Translate

30 สิงหาคม 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๓ ว่าด้วย การเก็บจีวรไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

             นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๓ พรรณนาตติยกฐินสิกขาบท  
             ตติยกฐินสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น    ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-  พึงทราบวินิจฉัยตติยกฐิน      สิกขาบท ดังต่อไปนี้ :-
[แก้อรรถเรื่องภิกษุรูปหนึ่ง]
              หลายบทว่า อุสฺสาเปตฺวา ปุนปฺปุนํ วิมชฺชติ 
              มีความว่า ภิกษุนั่นสำคัญว่า เมื่อรอยย่นหายแล้ว จีวรนี้จักใหญ่ขึ้น จึงเอาน้ำรด เอาเท้าเหยียบ เอามือดึงขึ้นแล้วรีดทีหลัง. จีวรนั้นแห้งแล้วด้วยแสงแดด ก็มีประมาณเท่าเดิมนั่นแล. ภิกษุนั้นก็กระทำอย่างนั้นซ้ำอีก. 
              เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ดึงขึ้นแล้วรีดเป็นหลายครั้ง.
             พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งที่พระคันธกุฎีนั่นแล ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นลำบากอยู่อย่างนั้น จึงเสด็จออกประดุจเสด็จไปสู่เสนาสนจาริก ได้เสด็จไปในที่นั้น. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อทฺทสา โข ภควา เป็นต้น.
               บทว่า เอกาทสมาเส ได้แก่ ตลอด ๑๑ เดือนที่เหลือ เว้นเดือนกัตติกาหลัง หนึ่งเดือน.
               บทว่า สตฺตมาเส ได้แก่ ๗ เดือนที่เหลือ เว้น ๕ เดือน คือเดือนกัตติกานั่นด้วย ๔ เดือนฤดูฝนด้วย.
               [แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์ว่าด้วยความหวังจะได้จีวร]
               หลายบทว่า กาเลปิ อาทิสฺส ทินฺนํ มีความว่า จีวรที่ทายกอุทิศถวายแก่สงฆ์ว่า นี้เป็นอกาลจีวร หรือที่ทายกถวายแก่บุคคลผู้เดียวว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรนี้แก่ท่าน ดังนี้.
               บทว่า สงฺฆโต วา มีความว่า จีวรเกิดขึ้นจากสงฆ์ด้วย อำนาจแห่งส่วนที่ถึงแก่ตนก็ดี.
               บทว่า คณโต วา มีความว่า พวกทายกย่อมถวายแก่คณะอย่างนี้ว่า พวกข้าพเจ้าถวายจีวรนี้แก่คณะแห่งภิกษุผู้เรียนพระสูตร, ถวายจีวรนี้แก่คณะแห่งภิกษุผู้เรียนพระอภิธรรม, จีวรพึงเกิดขึ้นจากคณะนั้นด้วยอำนาจแห่งส่วนที่ถึงแก่ตนก็ดี.
               คำว่า โน จสฺส ปาริปูริ คือ ถ้าผ้านั้นยังไม่พอ. อธิบายว่า จีวรที่ควรอธิษฐานได้ อันภิกษุทำอยู่ด้วยผ้าประมาณเท่าใดจึงจะพอ, ถ้าจีวรนั้นประมาณเท่านั้นยังไม่มี คือขาดไป.
               ในคำว่า ปจฺจาสา โหติ สงฺฆโต วา เป็นต้นมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               มีความหวังจากสงฆ์ หรือจากคณะอย่างนี้ว่า ณ วันชื่อโน้น สงฆ์จักได้จีวร, คณะจักได้จีวร, จีวรจักเกิดขึ้นแก่เรา จากสงฆ์หรือจากคณะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า มีความหวังจากญาติ หรือจากมิตรอย่างนี้ว่า ผ้าพวกญาติส่งมาแล้ว พวกมิตรส่งมาแล้วแก่เราเพื่งประโยชน์แก่จีวร, ชนเหล่านั้นมาแล้ว จักถวายจีวร
               ก็ในบทว่า ปํสุกูลโต วา ผู้ศึกษาพึงประกอบคำว่า มีความหวังจะได้อย่างนี้ว่า เราจักได้ผ้าบังสุกุลก็ตาม.
               สองบทว่า อตฺตโน วา ธเนน ความว่า มีความหวังอย่างนี้ว่า เราจักได้ในวันชื่อโน้นด้วยทรัพย์มีฝ้ายและด้ายเป็นต้น ของตนก็ตาม.
               ข้อว่า ตโต เจ อุตฺตรึ นิกฺขิเปยฺย สติยาปิ ปจฺจาสาย 
               มีความว่า ถ้าหากภิกษุพึงเก็บไว้เกินกว่าเดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
               แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสไว้อย่างนี้ เพราะเมื่อจีวรที่หวังจะได้มาเกิดขึ้นในระหว่าง จีวรที่หวังจะได้มาซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่จีวรเดิมเกิดขึ้นไป จนถึงวันที่ ๒๐ ย่อมทำจีวรเดิมให้มีคติแห่งตน, ต่อจากวันที่ ๒๐ นั้นไป จีวรเดิมย่อมทำจีวรที่หวังจะได้มาให้มีคติแห่งตน ก็เพราะเหตุนั้น เพื่อทรงแสดงความพิเศษนั้นจึงตรัสบทภาชนะโดยนัยมีอาทิว่า ตทหุปฺปนฺเน มูลจีวเร ดังนี้.
               คำว่า ตทหุปฺปนฺเน เป็นต้น มีอรรถกระจ่างทีเดียว.
               คำว่า วิสภาเค อุปฺปนฺเน มูลจีวเร มีความว่า ถ้าว่าจีวรเดิมเนื้อละเอียด จีวรที่หวังจะได้มาเนื้อหยาบ ไม่อาจเพื่อประกอบเข้ากันได้และราตรีก็ยังมีเหลือคือยังไม่เต็มเดือนก่อน.
               บทว่า น อกามา มีความว่า ภิกษุเมื่อไม่ปรารถนาก็ไม่พึงให้ทำจีวร. ได้จีวรที่หวังจะได้มาอื่นแล้วเท่านั้น พึงกระทำในภายในกาล. แม้จีวรที่หวังจะได้มา พึงอธิษฐานเป็นบริขารโจล. ถ้าจีวรเดิมเป็นผ้าเนื้อหยาบ, จีวรที่หวังจะได้มาเป็นผ้าเนื้อละเอียด, พึงอธิษฐานจีวรเดิมให้เป็นบริขารโจล แล้วเก็บจีวรที่หวังจะได้มานั่นแล ให้เป็นจีวรเดิม. จีวรนั้นย่อมได้บริหารอีกเดือนหนึ่ง ภิกษุย่อมได้เพื่อผลัดเปลี่ยนกันและกัน เก็บไว้เป็นจีวรเดิมจนตราบเท่าที่ตนปรารถนา โดยอุบายนี้นั้นแล.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.             ปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นเดียวกับปฐมกฐินสิกขาบทนั้นแล.
พรรณนาตติยกฐินสิกขาบทที่ ๓ จบ. 

29 สิงหาคม 2567

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๓ ว่าด้วย การเก็บจีวรไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง   
[๓๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น อกาลจีวรเกิดแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เธอจะทำจีวร ก็ไม่พอ จึงเอาจีวรนั้นจุ่มน้ำตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปตาม เสนาสนะ ทอดพระเนตรเห็นเธอเอาจีวรนั้นจุ่มน้ำตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง จึงเสด็จเข้าไปหา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอจุ่มจีวรนี้ลงในน้ำแล้วดึงเป็นหลายครั้ง เพื่อประสงค์อะไร? 
              ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า อกาลจีวรผืนนี้เกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้า จะทำจีวรก็ไม่พอ เพราะ ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้จุ่มจีวรนี้ตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง พระพุทธเจ้าข้า.
               ภ. ก็เธอยังมีหวังจะได้จีวรมาอีกหรือ? 
               ภิ. มี พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงอนุญาตอกาลจีวร 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับอกาลจีวร แล้วเก็บไว้ได้ โดยมีหวังว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิ่มเติม.
[๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้รับ อกาลจีวรแล้วเก็บไว้ได้ โดยมีหวังว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิ่มเติม จึงรับอกาลจีวรแล้วเก็บไว้เกิน หนึ่งเดือน. จีวรเหล่านั้นเธอห่อแขวนไว้ที่สายระเดียง.
             ท่านพระอานนท์เที่ยวจาริกไปตามเสนาสนะ ได้เห็นจีวรเหล่านั้น ซึ่งภิกษุทั้งหลาย ห่อแขวนไว้ที่สายระเดียง. 
             ครั้นแล้วจึงถามภิกษุทั้งหลายว่า จีวรเหล่านี้ของใครห่อแขวนไว้ที่ สายระเดียง?
             ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า อกาลจีวรเหล่านี้ของพวกกระผม พวกกระผมเก็บไว้ โดยมีหวัง ว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิ่มเติม.
             อา. เก็บไว้นานเท่าไรแล้ว? 
             ภิ. นานกว่าหนึ่งเดือน ขอรับ. 
             ท่านพระอานนท์จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงได้รับอกาลจีวร แล้วเก็บไว้เกินหนึ่งเดือนเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุ รับอกาลจีวรแล้วเก็บไว้เกินหนึ่งเดือน จริงหรือ? 
             ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า  จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน 
          พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้รับอกาลจีวรแล้วเก็บไว้เกินหนึ่งเดือนเล่า การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไปเพื่อความ ไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และ เพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท 
             พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุ ทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด ในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
 ๒๒.๓. จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว อกาลจีวรเกิดขึ้นแก่ ภิกษุ ภิกษุหวังอยู่ก็พึงรับ ครั้นรับแล้ว พึงรีบให้ทำ ถ้าผ้านั้นมีไม่พอ เมื่อความ หวังว่าจะได้มีอยู่ ภิกษุนั้นพึงเก็บจีวรนั้นไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง เพื่อจีวรที่ยัง บกพร่องจะได้พอกัน ถ้าเก็บไว้ยิ่งกว่ากำหนดนั้น แม้ความหวังว่าจะได้มีอยู่ ก็เป็น นิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
[๓๔] บทว่า จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว ความว่า จีวรของภิกษุทำสำเร็จแล้วก็ดี หายเสียก็ดี ฉิบหายเสียก็ดี ถูกไฟไหม้เสียก็ดี หมดหวังว่าจะได้ทำจีวรก็ดี. คำว่า กฐินเดาะเสียแล้ว คือเดาะเสียแล้วด้วยมาติกาอันใดอันหนึ่งในมาติกา ๘ หรือ สงฆ์เดาะเสียในระหว่าง. ที่ชื่อว่า อกาลจีวร ได้แก่ผ้าที่เมื่อไม่ได้กรานกฐินเกิดได้ตลอด ๑๑ เดือน เมื่อได้ กรานกฐินแล้ว เกิดได้ตลอด ๗ เดือน แม้ผ้าที่เขาเจาะจงให้เป็นอกาลจีวรถวายในกาล นี่ก็ ชื่อว่าอกาลจีวร. 
               บทว่า เกิดขึ้น คือ เกิดแต่สงฆ์ก็ตาม แต่คณะก็ตาม แต่ญาติก็ตาม แต่มิตรก็ตาม แต่ที่บังสุกุลก็ตาม แต่ทรัพย์ของตนก็ตาม.
             [๓๕] บทว่า หวังอยู่ คือ เมื่อต้องการ ก็พึงรับไว้. คำว่า ครั้นรับแล้วพึงรีบให้ทำ คือ พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน
             [๓๖] พากย์ว่า ถ้าผ้านั้นมีไม่พอ คือ จะทำไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไม่เพียงพอ. พากย์ว่า ภิกษุนั้นจึงเก็บจีวรนั้นไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง คือ เก็บไว้ได้เดือน หนึ่งเป็นอย่างนาน.
             คำว่า เพื่อจีวรที่ยังบกพร่องจะได้พอกัน คือ เพื่อประสงค์จะยังจีวรที่บกพร่องให้บริบูรณ์. พากย์ว่า เพื่อความหวังว่าจะได้มีอยู่ คือ มีความหวังว่าจะได้มาแต่สงฆ์ก็ตาม แต่ คณะก็ตาม แต่ญาติก็ตาม แต่มิตรก็ตาม แต่ที่บังสุกุลก็ตาม แต่ทรัพย์ของตนก็ตาม.
