Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 👨‍🚀 ไซอิ๋ว เล่ม 3 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 👨‍🚀 ไซอิ๋ว เล่ม 3 แสดงบทความทั้งหมด

20 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 45 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๖๐)
 เห้งเจียว่าที่นี่งู่ม่ออ๋องเห็นจะทิ้งไฟไว้ สมมุติว่าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวดอกกระมัง เจ้าเขาพูดว่าไม่ใช่ๆ ท่านใต้เซียหากยอมยกโทษให้แก่ข้าพเจ้า ๆ จะบอกตามตรง เห้งเจียว่าท่านมีโทษอะไรที่ไหนจงพูดเถิดอย่าวิตกเลย เจ้าเขาจึงพูดว่าอันไฟนี้เหตุเดิมนั้นท่านใต้เซียทิ้งเอง เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็โกรธว่าทำไมจึงพูดเลอะเทอะดังนั้น เราหรือจะเป็นคนทิ้งไฟ
   เจ้าเขาว่าท่านเห็นจะจำข้าพเจ้าไม่ได้เสียแล้ว ที่ตำบลนี้เดิมไม่มีเขา เหตุเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ท่านทำจลาจลรบแก่เทพบุตรทั้งหลายบนสวรรค์ เวลานั้นท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวท่านไปใส่ในเบ้าโป๊ยก่วยหลอม เวลาเปิดฝาท่านกระโดดขึ้นเหยียบปากเบ้า เตาล้มทลายอิฐเตาก็ตกลงสองสามก้อน ไฟติดลงมาจึงเกิดเป็นภูเขาไฟอยู่บัดนี้ ข้าพเจ้าอยู่บนชั้นดุสิตเป็นผู้รักษาเตา ท้ายเสียงเล่ากุนปรับโทษว่าข้าพเจ้าไม่ดูแล จึงปรับโทษให้ข้าพเจ้าลงมาเป็นเจ้าเขาฮ้วยเอี้ยมซัว เห้งเจียว่าเดิมตัวก็เป็นพวกเต้าสือแล้วมาเปลี่ยนแปลง​เป็นเจ้าเขา เห้งเจียเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างจึงพูดว่า ตัวพูดว่าตัวจะไปหางู่ม่ออ๋องทำไมหรือ เจ้าเขาพูดว่า งู่ม่ออ๋องนั้นคือสามีของนางล่อซั่ว งู่ม่ออ๋องบัดนี้ก็ทิ้งนางไม่ได้ไปมานานแล้ว บัดนี้ไปอยู่ที่เขาเจ๊กลุ่ยซัวถ้ำม่อหุ้นต๋อง เดิมมีบ้านส่วยเห้าอ๋อง ครั้นเห้าอ๋องตายแล้ว ยังมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อเง็กมิ่นก๋งจู๊ยังไม่มีสามี ทรัพย์สมบัติเข้าของเงินทองมั่งคั่งไม่มีผู้ชายดูแล นางได้ยินว่างู่ม่ออ๋องมีฤทธาอานุภาพ ก็ยอมยกมรดกให้งู่ม่ออ๋องตัวนางก็ยอมเป็นภรรยา งู่ม่ออ๋องก็ทิ้งนางล่อซั่วเสียนานแล้วมิได้ไปมาหาสู่กัน แม้ใต้เซียไปหางู่ม่ออ๋องเชิญเธอมาพูดขอยืมจึงจะได้พัดมาดับไฟแล้วส่งอาจารย์ข้ามพ้นไป ทั้งได้ดับไฟร้ายสัตว์ทั้งหลายจะได้รอดชีวิต ทั้งตัวข้าพเจ้าก็จะได้พ้นโทษกลับไปสวรรค์ตามเดิม
   เห้งเจียจึงถามว่า เขาเจ๊กลุ่ยซัวนั้นอยู่ที่ไหนทางนั้นประมาณไกลสักเท่าใด เจ้าเขาตอบว่าไปตรงทิศอาคเนย์ทางไกลประมาณสามพันโยชน์ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่รักษาอาจารย์ และสั่งเจ้าเขาให้อยู่เป็นเพื่อนด้วย สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะไปทางทิศอาคเนย์ เหาะไปประมาณครึ่งชั่วโมง แลไปข้างหน้าเห็นมีภูเขาสูง เห้งเจียก็เหาะลงที่ยอดภูเขาสูง พิจารณาดูเขาแล้วก็เดินลงไป​หาทาง พิเคราะห์ดูเงียบสงัดไม่มีวี่แววอะไร แลไปที่ใต้ต้นสน เห็นมีหญิงสาวสวยมายืนอยู่ที่ใต้ต้นสน มือถือธูปหอมเดินตรงมา เห้งเจียก็เข้าแอบซ่อนในซอกศิลาคอยพิจารณาดู หญิงนั้นก็เดินใกล้เข้ามา เห้งเจียจึงย่อตัวปราศรัยถามว่าแม่นางจะไปข้างไหน หญิงนั้นเหลียวไปเห็นเห้งเจียก็ตกใจ ด้วยหน้าเห้งเจียผิดมนุษย์ ร่างกายนางสั่นรัวไปทั้งตัว แล้วแข็งใจถามว่านี่แกอยู่ที่ไหน จึงสามารถมาอยู่ที่นี่ประสงค์จะมาหาใคร
   เห้งเจียแกล้งหลอกว่า ข้าพเจ้ามาจากเขาจุ๊ยหุ้นซัว ยังไม่เคยมาถึงที่ตำบลนี้ไม่รู้จักทางปราถนาจะใคร่ถามแม่นางว่า ที่นี่ใช่เขาเจ๊กลุ่ยซัวหรือมิใช่ หญิงนั้นตอบว่าที่นี่แลเขาเจ๊กลุ่ยซัวถูกแล้ว เห้งเจียถามต่อไปอีกว่า ถ้ำม่อหุ้นต๋องอยู่ข้างไหน หญิงนั้นจึงถามว่า จะไปหาถ้ำม่อหุ้นต๋องนั้นทำไม เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าคืออยู่ที่เขาจุ๊ยหุ้นซัวถ้ำปอเจียวต๋อง นางล่อซั่วก๋งจู๊ใช้ให้มาเชิญงู่ม่ออ๋อง หญิงนั้นเมื่อได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น ให้บังเกิดโทสะจนใบหูออกแดง ก็ออกปากด่าว่าอีชาติข้ายังไม่รู้สึก งู่ม่ออ๋องตั้งแต่มาอยู่บ้านของเราสองปีมาแล้วก็ไม่เห็นฝากอะไรมาให้สักสิ่งหนึ่ง เอาไว้ใช้สอยเองตามสบายใจ ยังจะกลับมาเชิญเอาไปทำไม เห้งเจียก็นึกรู้ว่าคือนางเง็กมิ่นก่งจู๊ ก็ชักตะบองเหล็กออกร้องตวาดว่า อีชาติชั่วมึงเอามรดกเงินทองมาฬ่องู่ม่ออ๋องไว้ คือเอาเงินไป​ซื้อผัวเขามาไว้ไม่มีความอาย ยังจะว่าเขาไม่อายอีกเล่า หญิงนั้นตกใจวิ่งหนีหกล้มคลุกคลานไป เห้งเจียก็ไล่ติดตามมา หญิงนั้นก็หนีข้ามดงมาถึงถ้ำม่อหุ้นต๋อง ถึงประตูก็กระโดดไปในถ้ำได้แล้วก็ปิดประตูแน่น เห้งเจียเห็นเช่นนั้นก็เอาตะบองซ่อนเสียแล้ว เดินพิจารณาดูรอบคอบ
   ฝ่ายนางนั้นวิ่งหนีมาเหงื่อโทรมตัวหอบแทบจะหายใจไม่ทัน นางก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือ ที่งู่ม่ออ๋องกำลังนั่งดูหนังสืออยู่ในห้องนั้น นางเข้าไปถึงก็ล้มเข้าในอกงู่ม่ออ๋องกลิ้งเกลือกร้องไห้ งู่ม่ออ๋องก็หัวเราะพูดว่า เจ้ามีทุกข์โทมนัอย่างไรก็จงบอกมาให้พี่รู้ หญิงนั้นก็โลดเต้นทุ่มทิ้งกายปากก็ด่าว่าอ้ายมารระยำทำแก่กู งู่ม่ออ๋องหัวเราะแล้วถามว่าทำไมเจ้าจึงด่าพี่ดังนี้ นางพูดว่าเพราะเราไม่มีพ่อแม่และพี่น้องที่พึ่ง จึงได้ไปหาตัวมารักษาป้องกันซึ่งชีวิตเรา ชาวชนเขาลือว่าตัวเป็นคนเก่งนี่เหมือนคนขี้ขลาดไม่สู้ใคร
   งู่ม่ออ๋องเข้าประคองนางแล้วถามว่า พี่มีความผิดที่ข้อไหนจงแสดงให้เข้าใจบ้างพี่จะทำขวัญให้ นางจึงบอกว่าเมื่อตะกี้นี้ข้าเที่ยวเดินเก็บดอกไม้ที่ดงไม้สน มีคนหนึ่งหน้าขนรุงรังดุจรามสูรเดินมาคำนับทำให้ข้าพเจ้าตกใจ ก็ค่อยสะกดใจถามว่ามาจากไหน เธอบอกว่านางล่อซั่วก๋งจู๊ให้เธอมาเชิญงู่ม่ออ๋อง ข้าพเจ้าว่าประชดเธอสองคำ เธอด่าว่าหยาบช้ากับเรา แล้วเอาตะบองไล่ตีเรา หากว่าเราวิ่งหนีทัน หาไม่ชีวิตเราก็คงเป็นอันตราย ​งู่ม่ออ๋องได้ฟังดังนั้น ก็ปลอบโยนเอาใจนางเห็นนางค่อยคลายความอาดูรแล้ว งู่ม่ออ๋องจึงพูดว่า เจ้าอย่ามีความสงสัยพี่ไม่หลอกลวง ซึ่งที่ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นเป็นที่สุขสำราญระงับเงียบไม่วุ่นวาย เมียพี่อยู่ที่นั่นก็รักษาตัวบวชเรียนแต่เล็ก จนสำเร็จเป็นนางเซียนนึ้ง ที่นั้นมัทยัธเรียบร้อยในนั้นชั้นแต่เด็กชายน้อยก็ไม่มี ที่ไหนจะมีคนรูปร่างน่ากลัวดุจรามสูรนี้ให้มาเชิญ เราเห็นผิดประหลาดนัก พี่คิคดูเห็นจะเป็นปีศาจยักษ์ร้ายที่ไหนมาปลอมหลอกกระมัง บางทีจะคิดแอบแฝงมาไต่ถามอะไรเราบ้างดอกกระมังเป็นแน่ พี่จะออกไปดู
   งู่ม่ออ๋องก็ออกจากห้องหนังสือเอาเครื่องเกราะสวมใส่ตัวแล้ว มือก็ถือพลองเหล็กเดินออกไปร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ใครที่ไหนจึงไม่มีความยำเกรงเราบ้างเลย เห้งเจียแลไปเห็นผิดรูปร่างแต่ก่อน ด้วยนานนักกว่าห้าร้อยปีมาแล้ว เห้งเจียก็เข้ามาคำนับร้องขอรับด้วยเสียงอันดัง แล้วพูดว่าพี่เห็นจะจำน้องไม่ได้เสียแล้ว งู่ม่ออ๋องคำนับตอบแล้วถามว่า ซีเทียนใต้เซียมิใช่หรือ เห้งเจียรับว่าใช่นานแล้วมิได้มาคำนับ พึ่งมาถึงที่นี่ ถามหญิงคนหนึ่งจึงได้พบพี่มีความสมบุญยิ่งขึ้นกว่าเก่า งู่ม่ออ๋องตวาดว่าเจ้าอย่าพูดดีไป ข้าได้ยินว่าไปทำจลาจนรบพุ่งชิงชัยอยู่บนสวรรค์ ถูกพระยูไลจับเอาเขาเง้าเห้งซัวทับไว้ ก็ได้รอดพ้นภัยไปตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรม ไปถึงถ้ำฮ้วยหุ้นต๋องจับเอาอั้งฮั้ยยี้บุตรเราไปฆ่าดังนั้น ความร้อนอันนี้ก็อยู่กับ​ตัวเจ้าทำไมเจ้ากลับมาหาเราทำไม เห้งเจียเคารพแล้วพูดว่า พี่อย่าเพิ่งเคืองข้าพเจ้าก่อน เวลาบุตรของพี่จับอาจารย์ข้าพเจ้าไว้จะใคร่กินเนื้อ ข้าพเจ้าใกล้เธอไม่ได้ จึงได้ไปพึ่งพระกวนอิมชักนำให้บุตรท่านกลับใจ ไปถือตามสัมมาทิฐิได้เป็นเสี้ยนใช้ท่งจื๊อ หากจะคิดดูความงามเจริญของพี่ยิ่งขึ้นทั้งความสุขก็บริบูรณ์ อย่างนี้จะมาถือโทษโกรธขึ้งข้าพเจ้าด้วยเหตุไร
   งู่ม่ออ๋องด่าว่าอ้ายลิงปากดีทำแก่บุตรเราแล้วมึงจะมาพูดแก้ให้กลายกลับเป็นดีไปได้หรือ ยังมิหนำซ้ำมาไล่ตีเมียกูจนกระทั่งประตูบ้านนี่เป็นอย่างไร เห้งเจียหัวเราะพูดว่า เพราะด้วยข้าพเจ้าจะกราบเท้าหาพี่ จึงได้กราบเท้าหญิงนั้นถามข่าวคราว ข้าพเจ้าก็หาได้ทราบว่าพี่สะใภ้ไม่ เพราะด้วยเธอด่าข้าพเจ้า จึงได้เกิดโทโสกระทำให้พี่สะใภ้ขัดใจ ข้อนั้นขอพี่ยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด งู่ม่ออ๋องพูดว่าถ้าดังนั้น เราเห็นแก่ที่ได้ผูกสมัครรักใคร่กันมาแต่เดิม เรายกโทษให้จงกลับไปเถิด เห้งเจียพูดว่า ซึ่งพี่ยกโทษให้ดังนี้ขอบพระคุณเป็นที่สุด แต่ยังมีธุระอีกอย่างหนึ่งขอพี่ได้กรุณาช่วยด้วยสักครั้งหนึ่ง งู่ม่ออ๋องว่าอ้ายลิงยกโทษให้แล้วยังไม่รู้สึกยังพัวพันแก่เราอีกจะให้ช่วยอะไรที่ไหนอีกเล่า
