดิมเป็นแมลงป่องตัวเมีย หากพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกให้ไปหาเบ๊ายิดแชกุนลงมาปราบจึงได้ นางปีศาจนั้นข้าพเจ้าสับฟันละเอียดแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น มีความขอบคุณพระกวนอิมยิ่งนัก พวกศิษย์ทั้งสามก็หาอาหารให้พระอาจารย์ฉันเสร็จแล้ว ต่างก็พากันกินอิ่มแล้วก็พากันออกจากถ้ำ จึงเรียกพวกหญิงที่ปีศาจจับไว้นั้น ให้ออกมาแล้วก็ชี้ทางให้กลับไปทุกคน แล้วเอาหญ้าฟางทำคบจุดไฟเผาถ้ำนั้นไหม้เป็นจุณไป ก็นิมนต์อาจารย์ชนม้าตัดออกทางใหญ่หมายทิศปราจิณ