จีวรที่มีหวัง
[๓๗] พากย์ว่า ถ้าเก็บไว้ยิ่งกว่ากำหนดนั้น แม้ความหวังว่าจะได้มีอยู่
             อธิบายว่า จีวรเดิมเกิดขึ้นในวันนั้น จีวรที่หวังก็เกิดในวันนั้น พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๓ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๔ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๕ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๖ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๗ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๘ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๙ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๐ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๑ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๒ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๓ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๔ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๕ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๖ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๗ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๘ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๙ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๐ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๑ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๙ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๒ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๘ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๓ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๗ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๔ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๖ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๕ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๕ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๖ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๔ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๗ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๓ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๘ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๒ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๙ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๓๐ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงอธิษฐาน พึงวิกัปไว้ พึงสละให้ผู้อื่นไป ในวันนั้นแหละ. 
             ถ้าไม่อธิษฐาน ไม่วิกัปไว้ หรือไม่สละให้ผู้อื่นไป เมื่ออรุณที่ ๓๑ ขึ้นมา จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้;-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์ ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า อกาลจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วงเดือนหนึ่ง เป็นของจำจะสละข้าพเจ้าสละอกาลจีวรผืนนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า อกาลจีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่าท่านเจ้าข้า อกาลจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วงเดือนหนึ่ง เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละอกาลจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
             พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า อกาลจีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้. 
เสียสละแก่บุคคล
        ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน อกาลจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วงเดือนหนึ่ง เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละอกาลจีวรผืนนี้แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
             [๓๘] เมื่อจีวรเดิมเกิดขึ้นแล้ว จีวรที่หวังจึงเกิดขึ้น เนื้อผ้าไม่เหมือนกัน และราตรียังเหลืออยู่ ภิกษุไม่ต้องการ ก็ไม่พึงให้ทำ.
บทภาชนีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ [๓๙] จีวรล่วงเดือนหนึ่งแล้ว ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรล่วงเดือนหนึ่งแล้ว ภิกษุสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรล่วงเดือนหนึ่งแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุสำคัญว่าอธิษฐานแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุสำคัญว่าวิกัปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้สละให้ไป ภิกษุสำคัญว่าสละให้ไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่หาย ภิกษุสำคัญว่าหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุสำคัญว่าฉิบหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุสำคัญว่าถูกไฟไหม้แล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกโจรชิงไป ภิกษุสำคัญว่าถูกโจรชิงไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ [๔๐] จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุไม่เสียสละ บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. จีวรยังไม่ล่วงเดือนหนึ่ง ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ จีวรยังไม่ล่วงเดือนหนึ่ง ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ จีวรยังไม่ล่วงเดือนหนึ่ง             ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง บริโภค ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร  [๔๑] ในภายในหนึ่งเดือน ภิกษุอธิษฐาน ๑ ภิกษุวิกัปไว้ ๑ ภิกษุสละให้ไป ๑ จีวรหาย ๑ จีวรฉิบหาย ๑ จีวรถูกไฟไหม้ ๑ โจรชิงเอาไป ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๒ [ว่าด้วย การอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้ราตรีหนึ่ง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

             จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๒ พรรณนาอุทโทสิตสิกขาบท
             อุทโทสิตสิกขาบท ว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นอาทิ  ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
             วินิจฉัยในอุทโทสิตสิกขาบทนั้น พึงทราบต่อไปนี้ :-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุหลายรูป]
              บท ว่า สนฺตรุตฺตเรน มีความว่า อันตรวาสก (ผ้านุ่ง)  ตรัสเรียกว่า อันตระ. อุตราสงค์ (ผ้าห่ม) ตรัสเรียกว่า อุตตระ.  ผ้าห่มกับผ้านุ่งชื่อว่า สันตรุตตระ. มีแต่ผ้าห่มกับผ้านุ่งนั้น.
              อธิบายว่า พร้อมด้วยผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก.
              บท ว่า กณฺณกิตานิ ได้แก่ เกิดราเป็นจุดดำๆ ขาวๆ ในโอกาสที่เหงื่อถูก.
               คำว่า อทฺทสา โข อายสฺมา อานนฺโท เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺโต มีความว่า ได้ยินว่า พระเถระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี เพื่อพระประสงค์จะพักผ่อนในกลางวัน ได้โอกาสนั้นแล้ว เก็บภัณฑะไม้ และภัณฑะดิน ที่เก็บไว้ไม่ดี ปัดกวาดสถานที่ที่ไม่ได้กวาด กระทำปฏิสันถารกับพวกภิกษุอาพาธ ไปถึงเสนาสนสถานแห่งภิกษุเหล่านั้นได้เห็นแล้ว. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ท่านพระอานนท์เที่ยวไปยังเสนาสนจาริกได้เห็นแล้วแล.
               [อนุบัญญัติแก้อรรถเรื่องภิกษุอาพาธ]
               คำว่า อวิปฺปวาสสมฺมตึทาตุํ มีความว่า สมมติในการไม่อยู่ปราศ (ไตรจีวร) ชื่ออวิปปวาสสมมติ. 
               อนึ่ง สมมติเพื่อการไม่อยู่ปราศ (ไตรจีวร) ชื่ออวิปปวาสสมมติ. ก็ในอวิปปวาสสมมตินี้ มีอานิสงส์อย่างไร? ภิกษุอยู่ปราศจากจีวรผืนใด, จีวรผืนนั้น ย่อมไม่เป็นนิสสัคคีย์ และภิกษุผู้อยู่ปราศจากไม่ต้องอาบัติ.
               อยู่ปราศจากได้สิ้นเวลาเท่าไร?
           พระมหาสุมเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ชั่วเวลาที่โรคยังไม่หาย, แต่เมื่อโรคหายแล้ว ภิกษุพึงรีบกลับมาสู่สถานที่เก็บจีวร ดังนี้. พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า เมื่อภิกษุนั้นรีบด่วนมา โรคพึงกลับกำเริบขึ้น เพราะฉะนั้น ควรจะค่อยๆ มา, ก็ภิกษุยังแสวงหาพวกเกวียน หรือว่า ทำความผูกใจอยู่ว่า เราจะไป จำเดิมแต่กาลใด, จะอยู่ปราศจากจำเดิมแต่กาลนั้นไป ก็ควร, แต่เมื่อภิกษุทำการทอดธุระอย่างนี้ว่าเราจักยังไม่ไปในเวลานี้ พึงถอนเสีย, ไตรจีวรที่ถอนแล้วจักตั้งอยู่ในฐานะเป็นอติเรกจีวร ดังนี้.
              ถามว่า ถ้าว่า โรคของเธอกลับกำเริบขึ้น, เธอจะพึงทำอย่างไร?
               แก้ว่า พระปุสสเทวเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ถ้าโรคนั้นนั่นเองกลับกำเริบขึ้น อวิปปวาสสมมตินั้นนั่นแล ยังคงเป็นสมมติอยู่, ไม่มีกิจที่จะต้องให้สมมติใหม่ ; ถ้าโรคอื่นกำเริบ, พึงให้สมมติใหม่ ดังนี้. พระอุปติสสเถระกล่าวว่า โรคนั้นหรือโรคอื่นก็ตาม จงยกไว้, ไม่มีกิจที่จะต้องให้สมมติใหม่ ดังนี้.
             ส่วนในบท ว่า นิฏฺฐิตจีวรสฺมึ ภิกฺขุนา นี้ บัณฑิตอย่าเข้าใจอรรถเหมือนในสิกขาบทก่อน พึงทราบอรรถแห่งตติยาวิภัตติ ด้วยอำนาจแห่งฉัฏฐีวิภัตติอย่างนี้ว่า นิฏฺฐิเต จีวรสฺมึ ภิกฺขุโน เมื่อจีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว ดังนี้. 
              เพราะอรรถด้วยอำนาจแห่งตติยาวิภัตติว่า กิจชื่อนี้ อันภิกษุพึงกระทำ ดังนี้ ไม่มี, แต่ว่า อรรถด้วยอำนาจแห่งฉัฏฐีวิภัตติอย่างนี้ว่า เมื่อจีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว และเมื่อกฐินเดาะแล้ว ถ้าภิกษุมีปลิโพธขาดแล้วอย่างนี้ พึงอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง ดังนี้ ย่อมสมควร (เพราะเหตุใด ; เพราะเหตุนั้น พึงทราบอรรถแห่งตติยาวิภัตติด้วยอำนาจฉัฏฐีวิภัตติ).
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติจีวเรน ได้แก่ จากบรรดาไตรจีวรที่อธิษฐานแล้ว จีวรผืนใดผืนหนึ่ง. 
               จริงอยู่ ภิกษุแม้อยู่ปราศจากจีวรผืนเดียว ก็จัดว่าเป็นผู้อยู่ปราศจากไตรจีวร เพราะเป็นผู้อยู่ปราศจาก (จีวรผืนหนึ่ง) อันนับเนื่องในความสำเร็จเป็นไตรจีวร เพราะเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า ติจีวเรน นั้น พระองค์จึงตรัสคำว่า สงฺฆาฏิยา เป็นต้น.
               บท ว่า วิปฺปวเสยฺย คือ พึงเป็นผู้อยู่ปราศจาก.
               [อธิบายสถานที่เก็บจีวรและวิธีปฏิบัติ]
               คำว่า คาโม เอกูปจาโร เป็นอาทิ ตรัสไว้เพื่อให้กำหนดลักษณะแห่งการไม่อยู่ปราศจาก (ไตรจีวร). ต่อจาก
              คำว่า คาโม เอกูปจาโร เป็นต้นนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงขยายบทมาติกา ๑๕ บทเหล่านั้นนั่นแล ให้พิสดารตามลำดับ จึงตรัสว่า คาโม เอกูปจาโร นาม เป็นต้น
               ในคำว่า คาโม เอกูปจาโร นั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
               พระราชวังของพระราชาพระองค์หนึ่ง หรือบ้านของนายบ้านคนหนึ่ง ชื่อว่าบ้านของตระกูลเดียว.
               บท ว่า ปริกฺขิตฺโต มีความว่า ล้อมแล้วด้วยกำแพง ด้วยรั้ว หรือด้วยคู อย่างใดอย่างหนึ่ง. ท่านแสดงความที่บ้านของตระกูลเดียว มีอุปจารเดียวด้วยคำมีประมาณเพียงเท่านี้.
               สอง บทว่า อนฺโตคาเม วฏฺฐพฺพํ มีความว่า ภิกษุจะเก็บจีวรไว้ในบ้านเช่นนี้แล้ว ให้อรุณขึ้นในที่ซึ่งตนชอบใจในละแวกบ้านย่อมควร. ด้วย บทว่า อปริกฺขิตฺโต นี้ ท่านแสดงความที่บ้านนั้นนั่นแล มีอุปจารต่างๆ กัน.
               คำว่า ตสฺมึ ฆเร วฏฺฐพฺพํ มีความว่า พึงอยู่ในเรือนหลังที่ตนเก็บจีวรไว้ในบ้านเห็นปานนั้น.
               หลาย บทว่า หตฺถปาสา วา น วิชหิตพฺพํ มีความว่า อีกอย่างหนึ่ง ไม่พึงละเรือนนั้น จากหัตถบาสโดยรอบ. มีคำอธิบายว่า ไม่พึงละให้ห่างจากประเทศประมาณ ๒ ศอกคืบไป. ก็การอยู่ภายใน ๒ ศอกคืบ ย่อมสมควร. ล่วงเลยประมาณนั้นไป ถ้าแม้นภิกษุผู้มีฤทธิ์ยังอรุณให้ตั้งขึ้นในอากาศ ก็เป็นนิสสัคคีย์เหมือนกัน
               ก็บัณฑิตพึงทราบการกำหนดเรือนในบทว่า ยสฺมึ ฆเร ในวิสัยว่า บ้านของตระกูลเดียวนี้ โดยลักษณะเป็นต้นว่า                   เป็นเรือนของตระกูลเดียวดังนี้.
               คำว่า นานากุลสฺส คาโม ได้แก่ ตำหนักแห่งพระราชาต่างพระองค์กัน หรือบ้านของพวกนายบ้านต่างๆ เช่นเมืองไพศาลีและเมืองกุสินาราเป็นต้น.
               ด้วย บทว่า ปริกฺขิตฺโต นี้ ท่านแสดงความที่บ้านของตระกูลต่างกัน มีอุปจารเดียวกัน.