   เห้งเจียเคารพแล้วพูดว่า อันความจริงข้าพเจ้าไม่กล้าหลอนหลอกพี่ดอก เหตุข้าพเจ้ารักษาพระอาจารย์บัดนี้มาติดเขาฮ้วยเอี้ยมซัวไปไม่ได้ ได้ข่าวว่าพี่ล่อซั่วมีพัดวิเศษเล่มหนึ่งอาจดับไฟนั้นได้ อยากจะใคร่ขอยืมไปทำธุระเสร็จแล้วก็จะนำมากราบท้าวคืนให้ ข้าพเจ้า​ได้ไปถึงแล้วเธอไม่ยอมให้มา เพราะเหตุนี้จึงต้องมากราบท้าวพี่ขอพี่ได้โปรดช่วยไปขอยืมพัดนั้นดับไฟแล้วจะคืนให้ งู่ม่ออ๋องได้ฟังดังนั้นในใจดุจไฟลุกขึ้นทันที จึงด่าว่าเจ้าพูดแก้ตัวว่าไม่ผิดก็เจ้าไปหาเมียเรา ๆ ไม่ยอมให้เจ้าจึงมาไล่เมียน้อยของเราดังนี้ คำโบราณท่านย่อมว่าพี่น้องของเพื่อนไม่กล้าดูถูก เมียของเพื่อนจนเมียน้อยก็ไม่ควรกำจัด นี่เจ้ามาทำอย่างนี้ไม่เสียธรรมเนียมดอกหรือ งู่ม่ออ๋องว่าเจ้าจงมากินพลองเสียสักทีก่อน เห้งเจียว่าอันความรบพุ่งต่อตีนั้นข้าพเจ้าไม่ต้องกลัว อันความจริงของข้าพเจ้าอยากแต่จะได้พัดวิเศษเท่านั้น ขอพี่ได้โปรดให้เถิด
   งู่ม่ออ๋องพูดว่าเจ้าจงลองดูสักสามเพลงก่อน แม้ว่าชนะเรา ๆ จะไปขอยืมพัดนั้นมาให้ แม้ว่าสู้เราไม่ได้เราตีตายก็เหมือนเราได้แก้แค้นที่เจ้าทำแก่ลูกเรา งู่ม่ออ๋องพูดดังนั้นแล้วก็จับพลองตีลงที่ศรีษะเห้งเจีย ๆ ก็ยกตะบองขึ้นรับ ทั้งสองก็ออกกำลังต่อสู้กันไปมาได้ประมาณร้อยเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน โดยเวลานั้นยากที่จะถอยจะสู้ พอได้ยินเสียงร้องเรียกบนยอดเขาว่าท่านงู่ม่ออ๋อง นายข้าพเจ้าให้มาเชิญท่านไปให้ทันเวลาเข้าโต๊ะ งู่ม่ออ๋องได้ยินดังนั้นก็ยกพลองรับตะบองเห้งเจียไว้ แล้วพูดว่าอ้ายลิงมึงหยุดก่อนคอยเราจะไปกินเลี้ยงสักประเดี๋ยวแล้วจะกลับมารบแก่เจ้าอีกใหม่ พูดดังนั้นแล้วก็ชักพลองกลับเข้าถ้ำพูดแก่เมียว่า อ้ายหน้าขนรามสูรนั้นคือผู้ชายชื่อหงอคงถูกเราเอาพลองตีหนีไปแล้ว มันไม่กล้ากลับมาอีกจงวางใจ​เถิดอย่ากลัวมันเลย เราจะไปบ้านเพื่อนกินโต๊ะแล้วจะกลับมา งู่ม่ออ๋องก็เอาหมวกสวมใส่เสร็จแล้ว ก็ออกจากประตูขึ้นขี่หลังสัตว์กิมเจง แล้วก็สั่งคนใช้ให้ระวังประตู งู่ม่ออ๋องก็เหาะไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียอยู่บนยอดเขาก็นึกในใจว่า งู่ม่ออ๋องจะมีเพื่อนอยู่ที่ไหนจะไปทางใดเราจะต้องตามไปดู
   คิดแล้วเห้งเจียก็แปลงกายเป็นสายลมติดตามไปพร้อมกัน บัดเดี๋ยวก็ถึงภูเขาหนึ่งงู่ม่ออ๋องก็หายไปไม่เห็น เห้งเจียก็กลายกลับเป็นรูปเดิมเข้าไปในเขาเที่ยวค้นหา อันภูเขานั้นหน้าหนึ่งมีบึงใหญ่น้ำลึก ข้างบึงมีเสาศิลาข้างบนมีอักขระใหญ่หกตัวคือเขาล่วนเจี๊ยซัวบึงเพ๊งปอท้ำ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกใจใจว่า งู่ม่ออ๋องเห็นจะลงน้ำไปเป็นแน่ ถ้าอยู่ในถ้ำคงจะเป็นนาคหรือเต่าตะพาบน้ำจำเราจะลงไปดูให้รู้แน่ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายคาถาแปลงกายเป็นเปี้ยวตัวหนึ่งกระโจนลงในน้ำจมลงไปก้นบึง แลไปก็เห็นสำนักสูงตระหง่านมีหอเรียงราย เห้งเจียก็คลานเข้าไปใกล้ประตู พิจารณาดูเห็นมีพวกมโหรีพิณพาทย์ขับร้อง ที่บนหอนั้นงู่ม่ออ๋องนั่งอยู่กลาง สองข้างมีพวกนาคสามสี่นาค ข้างหน้ามีนาคใหญ่นั่งอยู่สองข้างนั่งเรียงรายกันเป็นลำดับ คือนาคลูก นาคหลาน นาคยาย นาคเมีย เห้งเจียก็คลานเข้าไปในประตู นาคใหญ่เห็นก็ร้องให้จับตัวเปี้ยวนั้นมา เปี้ยวแปลงก็พูดเป็นภาษามนุษย์ร้องว่าขอชีวิตเถิด นาคใหญ่ถามว่าตัวอยู่ที่ไหนจึงสามารถมาถึงนี่ เจ้าจงรีบบอกมาโดยเร็วจึงจะยกโทษให้หาไม่จะฆ่าเสีย
   ​เห้งเจียจึงตอบว่าขอท่านจงได้กรุณาข้าพเจ้าเป็นสัตว์เล็กน้อย เดินขวางๆ รีๆ มาไม่รู้จักขนบธรรมเนียม จึงได้ล่วงเกินเข้ามาผิดพลั้งดังนี้ขอท่านได้โปรดเถิด ในที่ประชุมได้ฟังเปี้ยวพูดดังนั้นก็มีความสงสารจึงพร้อมกันพูดว่า ขอท่านได้ยกโทษปล่อยเปี้ยวน้อยไปเถิด เพราะมันไม่รู้ผิดแลชอบ นาคใหญ่ได้ฟังท่านทั้งหลายขอดังนั้น ก็สั่งให้ปล่อยเปี้ยวนั้นออกไปนอกประตู เห้งเจียเห็นเขาปล่อยแล้วก็ค่อย ๆ คลานออกมาจากประตูแลไปเห็นสัตว์กิมเจงของ งู่ม่ออ๋องผูกไว้ข้างนั้น ก็คิดอุบายขึ้นได้ทันที จึงแปลงกายกลับมาอย่างเดิม เข้าแก้เอาสัตว์กิมเจงนั้นจูงออกมาแล้ว เห้งเจียก็กระโดดขึ้นหลังจับบังเหียนชักให้ขึ้นพ้นน้ำแล้วเห้งเจียก็แปลงกายเป็นงู่ม่ออ๋อง ขับกิมเจงเหาะขึ้นบนอากาศตรงมายังเขาจุ๊ยหุ้นซัวถ้ำปอเจียวต๋อง เห้งเจีย่ขี่กิมเจงเข้าใกล้ประตูถ้ำร้องเรียกให้เปิดประตูรับ พวกนางสาวใช้ก็เปิดประตูรับ แลเห็นเห้งเจียแปลงคิดว่างู่ม่ออ๋องนายของตัว ก็วิ่งเข้าไปบอกนางว่า บัดนี้ใต้อ๋องกลับมาแล้วอยู่นอกประตู นางล่อซั่วได้ฟังสาวใช้บอกดังนั้น ก็รีบใส่เสื้อแต่งตัวเดินออกมารับ เห้งเจียก็ลงจากกิมเจงให้คนดูเฝ้าไว้แล้ว ฝ่ายนางล่อซั่วก็หารู้ไม่สำคัญว่างู่ม่ออ๋องสามี จึงจับมือพากันเดินเข้าถ้ำ ครั้นถึงข้างในก็นั่งบนเก้าอี้ให้สาวใช้ยกน้ำร้อนน้ำชามารับประทาน ในถ้ำนั้นทุกคนเห็นนายของตัวมาก็พากันยินดี ครั้นกินน้ำร้อนน้ำชาสบายแล้วก็พูดจาปราศรัยว่านานแล้วมิใด้มานางเป็นสุขสบายอยู่ดอกหรือ นางล่อซั่ว​ตอบว่าใต้อ๋องมีบุญมากแลมีใจเอื้อเฟื้อที่มีใหม่ ทิ้งขว้างข้าพเจ้าเสียไม่เหลียวแลแต่วันนี้เหตุไฉนจึงมาได้
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าที่ไหนจะอาจทิ้งขว้าง เพราะนางเง็กมิ่นก๋งจู๊ได้ฝากแก่ข้าพเจ้า และมีธุระกิจการมากเพื่อนฝูงไปมาเยี่ยมเยือนไม่มีเวลาว่าง เพราะฉะนั้นช้าวันจึงมิได้มา ครั้นบัดนี้จัดธุระเสร็จแล้วจึงได้มาได้ เห้งเจียถามว่าได้ยินว่าหงอคงรักษาพระถังซำจั๋งจะไปไซที มาใกล้เขาฮ้วยเอี้ยมซัววิตกกลัวจะมาขอยืมพัดไป เราจึงรีบมาด้วยแค้นมันทำให้ลูกเราจากไป ถ้าหากมันมาที่นี่จงให้คนไปบอกเรา ๆ จะจับตัวมันฟันเสียสักหมื่นท่อนแก้ความเจ็บใจของเราทั้งสอง นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้บอกว่า คำโบราณท่านย่อมว่า ชายไม่มีเมียทรัพย์ไม่มีเจ้าของ หญิงไม่มีผัวกายตัวไม่มีเจ้าของ ชีวิตข้าพเจ้าเกือบจะวอดวาย ถูกอ้ายเห้งเจียมันมาทำร้ายเอา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นโกรธด่าว่าอ้ายชาติลิงมันหนีไปเสียแล้วหรือ นางล่อซั่วบอกว่ามันยังไม่ทันจะข้ามไป วานนี้มาที่นี่เรียกข้าพเจ้าว่าพี่สะใภ้ มันพูดว่าใต้อ๋องกับมันเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นได้ผูกสมัครเป็นมิตรสหายแก่มัน
   เห้งเจียพูดว่าจริง นางล่อซั่วว่าข้าพเจ้าจะด่าว่ามันก็ไม่โต้ตอบ ข้าพเจ้าเอาพัดโบกมันทีหนึ่งไม่รู้ว่ามันปลิวไปถึงไหน แล้วกลับมาไม่รู้ว่ามันไปได้ยาวิเศษที่ไหนมาคุ้มห้ามลม มาร้องท้าถึงหน้าประตู​อีก ข้าพเจ้าก็เอาพัดโบกอีกมันก็ไม่หวั่นไหว ข้าพเจ้าเอาเกี่ยมฟันมันจึงได้เกิดรบกัน ข้าพเจ้าทานกำลังมันมิได้หนีเข้าถ้ำไม่รู้ว่ามันทำอย่างไรจึงเข้ามาอยู่ในท้องข้าพเจ้าได้ ทำให้ข้าพเจ้าได้ความเจ็บปวดสาหัส ข้าพเจ้าเรียกมันอา ๆ สองคำขอร้องเอาพัดส่งให้มันไปมันจึงได้ไป
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ทำเป็นโกรธเอามือทุบอกร้องว่ากรรม ๆ น่าเสียดายพัด ทำไมเจ้าจึงเอาของวิเศษให้มันไปเล่า จะทำร้อนใจให้เราแล้ว นางล่อซั่วหัวเราะแล้วพูดว่าใต้อ๋องอย่าเพิ่งโกรธก่อน พัดที่ข้าพเจ้าให้ไปนั้น คือพัดปลอมเอาให้มันไป เห้งเจียถามว่าก็พัดจริงนั้นอยู่ที่ไหนเล่า นางล่อซั่วพูดว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าเก็บรักษาไว้ดีแล้ว นางจึงเรียกสาวใช้ให้ยกกับข้าวและสุรามาตั้งบนโต๊ะ แล้วนางรินสุรายกสองมือส่งให้เห้งเจียพูดว่าใต้อ๋อง ได้ขันหมากใหญ่เลี้ยงโต๊ะรื่นเริง ได้ที่ใหม่ขออย่าลืมซึ่งได้ผูกพันธ์กันแต่เก่าก่อน ขอได้ดื่มสุราของข้าพเจ้าสักอึกหนึ่งเถิด
   เห้งเจียไม่อาจรับก็หัวเราะ ถือถ้วยอยู่กับมือแล้วพูดว่านางกินก่อน เพราะเราไปจัดแจงนอกบ้านได้ทิ้งห่างมานานแล้ว ได้พึ่งเจ้าอยู่คุ้มครองบ้านเรือนเคหาจึงได้ปรกติ ขออาศัยเวลานี้คำนับคุณของเจ้าจงดื่มก่อน นางรับแล้วกลับส่งยื่นคืนไปว่า คำโบราณย่อมว่า เมียนั้นคือความเสมอเรียบ ผัวนั้นเป็นบิดาเลี้ยงร่างกาย ใต้อ๋องจะมาขอบคุณข้าพเจ้าทำไมต่างก็ส่งไปมาปราศรัยกัน แล้วก็พากันเข้านั่งโต๊ะเห้งเจียไม่กล้ากินเนื้อสัตว์ กินแต่ผลไม้นั่งสนทนากัน​ไปมา นางล่อซั่วรู้สึกเมาก็เกิดความกำหนัดเข้านั่งชิดเห้งเจียแอบอิงกระทำการยียวนยั่วหยอกจับมือลูบคลำพูดจาเล้าโลมเคล้าคลึง เห้งเจียก็ผ่อนตามใจต่างก็อิงแอบแนบกายกัน เห้งเจียเห็นท่านางเมาสุรามากแล้ว จึงแคะไค้ไต่ถามว่า เจ้าเอาพัดนั้นเก็บไว้ที่ไหนจงเก็บไว้ให้ดี วิตกด้วยเห้งเจียมันแปลงเปลี่ยนได้หลายประการจะมาหลอกลวงเอาไปได้ นางล่อซั่วหัวเราะแล้วสำรอกพัดออกมาจากปาก ดูสักเท่าใบมะม่วงอ่อน หยิบส่งให้เห้งเจียว่านี่มิใช่หรือพัดของวิเศษ เห้งเจียรับมากับมือแต่ไม่เชื่อ นึกในใจว่าของเท่านี้จะพัดอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะดับไฟได้กลัวจะเป็นของปลอม นางล่อซั่วเห็นเห้งเจียพิเคราะห์ดูของนั้นเป็นช้านานนางก็อดไม่ได้ เอาแก้มมาพิงที่หน้าเห้งเจียเรียกว่า พี่ ๆ เอาของนั้นเก็บเสียมากินสุราเถิด จะนั่งคิดตรึกตรองไปทำไมให้เสียเวลาเล่า
   เห้งเจียพูดว่าของเล็ก ๆ เท่านี้ทำไมจึงดับไฟได้เป็นแปดร้อยโยชน์ นางล่อซั่วเมาสุรามากสติก็ฟั่นเฟือนจึงไขวิชาออกให้เห้งเจียฟังว่า ใต้อ๋องข้าพเจ้าห่างท่านได้สองปีเศษ เห็นใต้อ๋องไปอยู่กับนางเง็กมิ่นก๋งจู๊ทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ห่างกัน จึงได้ฟั่นเฟือนของวิเศษอยู่กับบ้านจึงได้ลืมไปหมดดังนี้ คือของวิเศษนั้น ต้องเอานิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายจับก้านแล้ว ก็ร่ายอาคมว่า ไซ้ฮือคากิ๊มฮีเป่าไปก็ยาวออกกว่าสองศอก พัดก็เปลี่ยนแปลงไปได้ต่าง ๆ จะกลัวทำไมกับไฟแปดร้อยโยชน์โบกทีเดียวก็จะดับไปทั้งหมด ​เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็จำอาคมนั้นไว้จงเอาพัดนั้นอมไว้ในปากแล้ว เอามือเกาที่คางร่างกายกลับเป็นรูปเดิม ร้องเรียกอีนางล่อซั่วมึงจำกูได้หรือไม่ มึงทำกลมายียวนชวนสังวาสโดยความกำหนัดในการเสน่หาไม่มียางอายเท่าเส้นผม ใครจะชมเชยมึงได้เล่า นางล่อซั่วแลเห็นเห้งเจียก็เสียใจสิ้นสติล้มลงกับฟื้นมีความอายอย่างที่สุด ร้องว่าฆ่าเราแล้ว ๆ เห้งเจียก็เดินออกจากถ้ำเหาะขึ้นบนเวหา
ในเมื่อเหาะมานั้น ก็คายของวิเศษออกจากปากทำวิธีเอาหัวแม่มือซ้ายจับที่ก้านพัดร่ายอาคมว่าไซ้ฮือคากิ๊มฮี เป่าไปพัดก็ยาวออกหกศอก เห้งเจียพิจารณาดูโดยละเอียดเห็นว่าพัดเล่มปลอมกับพัดเล่มนี้ผิดกันมาก เล่มนี้ดูมีรัศมีเปล่งออกมาต่าง ๆ เห้งเจียได้แต่ทำให้ยาวใหญ่ อันจะทำให้เล็กนั้นหาได้ถามไม่ แล้วก็แบกพัดใส่บ่าลดลงยังพื้นดินเดินกลับมาทางเก่า ฝ่ายงู่ม่ออ๋องครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้ว ก็ลากลับออกมานอกประตูไม่เห็นสัตว์กิมเจง นาคใหญ่จึงให้ตรวจค้นว่าใครลักเอากิมเจงของใต้อ๋องไป พวกคนใช้คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า เมื่อเวลาเลี้ยงโต๊ะพวกข้าพเจ้าคอยรับใช้พร้อมกันไม่มีผู้ใดจะได้ออกมาข้างนอก เห็นแต่เปี้ยวตัวหนึ่งคลานเข้ามา หรือเปี้ยวตัวนั้นจะเป็นคนแปลงมาลักสัตว์กิมเจงไปดอกกระมัง งู่ม่ออ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้จึงพูดว่า ท่านทั้งหลายไม่ต้องร้อนใจข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว เมื่อกลางวันมีอ้ายลิงหงอคงมันรักษาพระ​ถังซัมจั๋งไปไซที บัดนี้มาติดอยู่ที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัว มันมาขอยืมพัดของเราจะเอาไปดับไฟ เราไม่ให้มันจึงได้เกิดรบพุ่งกันยังหาแพ้ชนะกันไม่ เพื่อนก็ให้คนไปเชิญเรา ๆ จึงได้พูดผลัดแก่มันว่า มากินโต๊ะแล้วจะกลับไปรบแก่มันใหม่
   อ้ายลิงตัวนี้มันมีสติปัญญาสามารถนัก แปลงกายได้หลายประการ มันจึงตามมาลักเอากิมเจงไปฉะนี้ คงจะย้อนไปหาภรรยาเราเพื่อจะหลอกลวงเอาพัดเป็นแน่ พวกนาคได้ฟังดังนั้นพากันหวาดเสียวสะดุ้งกลัวตัวสั่นสะท้านไปทุกคนแล้ว ถามงู่ม่ออ๋องว่าที่ทำวุ่นวายบนสวรรค์คนนั้นหรือมิใช่ งู่ม่ออ๋องว่าคนนั้นแหละ จึงพูดแก่พวกนาคว่า ข้าพเจ้าจะขอลาไปก่อนว่าแล้วก็ออกจากประตูแทรกน้ำขึ้นมา แล้วเหาะขึ้นบนเวหาตรงไปเขาจุ๊ยหุ้นซัวถ้ำปอเจียวต๋อง ครั้นถึงก็เข้าไปในถ้ำ ได้ยินนางล่อซั่วกำลังร้องไห้ตีอกชกศรีษะคร่ำครวญอยู่ งู่ม่ออ๋องจึงร้องให้เปิดประตูแลไปเห็นสัตว์กิมเจงผูกอยู่ข้างประตู งู่ม่ออ๋องร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายซึงหงอคงมันไปทางไหน
   พวกสาวใช้เห็นงู่ม่ออ๋อง ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับว่าท่านใต้อ๋องมาแล้ว นางล่อซั่วเห็นงู่ม่ออ๋องมา ก็วิ่งเขามาเอาศรีษะกระแทกกับอกงู่ม่ออ๋องร้องไห้ว่า อ้ายแก่ทำไมมาทำแก่เราดังนี้ ทำไมไม่ระไวระวังกิมเจงไว้ ให้อ้างลิงมันลักมาขี่แปลงปลอมเป็นท่านมาหลอกลวงเราฉะนี้ งู่ม่ออ๋องได้ฟังภรรยาบอกดังนั้น มีความแค้นหาที่สุดมิได้ จึงถามว่ามันไปข้างทิศไหน นางล่อซั่วว่าอ้ายลิงมันหลอกข้าพเจ้าได้แล้ว มันจะไปข้างทิศไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ ​งู่ม่ออ๋องปลอบภรรยาว่าเจ้าอย่าเสียใจ พี่จะไปตามจับมันคืนเอาของวิเศษของเรามา แล้วจะถลกหนังสับฟันมันเสียสักหมื่นท่อน ลากเอาตับปอดออกมาแก้แค้นให้จงได้ แล้วสั่งให้เอาเครื่องแต่งตัวมาให้ คนใช้ว่าเครื่องอาวุธของท่านมิได้อยู่ที่นี่ งู่ม่ออ๋องว่าให้เกี่ยมของนางมาให้ยืมก่อน สาวใช้ก็เข้าไปเอาเกี่ยมสองอันออกมาส่งให้งู่ม่ออ๋อง ๆ แต่งตัวแล้ว มือถือเกี่ยมก็ออกจากประตูเหาะหมายเขาฮ้วยเอี้ยมซัว ก็พอมาทันเห้งเจียเข้า
(บทที่ ๖๑)
   งู่ม่ออ๋องมีความวิตกในใจว่า อ้ายลิงมันได้วิธีทำพัดให้ใหญ่ได้ แม้เราจะเข้าไปทวงถามมัน มันคงไม่ให้เราเป็นแน่ บางทีมันจะเอาพัดโบกเราจะปลิวไปถึงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ก็จะไม่สมคิด เราได้ยินว่าสานุศิษย์ที่สองของพระถังซัมจั๋งชื่อโป๊ยก่าย เราก็ได้พบเห็นรู้จักแล้ว จำเราจะแปลงเป็นโป๊ยก่ายหลอกมันเอาพัดจึงจะได้ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายคาถาแปลงกายเหมือนโป๊ยก่าย รีบเดินลัดตัดหน้าเห้งเจียมาก่อนย้อนกลับมารับเห้งเจีย ทำเป็นร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียข้าพเจ้ามาแล้ว อาจารย์เห็นพี่มาช้าจึงให้ข้าพเจ้ามาตาม โดยเกรงว่างู่ม่ออ๋องจะขัดขวางไม่ให้พัด จึงให้ข้าพเจ้ารีบมาช่วย เห้งเจียหัวเราะว่าไม่ต้องเปลืองใจเป็นทุกข์พี่ได้มาแล้ว งู่ม่ออ๋องถามว่าทำอย่างไรจึงได้มา เห้งเจียว่างู่ม่ออ๋องรบแก่เราร้อยกว่าเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน มีผู้มาเชิญไปกินโต๊ะเธอผละจากเราไปกินเลี้ยงที่เขาล้วนเจียซัวบึงเพ๊กปอท้ำ พี่สะกดรอยตามไปลักเอากิมเจง​ขี่กลับมาที่ถ้ำปอเจียวต๋องหลอกนางล่อซั่วจึงได้พัดมา งู่ม่ออ๋องว่าพี่ต้องแบกพัดลำบากทำไม ส่งมาข้าจะแบกไปเอง เห้งเจียมิได้รู้ในกลอุบาย จึงส่งพัดใช้แก่งู่ม่ออ๋องไป งู่ม่ออ๋องรู้วิธีทำให้พัดเล็กลงได้ ก็ร่ายอาคมให้พัดเล็กลงเท่าใบมะม่วงอ่อน งู่ม่ออ๋องก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิม แล้วชี้หน้าว่าอ้ายลิงมึงจำกูได้หรือไม่
   เห้งเจียรู้ว่างู่ม่ออ๋องก็มีความเสียใจ คิดว่าเราไม่ดีเอง คิดแค้นใจตัว แล้วร้องตวาดคำหนึ่งทะลึ่งโลดดุจฟ้าลั่น ถือตะบองเข้าตีงู่ม่ออ๋อง ๆ ก็จับพัดเข้าโบกไปทีหนึ่ง เห้งเจียก็ไม่หวั่นไหวงู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้น ก็เอาพัดใส่ปากสองมือถือเกี่ยมแกว่งกวัดเข้ารบกับเห้งเจียกลางอากาศ ต่างบุกบั่นคลุกคลีกันพักหนึ่ง มิได้ลดละแก่กัน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง นั่งอยู่กลางทางคอยถ้าเห้งเจีย ความร้อนก็มากขึ้นอกใจก็แห้งเหี่ยวอยากน้ำเป็นกำลัง จึงถามเจ้าเขาว่าฝีมือกำลังงู่ม่ออ๋องเป็นประการใด เจ้าเขาตอบว่า งู่ม่ออ๋องนั้นมีฤทธาอานุภาพมากนัก กับเห้งเจียก็พอสู้กันได้ พระถังซัมจั๋งว่าหนทางนั้น เห้งเจียเคยไปมาในสองพันเส้นบัดเดี๋ยวก็กลับมา นี่เป็นอย่างไรไปวันหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นกลับ เห็นจะไปต่อสู้อยู่แก่งู่ม่ออ๋องเป็นแน่ จึงเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาถามว่า ใครจะไปรับพี่เจ้าสักคนหนึ่ง ถ้าไปพบกำลังรบกันจะได้เข้าช่วยกัน ถ้าได้พัดแล้วก็ให้กลับจะได้รีบข้ามเขาไป โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปรับเอง แต่ทางจะไปเขา​เจ๊กลุ่ยซัวไม่เคยไป เจ้าเขาบอกว่าข้าพเจ้ารู้จักทาง ให้ซัวเจ๋งอยู่เป็นเพื่อนพระอาจารย์ เรากับท่านไปด้วยกัน พระถังซัมจั๋งมีความยินดี โป๊ยก่ายก็จัดแจงแต่งกายแข็งแรงแล้ว เอาคราดขึ้นบ่าพร้อมด้วยเจ้าเขาเหาะหมายตรงไปยังทิศอาคเนย์