               ท่านกล่าวสภาด้วยลิงค์ตรงกันข้าม ในคำว่า สภาเย วา ทฺวารมูเล วา นี้ ว่า สภายํ.
               บท ว่า ทฺวารมูเล ได้แก่ ที่ใกล้ประตูเมือง.
           มีคำอธิบายว่า หรือพึงอยู่ในเรือนที่ตนเก็บจีวรไว้ในบ้านเห็นปานนั้น. เมื่อภิกษุไม่อาจจะอยู่ในเรือนนั้น เพราะเสียงอึกทึก หรือเพราะคนพลุกพล่าน พึงอยู่ในสภาหรือที่ใกล้ประตูเมือง. เมื่อไม่อาจอยู่แม้ในสภาหรือในที่ใกล้ประตูเมืองนั้น พึงอยู่ในที่ผาสุก แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วมาในภายในอรุณ ไม่พึงละจากหัตถบาส แห่งสภาและที่ใกล้ประตูเมืองนั้นเลย. ส่วนกิจที่ภิกษุจะพึงอยู่ในหัตถบาสแห่งเรือน หรือแห่งจีวร ไม่มีเลย.
         คำว่า สภายํ คจฺฉนฺเตน หตฺถปาเส จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา มีความว่า ถ้าว่า ภิกษุไม่เก็บไว้ในเรือน ไปยังสภาด้วยทำในใจว่า เราจักเก็บไว้ที่สภา, เมื่อภิกษุนั้นไปยังสภา พึงเหยียดแขนออกไปในหัตถบาส เก็บจีวรไว้ที่ร้านตลาดบางร้าน ที่เป็นทางแห่งการเก็บไว้ คือ อยู่ในหัตถบาสอย่างนี้ว่า เอาเถอะ! เราจักเก็บจีวรนี้ไว้ แล้วพึงอยู่ที่สภา หรือที่ใกล้ประตู หรือไม่พึงละ (จีวร) จากหัตถบาส โดยนัยก่อนนั่นแล.
               [มติต่างๆ ในสถานที่เก็บและการรักษาจีวร]
               ในวิสัยว่า สภาเย วา ทฺวารมูเล วา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               พระปุสสเทวเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ไม่มีกิจจำเป็นที่จะต้องอยู่ในหัตถบาสแห่งจีวร, จะอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง จะเป็นหัตถบาสถนนก็ดี หัตถบาสสภาก็ดี หัตถบาสประตูก็ดี ย่อมสมควรทั้งนั้น ดังนี้.
               ส่วนพระอุปติสสเถระกล่าวว่า เมืองมีประตูมากก็มี มีสภามากก็มี เพราะฉะนั้น จะอยู่ในที่ทั่วไป ไม่สมควร, แต่ไม่พึงละจากหัตถบาสแห่งสภาและประตู ซึ่งมีอยู่ในที่ตรงหน้าแห่งถนนที่ตนเก็บจีวรไว้, 
               จริงอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้ อาจจะทราบความเป็นไปแห่งจีวรได้ ดังนี้.
               แต่เมื่อภิกษุไปยังสภา เก็บจีวรไว้ในมือของชาวร้านตลาดคนใด, ถ้าชาวร้านตลาดคนนั้นไพล่นำจีวรนั้นไปเก็บไว้ที่เรือน, หัตถบาสถนนคุ้มไม่ได้, ภิกษุจะต้องอยู่ในหัตถบาสแห่งเรือนเท่านั้น. ถ้าเรือนใหญ่ตั้งแผ่ครอบไปตลอดสองถนน, ภิกษุพึงให้อรุณตั้งขึ้นเฉพาะในหัตถบาสทางข้างหน้า หรือทางข้างหลัง (แห่งเรือนนั้น).
               แต่ภิกษุเก็บ (จีวร) ฝากไว้ในสภา พึงให้อรุณขึ้นในสภา หรือที่ใกล้ประตูเมือง ตรงหน้าสภานั้น หรือว่า ในหัตถบาสแห่งสภา หรือที่ใกล้ประตูเมืองนั้นนั่นแล.
               ด้วย บทว่า อปริกฺขิตฺโต นี้ ท่านแสดงความที่บ้านนั้นนั่นแล มีอุปจารต่างกัน. พึงทราบความมีอุปจารเดียวกัน และมีอุปจารต่างกันในบททั้งปวง โดยอุบายอย่างนี้เหมือนกัน.
             แต่ในพระบาลีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกบทมาติกาขึ้นเพียงบทเดียว อันมีอยู่ในคำต้น อย่างนี้ว่า บ้าน ชื่อว่า มีอุปจารเดียว และอันตั้งอยู่ในที่สุดอย่างนี้ว่า ที่แจ้ง ชื่อว่ามีอุปจารเดียว แล้วขยายบทภาชนะให้พิสดาร. เพราะฉะนั้น ในทุกๆ บท พึงทราบความมีอุปจารเดียวกัน ด้วยอำนาจแห่งที่มีเครื่องล้อมเป็นต้น และความมีอุปจารต่างกัน ด้วยอำนาจแห่งที่ไม่มีเครื่องล้อมเป็นต้น โดยทำนองแห่ง บทนั้นนั่นแล.
               ในนิเวศน์ (เรือนพัก) เป็นต้น มีวินิจฉัย ดังนี้ :-
               บท ว่า โอวรกา นี้ เป็นคำยักเรียกห้องทั้งหลายนั้น.
               บท ว่า หตฺถปาสา วา ได้แก่ จากหัตถบาสแห่งห้อง หรือแห่งเรือน.
               บท ว่า ทฺวารมูเล ได้แก่ ในที่ใกล้ประตูเรือนอันสาธารณะแก่ชนทั้งปวงก็ดี.
               บท ว่า หตฺถปาสา วา ได้แก่ จากหัตถบาสแห่งห้อง หรือแห่งเรือนหรือแห่งใกล้ประตูเรือน.
               ที่ชื่อว่าโรงเก็บของนั้น ได้แก่ โรงเก็บสิ่งของมียวดยานเป็นต้น. จำเดิมแต่โรงเก็บสิ่งของนี้ไป พึงทราบวินิจฉัย โดยนัยดังกล่าวแล้วในเรือนพัก.
               ที่ชื่อว่าป้อมนั้น ได้แก่ ที่อาศัยพิเศษ ซึ่งเขาก่อด้วยอิฐ เพื่อป้องกันพระราชาข้าศึกเป็นต้น มีฝาผนังหนา มีพื้น ๔-๕ ชั้น.
               ปราสาท ๔ เหลี่ยมจตุรัส อันสงเคราะห์เข้าด้วยยอดเดียวกัน ชื่อว่า เรือนยอดเดียว. 
               ปราสาทยาว ชื่อว่า ปราสาท. ปราสาทมีหลังคาตัด (ปราสาทโล้น) ชื่อว่า ทิมแถว. อัพภันดรนั่นที่ท่านกล่าวไว้ในคำว่า ๗ อัพภันดร นี้มีประมาณ ๒๘ ศอก.
               บท ว่า สตฺโถ มีความว่า ถ้าหมู่เกวียนไปหยุดพักโอบหมู่บ้านหรือแม่น้ำ เนื่องเป็นอันเดียวกันกับหมู่เกวียนที่เข้าไปภายใน กระจายอยู่ตลอดไปทั้งฝั่งในทั้งฝั่งนอก ย่อมได้บริหารว่า หมู่เกวียนแท้.
               ถ้าหมู่เกวียนยังเนื่องกันอยู่ที่บ้าน หรือว่าที่แม่น้ำ, หมู่เกวียนที่เข้าไปภายในแล้ว ย่อมได้บริหารว่า บ้าน และบริหารว่า แม่น้ำ.
               ถ้าหมู่เกวียนหยุดพักอยู่เลยวิหารสีมาไป, จีวรอยู่ภายในสีมา พึงไปยังวิหารแล้วอยู่ภายในสีมานั้น, ถ้าจีวรอยู่ในภายนอกสีมา, พึงอยู่ในที่ใกล้หมู่เกวียนนั่นแล.
               ถ้าหมู่เกวียนกำลังเดินทางเมื่อเกวียนหัก หรือโคหาย ย่อมขาดกันในระหว่าง, จีวรที่เก็บไว้ในส่วนไหน พึงอยู่ในส่วนนั้น. หัตถบาสแห่งจีวรนั่นแล ชื่อว่าหัตถบาสในไร่นาของตระกูลเดียว.
               หัตถบาสแห่งประตูไร่นา ชื่อว่าหัตถบาสในไร่นาของตระกูลต่างกัน, หัตถบาสแห่งจีวรเท่านั้น ชื่อว่าหัตถบาสในไร่นาที่ไม่ได้ล้อม. ลาน ท่านเรียกว่า ธัญญกรณ์ (ลานนวดข้าวเปลือก). สวนดอกไม้หรือสวนผลไม้ท่านเรียกว่า สวน. ในลานนวดข้าวสวนทั้งสอง มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในไร่นานั่นแล. 
               ในบทว่า วิหาร ก็มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับเรือนพักนั่นเอง.
               ในรุกขมูล พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้ :-
                บท ว่า อนฺโตฉายายํ คือ เฉพาะภายในโอกาสที่เงาแผ่ไปถึง. แต่จีวรที่ภิกษุเก็บไว้ในโอกาสที่แดดถูก แห่งต้นไม้มีกิ่งโปร่งเป็นนิสสัคคีย์แท้. เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงเก็บจีวรไว้ที่เงาแห่งกิ่งไม้ หรือที่เงาแห่งลำต้นของต้นไม้เช่นนั้น. ถ้าจะเก็บไว้บนกิ่งหรือบนค่าคบ, พึงวางไว้ในโอกาสที่เงาแห่งกิ่งไม้ต้นอื่นข้างบนแผ่ไปถึงเท่านั้น.
               เงาของต้นไม้เตี้ย ย่อมแผ่ทอดไปไกล, พึงเก็บไว้ในโอกาสที่เงาแผ่ไปถูก. ควรจะเก็บไว้ในที่เงาทึบเท่านั้น.
               หัตถบาส แม้ในอธิการแห่งโคนไม้นี้ ก็คือหัตถบาสแห่งจีวรนั่นเอง.
               คำว่า อคามเก อรญฺเญ มีความว่า ป่าที่ชื่อว่าหาบ้านมิได้ ย่อมได้ในป่ามีดงดิบเป็นต้น (ดงวิชฌาฏวีเป็นต้น) หรือบนหมู่เกาะ ซึ่งไม่เป็นทางเที่ยวไปของพวกชาวประมง ในท่ามกลางสมุทร.
               คำว่า สนฺตา สตฺตพฺภนฺตรา มีความว่า ๗ อัพภันดร ในทิศทั้งปวงแห่งบุคคลผู้ยืนอยู่ที่ตรงกลาง รวมเป็น ๑๔ อัพภันดร โดยทแยง. ภิกษุนั่งตรงกลางย่อมรักษาจีวรที่เก็บไว้ในที่สุดรอบแห่งทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก.
               แต่ถ้าว่า ภิกษุเดินไปสู่ทิศตะวันออก แม้เพียงเส้นผมเดียว ในเวลาอรุณขึ้น จีวรในทิศตะวันตก เป็นนิสสัคคีย์. ในจีวรนอกจากนี้ก็นัยนี้.
               ก็แลในเวลากระทำอุโบสถ พึงชำระสัตตัพภันตรสีมาให้หมดจด ตั้งแต่ภิกษุผู้นั่งในที่สุดท้ายแห่งบริษัท. ภิกษุสงฆ์ขยายไปตลอดที่ประมาณเท่าใด, แม้สีมาก็ขยายออกไปตลอดที่ประมาณเท่านั้น.
               ในคำว่า อนิสฺสชฺชิตฺวา ปริภุญฺชติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ถ้าภิกษุผู้ประกอบความเพียร บำเพ็ญเพียรตลอดคืนยังรุ่งใฝ่ใจว่า เราจักสรงน้ำในเวลาใกล้รุ่ง จึงออกไป วางจีวรทั้ง ๓ ผืนไว้ที่ฝั่งแม่น้ำแล้วลงสู่แม่น้ำ, และเมื่อเธออาบอยู่นั่นเอง อรุณขึ้น,
               เธอพึงกระทำอย่างไร? ด้วยว่า เธอถ้าขึ้นมาแล้วนุ่งห่มจีวร, ย่อมต้องทุกกฏ เพราะไม่เสียสละจีวรที่เป็นนิสสัคคีย์แล้วใช้สอยเป็นปัจจัย, ถ้าเธอเปลือยกายไป แม้ด้วยการเปลือยกายไปอย่างนั้น ก็ต้องทุกกฏ.