   เมื่อกำลังเหาะมานั้น ได้ยินเสียงกึกก้องโกลาหลสะท้านหวั่นไหว โป๊ยก่ายก็หยุดรอดู เจ้าเขาพูดว่าท่านโป๊ยก่ายยังรออะไรอยู่อีกเล่าจึงไม่รีบเข้าช่วยเห้งเจียรบกับงู่ม่ออ๋อง โป๊ยก่ายได้ฟังเจ้าเขาเตือนดังนั้น ก็ชักคราดออกตรงเข้าไปร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียข้าพเจ้ามาแล้ว เห้งเจ๊ยเห็นโป๊ยก่ายมาจึงด่าว่าอ้ายกินรำมึงทำให้เราเสียการ โป๊ยก่ายถามว่าข้าพเจ้าทำอะไรให้ท่านเสียการ เห้งเจียบอกว่าอ้ายงู่ม่ออ๋องมันทำอุบาย เราไปหานางล่อซั่วหลอกลวงเอาพัดมาได้แล้ว มันตามมาทันแปลงตัวเหมือนเจ้าหลอกเอาพัดคืนไปได้ เราจึงได้รบกับมันอยู่ที่นี่ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จับคราดเหล็กตรงเข้ามาด่าว่าอ้ายควายกูจะลอกหนังมึงออก มึงทำไมจึงบังอาจสามารถแปลงเหมือนปู่ หลอกพี่กูดังนี้ให้พี่น้องขัดใจกัน โป๊ยก่ายว่ากระนั้นแล้ว ก็ถือคราดตรงเข้าสับงู่ม่ออ๋อง
   ฝ่ายงู่ม่ออ๋องรบแก่เห้งเจียมาวันหนึ่งแล้ว กำลังก็อ่อนลงมาก เห็นโป๊ยก่ายเหวี่ยงคราดมาโดยแรง ก็ยกเกี่ยมขึ้นรับทานกำลังโป๊ยก่ายไม่อยู่ก็ถอยหนี เจ้าเขาก็เรียกพวกทหารมาล้อมหน้าหลังสะกัดกั้นงู่ม่ออ๋องไว้ ร้องว่างู่ม่ออ๋องจงหยุดก่อน ด้วยพระถังซัมจั๋งจะ​ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกเทพาอารักษ์เจ้านายที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งอินทร์พรหมทุกช่องชั้นฟ้าก็ช่วยพิทักษ์รักษา ท่านจงรีบเอาพัดปอเจียวนั้นดับไฟข้ามส่งเธอไปเถิด ถ้ามิฉะนั้นทราบถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ โทษท่านก็จะถึงที่ตาย
   งู่ม่ออ๋องได้ฟังเทพารักษ์พูดดังนั้น จึงตอบว่า ท่านไม่รู้ว่าผิดชอบประการใด ข้อหนึ่งมันชิงลูกเราไป ข้อสองมันประมาทเมียน้อยเรา ข้อสามมันหลอกลวงเมียหลวงเรา มีความผิดดังนี้ เราจึงต้องติดตามมาเอาพัดคืน พูดยังไม่ทันขาดคำลงโป๊ยก่ายก็มาร้องด่าว่า อ้ายควายมึงรีบส่งพัดนั้นมาโดยเร็วเราจะยกชีวิตไว้ให้ งู่ม่ออ๋องก็หันกลับมารับสู้รบอีก โป๊ยก่ายเห้งเจียก็เข้ารุมรบระดมตี คนทั้งสามสู้รบกันเป็นตะลุมบอน ต่างฟาดพันกันโดยกำลัง งู่ม่ออ๋องสู้พลางถอยพลางรบกันอยู่คืนหนึ่งจนรุ่งสว่าง แลไปข้างหน้านั้นคือ เจ้าเขาเจ๊กลุ่ยซัวถ้ำม่อหุ้นต๋องคนทั้งสามยิ่งออกกำลังเข้มแข็งฟัดเหวี่ยงกันไปมา เจ้าเขาก็ให้พวกผีเข้าระดมช่วยรบเสียงสะท้านหวั่นไหว นางเง็กมิ่นก๋งจู๊ได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงร้องเรียกพวกบริวารใหญ่น้อยให้ถืออาวุธพร้อมกัน ออกไปช่วยงู่ม่ออ๋อง งู่ม่ออ๋องมีความยินดีด้วยเห็นพวกบริวารมาพร้อมกันช่วยรบ โป๊ยก่ายรับไม่หยุดก็ชักคราดถอยหนีเห้งเจียก็ล่าเหาะขึ้นบนเวหา พวกผีทหารเจ้าเขาก็พากันหลบหนีไปหมดสิ้น งู่ม่ออ๋องมีชัยชนะก็พาพวกบริวารกลับเข้าถ้ำปิดประตูแน่นมิได้ออกมา
   ฝ่ายเห้งเจียจึงพูดแก่โป๊ยก่ายแลเจ้าเขาว่า มันมีกำลังเข้มแข็งนักรบกันวันกับคืนหนึ่งแล้วมันยังไม่สิ้นกำลัง แลยังมีบริวารมาช่วยอีก บัดนี้มันก็เข้าถ้ำปิดประตูแน่นเสียอย่างนี้เราจะทำประการใด โป๊ยก่ายว่าถ้ายังนี้ก็ยากที่จะได้พัดวิเศษ ทำประการใดจะให้พระอาจารย์ข้ามเขาไปได้เล่า เรากลับไปทางเก่าเถิดหรือ เจ้าเขาได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นจึงพูดว่า เห้งเจียอย่าเป็นทุกข์โป๊ยก่ายอย่ามีความท้อถอย ท่านพูดว่าจะกลับไป ก็ดุจดังเข้าอุปสมบทแต่มิได้ปฏิบัติธรรมอันวิเศษ อาจารย์ท่านทั้งสองก็นั่งอยู่กลางทางตั้งตาคอยท่านทั้งสองกว่าจะสำเร็จการ เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็มีความแค้นพูดว่าท่านพูดนั้นถูกต้อง จึงพูดว่าเราพี่น้องจงตั้งใจขับเขี้ยวเอาพัดวิเศษนั้นให้จงได้ โป๊ยก่ายพูดว่าพี่พูดนั้นถูกแล้ว เราช่วยกันให้สำเร็จการ เห้งเจียโป๊ยก่ายเจ้าเขากับทหารผีก็พากันมาเข้าล้อมถ้ำม่อหุ้นต๋อง เห้งเจียโป๊ยก่ายตีประตูปากถ้ำหักพังหลายป่นละเอียดไปทั้งสิ้น พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกงู่ม่ออ๋องว่า เห้งเจียพาพักพวกมาตีประตูหักพังไปหมดสิ้นแล้ว
   ฝ่ายงู่ม่ออ๋องกำลังเล่าความให้เง็กมิ่นก๋งจู๊ฟังพอได้ยินคนมาบอกว่าเห้งเจียมาหักพังประตูดังนั้น ก็ยิ่งเกิดโทสะกัดฟันรีบสวมเกราะถือพลองออกมาด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงเป็นผู้ใหญ่มาทำดังนี้สมควรหรือ โป๊ยก่ายร้องด่าว่าอ้ายเขาลอกหนัง มึงเป็นคนอย่างไรจึงได้พูดว่าเล็กว่าใหญ่ มึงอย่าหนีจงดูคราดของปู่ งู่ม่ออ๋อง​ร้องตวาดว่าอ้ายกินรำ มึงจงเรียกอ้ายลิงมาสู้กับกูจึงจะพอมือ เห้งเจียว่ามึงไม่รู้จักดีและชั่ว เมื่อวานนี้กูกับมึงว่าเป็นพี่น้องวันนี้กูจะเป็นผู้พยาบาทแก่มึง มึงจงระวังให้ดีมึงจะต้องกินตะบอง งู่ม่ออ๋องก็เอาพลองเข้ารับรบกัน ต่อสู้กันได้ประมาณร้อยเพลง โป๊ยก่ายเอาคราดกระโจมเข้าไปสับไม่รอรั้ง งู่ม่ออ๋องรับไม่หยุด ก็ล่าถอยหนีจะเข้าถ้ำมาโดนเจ้าเขาเอาพวกทหารผีเข้าล้อมสกัดไว้ ร้องตวาดว่างู่ม่ออ๋องจะหนีไปข้างไหน งู่ม่ออ๋องจะเข้าถ้ำก็ไม่ได้แลไปเห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายไล่รุกเข้ามา งู่ม่ออ๋องไม่มีทางจะไป ก็ถอยเกราะถอดหมวกทิ้งไว้ แปลงเป็นนกเป็ดน้ำโผบินขึ้นบนอากาศหนีไป
   เห้งเจียเห็นแล้วก็หัวเราะบอกโป๊ยก่ายว่า งู่ม่ออ๋องหนีไปแล้ว โป๊ยก่ายและเจ้าเขาก็มิได้รู้พากันเหลียวซ้ายแลขวาเที่ยวค้นหา เห้งเจียชี้มือว่าที่บินบนอากาศนั่นแหละ โป๊ยก่ายว่านั่นนกเป็ดน้ำมิใช่หรือ เห้งเจียบอกว่านั่นคืองู่ม่ออ๋องมันแปลงตัว เจ้ากับเจ้าเขาจงตีขนาบเข้าไปในถ้ำจับพวกปีศาจในถ้ำฆ่าเสียให้หมด รื้อพังถ้ำเสียอย่าให้มันมีที่อาศัยได้ ตัวข้าจะตามไปต่อสู้จับมันให้จงได้ โป๊ยก่ายกับเจ้าเขาก็กระทำตามคำสั่งเห้งเจียตีรุกเข้าไปในถ้ำหักพังทำลายเสียสิ้น ฝ่ายเห้งเจียก็ร่ายคาถาแปลงเป็นนกเหยี่ยวใหญ่ โผ ร่อนมาในอากาศโฉบตัวนกเป็ดน้ำจิกเอาลูกตา งู่ม่ออ๋องก็ห่อปีกแปลงเป็นนกตะกรุมกลับมาจะจิกนกเหยี่ยว เห้งเจียก็แปลงเป็นนกหงส์ดำไล่จิกนกตะกรุม
   งู่ม่ออ๋องก็แปลงเป็นนกยางแล้วก็บินไปทางทิศอาคเนย์ ​เห้งเจียขยับปีกสลัดขนแปลงเป็นนกพระยาหงส์ งู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้นก็หลบลงข้างภูเขาแปลงเป็นสัตว์สี่เท้า คืออีเก้ง ทำกิริยาเดินกินหญ้าอยู่ที่ชายเขา เห้งเจียเห็นก็โผตามลงมาแปลงเป็นเสือกระดิกหางจะใคร่กระโดดเข้าจับอีเก้งกิน งู่ม่ออ๋องตกใจก็แปลงเป็นเสือโคร่งกระโดดมาจะกัดเสือผอม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงเป็นสางโถมมาตะครุบเสือโคร่ง งู่ม่ออ๋องก็กลายเป็นหมีคนแยกเขี้ยวจะเข้าทำร้ายสาง เห้งเจียก็กลายเป็นช้างจะเข้าจับหมีคน งู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วก็แปลงกายไปตามเดิม เป็นกระบือใหญ่ศรีษะเท่าภูเขาตาดุจแสงฟ้าแลบสองเขาดุจพระเจดีย์ ฟันดุจคมมีดตัวยาวกว่าพันวา สูงได้แปดร้อยวา ร้องบอกแก่เห้งเจียว่าอ้ายสัตว์ลิงมึงจะทำอะไรกู เห้งเจียก็กลับกลายเป็นรูปเดิมชักตะบองออกกระทุ้ง กับพื้นทีหนึ่ง ร้องว่าให้สูงตัวก็สูงขึ้นหมื่นวาศรีษะใหญ่เท่าภูเขาท้ายซัว สองนัยน์ตาดุจดวงพระอาทิตย์ ปากดุจบ่อโลหิตฟันดุจบานประตู มือถือตะบองเหล็กหมายตีตรงศรีษะงู่ม่ออ๋อง ๆ ก็เอาเขาขวิดรบกันสะท้านหวั่นไหวก้องโกลาหล
   ทั้งสองแผลงอิทธิฤทธิ์อานุภาพต่อสู้กันอยู่กลางภูเขาใหญ่ หมู่เทวาอารักษ์ที่ท่องเที่ยวอยู่ในอากาศ แลเจ้ากิมเอียดที้หลักเตงหลักกะแลหมู่เจ้าที่รักษาธรรมทั้งหลายก็มาระดมช่วยล้อมงู่ม่ออ๋องไว้ งู่ม่ออ๋องก็ทำเฉยไม่หวาดหวั่นครั่นคร้าม เห้งเจียมารับหน้ากับหมู่เจ้าทั้งหลายก็พร้อมกันระดมตีงู่ม่ออ๋อง ๆ จวนตัวก็หมุนคว้างอยู่กับดิน แล้วกลับเป็นรูปเดิมหนีเข้าถ้ำปอเจียวต๋อง เห้งเจียก็พาหมู่เจ้าเทพารักษ์ไล่​ตามมา ฝ่ายงู่ม่ออ๋องหนีเข้าถ้ำได้ก็ปิดประตูแน่นไม่ออกมาสู้รบต่อ่ไป
 ฝ่ายหมู่เทพารักษ์ ก็พากันเข้าล้อมเข้าจุ๊ยหุ้นซัวไว้แน่นหนาไม่มีทางจะออกได้ ครั้นจะตีประตูเข้าไปก็พอได้ยินเสียงโป๊ยก่ายกับเจ้าเขากระหืดกระหอบวิ่งตามกันมา ทั้งหมู่ทหารมีก็กรูกันมาด้วย เห้งเจียถามว่าที่ถ้ำม่อหุ้นต๋องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง โป๊ยก่ายหัวเราะพูดว่า เมียของอ้ายงู่ม่ออ๋องข้าพเจ้าสับด้วยคราดตายแล้ว แก้เสื้อออกดูก็เห็นเป็นปิศาจเสือปลา ปีศาจน้อย ๆ เหล่านั้นข้าพเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว ถ้ำนั้นข้าพเจ้าเอาไฟเผาไหม้หมดแล้ว เจ้าเขาว่ามันมีที่อาศัยอยู่อีกแห่งหนึ่ง ที่นี่เขาใหญ่ชื่อถ้ำปอเจียวต๋องมิใช่หรือ เห้งเจียบอกว่าใช่ในนี้คือนางล่อซั่วอยู่ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าทำไมไม่เร่งตีเข้าไปตามเอาพัดเล่าไว้ช้าการจะมีปัญญาต่อไป โป๊ยก่ายออกท่าโดยเข้มแข็ง เอาคราดสับกระชากประตูหักพังลงทั้งสิ้น พวกผู้หญิงที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้นตกใจ พากันวิ่งเข้าไปบอกงู่ม่ออ๋องว่าบัดนี้ใครไม่รู้จักมันมาพังประตูลงหมดแล้ว
   งู่ม่ออ๋องเวลานั้นกำลังเล่าความที่เอาพัดคืนมาได้ และได้รบรอต่อสู้กันให้นางล่อซั่วฟัง ก็พอได้ยินคนเข้ามาบอกก็มีความโกรธเป็นอันมาก งู่ม่ออ๋องคายพัดวิเศษออกจากปากส่งให้นางล่อซั่ว ๆ รับเอาพัดมาแล้วก็ร้องไห้ จึงพูดว่าจงเอาพัดนี้ให้ซึงเห้งเจียไปเถิดมันจะได้ยกทัพกลับไป งู่ม่ออ๋องพูดว่าเป็นของเล็กน้อยก็จริง แต่ความแค้นเคืองนั้นลึกซึ้งนัก เจ้าจงนั่งก่อนพี่จะใคร่ออกต่อสู้แก่มันอีกสักพัก​หนึ่ง พูดดังนั้นแล้วก็เอาเกราะสวมใส่ตัวแล้วก็ถืออาวุธเกี่ยม กระโดดออกไปจากประตู ก็ปะโป๊ยก่ายกำลังสับพังประตู งู่ม่ออ๋องเอาเกี่ยมแทงโป๊ยก่าย ๆ เอาคราดรับขยับถอยออกมานอกประตู เห้งเจียก็มาทันเข้าเอาตะบองตีงู่ม่ออ๋องถูกเจ็บปวดก็บันดาลเป็นสายลมพยุห์ หนีออกจากถ้ำปอเจียวต๋องขึ้นอยู่บนยอดเขาจุ๊ยหุ้นซัว หมู่เจ้าและเทพารักษ์ก็เข้าช่วยกันล้อมงู่ม่ออ๋องไว้ พวกผีก็ระดมตีเข้าไปพร้อมกันทั้งซ้ายและขวา งู่ม่ออ๋องก็แข็งใจรบมิได้คิดแก่ชีวิต ต่อสู้กันไปมาประมาณห้าสิบเพลง ทานไม่ไหวก็ล่าหนีไปข้างทิศอุดรก็มาปะท่านกิมกางหงษ์ท้ายซัวซึ่งมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่มาสกัดน่าร้องตวาดว่า งู่ม่ออ๋องจะหนีไปข้างไหน เรารับคำสั่งพระยูไลเจ้ามาล้อมจับตัวเจ้า
   กำลังพูดอยู่เห้งเจีย โป๊ยก่ายและหมู่เทพยดาก็ไล่ตามมา งู่ม่ออ๋องตกใจกลัวก็กลับหันหนีไปทางทิศอาคเนย์ ก็มาประเจ้ากิมกังโบ้เหลียงเส้งจี่สะกัดหน้าไว้ ตวาดว่าเรารับคำสั่งพระยูไลมาคอยจับตัวเจ้า งู่ม่ออ๋องก็หันกลับหนีไปทางทิศตะวันออก ก็ปะเจ้ากิมกังกุนโล้ซัวบุ๊นตั้วลัดสกัดหน้าคอยจับ งู่ม่ออ๋องก็หวาดหวั่นกลับหนีไปทางทิศตะวันตก ก็ปะเจ้ากิมกังปุ๊ดไหวย้งจู๊สกัดหน้าร้องตวาดว่างู่ม่ออ๋องจะหนีไปข้างไหน เรารับคำสั่งพระยูไลมาคอยจับเจ้าอยู่ที่นี่ งู่ม่ออ๋องเห็นทั้งสี่ทิศมีทหารพระยูไลมาคอยสะกัดจับอยู่ จะเข้าที่อับจนชีวิตจะไม่รอดแล้ว ก็พอเห็นเห้งเจียพาพวกใส่ติดตามมางู่ม่ออ๋องทำเมฆลอยขึ้นจะหนีไปบนอากาศ บนอากาศมีถักทะลีทีอ๋อง ​โลเฉียกับทหารเทพบุตรทั้งหลายสกัดไว้ ร้องเรียกว่ามาเร็ว ๆ พวกเราได้รับคำสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้มากำจัดเจ้า
   งู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้นก็สั่นหัวแปลงเป็นกระบือขาวใหญ่ตรงเข้าไปจะขวิดถักทะลีทีอ๋อง ๆ ก็เอาดาบจะฟัน ข้างหลังเห้งเจียก็มาทัน โลเฉียร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านเห้งเจียเครื่องมือมีอยู่กับตัวทำไมจึงจับไม่ได้ เมื่อวานนี้พระยูไลมีฎีกามาให้เง็กเซียงฮ่องเต้ว่าพระถังซัมจั๋งติดขัดที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัว เห้งเจียคนเดียวกำจัดงู่ม่ออ๋องไม่ได้จึงให้ข้าพเจ้าพ่อลูกมาช่วยเห้งเจีย ๆ ว่างู่ม่ออ๋องมันมีฤทธิ์มากนักจะทำอย่างไรดีจึงจะปราบได้ โลเฉียหัวเราะแล้วพูดว่าเห้งเจียอย่ามีความสงสัย เราจะจับปีศาจงู่ม่ออ๋องให้ดู พูดดังนั้นแล้วโลเฉียก็แปลงกายเป็นสามเศียรหกกรกระโดดขึ้นบนหลังงู่ม่ออ๋อง เอาเกี่ยมวิเศษออกมาฟันคองู่ม่ออ๋องลงไปทีหนึ่งคอก็ขาดกระเด็นไป ศรีษะงู่ม่ออ๋องก็ออกมาอิกศรีษะหนึ่งปากก็พ่นควันคำออกมา นัยน์ตาก็แดงดุจแสงพระอาทิตย์ โลเฉียเห็นดังนั้นก็เอาเกี่ยมฟันลงไปอีกทีหนึ่ง คอก็ขาดศรีษะตกลง ศรีษะก็ออกมาทันทีอีกศรีษะหนึ่งอีก โลเฉียฟันซ้ำสิบทีศรีษะก็ออกมาทันทีทั้งสิบทีเหมือนกัน จึงเอาจักรไฟวิเศษแขวนที่เขางู่ม่ออ๋อง ไฟก็ลุกติดเขางู่ม่ออ๋องดิ้นรนกลิ้งเกลือกร้องด้วยเสียงอันดัง จะใคร่แปลงตัวหนี ถักทะลีทีอ๋องก็เอาจักรวิเศษส่องจับไว้จะแปลงก็มิได้ งู่ม่ออ๋องก็สิ้นฤทธิ์จึงร้องขอว่าอย่าล้างชีวิตข้าพเจ้าเสียเลย ข้าพเจ้า​ขอยอมตัวปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โลเฉียว่าแม้รักชีวิตก็รีบเอาพัดมาโดยเร็ว
   งู่ม่ออ๋องว่าพัดนั้นอยู่ที่เขา ภรรยาข้าพเจ้าเขารักษาไว้ โลเฉียเห็นพูดดังนั้นก็เอาเชือกวิเศษออกร้อยจะมูกแล้วก็จูงมา เห้งเจียเจ้ากิมกังทั้งสี่ แลหมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายเจ้าเขาแลโป๊ยก่ายทหารผีก็พร้อมกันไปที่ถ้ำปอเจียวต๋อง งู่ม่ออ๋องร้องบอกภรรยาให้เอาพัดมาถ่ายชีวิตร นางล่อซัวได้ยินสามีร้องเรียกดังนั้น ก็ถอดเครื่องแต่งตัวทองแหวนทิ้งเสียทั้งสิ้น ผลัดเครื่องนุ่งห่มเป็นชี มือถือพัดออกมาจากประตูคุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า ขอท่านได้กรุณายกชีวิตผัวเมียไว้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าเอาพัดมาถวายให้อาซึงเห้งเจ้ย ขอให้อาสำเร็จกิจนั้นเถิด เห้งเจียก็เข้าไปรับพัดวิเศษจากนางล่อซั่วมาแล้วก็พร้อมกันกับหมู่เทพยดาอารักษ์ เหาะกลับมายังสำนักที่พระถังซัมจั๋งคอยอยู่
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับซัวเจ๋งนั่งชะแง้คอยดูอยู่ช้านานยังไม่เห็นกลับมา ก็มีความทุกข์ร้อนไม่สบายใจ แลไปก็เห็นเมฆเป็นรัศมีลอยมาเต็มทั้งฟ้าจวนจะถึง พระถังซัมจั๋งว่าตาย ๆ อีก นั่นกองทัพที่ไหนยกมา ซัวเจ๋งแลไปก็จำได้จึงพูดแก่พระอาจารย์ว่า นั่นคือท้าวกิมกังทั้งสี่กับเจ้าเอี๊ยดที้หลักเตงหลักกะ เจ้ารักษาธรรมทั้งหลาย และเทพยดาอารักษ์ทั้งหลาย กับที่จูงงู่ม่ออ๋องมานั้นคือโลเฉียท้ายจื๊อที่ถือกระจกนั้น คือถักทะลีทีอ๋อง พี่เห้งเจียแบกพัดวิเศษมากับเจ้าเขา​นั่นโป๊ยก่าย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงครองจีวรออกมาคอยรับกับซัวเจ๋ง ครั้นท่านเหล่านั้นมาถึงพร้อมกัน พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวลงขอบคุณพูดว่า อาตมภาพบุญน้อยไม่ควรให้ท่านทั้งหลายได้ความลำบากลงมาถึงนี่
   เจ้ากิมกังทั้งสี่บอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยท่าน ขอให้สำเร็จซึ่งมรรคและผลเถิด พระยูไลเจ้ามีรับสั่งให้พวกข้าพเจ้ามาช่วยท่าน ๆ จงอย่าได้เกียจคร้าน พระถังซัมจั๋งย่อตัวคำนับรับคำ เห้งเจียก็เอาพัดวิเศษเดินเข้าไปใกล้เขายกพัดขึ้นโบกโดยเต็มกำลังทีหนึ่ง ไฟนั้นก็ค่อย ๆ ราบสงบลงไป เห้งเจียดีใจก็โบกซ้ำอีกสองที ก็ได้ยินเสียงลมพัดอู้ฝนก็ตกลงมาเต็มท้องฟ้า เวลานั้นพระถังซัมจั๋งก็หายความเร่าร้อนจิตใจก็ผ่องใสสบายเป็นความสุขเย็น อาจารย์กับศิษย์ก็พากันคำนับขอบคุณ เจ้ากิมกังกับเทพยดาทั้งหลายก็พากันกลับไปยังสถานทิพย์วิมานแห่งตน ๆ หมู่ลักเตงลักกะก็คอยตามรักษาพยาบาลพระถังซัมจั๋ง ถักทะลทีอ๋อง โลเฉียก็จูงงู่ม่ออ๋องไปกราบทูล เจ้าเขาก็นำนางล่อซั่วมาอยู่ข้างนั้น
   เห้งเจียพูดว่านางล่อซั่วทำไมยังไม่ไปจะมาอยู่ที่นี่ทำไม นางล่อซั่วคุกเข่าลงพูดว่า เดิมท่านได้พูดว่า ยืมพัดไปดับไฟแล้วก็จะคืนให้ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่ทันคิดไม่ให้พัดแก่ท่าน จึงได้เกิดจลาจลให้ท่านได้ความลำบาก ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติบวชมาก็พูดภาษา​มนุษย์ได้แล้ว แต่ยังมิได้สำเร็จมรรคผล ขอท่านใต้เซียได้คืนพัดให้ข้าพเจ้าบวชเรียนต่อไป เจ้าเขาจึงพูดแก่เห้งเจียว่า อันหญิงนี้เข้าใจในการใช้พัดไฟ ขอท่านคืนพัดให้เสียเถิดจะได้เอาไว้ดับไฟช่วยสัตว์ทั้งหลายในตำบลนี้ เปนสุขต่อไป เห้งเจียพูดว่าเราได้ถามชาวบ้านเหล่านี้บอกว่าโบกสามทีไฟก็ดับ ทำนาได้ข้าวปีหนึ่งก็ทำอย่างไรจึงดับไฟไม่สิ้นได้
   นางล่อซั่วพูดว่าแม้ว่าอยากดับให้สิ้นรากเหง้าไฟนั้น ต้องพัดโบกซ้ำๆ สี่สิบเก้าทีก็จะดับไฟได้ไม่มีไฟต่อไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็เอาพัดโบกไปสี่สิบเก้าทีฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ อาจารย์กับศิษย์ก็หลบไปในที่ไม่มีฝน เหตุว่าที่ใดไม่มีไฟฝนก็ไม่ตกไปที่นั้น อาจารย์กับศิษย์ก็พักอยู่คืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งเห้งเจียก็เอาพัดคืนให้นางล่อซั่ว ๆ ก็เสกให้พัดเล็กลงเอาใส่ปากอมแล้ว ก็คำนับลาไปหาที่สำนักบวชเรียนตามเพศนักบวช ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็ตั้งหน้าหมายตรงไปทิศปราจิณเดินข้ามเขาฮ้วยเอี้ยมซัวมาได้แล้วก็เป็นที่เย็นใจ

19 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 44 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๙)
 เมื่อกำลังเดินมาดูวันคืนก็เร่งรีบในฤดูเดือนเก้าเดือนสิบพากันต้องแดดแผดร้อน พระถังซัมจั๋งถามว่าฤดูนี้ ทำไมจึงร้อนมากขึ้นดังนี้ โป๊ยก่ายพูดว่าได้ยินเขาว่าหนทางทิศปราจิณนี้มีเมืองหนึ่งเรียกว่า ก๊ะรีก๊ก เป็นที่ตะวันตกและเรียกว่าสิ้นทางฟ้า แม้เวลาจวนเย็นเจ้าแผ่นดินให้คนขึ้นกำแพงเมืองตีกลองเป่าเขากระบือเพราะดวงตะวันเป็นธาตุไฟ ตกลงในทะเลเปรียบเหมือนไปจุ่มน้ำเสียงเดือดดัง แม้ไม่ตีกลองเป่าเขากระบือกลบเสียงไว้ เสียงดังสะท้านเด็กทารกก็ตกใจตาย ที่ตำบลนี้มีอายอบร้อนดังนี้ เห็นจะถึงเมืองตะวันตกนั้นดอกกระมัง