               ตอบว่า เธอไม่ต้อง, เพราะว่า เธอตั้งอยู่ในฐานะแห่งภิกษุผู้มีจีวรหาย เพราะจีวรเหล่านั้นเป็นของไม่ควรบริโภค ตราบเท่าที่ยังไม่พบภิกษุรูปอื่นแล้วกระทำวินัยกรรม, และชื่อว่า สิ่งที่ไม่สมควรแก่ภิกษุผู้มีจีวรหาย ไม่มี เพราะฉะนั้น เธอพึงนุ่งผืนหนึ่ง เอามือถือสองผืนไปสู่วิหารแล้วกระทำวินัยกรรม. ถ้าว่า วิหารอยู่ไกล, ในระหว่างทางมีพวกชาวบ้านสัญจรไปมา,
               เธอพบพวกชาวบ้านเหล่านั้น พึงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง วางผืนหนึ่งไว้บนจะงอยบ่าแล้วพึงเดินไป. ถ้าหากไม่พบภิกษุที่ชอบพอกันในวิหาร, ภิกษุทั้งหลายไปเที่ยวภิกษาจารเสีย,
                เธอพึงวางผ้าสังฆาฏิไว้ภายนอกบ้าน ไปสู่โรงฉัน ด้วยผ้าอุตราสงค์กับอันตรวาสกแล้ว กระทำวินัยกรรม. ถ้าในภายนอกบ้านมีโจรภัย พึงห่มสังฆาฏิไปด้วย, ถ้าโรงฉันคับแคบมีคนพลุกพล่าน,
                เธอไม่อาจเปลื้องจีวรออก ทำวินัยกรรมในด้านหนึ่งได้, พึงพาภิกษุรูปหนึ่งไปนอกบ้านกระทำวินัยกรรมแล้วใช้สอยจีวรทั้งหลายเถิด.
                ถ้าภิกษุทั้งหลายให้บาตรและจีวรไว้ในมือแห่งภิกษุหนุ่มทั้งหลาย กำลังเดินทางไป มีความประสงค์จะนอนพักในปัจฉิมยาม, พึงกระทำจีวรของตนๆ ไว้ในหัตถบาสก่อนแล้วจึงนอน. ถ้าเมื่อพวกภิกษุหนุ่มมาไม่ทัน อรุณขึ้นไปแก่พระเถระทั้งหลายผู้กำลังเดินไปนั่นแล, จีวรทั้งหลายย่อมเป็นนิสสัคคีย์. ส่วนนิสัยไม่ระงับ. 
               เมื่อพวกภิกษุหนุ่มเดินล่วงหน้าไปก่อนก็ดี พระเถระทั้งหลายเดินตามไม่ทันก็ดี มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แม้เมื่อภิกษุทั้งหลายพลัดทางไม่เห็นกันและกันในป่าก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ก็ถ้าพวกภิกษุหนุ่มเรียนว่า ท่านขอรับ! พวกกระผมจักนอนพักสักครู่หนึ่งแล้ว จักตามไปทันพวกท่านในโอกาสชื่อโน้น ดังนี้แล้ว นอนอยู่จนอรุณขึ้น, จีวรเป็นนิสสัคคีย์ด้วย นิสัยก็ระงับด้วย. แม้เมื่อพระเถระทั้งหลายส่งพวกภิกษุหนุ่ม  ไปก่อนแล้วนอน ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
             พบทางสองแพร่ง พระเถระทั้งหลายบอกว่า ทางนี้, พวกภิกษุหนุ่มเรียนว่า ทางนี้ ไม่เชื่อถือถ้อยคำของกันและกัน ไปเสีย (แยกทางกันไป), แม้พร้อมกับอรุณขึ้น จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ และนิสัยย่อมระงับ. ถ้าพวกภิกษุหนุ่มแวะออกจากทางกล่าวว่า พวกเราจักกลับมาให้ทันภายในอรุณทีเดียว แล้วเข้าไปยังบ้านเพื่อต้องการเภสัชกำลังเดินมา, และอรุณขึ้นไปแก่พวกเธอผู้กลับมายังไม่ถึงนั่นเอง, จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์, แต่นิสัยไม่ระงับ.
               ก็ถ้าว่าพวกเธอกล่าวว่า พวกเรายืนสักครู่หนึ่งแล้วจักไป แล้วยืนหรือนั่ง เพราะกลัวแม่โคนม (แม่โคลูกอ่อน) หรือเพราะกลัวสุนัขแล้วจึงเดินไป, เมื่ออรุณขึ้นในระหว่างทาง จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ด้วย นิสัยก็ระงับด้วย.
               เมื่อภิกษุทั้งหลาย (เมื่ออาจารย์และอันเตวาสิก) เข้าไปสู่บ้านภายในสีมาด้วยใส่ใจว่า เราจักมาในภายในอรุณขึ้นนั่นเทียว อรุณขึ้นในระหว่าง, จีวรทั้งหลายไม่เป็นนิสสัคคีย์ นิสัยก็ไม่ระงับ. ก็ถ้าว่าภิกษุทั้งหลายนั่งอยู่ด้วยไม่ใส่ใจว่า ราตรีจงสว่างหรือไม่ก็ตามที แม้เมื่ออรุณขึ้นแล้ว จีวรไม่เป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยย่อมระงับ.
               ก็ภิกษุเหล่าใดเข้าไปสู่โรงในภายนอกอุปจารสีมาด้วยทั้งที่ยังมีอุตสาหะว่า เราจักมาในภายในอรุณ นั่นแล เพื่อประโยชน์แก่กรรมมีอุปสมบทกรรมเป็นต้น, อรุณตั้งขึ้นที่โรงนั้น แก่พวกเธอ, จีวรเป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยไม่ระงับ.
               ภิกษุทั้งหลายเข้าไปสู่โรงนั้นนั่นแลภายในอุปจารสีมา, เมื่ออรุณตั้งขึ้น จีวรไม่เป็นนิสสัคคีย์ นิสัยก็ไม่ระงับ. แต่ภิกษุเหล่าใดยังมีอุตสาหะไปยังวิหารใกล้เคียง เพื่อประสงค์จะฟังธรรมตั้งใจว่า จักมาให้ทันภายในอรุณ, 
               แต่อรุณขึ้นไปแก่พวกเธอในระหว่างทางนั่นเอง จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยยังไม่ระงับ. ถ้าพวกเธอนั่งอยู่ด้วยเคารพในธรรมว่า พวกเราฟังจนจบแล้วจึงจักไป พร้อมกับอรุณขึ้น แม้จีวรทั้งหลายก็เป็นนิสสัคคีย์ ทั้งนิสัยก็ระงับ.
          พระเถระ เมื่อจะส่งภิกษุหนุ่มไปสู่ละแวกบ้าน เพื่อต้องการซักจีวร พึงปัจจุทธรณ์จีวรของตนก่อน แล้วจึงให้ไป. แม้จีวรของภิกษุหนุ่ม ก็พึงให้ปัจจุทธรณ์แล้วเก็บไว้. ถ้าภิกษุหนุ่มไปแม้ด้วยไม่มีสติ, พระเถระพึงถอนจีวรของตนแล้ว ถือเอาจีวรของภิกษุหนุ่มด้วยวิสาสะ พึงเก็บไว้. ถ้าพระเถระระลึกไม่ได้ แต่ภิกษุหนุ่มระลึกได้ ภิกษุหนุ่มพึงถอนจีวรของตน แล้วถือเอาจีวรของพระเถระด้วยวิสาสะแล้วไปเรียนว่า ท่านขอรับ ท่านจงอธิษฐานจีวรของท่านเสียแล้วใช้สอยเถิด. จีวรของตน เธอก็พึงอธิษฐาน. แม้ด้วยความระลึกได้ของภิกษุรูปหนึ่งอย่างนี้ ก็ย่อมพ้นอาบัติได้แล. คำที่เหลือมีอรรถอันตื้นทั้งนั้น.
               บรรดาปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น ในปฐมกฐินสิกขาบทเป็นอกิริยา คือไม่อธิษฐานและไม่วิกัป ในสิกขาบทนี้เป็นอกิริยา คือไม่ปัจจุทธรณ์ (ไม่ถอน) อันนี้เท่านั้นเป็นความแปลกกัน.
               คำที่เหลือในฐานะทั้งหมดมีนัยดังกล่าวแล้วทั้งนั้นแล.                             พรรณนาอุทโทสิตสิกขาบท จบ. 

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๒ [ว่าด้วย การอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้ราตรีหนึ่ง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุหลายรูป     
                [๑๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายฝากผ้าสังฆาฏิไว้แก่ ภิกษุทั้งหลาย แล้ว มีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก หลีกไปสู่จาริกในชนบท. ผ้าสังฆาฏิเหล่านั้นถูกเก็บไว้นาน ก็ขึ้นราตกหนาว   ภิกษุทั้งหลายจึงผึ่งผ้าสังฆาฏิเหล่านั้น.
               ท่านพระอานนท์เที่ยวตรวจดูเสนาสนะ ได้พบ ภิกษุเหล่านั้นกำลังผึ่งผ้าสังฆาฏิอยู่ ครั้น แล้วจึงเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น ถามว่าจีวร ที่ขึ้นราเหล่านี้ของใคร?
               จึงภิกษุเหล่านั้นแจ้งความนั้นแก่ท่านพระอานนท์แล้ว.
               ท่านพระอานนท์จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงได้ฝากผ้าสังฆาฏิ ไว้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว มีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก หลีกไปสู่จาริกในชนบทเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  
ทรงสอบถาม
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุทั้งหลาย ฝากผ้าสังฆาฏิไว้แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วมีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก หลีกไปสู่ จาริกในชนบท จริงหรือ? 
                ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน  
          พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉนภิกษุ โมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้ฝากผ้าสังฆาฏิไว้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว มีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก หลีกไปสู่จาริกในชนบทเล่า การกระทำของภิกษุ โมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไป เพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และ เพื่อความเป็นอย่างอื่น         ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
 ทรงบัญญัติสิกขาบท
         พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นโดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยากความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความจำกัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภ ความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้นที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อ ข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด ในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
 พระบัญญัติ ๒๑.๒. จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว ถ้าภิกษุอยู่ปราศจากไตร จีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วย ประการฉะนี้.  เรื่องภิกษุหลายรูป จบ. 
พระอนุบัญญัติ / เรื่องภิกษุอาพาธ
               [๑๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธอยู่ในพระนครโกสัมพี. พวกญาติส่งทูตไปในสำนักภิกษุนั้นว่า นิมนต์ท่านมา พวกผมจักพยาบาล แม้ภิกษุทั้งหลายก็กล่าวอย่างนี้ว่า ไปเถิดท่าน พวกญาติจักพยาบาลท่าน.
               เธอตอบอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย ไว้ว่า ภิกษุไม่พึงอยู่ปราศจากไตรจีวร ผมกำลังอาพาธ ไม่สามารถจะนำไตรจีวรไปด้วยได้ ผมจักไม่ไปละ.
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
               ทรงอนุญาตให้สมมติติจีวราวิปวาส ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติ เพื่อ ไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุผู้อาพาธ ก็แลสงฆ์พึงให้สมมติอย่างนี้:- 
วิธีสมมติติจีวราวิปวาส
            ภิกษุผู้อาพาธนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษา กว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่สามารถจะนำ ไตรจีวรไปด้วยได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอสมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรต่อสงฆ์ ดังนี้
             พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
             ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้อาพาธ ไม่สามารถจะนำ ไตรจีวรไปด้วยได้ เธอขอสมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรต่อสงฆ์. ถ้าความ พร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้สมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวร แก่ ภิกษุมีชื่อนี้ นี่เป็นวาจาประกาศให้สงฆ์ทราบ.