   เห้งเจียฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นอดไม่ได้ หัวเราะแล้วก็พูดว่าอ้ายหมูอย่าพูดเลอะเทอะไปไม่มีหลักฐาน อันจะคิดดูว่าเมืองก๊ะรีก๊กใกล้ดังนี้ทีเดียวหรือ หากจะประมาณดูเสมออายุอาจารย์เท่านี้แก่แล้วหนุ่ม ๆ แล้วแก่อย่างนี้สักสามหนก็เห็นจะยังไม่ถึง โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ว่าไม่ใช่เมืองตะวันตกก็เมืองอะไรเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าคิดดูก็จะเป็นอากาศแปรปรวนวิปริตดอกกระมัง จึงได้ฝนกลายเป็นร้อนอย่างนี้ไปได้ คนทั้งสามพูดโต้ตอบกันไปมาแลไปเห็นหมู่บ้านมีตึกมุงกระเบื้องแดงห้องหอก็ก่อด้วยอิฐแดง ประตูหน้าต่างนอกในล้วนทาด้วยสีแดงทั้งสิ้น
   ​พระถังซัมจั๋งลงจากม้าเรียกเห้งเจียให้เข้าไปที่หมู่บ้านนั้น ถามข่าวชาวบ้านดูว่าอันไอร้อนนั้นด้วยเหตุประการใด เห้งเจียก็เอาตะบองซ่อนในเสื้อ แล้วเดินเข้าไปยังประตูบ้าน เห็นตาเฒ่าเดินออกมาคนหนึ่งเงยหน้าเห็นเห้งเจียก็ตกใจ เอาไม้สักเท้าชี้ว่านี่เจ้ามาแต่ไหน เป็นคนอะไรมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเรามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่าท่านตาอย่าตกใจกลัวข้าพเจ้าเลย ไม่ใช่ยักษ์มารอะไรหรอก ข้าพเจ้ามาจากประเทศจีนเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระแผ่นดินให้ไปอาราธนาพระไตรปิฎกเมืองไซทีอาจารย์กับศิษย์สี่คนด้วยกัน บัดนี้ข้ามมาถึงนี่ กระทบไออากาศร้อนผิดปรกติไม่รู้ถึงเหตุผลอันนั้น อยากจะทราบว่าตำบลนี้เรียกว่าตำบลอะไร จึงได้มาเพื่อจะถามความให้สิ้นสงสัย แลเพื่อให้เข้าใจชัดแน่
   ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นค่อยวางใจออกหัวเราะได้ จึงพูดว่าท่านอย่าถือข้าพเจ้าเลยคนแก่หูตาไม่เห็นไม่รู้จักว่าต่ำสูง ที่ท่านว่ามาด้วยกันหลายคนนั้นอยู่ที่ไหน ขอเชิญมาพักที่ในบ้านข้าพเจ้าก่อนเถิด เห้งเจียจึงเอามือกวักร้องเรียกให้เข้ามา พระถังซัมจั๋งแลเห็นก็พร้อมกันเข้ามากับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวปราศรัยแก่ตาเฒ่า ตาเฒ่าแลเห็นพระถังซัมจั๋งรูปร่างงดงาม แต่โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั้นรูปร่างหน้าตาไม่น่าดู ตาเฒ่าก็นิมนต์เข้านั่งพักข้างใน สั่งคนใช้ยกน้ำร้อนน้ำชาออกมาถวาย พระถังซัมจั๋งจึงถามตาเฒ่าว่าท่านตาตำบลนี้เหตุใดฤดูฝน ทำไมจึงแปรเป็นฤดูร้อนมากอย่างนี้เล่า ตาเฒ่าจึงบอกว่าตำบลนี้เรียกว่า เขาฮ้วยเอี้ยมซัวคือเขตเขาไฟ ร้อนตลอดอยู่อย่างนี้เป็นนิจทั้งสิบสองเดือน พระถังซำจั๋งถามว่าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้อยู่ข้างไหน จะขวางทางที่จะไปไซทีนั้นหรือเปล่า
   ตาเฒ่าบอกว่าหนทางจะไปไซทีนั้นไปไม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปไกลประมาณหกสิบโยชน์ ตรงทิศไซทีนี้ไปมีแปดร้อยโยชน์รอบภูเขานั้นล้วนแต่ไฟลุกประจำอยู่อย่างนั้นเสมอ หญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่ขึ้นมาได้หากว่าจะข้ามเขานี้ไป ตัวเป็นทองแดงหรือเหล็กก็จะต้องละลายไหม้เป็นจุณไปทั้งสิ้น พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นตกใจไม่อาจถามต่อไป ได้ยินเสียงคนร้องขายขนมอยู่นอกรั้ว แต่ใส่เกวียนเหล็กเข็นมา
   เห้งเจียก็ถอนเอาขนหางออกเส้นหนึ่ง เสกเป็นเบี้ยทองแดงแล้วเดินออกไปซื้อขนม ชายหนุ่มนั้นหยิบขนมส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียเอาเบี้ยทองแดงส่งให้เจ้าขนมแล้วรับขนมใส่มือ ขนมนั้นกำลังมีไอร้อน เห้งเจียรู้สึกดุจถ่านไฟกำลังลุก ร้องว่าร้อนนัก ๆ แลร้อนดังนี้เห็นจะกินไม่ได้ เจ้าของขนมยืนหัวเราะแล้วพูดว่า กลัวความร้อนจะมาทำไมที่นี่  ที่นี่ร้อนทั่วไปทุกแห่ง เห้งเจียจึงพูดว่าตัวเป็นลูกผู้ชายไม่รู้จักเหตุ คำโบราณท่านย่อมว่าฤดูไม่หนาวไม่ร้อนข้าวกล้าก็ไม่เกิด ตัวพูดว่าร้อนตลอดสิบสองเดือนดังนี้ แม้ว่าอยากได้ข้าวทำขนมจะได้​เข้ามาทำที่ไหนเล่า บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่าตำบลนี้แม้ว่าอยากได้ข้าวก็ต้องเคารพขอพัดเทวดา
   เห้งเจียถามว่าพัดเทวดานั้นเป็นอย่างไร บุรุษผู้นั้นตอบว่า อันพัดนั้นเป็นเหล็กรูปคล้ายแก่ใบกล้วย แม้ขอมาได้โบกทีหนึ่งไฟก็ดับ โบกสองทีก็เกิดลม โบกสามทีก็เกิดฝน พวกข้าพเจ้าก็ลงกล้าทันเวลาได้ผลก็เก็บไว้ เพราะฉะนั้นจึงได้ผลเมล็ดข้าวไว้เลี้ยงชีวิตทุกวันนี้ ถ้าไม่มีพัดนั้นหญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่มี เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้ามาในบ้าน เอาขนมถวายพระอาจารย์แล้วพูดว่า พระอาจารย์จงวางใจเถิด ฉันขนมนี้แล้วข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟัง พระถังซัมจั๋งรับเอาขนมนั้นไว้แล้ว เห้งเจียจึงหันไปถามตาเฒ่าเจ้าของบ้านว่า ท่านตารู้ว่าเทวดาพัดเหล็กนั้นอยู่ที่ไหน ตาเฒ่าถามว่าท่านจะถามทำไมหรือ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าได้ยินคนขายขนมพูดว่า เทวดานั้นมีพัดอยากจะใคร่ขอมาพัดให้เขาไฟนั้นดับจะได้ข้ามไป และอยากจะให้ชนทั้งหลายทำไร่ไถนาได้ผลข้าวกล้าไว้เลี้ยงชีวิตต่อไป ตาเฒ่าว่าอันความนั้นก็จริงดังท่านพูด วิตกแต่ท่านจะไม่มีของกำนันไปหาท่านเทวดาที่ไหนจะให้พัดมาเล่า
   พระถังซัมจั๋งถามว่าเทวดานั้นจะต้องประสงค์สิ่งใดหรือ ตาเฒ่าบอกว่าพวกชาวบ้านตำบลนี้สิบปีไปขอครั้งหนึ่ง ต้องมีธูปเทียน ดอกไม้ เหล้า หมู เป็ด ไก่ แพะ แล้วอาบน้ำชำระตัวให้สะอาด ตั้งใจไปถึงที่ถ้ำเทวดา ขอร้องอ้อนวอนจึงจะได้มา   ​เห้งเจียถามว่าเขานั้นอยู่ที่ไหน ตำบลนั้นชื่ออะไร ประมาณทางไกลจากนี่สักเท่าได ข้าพเจ้าจะได้ไปขอยืมพัด ตาเฒ่าบอกว่าเขานั้นอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ เขานั้นนามเรียกว่า เขาจุ้ยหุ้นซัว ในนั้นมีถ้ำเรียกว่าถ้ำ (ปอเจียวต๋อง) จากนี้ไปประมาณไกลพันห้าร้อยโยชน์
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น พูดว่าไม่สู้ไกลนักดอกข้าพเจ้าจะไปหา พูดแล้ววับเดียวก็หายไป ตาเฒ่าเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วพูดว่าท่านเป็นผู้สำเร็จเชี่ยวชาญเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ไม่บอกให้ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบบ้างเลย ในบ้านตาเฒ่าไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ ต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาพระถังซัมจั๋งยิ่งขึ้น ฝ่ายเห้งเจียเหาะไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว ก็ลงไปยังยอดเขา จะใคร่ค้นหาปากถ้ำเดินมาบังเอิญได้ยินเสียงคนตัดฟืนในป่า เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้คำนับแล้วถามว่า ท่านที่ตัดฟืนอยู่นั้นข้าพเจ้าขอถามสักคำหนึ่งเถิด คนตัดฟืนหันมาคำนับตอบถามว่า ท่านจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียถามว่านี่เรียกเขาจุ๊ยหุ้นซัวใช่หรือไม่ คนตัดฟืนบอกว่านี่และ เห้งเจียถามว่าที่เทวดาพัดเหล็ก ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นอยู่ที่ไหน คนตัดฟืนหัวเราะพูดว่า ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นมีแต่พัดเหล็กเทวดาไม่มี มีแต่พัดเหล็กก๋งจู๊ และชื่อล่อซั่วหนึงเป็นเมียของงู่ม่ออ๋อง

   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นตกตะลึงใจหาย นึกว่ามาพบคนพยาบาทกันเข้าแล้ว เมื่อก่อนนั้นที่เขาเก๊ยเอี้ยงซัว เราก็กำจัดอั้งฮั้ยยี้ คือ​ลูกของนางล่อซั่วนี้ แลเมื่อก่อนนั้นพบกับอามันที่ถ้ำพั้วยี่ต๋อง อามันก็ยังไม่ให้น้ำ จะคิดแก้แค้นแทนหลานของมัน บัดนี้มาพบแม่มันที่ไหนจะยืมพัดได้ แต่ได้มาถึงที่นี่แล้ว ไม่รู้ที่จะทำประการใด ก็ผละจากคนตัดฟืน เดินตรงไปยังถ้ำปอเจียวต๋อง แลเห็นบานประตูปิดแน่น พิจารณาดูรอบคอบเห็นที่รื่นเริงสง่างาม เห้งเจียตรงเข้าเคาะประตูร้องเรียกว่า พี่งู่ม่ออ๋องเปิดประตูรับด้วย มีคนมาถอดกลอนประตูเปิดออก แลเข้าไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกมา มือหนึ่งถือกะเช้า มือหนึ่งถือไม้ตะขอ ดูรูปร่างเศร้าหมองรุงรังไม่ตกแต่งร่างกายแต่ดูกิริยาเป็นคนใจบุญ เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า แม่หนูช่วยโปรดบอกนางก๋งจู๊ทราบด้วย ว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้เดินทางมาก็ติดขัดที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะขอยืมพัดไปพัด เมื่อสมประสงค์แล้ว จะเอากลับมาคืนให้
   จึงนางนั้นถามว่า ท่านชื่อเรียงเสียงใดจงบอกมาให้แจ้ง ข้าพเจ้าจะนำความไปบอกให้ เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง นางนั้นได้ฟังก็กลับเข้าไปบอกแก่นางล่อซั่วว่า ขอแม่นางจงได้ทราบ บัดนี้มีหงอคงอยู่ประเทศจีนจะขอยืมพัดดับไฟ จะได้ข้ามไปให้พ้นเขาฮ้วยเอี้ยมซัวแล้วจะเอากลับคืนให้ ฝ่ายนางล่อซั่วได้ยินขึ้นชื่อว่า หงอคงดุจไฟลุกเอาน้ำมันรด​เติม ให้เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาทันที จึงด่าว่าอ้ายสัตว์ลิง วันนี้มึงมาถึงที่นี่นางจึงให้คนเอาเครื่องแต่งตัวมา นางสวมเกราะแล้วมือก็ถืออาวุธเกี่ยมทั้งสองมือเดินออกมา ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายหงอคงมึงอยู่ที่ไหน เห้งเจียแลเห็นก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า พี่สะไภ้ข้าพเจ้ามาคอยนานแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ตวาดว่าใครเป็นพี่สะใภ้มึงที่ไหน ใครให้มึงมาคอยทำไม
   เห้งเจียตอบว่า พี่งู่ม่ออ๋องผูกไมตรีเป็นพี่ข้าพเจ้า ก็พี่เป็นภรรยาเธอไม่ใช่พี่สะใภ้จะให้เรียกอะไรเล่า นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายลิง แม้ว่ามึงคิดเป็นฉันญาติ มึงก็ไม่คิดทำให้ลูกเราตกอยู่ในหลุมบ่อดังนั้น เห้งเจียทำเป็นไม่รู้ ถามว่าลูกของพี่คือใครที่ไหน นางล่อซั่วพูดว่าลูกเราอั้งฮั้ยยี้ถูกเจ้าคิดกลอุบายทำวงศ์ญาติของเราย่อยยับ เราจะตามตัวแก้แค้นให้ลูกเราก็ยังไม่พบตัว วันนี้เจ้าเอาชีวิตมาส่งถึงประตูบ้าน ใครจะละชีวิตเจ้าให้รอดไปได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊าก ๆ พักหนึ่งแล้วพูดว่า พี่ทำไมจึงไม่ตรองดูเหตุการณ์เดิมนั้นมันเป็นประการใด มาหลงแค้นเคืองข้าพเจ้า คือบุตรของพี่จับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าไปจะต้มแกง พระโพธิสัตว์มาเอาตัวอั้งฮั้ยยี้ไป ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าออกได้ บัดนี้อั้งฮั้ยยี้ไปอยู่กับพระโพธิสัตว์เป็นเสี้ยนใช้ท่งจื๊อรักษาตามทางชอบธรรม อายุยืนเสมอดินฟ้าเป็นประเสริฐยิ่ง ไม่ขอบคุณข้าพเจ้ายังกลับมาแค้นเคืองฉะนี้เห็นถูกต้องแล้วหรือ
   ​นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น พูดว่ามึงอ้ายชาติลิงฝีปากดี ลูกของเราถึงไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ทำอย่างไรจึงจะได้มาหาเราได้เห็นหน้ากันแม่ลูก เห้งเจียหัวเราะพักใหญ่ แล้วพูดว่าพี่อยากจะใคร่พบหรือ จะยากอะไรนักหนา พี่จงขอยืมพัดให้ข้าพเจ้าพัดดับไฟที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวส่งอาจารย์ข้าพเจ้าข้ามพ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าจะข้ามไปน่ำไฮ้ขอแก่พระโพธิสัตว์เชิญอั้งฮั้ยยี้มาหาพี่อย่างนี้แม่ลูกจะได้พบปะกัน แล้วพี่จึงดูอั้งฮั้ยยี้จะซูบผอมบุบสลายอย่างไรบ้าง แม้ว่าอั้งฮั้ยยี้บุบสลายอย่างไรแล้ว เมื่อเวลานั้นพี่จึงค่อยแค้นเคืองข้าพเจ้าจึงจะถูก หากว่าบริบูรณ์ยิ่งกว่าเก่าพี่ก็ต้องคิดถึงคุณข้าพเจ้าให้จงมากเถิด นางล่อซั่วจึงพูดว่า อ้ายลิงสอพลอทำกระดิกลิ้น มึงจงยื่นหัวมาให้เราฟันด้วยเกี่ยมสักสองสามที แม้ว่าทนได้เราจึงจะให้ยืมพัด แม้ว่าทนไมได้เจ้าก็ต้องไปหาพระยามัจจุราชเถิด
   เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็พนมมือ เดินมาใกล้นางล่อซั่วหัวเราะพูดว่า พี่ไม่ต้องพูดมากข้าพเจ้าจะยื่นศรีษะให้ท่าน ตามแต่พี่จะฟันมากน้อยสักเท่าใดก็ตามใจเถิด แล้วจะต้องให้ข้าพเจ้าขอยืมพัดไปทำธุระบ้างก็แล้วกัน นางล่อซั่วสองมือจับเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจียสักสิบทีเห้งเจียก็ยืนเฉยไม่เห็นมีบาดแผล และเจ็บป่วยประการใด นางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจขยับตัวจะหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นถามว่าพี่จะไปไหน ต้องให้เรายืมพัดก่อน นางล่อซั่วพูดว่าของวิเศษของเราใครจะให้เจ้าไปง่าย ๆ ดังนั้น เห้งเจียพูดว่าถ้าไม่ยอมให้ก็จงลองกินตะบองของอาดูสักทีหนึ่งก่อน เห้งเจียมือหนึ่งยึดนางล่อซั่วมือหนึ่งชักตะบองออกจากหู นางล่อซั่วก็สลัดมือหลุดพ้น สองมือถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันฟาดเห้งเจีย เห้งเจียก็แกว่งตะบองเข้าประจัญบานรบกัน ต่างออกกำลังโดยเข้มแข็งรบกันอยู่บนยอดเขาจุ๊ยหุ้นซัวจนเวลาบ่ายไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางล่อซั่วเห็นตะบองหนักมากจะทานไม่ไหว จึงชักพัดวิเศษออกพัดโบกไปทีหนึ่งก็บันดาลเกิดลมพัดหอบเอาเห้งเจียปลิวไปตามลม ยั้งตัวก็ไม่ได้ไม่อยู่ ฝ่ายนางล่อซั่วมีชัยชนะแล้วก็กลับเข้าถ้ำ
• • • • • • • • •
จบเล่ม ๒ ไซอิ๋ว
เล่ม ๓ ยังพิมพ์ต่อไป น่าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๓
   ​ฝ่ายเห้งเจียนั้นถูกม้วนลมหอบไปลิ่ว ๆ จะตกลงดินก็ไม่ตกลงได้ เปรียบดุจพายุพัดใบไม้ปลิวลอย และดุจกระแสน้ำอันเชี่ยวไหลส่งดอกไม้ที่ล่องลอยในกลางมหาสมุทร ปลิวไปคืนหนึ่งจนสว่างจึงมาตกที่ยอดเขา เห้งเจียสองมือยึดเอาก้อนศิลาใหญ่ไว้ หยุดอยู่ครู่หนึ่งพอหายหอบจึงพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็รู้ได้ว่า ถึงเขาพระสุเมรุแล้ว เห้งเจียก็ถอนใจใหญ่ว่า อีนางคนนี้มันร้ายแรงจริงเหลือเกิน มันทำอย่างไรจึงได้ส่งเรามาถึงนี่ เราจำได้เมื่อครั้งก่อนเคยมาที่นี่หาพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดไปช่วยปราบปีศาจ อึ้งฮอง ช่วยอาจารย์เรา ที่เขาฮองกุ้ยซัวนั้นมาทางทิศอาคเนย์ ทางประมาณสามพันโยชน์ บัดนี้มาถึงนี่ไม่รู้ว่าระยะทางสักเท่าไร จำเราจะต้องลงไปถามดูจึงจะรู้แน่จะได้กลับไปทางเก่าได้ เวลาเมื่อกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น พอได้ยินเสียงระฆังดังสนั่น เห้งเจียก็รีบเดินลงมาจากยอดเขาตรงมายังสำนักใหญ่ ที่ประตูมีเต้าหยินคนหนึ่ง แลเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็รีบเดินเข้าไปบอกว่า บัดนี้มีคนที่มาหาครั้งก่อนมาอีกแล้ว เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็รีบเดินออกมารับเข้าไปข้างใน แล้วถามว่านี่ท่านไปอาราธนาพระธรรมมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าที่ไหนจะได้กลับเร็วดังนั้น เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า ก็ยังไปไม่ถึงวัดลุ่ยอิมยี่ ใต้เซียกลับมานี่ทำไมเล่า
   เห้งเจียบอกว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้ามาพึ่งท่านช่วยปราบปีศาจอึ้งฮอง ครั้นพ้นจากนั้นเดินไป อันความทรมานลำบากนั้นเหลือที่จะพรรณาได้ บัดนี้มาถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวก็ไม่ข้ามไปได้ ครั้นได้ยินว่ามีพัดเทวดาจึงจะดับไฟเขานั้นได้ ข้าพเจ้าจึงได้สืบหาอันที่จริงพัดนั้นของเมียงู่ม่ออ๋องซึ่งเป็นมารดาของอั้งฮั้ยยี้ เธอโกรธว่าข้าพเจ้าจับบุตรเธอมาให้พระกวนอิมเป็นสานุศิษย์ไม่ได้เห็นหน้าลูก เธอแค้นเคืองผูกพยาบาทข้าพเจ้าไม่ยอมให้ยืมพัดไป จึงได้เกิดรบพุ่งกันขึ้น เธอเอาพัดโบกทีหนึ่งเกิดเป็นลมพัดปลิวมาถึงนี่ข้าพเจ้าจำได้ จึงเข้ามานมัการถามหนทางที่จะกลับไป ตั้งแต่นี่ถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวประมาณทางใกล้ไกลสักเท่าใดไม่ทราบ พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า หญิงนั้นนามเรียกว่า ล่อซั่วเรียกพัดเหล็กก๋งจู๊ อันพัดนั้นเริ่มมีฟ้าดิน ประกอบอากาศธาตุบังเกิดมีพัดอันนี้ เพราะฉะนั้นจึงดับไฟได้ หากว่าโบกถูกคนทีหนึ่งก็ปลิวไปแปดหมื่นสี่พันโยชน์จึงจะหยุด ที่นี่จะไปตำบลเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนั้นทางประมาณห้าหมื่นโยชน์ นี่หากเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพเรียกเมฆหยุดได้ หาไม่ก็ยังจะไปไกลกว่านี้อีก เห้งเจียบ่นว่าร้ายแรงเหลือเกิน ไม่ทราบว่าอาจารย์ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรจึงจะข้ามเขาไปได้
   เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า เห้งเจียจงวางใจเถิด หากได้มาถึงนี่​แล้ว ก็เป็นนิสัยของพระถังซัมจั๋งและจะให้เห้งเจียสำเร็จความคิด เมื่อครั้งก่อนพระยูไลเจ้าได้สั่งไว้และให้ของวิเศษไว้สองสิ่ง คือไม้เท้ามังกรและยาระงับลม ไม้เท้าก็เอาไปกำจ้ดปีศาจอึ้งฮองเสียแล้ว ยังแต่เม็ดยาวิเศษยังมิได้ใช้ วันนี้จะให้เห้งเจียเอาไปคุ้มห้ามซึ่งลมร้ายมิให้ทำอันตรายแก่เห้งเจียได้ เมื่อได้พัดนั้นมาแล้วเห้งเจียก็จะสำเร็จซึ่งความคิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นมัสการขอบคุณ เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงล้วงเอาเม็ดยาออกมาจากมือเสื้อ ส่งให้เห้งเจียแขวนที่คอเสื้อแล้วเอาเข็มเย็บติดแน่น แล้วเล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงนำเห้งเจียออกจากสำนักชี้มือสั่งว่าจงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนี้ คือที่นางล่อซั่วอยู่