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้อาพาธ ไม่สามารถจะนำ ไตรจีวรไปด้วยได้ เธอขอสมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรต่อสงฆ์. สงฆ์ให้ สมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้สมมติเพื่อไม่เป็นการ การอยู่ปราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
             การสมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวร อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ ๒๑.๒. ก. จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว ถ้าภิกษุอยู่ปราศจาก ไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุอาพาธ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
[๑๒] บทว่า จีวร ... สำเร็จแล้ว ความว่า จีวรของภิกษุทำสำเร็จแล้วก็ดี หายเสีย ก็ดี ฉิบหายเสียก็ดี ถูกไฟไหม้เสียก็ดี หมดหวังว่าจะได้ทำจีวรก็ดี.
             คำว่า กฐินเดาะเสียแล้ว คือ เดาะเสียแล้วด้วยมาติกาอันใดอันหนึ่ง ในมาติกา ๘ หรือสงฆ์เดาะเสียในระหว่าง.
             คำว่า ถ้าภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง ความว่า ถ้าภิกษุอยู่ ปราศจากผ้าสังฆาฏิก็ดี จากผ้าอุตราสงค์ก็ดี จากผ้าอันตรวาสกก็ดี แม้คืนเดียว.
             บทว่า เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ คือยกเว้นภิกษุผู้ได้รับสมมติ.
             บทว่า เป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำจะสละ พร้อมกับเวลาอรุณขึ้น ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล               
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้นอย่างนี้:- 
วิธีเสียสละ เสียสละแก่สงฆ์ ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า อยู่ปราศแล้วล่วงราตรี เป็นของจำจะสละเว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะ สละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้ แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
             เสียสละแก่คณะ ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า อยู่ปราศแล้วล่วงราตรี เป็นของจำจะสละ เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
             ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้วท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
             เสียสละแก่บุคคล ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า อยู่ปราศแล้วล่วงราตรี เป็นของจำจะสละ เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน. 
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่ เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้. 
บทภาชนีย์ - มาติกา
             [๑๓] บ้าน มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง                          เรือน มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
                          โรงเก็บของ มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง                          ป้อม มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
                          เรือนยอดเดียว มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง                          ปราสาท มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
                          ทิมแถว มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง                          เรือ มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
                          หมู่เกวียน มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง                          ไร่นา มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
                          ลานนวดข้าว มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง                          สวน มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
                          วิหาร มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง                          โคนไม้ มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
                          ที่แจ้ง มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง
มาติกาวิภังค์
             [๑๔] บ้าน ที่ชื่อว่า มีอุปจารเดียว คือเป็นบ้านของสกุลเดียว และมีเครื่องล้อม.ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในบ้านต้องอยู่ภายในบ้าน. เป็นบ้านไม่มีเครื่องล้อม. ภิกษุเก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยู่ในเรือนนั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             ที่ชื่อว่า มีอุปจารต่าง คือเป็นบ้านของต่างสกุล และมีเครื่องล้อม. ภิกษุเก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยู่ในเรือนนั้น หรือในห้องโถงหรือที่ริมประตูเรือน หรือไม่ละจากหัตถบาส. เมื่อจะไปสู่ห้องโถง ต้องเก็บจีวรไว้ในหัตถบาสแล้วอยู่ในห้องโถง หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส. เก็บจีวรไว้ในห้องโถง ต้องอยู่ในห้องโถง หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             เป็นบ้านไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยู่ในเรือนนั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๑๕] เรือน ของสกุลเดียว และมีเครื่องล้อม มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเรือน ต้องอยู่ภายในเรือน.
             เป็นเรือนที่ไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในห้องใดต้องอยู่ในห้องนั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส. เรือนของต่างสกุล และมีเครื่องล้อม มีห้องเล็ก  ห้องน้อยต่างๆ ภิกษุเก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
              เป็นเรือนไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๑๖] โรงเก็บของ ของสกุลเดียว และมีเครื่องล้อม มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในโรงเก็บของ ต้องอยู่ภายในโรงเก็บของ.
             เป็นโรงไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส. โรงเก็บของ ของต่างสกุล และมีเครื่องล้อม มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตูหรือไม่ละจากหัตถบาส.
             เป็นโรงไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้นหรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๑๗] ป้อม ของสกุลเดียว ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในป้อม ต้องอยู่ภายในป้อม.ป้อมของต่างสกุล มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๑๘] เรือนยอดเดียว ของสกุลเดียว ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเรือนยอดเดียว ต้องอยู่ภายในเรือนยอดเดียว. เรือนยอดเดียวของต่างสกุล มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๑๙] ปราสาท ของสกุลเดียว ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในปราสาท ต้องอยู่ภายในปราสาท. ปราสาทของต่างสกุล มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๒๐] ทิมแถว ของสกุลเดียว ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในทิมแถว ต้องอยู่ภายในทิมแถว. ทิมแถวของต่างสกุล มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๒๑] เรือ ของสกุลเดียว ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเรือ ต้องอยู่ภายในเรือ. เรือของต่างสกุล มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ภายในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
              [๒๒] หมู่เกวียน ของสกุลเดียว ภิกษุเก็บจีวรไว้ในหมู่เกวียน ไม่พึงละอัพภันดรด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านละ ๗ อัพภันดร ด้านข้างด้านละ ๑ อัพภันดร. หมู่เกวียนของต่างสกุล เก็บจีวรไว้ในหมู่เกวียน ไม่พึงละจากหัตถบาส.
              [๒๓] ไร่นา ของสกุลเดียวและมีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเขตไร่นาต้องอยู่ภายในเขตไร่นา เป็นไร่นาไม่มีเครื่องล้อม ไม่พึงละจากหัตถบาส. ไร่นาของต่างสกุลและมีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ภายในเขตไร่นา ต้องอยู่ภายในเขตไร่นา หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
              เป็นเขตไม่มีเครื่องล้อม ไม่พึงละจากหัตถบาส.
              [๒๔] ลานนวดข้าว ของสกุลเดียว และมีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเขตลานนวดข้าว ต้องอยู่ภายในเขตลานนวดข้าว. เป็นสถานไม่มีเครื่องล้อม ไม่พึงละจากหัตถบาส ลานนวดข้าวของต่างสกุลและมีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ภายในเขตลานนวดข้าว ต้องอยู่ที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส. 
             เป็นสถานไม่มีเครื่องล้อม ไม่พึงละจากหัตถบาส.
             [๒๕] สวน ของสกุลเดียวและมีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเขตสวนต้องอยู่ภายในเขตสวน. เป็นสถานไม่มีเครื่องล้อม ไม่พึงละจากหัตถบาส. สวนของต่างสกุลและมีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ภายในเขตสวน ต้องอยู่ที่ริมประตูสวน หรือไม่ละจากหัตถบาส.เป็นสถานไม่มีเครื่องล้อม ไม่พึงละจากหัตถบาส.
             [๒๖] วิหาร ของสกุลเดียวและมีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเขตวิหารต้องอยู่ภายในเขตวิหาร. เป็นสถานไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในที่อยู่ใด ต้องอยู่ในที่อยู่นั้นหรือไม่ละจากหัตถบาส. วิหารของต่างสกุล และมีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ในที่อยู่ใดต้องอยู่ในที่อยู่นั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             เป็นสถานไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในที่อยู่ใด ต้องอยู่ในที่อยู่นั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส.
             [๒๗] โคนไม้ ของสกุลเดียว กำหนดเอาเขตที่เงาแผ่ไปโดยรอบในเวลาเที่ยง ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเขตเงา ต้องอยู่ภายในเขตเงา. โคนไม้ของต่างสกุล ไม่พึงละจากหัตถบาส.
             [๒๘] ที่แจ้ง ที่ชื่อว่า มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง คือ ในป่าหาบ้านมิได้กำหนด ๗ อัพภันดรโดยรอบ จัดเป็นอุปจารเดียว พ้นไปนั้น จัดเป็นอุปจารต่าง.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๒๙] จีวรอยู่ปราศ ภิกษุสำคัญว่าอยู่ปราศ เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรอยู่ปราศ ภิกษุสงสัย เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรอยู่ปราศ ภิกษุสำคัญว่าไม่อยู่ปราศ เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้ถอน ภิกษุสำคัญว่าถอนแล้ว เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้สละให้ไป ภิกษุสำคัญว่าสละให้ไปแล้ว เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่หาย ภิกษุสำคัญว่าหายแล้ว เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุสำคัญว่าฉิบหายแล้ว เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุสำคัญว่าถูกไฟไหม้แล้ว เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกโจรชิงไป ภิกษุสำคัญว่าถูกโจรชิงไปแล้ว เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
             [๓๐] ภิกษุไม่สละจีวรที่เป็นนิสสัคคีย์ บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. จีวรไม่อยู่ปราศ ภิกษุสำคัญว่าอยู่ปราศ บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. จีวรไม่อยู่ปราศ ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ไม่ต้องอาบัติ จีวรไม่อยู่ปราศ ภิกษุสำคัญว่าไม่อยู่ปราศ บริโภค ไม่ต้องอาบัติ.
             อนาปัตติวาร [๓๑] ใน ภายในอรุณ ภิกษุถอนเสีย ๑ ภิกษุสละให้ไป ๑ จีวรหาย ๑ จีวรฉิบหาย ๑ จีวรถูกไฟไหม้ ๑ โจรชิงเอาไป ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ ภิกษุได้รับสมมติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑ ว่าด้วย การทรงอติเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทุติยสมันตปาสาทิกา วินัยวรรณนา ติงสกกัณฑวรรณ
             ธรรม ๓๐ เหล่าใด ชื่อว่านิสสัคคีย์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สงบ ทรงแสดงแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้า จักทำการพรรณนาบทที่ยังไม่เคยมีมาก่อนแห่งธรรมเหล่านั้น.
พรรณนาปฐมกฐินสิกขาบท
             ในคำนิทานว่า โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่โคตมกเจดีย์ใกล้กรุงไพศาลี ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไตรจีวรแก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น ที่ชื่อว่า ไตรจีวรนั้น ได้แก่จีวร ๓ ผืนนี้ คือ อันตรวาสก ๑ อุตตราสงค์ ๑ สังฆาฏิ ๑   ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้วเพื่อใช้สอย.
             ก็จีวร ๓ ผืนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตในที่ใด? ทรงอนุญาตเมื่อไร?     และทรงอนุญาต
             เพราะเหตุไร? คำนั้นทั้งหมดมาแล้วในเรื่องหมอชีวกในจีวรขันธกะนั่นแล.
             ข้อว่า อญฺเญเนว ติจีวเรน คามํ ปวิสนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ครองไตรจีวรเข้าบ้านสำรับหนึ่งต่างหาก จากสำรับที่ใช้ครองอยู่ในวัด และสำรับที่ใช้ครองสรงน้ำ. ใช้จีวรวันละ ๙ ผืนทุกวัน ด้วยอาการอย่างนี้.
              สอง บท ว่า  อุปฺปนฺนํ โหติ มีความว่า อดิเรกจีวรนี้ เกิดขึ้นให้ช่องแก่อนุบัญญัติ ด้วยอำนาจการได้ มิใช่ด้วยอำนาจความสำเร็จ.
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระอานนท์]
             ข้อว่า อายสฺมโต สารีปุตฺตสฺส ทาตุกาโม โหติ มีความว่า ได้ยินว่า ท่านพระอานนท์ย่อมนับถือท่านพระสารีบุตรโดยนับถือความมีคุณมากของพระสารีบุตรว่า เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้า บุคคลอื่นที่มีคุณวิเศษเห็นปานนี้ ไม่มีเลย. 
             ท่านได้จีวรที่ชอบใจ ซักแล้ว กระทำพินทุกัปปะแล้ว ถวายแก่พระเถระนั่นแล แม้ทุกคราว. ในเวลาก่อนฉันได้ยาคู
และของเคี้ยว หรือบิณฑบาตอันประณีตแล้ว ย่อมถวายแก่พระเถระเหมือนกัน. ในเวลาหลังฉัน แม้ได้เภสัช มีน้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น ก็ถวายแก่พระเถระนั่นเอง. พาเด็กทั้งหลายออกจากตระกูลอุปัฏฐาก ให้บรรพชาให้ถืออุปัชฌายะ ในสำนักพระเถระแล้ว กระทำอนุสาวนากรรมเอง.
             ฝ่ายท่านพระสารีบุตรก็นับถือท่านพระอานนท์เหลือเกิน ด้วยทำในใจว่า ธรรมดาว่า กิจที่บุตรจะพึงกระทำแก่บิดา เป็นภาระของบุตรคนโต เพราะฉะนั้น กิจใดที่เราจะพึงกระทำแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า กิจนั้นทั้งหมด พระอานนท์กระทำอยู่, เราอาศัยพระอานนท์จึงได้เพื่อเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยอยู่. คำทั้งหมดว่า แม้พระเถระนั้นได้จีวรที่ชอบใจแล้ว ก็ถวายพระอานนทเถระเหมือนกัน เป็นต้น เป็นเช่นกับด้วยคำก่อนนั่นแล. พระอานนทเถระนับถือด้วยความนับถือคุณมากอย่างนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นผู้มีความประสงค์จะถวายจีวรนั้น แม้ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นแก่ท่านพระสารีบุตร.
               ก็ในคำว่า นวมํ วา ภควา ทิวสํ ทสมํ วา นี้ หากใครๆ จะพึงมีความสงสัยว่า พระเถระทราบได้อย่างไร?
               ตอบว่า พระเถระทราบได้ด้วยเหตุหลายอย่าง.
[เหตุที่พระอานนท์ทราบการมาของพระสารีบุตรได้]
               ได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะหลีกจาริกไปในชนบทมักบอกลาพระอานนทเถระก่อนแล้วจึงหลีกไปว่าผมจักมาโดยกาลชื่อว่าประมาณเท่านี้ ในระหว่างนี้ ท่านอย่าละเลยพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.
              ถ้าแม้นว่า ท่านไม่บอกลาในที่ต่อหน้า ก็ต้องส่งภิกษุไปบอกลาก่อนจึงไป. ถ้าว่า ท่านอยู่จำพรรษาในอาวาสอื่น และภิกษุเหล่าใดมาก่อน ท่านก็ส่งภิกษุเหล่านั้นไปอย่างนี้ว่า พวกท่านจงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า ตามคำของเรา, และจงเรียนถามถึงความไม่มีโรคของพระอานนท์แล้วบอกว่า เราจักมาในวันชื่อโน้น, และ พระเถระย่อมมาในวันตามที่ท่านกำหนดไว้แล้วนั่นแลเสมอๆ.
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ย่อมทราบได้ด้วยการอนุมานบ้าง ย่อมทราบได้โดยนัยนี้บ้างว่า ท่านพระสารีบุตร เมื่อทนอดกลั้นความวิปโยค (พลัดพราก) จากพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่สิ้นวันมีประมาณเท่านี้, บัดนี้ นับแต่นี้ไปจักไม่เลยวันชื่อโน้น ท่านจักมาแน่นอน
               จริงอยู่ ชนทั้งหลายผู้ซึ่งมีปัญญามาก ย่อมมีความรักและความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก ดังนี้.
               พระเถระย่อมทราบได้ด้วยเหตุหลายอย่างด้วยประการอย่างนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกราบทูลว่า จักมาในวันที่ ๙ หรือวันที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าข้า! ดังนี้ เมื่อพระอานนทเถระกราบทูลอย่างนี้แล้ว เพราะสิกขาบทนี้มีโทษทางพระบัญญัติ 
มิใช่มีโทษทางโลก เพราะเหตุนั้น
               ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำวันที่ท่านพระอานนท์กราบทูลนั่นแลให้เป็นกำหนด จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทรงอดิเรกจีวรไว้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้.
               ถ้าหากว่า พระเถระนี้จะพึงทูลแสดงขึ้นกึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่ง, แม้กึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงทรงอนุญาต.
[แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์ว่าด้วยการเดาะกฐิน]
               บทว่า นิฏฺฐิตจีวรสฺมึ ได้แก่ เมื่อจีวรสำเร็จแล้วโดยการสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง. 
               ก็เพราะจีวรนี้ย่อมเป็นอันสำเร็จแล้วด้วยการกระทำบ้าง ด้วยเหตุมีการเสียหายเป็นต้นบ้าง ฉะนั้น เพื่อทรงแสดงเพียงแต่อรรถเท่านั้น
               ในบทภาชนะแห่งบทว่า นิฏฺฐิตจีวรสฺมึ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า ภิกฺขุนา จีวรํ กตํ วา โหติ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตํ คือ อันภิกษุกระทำแล้วด้วยกรรมมีสูจิกรรมเป็นที่สุด. 
               ที่ชื่อว่า กรรมมีสูจิกรรมเป็นที่สุด ได้แก่การทำกรรมที่ควรทำด้วยเข็มอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการติดรังดุมและลูกดุมเป็นที่สุด แล้วก็เก็บเข็มไว้ (ในกล่องเข็ม).
               บทว่า นฏฺฐํ คือ ถูกพวกโจรเป็นต้นลักเอาไป. 
               จริงอยู่ แม้จีวรนั่น ท่านเรียกว่า สำเร็จแล้ว ก็เพราะความกังวล ด้วยการกระทำนั่นเอง สำเร็จลงแล้ว.
               บทว่า วินฏฺฐํ คือ ถูกพวกสัตว์มีปลวกเป็นต้นกัดแล้ว.
               บทว่า ทฑฺฒํ คือ ถูกไฟไหม้.
               สอง บทว่า จีวราสา วา อุปจฺฉินฺนา มีความว่า หมดความหวังในจีวรซึ่งบังเกิดขึ้นว่า เราจักได้จีวรในตระกูล ชื่อโน้นก็ดี. อันที่จริง ควรทราบความที่จีวรแม้เหล่านี้สำเร็จแล้ว เพราะความกังวลด้วยการกระทำนั่นแล สำเร็จลงแล้ว.
               สอง บท ว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน คือ (เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว) และเมื่อกฐินเดาะเสียแล้ว. 
               ด้วยบทว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความไม่มีแห่งปลิโพธที่ ๒, ก็กฐินนั้น อันภิกษุทั้งหลาย ย่อมเดาะด้วยมาติกาอย่างหนึ่งในบรรดามาติกา ๘ หรือด้วยการเดาะในระหว่าง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อฏฺฐนฺนํ มาติกานํ เป็นต้น ในนิเทศแห่งบทว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน นั้น.
                บรรดามาติกาและการเดาะในระหว่างนั้น มาติกา ๘ มาแล้วในกฐินขันธกะอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาติกาแห่งการเดาะกฐิน ๘ เหล่านี้ คือ ปักกมนันติกา นิฏฐานันติกา สันนิฏฐานันติกา นาสนันติกา สวนันติกา อาสาวัจเฉทิกา สีมาติกกันติกา สหุพภารา.
                แม้การเดาะกฐินในระหว่าง ก็มาในภิกขุนีวิภังค์๒- อย่างนี้ว่า
                สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ สงฺโฆ กฐินํ อุทฺธเรยฺยเอสา ญตฺติ, สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ กฐินํ อุทฺธรติ ยสฺสายสฺมโต ขมติ กฐินสฺส อุพฺภาโร โส ตุณฺหสฺส ยสฺส นกฺขมติ โส ภาเสยฺย, อุพฺภตํ สงฺเฆน กฐินํ ขมติ สงฺฆสฺส ตสฺมา ตุณฺหี เอวเมตํ ธารยามิ
               แปลว่า ท่านเจ้าข้า! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า, ถ้าความพรั่งพร้อมแห่งสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงเดาะกฐิน, นี้คำเสนอ,
               ท่านเจ้าข้า! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า, สงฆ์ย่อมเดาะกฐิน, การเดาะกฐินควรแก่ท่านผู้มีอายุใด ท่านผู้มีอายุนั้นพึงนิ่งอยู่, ถ้าไม่ควรแก่ท่านผู้มีอายุใด ท่านผู้มีอายุนั้น พึงพูดขึ้น,
               กฐินอันสงฆ์เดาะแล้วย่อมควรแก่สงฆ์ เพราะฉะนั้น สงฆ์พึงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจะทรงไว้ซึ่งความเป็นผู้นิ่งอยู่แห่งสงฆ์อย่างนี้แล. วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๙๙.  ๒- วิ. ภิกฺขุนีวิ. เล่ม ๓/ข้อ ๒๕๓.
               ข้าพเจ้าจักพรรณนาคำที่ควรกล่าวในมาติกา และ
               อันตรุพภารานั้นทั้งหมด ในอาคตสถานนั่นแล.
               แต่เมื่อจะกล่าวเสียในที่นี้ บาลีที่ควรจะนำมาก็ด
               เนื้อความที่ควรจะกล่าวก็ดี แม้จะเป็นอันกล่าวแล้ว,
               แต่ก็เป็นเรื่องที่รู้ได้ไม่ง่าย เพราะกล่าวไว้ในฐานะอันไม่ควร.
               บทว่า ทสาหปรมํ มีวิเคราะห์ว่า ๑๐ วัน เป็นกำหนดอย่างยิ่งแห่งกาลนั้น เพราะเหตุนั้น กาลนั้นจึงชื่อว่ามี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง. อธิบายว่า จีวรนั้นอันภิกษุพึงทรงไว้ตลอดกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง.
               แต่เพื่อจะทรงแสดงแต่อรรถเท่านั้น ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พึงทรงไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง.
               จริงอยู่ มีคำอธิบายว่า ความเป็นกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ที่ตรัสไว้ในบทว่า ทสาหปรมํ นี้ ภาวะแห่งกาละมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่งนั้น มีใจความดังนี้ว่า พึงทรงไว้ได้ชั่วกาล ประมาณเท่านี้ที่ยังไม่ล่วงเลยไป.
                จีวรที่ชื่อว่า อติเรก เพราะไม่นับเข้าในจำพวกจีวรที่อธิษฐานและวิกัปไว้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอติเรกจีวร. ด้วยเหตุนั้น 
                ในบทภาชนะแห่งบทว่า อติเรกจีวรํ นั้น จึงตรัสว่า จีวรที่ไม่ได้อธิษฐานและไม่ได้วิกัปไว้.
[อธิบายกำเนิดจีวร ๖ ชนิด]
                 ข้อว่า ฉนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรํ มีความว่า บรรดาจีวร ๖ ชนิดเหล่านี้๑- คือจีวรผ้าเปลือกไม้ ๑ 
                 จีวรผ้าฝ้าย ๑ จีวรผ้าไหม ๑ จีวรผ้ากัมพล ๑ จีวรผ้าป่าน ๑ จีวรผ้าผสมกัน ๑ จีวรอย่างใดอย่างหนึ่ง.
                 พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกำเนิดแห่งจีวร ด้วยคำว่า ฉนฺนํ เป็นต้นนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงขนาด (แห่งจีวรนั้น) จึงตรัสว่า จีวรอย่างต่ำควรจะวิกัปได้ ดังนี้.
                ขนาดแห่งจีวรนั้น ด้านยาว ๒ คืบ ด้านกว้าง คืบหนึ่ง.
                ในขนาดแห่งจีวรนั้น มีพระบาลีดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้วิกัปจีวรอย่างต่ำ ด้านยาว ๘ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว โดยนิ้วพระสุคต.๒-
                ข้อว่า ตํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ มีความว่า เมื่อภิกษุยังจีวรมีกำเนิดและประมาณตามที่กล่าวแล้วนั้น ให้ล่วงกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง คือเมื่อไม่ทำโดยวิธีที่จะไม่เป็นอติเรกจีวรเสียในระหว่างกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่งนี้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. อธิบายว่า จีวรนั้น เป็นนิสสัคคีย์ด้วย เป็นอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุนั้นด้วย.
               อีกอย่างหนึ่ง การเสียสละ ชื่อว่า นิสสัคคีย์. 
               คำว่า นิสสัคคีย์ นั่นเป็นชื่อของวินัยกรรมอันภิกษุพึงกระทำในกาลเป็นส่วนเบื้องต้น, การเสียสละมีอยู่แก่ธรรมชาติ
นั้น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่า นิสสัคคีย์ ฉะนี้แล. นิสสัคคีย์นั้น คืออะไร? คือ ปาจิตตีย์.
               ในคำว่า ตํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ นี้ มีใจความดังนี้ว่า เป็นปาจิตตีย์มีการเสียสละเป็นวินัยกรรมแก่ภิกษุผู้ให้ล่วงกาลนั้นไป.