   เห้งเจียคำนับลาพระโพธิสัตว์แล้ว ก็เหาะมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว เห้งเจียก็ลงยังหน้าถ้ำเข้าไปเอาไม้ตะบองเคาะกระทุ้งบานประตูเรียกว่าเปิดประตู ๆ เห้งเจียจะมาเอาพัดไปใช้ หญิงเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกนางล่อซั่วว่า เห้งเจียมาอีกแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ให้นึกครั่นคร้ามพูดว่า อ้ายลิงตัวนี้มันจะมีความดีเป็นแน่ อันพัดวิเศษของเราแม้ว่าโบกไปทีหนึ่งถูกคนก็ปลิวไปถึงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ทำไมจึงกลับมาได้เร็วนักดังนี้ ครั้งนี้เราจะต้องโบกสักสองสามทีอย่าให้มันกลับมาได้ คิดดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัวผูกรัดแน่นหนามั่นคงแล้ว สองมือก็ถือเกี่ยมเดินออกมา ร้องเรียกว่าอ้ายเห้งเจียมึงไม่กลัวเราหรือจึงได้กล้ากลับมาอีกฉะนี้
   ​เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่สะใภ้พี่อย่าเหนียวแน่นไปทำไม จงขอให้น้องยืมไปส่งอาจารย์ข้ามพ้นไป แล้วก็จะกลับเอามาคืนให้ ข้าพเจ้ากับพี่ก็มีความสัตย์ต่อกัน ซึ่งเป็นสุจริตกุนจื๊อแล้วหากยืมสิ่งของใด ๆ ไป ก็จะต้องเอาคืนกลับส่งให้แก่เจ้าของ นางล่อซั่วด่าว่าอ้ายลิง ซึงหงอคง มึงพูดผิดธรรมเนียม ความเจ็บอายยังไม่แก้แค้นได้ จะมาเอาของให้ขอยืมมีอย่างที่ไหน มึงอย่าหนีมึงจงมากินเกี่ยมของแม่สักทีก่อน เห้งเจียก็ยกตะบองเหล็กขึ้นรับรบกัน ไปประมาณหกเจ็ดเพลง นางล่อซั่วก็อ่อนกำลังลง จึงชักพัดวิเศษออกโบกไปสองที เห้งเจียก็ยืนเฉยอยู่ เอาตะบองเก็บแล้วก็ยืนหัวเราะก๊าก ๆ พูดว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน พัดอยู่กับมือตัว ๆ จะพัดอย่างไรก็พัดไป หากเราไหวติงสักนิดเดียวก็มิใช่คนเก่งนักเลงแท้ นางล่อซั่วก็เอาพัดโบกไปอีกสองที เห้งเจียก็ไม่ไหวติงนางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจถอยหนีเข้าถ้ำใส่กลอนปิดประตูเงียบไม่ออกมาอีก
   เห้งเจียเห็นนางล่อซั่ว หายเงียบอยู่ในถ้ำไม่กล้าออกมาอีก ก็แผลงฤทธิ์แกะเม็ดยาที่คอเสื้อมาใส่ปากอม แล้วก็แปลงกายเป็นแมลงหวี่บินตามเข้าไปในถ้ำ เห็นนางล่อซั่วกำลังหอบร้องว่าอยากน้ำให้เอาน้ำชามา พวกหญิงคนใช้ก็ยกน้ำชามาปั้นหนึ่ง รินใส่ชามใหญ่เต็มชาม กากชาละเอียดลอยเป็นชิ้นๆ อยู่ เห้งเจียแลเห็นดังนั้น ก็โผลงปนกับกากชาในน้ำชา หญิงคนใช้ส่งชามน้ำชาให้นางล่อซั่ว ๆ ไม่ทันจะพิจารณากำลังอยากก็ดื่มกลืนเข้าไปในท้อง ​เห้งเจียตามน้ำชาเข้าไปในท้องได้แล้ว ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมร้องเรียกเสียงดังว่าพี่สะใภ้ให้พัดแก่ข้าพเจ้าโดยง่ายเถิด จะได้ไม่เป็นอันตราย นางล่อซั่วตกใจถามคนใช้ว่า พวกเจ้าปิดประตูนอกหรือเปล่า พวกคนทั้งหลายบอกว่าปิดแล้ว นางล่อซั่วพูดว่าประตูก็ปิดแล้ว เหตุใดเห้งเจียมันจึงเรียกดังนี้ พวกคนใช้บอกว่าได้ยินเสียงอยู่ในท้องแม่
   นางล่อซั่วเรียกว่าเห้งเจียเจ้าทำกลอุบายซ่อนอยู่ที่ไหน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักทำกลอะไร เราแผลงฤทธิ์เข้ามานั่งอยู่ในท้องพี่นี้เอง ข้าพเจ้าเห็นใส้พุงทั้งสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นพี่อยากน้ำก็เข้ามาแก้อยากให้พี่ เห้งเจียก็แกล้งทำหน่วงหนักลงไปทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บที่ท้องน้อยเหลือจะทนได้ ก็ทรุดนั่งลงกับพื้นร้องว่าเจ็บปวดเหลือที่จะทนแล้ว เห้งเจียว่าพี่อย่าวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะแสบหัวใจให้ เห้งเจียก็เอามือกระทุ้งขึ้นทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บในหัวใจแลจะขาดใจ ล้มคว่ำลงกับพื้นร้องว่าตายแล้ว จึงพูดว่าอาเห้งเจียขอชีวิตให้พี่เถิด เห้งเจียก็ยั้งมือถามว่า จำข้าพเจ้าได้แล้วหรือ ข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าพี่งู่ม่ออ๋อง จะยกชีวิตให้จงรีบเอาพัดมาให้เราขอยืม นางล่อซั่วบอกว่าจงออกมาเอาไปเถิด เห้งเจียว่าจงเอาพัดมาให้เราเห็นก่อนเราจึงจะออกไป นางก็เรียกคนใช้ให้เอาพัดมาถือยืนอยู่ข้างหน้า เห้งเจียก็เลื่อนขึ้นที่คอหอย พูดว่าเรายกชีวิตให้จงอ้าปากให้กว้างเราจะออกไป นางก็อ้าปากแล้ว เห้งเจียก็แปลงเป็นแมงหวี่บิน​ลอดออกมาโผจับที่พัดนางก็ไม่รู้ อ้าปากสองสามทีแล้วร้องเรียกว่าทำไมไม่ออกเล่า
   เห้งเจียก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม มือก็จับเอาพัดแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าอยู่นี่มิใช่หรือ แล้วเห้งเจียพูดว่าขอบใจให้เราขอยืมพัดก็ออกเดิน พวกเหล่านั้นก็เปิดประตูส่งให้ไป เห้งเจียออกจากถ้ำแล้วก็เหาะกลับไปหาอาจารย์ บัดเดี๋ยวก็กลับมาถึงตำบลบ้านอั้งเจียนจึง ลงยังพื้นเดินเข้าไปในบ้านเคารพอาจารย์แล้ว จึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้อาจารย์ฟังทุกประการ แล้วก็หยิบพัดส่งให้ตาเฒ่าเจ้าของบ้านดู ถามตาเฒ่าว่าพัดเล่มนี้ไม่ใช่หรือ ตาเฒ่าบอกว่าใช่เล่มนี้แหละ พระถังซัมจั๋งมีความยินดี อาจารย์กับศิษย์ก็พร้อมกันลาตาเฒ่าออกจากบ้าน พากันมาได้ประมาณสี่สิบโยชน์ไอร้อนขึ้นผ่าว ๆ ซัวเจ๋งร้องว่าฝ่าเท้าออกร้อน โป๊ยก่ายว่าม้าเดินเร็วกว่าทุกวันเพราะด้วยแผ่นดินร้อนม้าจึงไม่ปรกติ เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ลงจากม้าก่อน ข้าพเจ้าจะเอาพัดโบกไฟได้หยุดคอยมีลมฝนตกลงแล้ว แลให้แผ่นดินเย็นจึงค่อย ๆ ข้ามเขาไป 
   เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปเอาพัดโบกที่มีไฟไปทีหนึ่งที่บนเขาไฟก็ลุกโชติขึ้น พัดอีกทีหนึ่งไฟก็ยิ่งลุกมากขึ้นพัดอีกทีหนึ่งไฟก็ลุกสูงขึ้นสักพันศอก ค่อยลุกค่อยแรงบินปลิวมาติดตัวเห้งเจีย ๆ ก็ถอยวิ่งหนีกลับ ไฟก็ติดไหม้ขนเห้งเจีย ๆ ก็รีบวิ่งร้องเรียกอาจารย์ได้ถอยหนีกลับไปก่อน พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันวิ่งถอยกลับไปทางเก่า ประมาณ​ยี่สิบโยชน์ก็พากันหยุดพัก พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เห้งเจียก็โยนทิ้งพัดลงกับพื้นพูดว่าไม่แน่นอน ถูกอีปีศาจมันหลอกให้แล้ว โป๊ยก่ายถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร
   เห้งเจียพูดว่าเราเอาพัดโบกไปทีหนึ่งไฟก็ลุกแรงขึ้น สองทีก็ยิ่งลุกแรงขึ้นสามทีก็ลุกลามมีเปลวบินสูงขึ้นเป็นพันศอก นี่หากวิ่งหนีทันจึงไหม้บ้างแต่เล็กน้อย ถ้าหนีไม่ทันก็ต้องตายเป็นแน่ ซัวเจ๋งว่าไฟลุกรุนแรงไม่มีทางจะไปไซทีดังนี้จะคิดอย่างไรดี โป๊ยก่ายพูดว่าดูทางไหนไม่มีไฟก็ไปทางนั้นจะต้องเป็นทุกข์อะไร พระถังซัมจั๋งถามว่าทางไหนไม่มีไฟ โป๊ยก่ายบอกว่าทิศตะวันออก ทิศอุดร ทิศอาคเนย์ไม่มีไฟ พระถังซัมจั๋งถามว่าทิศไหนมีพระไตรปิฎกธรรม โป๊ยก่ายพูดว่าทิศไซทีมีพระธรรม พระถังซัมจั๋งพูดว่าเราจะต้องไปทิศตะวันตกที่มีพระธรรมจึงจะสำเร็จ ซัวเจ๋งพูดว่ามีธรรมมีไฟไม่มีธรรมไม่มีไฟอย่างนี้ก็ยากที่จะไปจะกลับ
   อาจารย์กับศิษย์กำลังตรึกตรองกันอยู่ ก็พอได้ยินเสียงร้องเรียกว่าท่านเห้งเจียไม่ต้องเป็นทุกข์ เชิญมารับประทานเข้าแจก่อนแล้วจึงค่อยคิดไป อาจารย์กับศิษย์ก็หันไปแลดู เห็นคนแก่คนหนึ่งแต่งตัวงดงาม มือถือไม้เท้าหัวมังกรเท้าสอดรองเท้าเหล็ก บนหลังสะพายปลาตัวหนึ่งมือถือถาดทองแดงหนึ่งถาด ในถาดใส่เข้าแจแลกับเดินเข้ามาทางทิศตะวันตก มาถึงก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าคือเจ้าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้ เห็นท่านรักษาพระถังซัมจั๋งมาทางนี้ จึงได้เอาเข้าแจมาถวายสักเวลาหนึ่ง
   ​เห้งเจียพูดว่าอันการกินนั้นทีหลัง อันไฟลุกอย่างนี้สักเมื่อไรจะดับ จะได้พาอาจารย์เราพ้นไปได้ เจ้าเขาตอบว่าจะต้องขอยืมพัดนางล่อซั่วจึงจะดับได้ เห้งเจียเดินไปหยิบพัดมาส่งให้เจ้าเขาดู บอกว่านี่มิใช่หรือที่ไฟลุกพัดเข้าก็ยิ่งลุกใหญ่ไป เจ้าเขาพิจารณาดูพัดแล้วก็หัวเราะพูดว่าท่านถูกหลอกเสียแล้ว เห้งเจียถามว่าทำอย่างไรจึงจะได้ของจริง เจ้าเขาสองมือกอดอกย่อตัวยิ้ม ๆ แล้วจึงพูดว่า แม้ว่าได้กำลังใหญ่ก็จะสำเร็จการ กำลังใหญ่นั้นคืองู่ม่ออ๋อง