              แต่ในบทภาชนะ เพื่อทรงแสดงอรรถวิกัปแรกก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งมาติกาว่า เมื่อภิกษุให้ล่วงกาลนั้นไป เป็นนิสสัคคีย์ แล้วตรัสคำว่า ในเมื่ออรุณวันที่ ๑๑ ขึ้น เป็นนิสสัคคีย์ คืออันภิกษุพึงเสียสละ ดังนี้. และจีวรนั้นอันภิกษุพึงเสียสละแก่บุคคลใด พึงเสียสละโดยวิธีอย่างใด เพื่อทรงแสดงบุคคลและวิธีเสียสละนั้นอีก จึงตรัสคำเป็นต้นว่า สงฺฆสฺส วา ดังนี้.
             บรรดาบทเหล่านั้น ในคำว่า เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า จีวรเกิดขึ้นในวันใด อรุณแห่งวันนั้น อาศัยวันที่จีวรเกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นนิสสัคคีย์ ในเมื่ออรุณวันที่ ๑๑ ขึ้นรวมกับวันที่จีวรเกิด ถ้าแม้ว่า จีวรเป็นอันมากผูกหรือพับรวมกันเก็บไว้ก็เป็นอาบัติเพียงตัวเดียว. ในจีวรที่พับไว้ไม่รวมกันเป็นอาบัติหลายตัวตามจำนวนแห่งวัตถุ. ๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๓๙/๑๙๓. ๒- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๖๐/๒๑๙.
               [อธิบายวิธีเสียสละและวิธีแสดงอาบัติ]               
               ข้อว่า นิสฺสชฺชิตฺวา อาปตฺติ เทเสตพฺพา มีความว่า ถามว่า พึงแสดงอาบัติอย่างไร?
               แก้ว่า พึงแสดงเหมือนอย่างที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในขันธกะ.
               ถามว่า ก็ตรัสไว้ในขันธกะนั้น อย่างไร?
               แก้ว่า ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ กระทำอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าแห่งภิกษุผู้แก่ทั้งหลายแล้ว นั่งกระโหย่ง ประนมมือ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า    อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ อาปตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเสมิ๑-
               (ท่านเจ้าข้า! กระผม        ต้องอาบัติมีชื่ออย่างนี้ ขอแสดงคืนอาบัตินั้น).
               ก็ในอธิการนี้ ถ้าจีวรมีผืนเดียว พึงกล่าวว่า เอกํ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ ... (ต้องแล้ว) ซึ่งนิสสัคคีย์ ปาจิตตีย์ตัวหนึ่ง.
               ถ้าจีวร ๒ ผืนพึงกล่าวว่า เทฺว ... ซึ่งอาบัติ ๒ ตัว. ถ้าจีวรมากผืนพึงกล่าวว่า สมฺพหุลา ... ซึ่งอาบัติหลายตัว. 
                แม้ในการเสียสละ ถ้าว่า จีวรมีผืนเดียวพึงกล่าวตามสมควรแก่บาลีนั่นแลว่า อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ท่านเจ้าข้า! จีวร
ของกระผมผืนนี้ เป็นต้น.
               ถ้าหากว่าจีวร ๒ ผืน หรือมากผืน พึงกล่าวว่า อิมานิ เม ภนฺเต จีวรานิ ทสาหาติกฺกนฺตานิ นิสฺสคฺคิยานิ อิมานาหํ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชามิ 
               (ท่านเจ้าข้า!   จีวรของกระผมเหล่านี้ล่วง ๑๐ วัน เป็นนิสสัคคีย์, กระผมเสียสละจีวรเหล่านี้แก่สงฆ์).
               เมื่อไม่สามารถจะกล่าวบาลีได้ พึงกล่าวโดยภาษาอื่นก็ได้. ภิกษุพึงรับอาบัติโดยนัยดังกล่าวไว้ในขันธกะนั่นแลว่า ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงรับอาบัติ.
               สมจริงดังที่ตรัสไว้ในขันธกะนั้นอย่างนี้ว่า๒- ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียงสงฆ์ว่า ท่านเจ้าข้า! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อนี้รูปนี้ ระลึกได้ เปิดเผย กระทำให้ตื้น ย่อมแสดงซึ่งอาบัติ, ถ้าความพรั่งพร้อมแห่งสงฆ์ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุมีชื่ออย่างนี้ ดังนี้. ๑- วิ. จุลฺ เล่ม ๖/ข้อ ๖๙๐/หน้า ๓๗๐.      ๒- วิ. จุลฺ เล่ม ๖/ข้อ ๖๙๐/หน้า ๓๖๘-๓๖๙.
               ภิกษุผู้แสดงอันภิกษุรับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (เธอเห็นหรือ).
               ผู้แสดง : อาม ปสฺสามิ (ขอรับ! ผมเห็น).
               ผู้รับ : อายตึ สํวเรยฺยาสิ (เธอพึงสำรวมต่อไป).
               ผู้แสดง : สาธุ สุฏฺฐุ สํวริสฺสามิ (ดีละ ผมจะสำรวมให้ดี)๑-
               ผู้แสดง : อาม ปสฺสามิ (ขอรับ! ผมเห็น).
               ผู้รับ : อายตึ สํวเรยฺยาสิ (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป).
               ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า แล้วนั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส! ข้าพเจ้าต้องอาบัติมีชื่ออย่างนี้แล้ว, จะแสดงคืนอาบัติ.
               ภิกษุผู้แสดงอันภิกษุผู้รับอาบัตินั้นพึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่านเห็นหรือ).
               ก็ในอาบัติ ๒ ตัว หรือหลายตัวด้วยกัน ผู้ศึกษาพึงทราบความต่างแห่งวจนะโดยนัยก่อนนั่นแล, 
               แม้ในการให้จีวร (คืน) ก็พึงทราบความแตกต่างแห่งวจนะด้วยอำนาจแห่งวัตถุ คือ สงฺโฆ อิมํ จีวรํ อิมานิ จีวรานิ... สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้... พึงให้จีวรทั้งหลายเหล่านี้... ถึงในการเสียสละแก่คณะ และแก่บุคคล ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
               ก็ในการแสดงและการรับอาบัติในอธิการนี้ มีบาลีดังต่อไปนี้ :-
      เตน ภิกฺขเว ภิกฺขุนา ฯเปฯ เอวมสฺสุ วจนียา อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ อาปตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเสมิ ๓- แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุมากรูป กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าทั้งหลายแห่งภิกษุผู้แก่ทั้งหลายแล้ว นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า! ข้าพเจ้าต้องอาบัติชื่อนี้ ขอแสดงคืนซึ่งอาบัตินั้น.
         อันภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียงภิกษุเหล่านั้นให้ทราบว่า สุณาตุ เม ภนฺเต อายสฺมนฺตา อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺตึ สรติ วิวรติ อุตฺตานีกโรติ เทเสติ  ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺตึ ปฏิคฺคณฺเหยฺยํ ๓- แปลว่า ท่านเจ้าข้า! ท่านผู้มีอายุทั้งหลายขอจงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่ออย่างนี้ รูปนี้ย่อมระลึกย่อมเปิดเผย ย่อมกระทำให้ตื้น ย่อมแสดงอาบัติ, ถ้าว่าความพรั่งพร้อมแห่งท่านผู้มีอายุทั้งหลายถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุชื่อนี้. ๑- วิ. จุลฺ เล่ม ๖/ข้อ ๖๙๐/หน้า ๓๗๐. ๓- วิ. จุลฺ เล่ม ๖/ข้อ ๖๙๐/หน้า ๓๖๘-๓๖๙.
               ภิกษุผู้แสดงอันภิกษุผู้รับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่านเห็นหรือ).
               ผู้แสดง : อาม ปสฺสามิ (ขอรับ! ผมเห็น).
               ผู้รับ : อายตึ สํวเรยฺยาสิ (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป).
               ในวิสัยแห่งการแสดงและรับอาบัตินั้น ผู้ศึกษาพึงทราบการระบุชื่ออาบัติและความต่างแห่งวจนะ โดยนัยก่อนนั่นแล. และพึงทราบบาลีแม้ในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูป เหมือนในการสละแก่คณะฉะนั้น.
               ก็ถ้าว่าจะพึงมีความแปลกกันไซร้, พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสบาลีไว้แผนกหนึ่ง แม้ในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูปนี้ เหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสปาริสุทธิอุโบสถแก่ภิกษุ ๓ รูป โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ, ภิกษุทั้งหลาย
               ก็แลภิกษุเหล่านั้นพึงทำอุโบสถเหล่านั้นอย่างนี้;  ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียงภิกษุเหล่านั้นให้ทราบ แล้วตรัสปาริสุทธิอุโบสถแก่ภิกษุ ๒ รูป อีกแผนกหนึ่งต่างหาก โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูปทำปาริสุทธิอุโบสถ, ภิกษุทั้งหลาย
               ก็แลภิกษุเหล่านั้น พึงทำอุโบสถนั้นอย่างนี้,ภิกษุเถระพึงทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า๔- ดังนี้ ฉะนั้น. ก็เพราะไม่มีความแปลกกัน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้ตรัสไว้ ทรงผ่านไปเสีย เพราะฉะนั้น บาลีในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูปนี้ เป็นบาลีที่ตรัสไว้แก่คณะเหมือนกัน.
               ส่วนในการรับอาบัติมีความแปลกกันดังนี้ :-
               บรรดาภิกษุ ๒ รูป ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งอย่าตั้งญัตติเหมือนภิกษุผู้รับอาบัติ ตั้งญัตติ ในเมื่อภิกษุผู้ต้องอาบัติสละแก่คณะแล้วแสดงอาบัติ พึงรับอาบัติเหมือนบุคคลคนเดียวรับฉะนั้น. แท้จริง ชื่อว่าการตั้งญัตติสำหรับภิกษุ ๒ รูปย่อมไม่มี.
               ก็ถ้าหากจะพึงมี พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่พึงตรัสปาริสุทธิอุโบสถไว้แผนกหนึ่ง สำหรับภิกษุ ๒ รูป แม้ในการให้จีวรที่เสียสละ แล้วคืน จะกล่าวว่า อิมํ จีวรํ อายสฺมโต เทม พวกเราใหัจีวรผืนนี้แก่ท่าน เหมือนภิกษุรูปเดียวกล่าวว่า อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมิ ผมให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้ ก็ควร.
               จริงอยู่ แม้ญัตติทุติยกรรม ซึ่งหนักกว่านี้ ตรัสว่า ควรอปโลกน์ทำ ก็มี.
               วินัยกรรมมีการสละนี้ สมควรแก่ญัตติทุติยกรรมเหล่านั้น. แต่จีวรที่สละแล้ว ควรให้คืนทีเดียว, จะไม่ให้คืนไม่ได้. ก็ การให้คืนจีวรที่สละเสียแล้วนี้เป็นเพียงวินัยกรรม. จีวรนั้นจะเป็นอันภิกษุนั้นให้แก่สงฆ์ หรือแก่คณะ หรือแก่บุคคล หามิได้ทั้งนั้นแล ๔- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๘๕/หน้า ๒๔๓.
[แก้อรรถบทภาชนีย์ว่าด้วยอติเรกจีวรล่วง ๑๐ วันเป็นต้น]
               ข้อว่า ทสาหาติกฺกนฺเต อติกฺกนฺตสญฺญี ได้แก่ ผู้มีความสำคัญในจีวรที่ล่วง ๑๐ วันแล้วอย่างนี้ว่า จีวรนี้ล่วง (๑๐ วัน) แล้ว. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า เมื่อ ๑๐ วันล่วงแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า ๑๐ วันล่วงไปแล้ว.
               ข้อว่า นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ มีความว่า ความสำคัญที่กล่าวไว้ในบทว่า อติกฺกนฺตสญฺญี นี้คุ้มอาบัติไม่ได้, ถึงภิกษุใดจะมีความสำคัญอย่างนี้, จีวรนั้นของภิกษุแม้นั้น ก็เป็นนิสสัคคีย์ และภิกษุนั้นก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ด้วย, หรือเป็นปาจิตตีย์ มีการเสียสละเป็นวินัยกรรม เพราะฉะนั้น อรรถวิกัปทั้ง ๒ ย่อมถูกต้อง.      ทุกๆ บทก็มีนัยเช่นนี้.
               ข้อว่า อวิสฺสชฺชิเต วิสฺสชฺชิตสญฺญี ได้แก่ ผู้มีความสำคัญในจีวรที่ตนไม่ได้ให้ ค ือ ไม่ได้สละให้แก่ใครๆ อย่างนี้ว่า เราสละแล้ว.
               ข้อว่า อนฏฺเฐ นฏฺฐสญฺญี มีความว่า โจรทั้งหลาย ย่อมลักเอาซึ่งจีวรเป็นอันมากของภิกษุเหล่าอื่น ที่เก็บรวมไว้กับจีวรของตน, บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปนี้เป็นผู้มีความสำคัญในจีวรของตนซึ่งไม่ได้หายไป ว่าหายแล้ว. แม้ในจีวรที่ไม่ได้เสียหายเป็นต้น ก็มีนัยเช่นนี้.
               ก็ในบทว่า อวิลุตฺเต นี้ พึงทราบสันนิษฐานว่า ในจีวรที่มิได้ถูกชิงไป ด้วยอำนาจที่พังห้องแล้วข่มขู่ชิงเอาไป.
               ข้อว่า อนิสฺสชฺชิตฺวา ปริภุญฺชติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ภิกษุไม่เปลื้องจีวรที่นุ่งครั้งเดียว หรือห่มครั้งเดียวออกจากกายแล้วเที่ยวไป แม้ตลอดวัน เป็นอาบัติตัวเดียวเท่านั้น. ภิกษุเปลื้องออกแล้วนุ่งหรือห่มจีวรที่ยังไม่สละนั้น เป็นทุกกฏทุกๆ ประโยค.
                จัดจีวรที่นุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่มไม่เรียบร้อย ให้เรียบร้อย ไม่เป็นอาบัติ. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ใช้สอยของภิกษุอื่น. ก็คำมีอาทิว่า ภิกษุได้จีวรที่ผู้อื่นกระทำแล้วใช้สอยดังนี้ เป็นเครื่องสาธกในความไม่เป็นอาบัตินี้. ทรงหมายเอาการใช้สอย ปรับเป็นอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญในจีวรยังไม่ล่วง (๑๐ วัน) ว่าล่วงแล้ว และภิกษุผู้มีความสงสัย.
[ว่าด้วยขนาดจีวรที่ควรอธิษฐานและวิกัป]
               ก็ในข้อว่า อนาปตฺติ อนฺโตทสาหํ อธิฏฺเฐติ วิกปฺเปติ นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบจีวรที่ควรอธิษฐาน และที่ควรวิกัป. 
              ในจีวรที่ควรอธิษฐานและวิกัปนั้น มีพระบาลีดังต่อไปนี้ :-       ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายได้มีความรำพึงอย่างนี้ว่า จีวรทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ คือไตรจีวรก็ดี                  คือวัสสิกสาฎกก็ดี คือนิสีทนะก็ดี คือปัจจัตถรณะก็ดี คือกัณฑุปฏิจฉาทิก็ดี คือมุขปุญฉนโจลกะก็ดี คือปริขารโจลกะก็ดี ควรอธิษฐานทั้งหมดหรือว่า ควรจะวิกัปหนอแล.๑-   ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อธิษฐานไตรจีวร ไม่อนุญาตให้วิกัป,
              ให้อธิษฐานวัสสิกสาฎก ตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน พ้นจาก ๔ เดือนฤดูฝนนั้น อนุญาตให้วิกัปไว้, อนุญาตให้อธิษฐาน
              นิสีทนะไม่ใช่ให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานผ้าปูนอน ไม่ใช่ให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐาน
              กัณฑุปฏิจฉาทิ (ผ้าปิดแผล) ชั่วเวลาอาพาธ พ้นจากกาลอาพาธนั้น อนุญาตให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐาน
              มุขปุญฉนโจล (ผ้าเช็ดหน้า) ไม่อนุญาตให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานบริขารโจล ไม่อนุญาตให้วิกัป๑- ดังนี้.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๖๐/หน้า ๒๑๘-๒๑๙.
[ว่าด้วยการอธิษฐานไตรจีวรเป็นต้น]
              บรรดาจีวรเป็นต้นเหล่านั้น อันภิกษุเมื่อจะอธิษฐานไตรจีวรย้อมแล้วให้กัปปะพินทุ พึงอธิษฐานจีวรที่ได้ประมาณเท่านั้น. ประมาณแห่งจีวรนั้น โดยกำหนดอย่างสูง หย่อนกว่าสุคตจีวร (จีวรของพระสุคต) จึงควร. และโดยกำหนดอย่างต่ำ ประมาณแห่งสังฆาฏิและอุตราสงค์ ด้านยาว ๕ ศอกกำ ด้านกว้าง ๓ ศอกกำ จึงควร. อันตรวาสก ด้านยาว ๕ ศอกกำ ด้านกว้างแม้ ๒ ศอก ก็ควร. เพราะอาจเพื่อจะปกปิดสะดือด้วยผ้านุ่งบ้าง ผ้าห่มบ้างแล.
               ก็จีวรที่เกินและหย่อนกว่าประมาณดังกล่าวแล้ว พึงอธิษฐานว่า บริขารโจล.
     ในวิสัยแห่งการอธิษฐานจีวรนั้น ท่านกล่าวไว้ว่าการอธิษฐานจีวร มี ๒ อย่าง คืออธิษฐานด้วยกายอย่างหนึ่งอธิษฐานด้วยวาจาอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ภิกษุพึงถอนสังฆาฏิผืนเก่าว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ (เราถอนสังฆาฏิผืนนี้) แล้วเอามือจับสังฆาฏิใหม่ หรือพาดบนส่วนแห่งร่างกาย กระทำการผูกใจว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺฐามิ (เราอธิษฐานสังฆาฏินี้) แล้วพึงทำกายวิการ อธิษฐานด้วยกาย นี้ชื่อว่า การอธิษฐานด้วยกาย.
                เมื่อไม่ถูกต้องจีวรนั้นด้วยส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง การอธิษฐานนั้น ไม่ควร.ส่วนในการอธิษฐานด้วยวาจา พึงเปล่งวาจาแล้วอธิษฐานด้วยวาจา. ในการอธิษฐานด้วยวาจานั้นมีการอธิษฐาน ๒ วิธี.
               ถ้าผ้าสังฆาฏิอยู่ในหัตถบาส พึงเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานสังฆาฏิผืนนี้.
               ถ้าอยู่ภายในห้อง ในปราสาทชั้นบน หรือในวัดใกล้เคียง พึงกำหนดที่เก็บสังฆาฏิไว้แล้วเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานสังฆาฏินั่น.
               ในอุตราสงค์และอันตรวาสก ก็มีนัยอย่างนี้. จริงอยู่ เพียงแต่ชื่อเท่านั้นที่แปลกกัน. เพราะฉะนั้น พึงอธิษฐานจีวรทั้งหมดโดยชื่อของตนเท่านั้น อย่างนี้ว่า สงฺฆาฏึ อุตฺตราสงฺคํ อนฺตรวาสกํ ดังนี้.
               ถ้าภิกษุกระทำจีวรมีสังฆาฏิเป็นต้นด้วยผ้าที่อธิษฐานเก็บไว้ เมื่อย้อมและกัปปะเสร็จแล้วพึงถอนว่า ข้าพเจ้าถอนผ้านี้ แล้วอธิษฐานใหม่. แต่เมื่อเย็บแผ่นผ้าใหม่ หรือขัณฑ์ใหม่เฉพาะที่ใหญ่กว่าเข้ากับจีวรที่อธิษฐานแล้ว ควรอธิษฐานใหม่. ในแผ่นผ้าที่เท่ากันหรือเล็กกว่า ไม่มีกิจด้วยการอธิษฐาน (ใหม่).
               ถามว่า ก็ไตรจีวรจะอธิษฐานเป็นบริขารโจล ควรหรือไม่ควร?
               แก้ว่า ได้ทราบว่า พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า ไตรจีวรพึงอธิษฐานเป็นไตรจีวรอย่างเดียว,
               ถ้าว่า อธิษฐานเป็นบริขารโจลได้, การบริหารที่ตรัสไว้ในอุทโทสิต สิกขาบท ก็จะพึงไร้ประโยชน์ไป. 
               ได้ยินว่า เมื่อพระมหาปทุมเถระกล่าวอย่างนี้ พวกภิกษุที่เหลือกล่าวว่า แม้บริขารโจล พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ ตรัสว่า พึงอธิษฐาน ; เพราะเหตุนั้น การอธิษฐานไตรจีวรให้เป็นบริขารโจล ย่อมสมควร.
               แม้ในมหาปัจจรี ท่านก็กล่าวว่า ชื่อว่า บริขารโจลนี้เป็นเหตุแห่งการเก็บ (จีวรโดยความไม่เป็นนิสสัคคีย์) ไว้แผนกหนึ่ง. จะอธิษฐานไตรจีวรว่า บริขารโจล แล้วใช้สอย ควรอยู่.
               ส่วนในอุทโทสิตสิกขาบทตรัสการบริหารไว้สำหรับภิกษุผู้อธิษฐานไตรจีวรแล้วบริหารอยู่.
            ได้ยินว่า แม้พระมหาติสสเถระผู้กล่าวอุภโตวิภังค์ ซึ่งอยู่ที่ปุณณวาลิการามได้กล่าวว่า ในกาลก่อน  พวกเราได้ฟังจากพระมหาเถระว่า พวกภิกษุผู้ชอบอยู่ในป่าเก็บจีวรไว้ในโพรงไม้ เป็นต้น ไปเพื่อต้องการจะเริ่มบำเพ็ญเพียร, และเมื่อภิกษุเหล่านั้นไปเพื่อประสงค์จะฟังธรรมในวัดใกล้เคียง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกสามเณรหรือพวกภิกษุหนุ่มจึงถือบาตรจีวรมา (ให้) เพราะฉะนั้น การจะอธิษฐานไตรจีวรเป็นบริขารโจล เพื่อใช้สอยสะดวก ควรอยู่.
               แม้ในมหาปัจจรีท่านก็กล่าวว่า ในกาลก่อน พวกภิกษุผู้อยู่ป่าได้อธิษฐานไตรจีวรเป็นบริขารโจลนั่นแล แล้วใช้สอย ด้วยใส่ใจว่า ในแดนที่ไม่ผูกสีมารักษาได้ยาก.
              วัสสิกสาฎกที่ไม่เกินประมาณ อันภิกษุพึงระบุชื่อแล้วอธิษฐานสิ้น ๔ เดือนฤดูฝนโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล, ต่อจากนั้นพึงถอนวิกัปไว้. ก็วัสสิกสาฎกนี้ แม้ย้อมพอทำให้เสียสี ก็ควร. แต่สองผืนไม่ควร.
               ผ้านิสีทนะพึงอธิษฐานโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ก็แลผ้านิสีทนะนั้นได้ประมาณมีได้เพียงผืนเดียวเท่านั้น สองผืนไม่ควร. แม้ผ้าปูนอนก็ควรอธิษฐานเหมือนกัน.
               ก็ผ้าปูนอนนั้น ถึงใหญ่ก็ควร แม้ผืนเดียวก็ควร แม้มากผืนก็ควร. มีลักษณะเป็นต้นว่า สีเขียวก็ดี สีเหลืองก็ดี มีชายก็ดี มีชายเป็นลายดอกไม้ก็ดี ย่อมควรทุกประการ.
               ภิกษุอธิษฐานคราวเดียว ย่อมเป็นอันอธิษฐานแล้วทีเดียว.  ผ้าปิดฝีได้ประมาณพึงอธิษฐานชั่วเวลาที่ยังมีอาพาธอยู่, เมื่ออาพาธหายแล้ว พึงปัจจุทธรณ์วิกัปไว้. ผืนเดียวเท่านั้น จึงควร.
               ผ้าเช็ดหน้าพึงอธิษฐานเหมือนกัน. ภิกษุจำต้องปรารถนาผืนอื่นเพื่อต้องการใช้เวลาที่ยังซักอีกผืนหนึ่งอยู่, เพราะฉะนั้น สองผืนก็ควร.
               แต่พระเถระอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า การอธิษฐานผ้าเช็ดหน้านั้น มุ่งการเก็บไว้เป็นสำคัญ แม้มากผืนก็ควร.
               ในบริขารโจล ชื่อว่าการนับจำนวนไม่มี, พึงอธิษฐานได้เท่าจำนวนที่ต้องการนั่นเทียว. ถุงย่ามก็ดี ผ้ากรองน้ำก็ดี มีประมาณเท่าจีวรที่ควรวิกัปเป็นอย่างต่ำ พึงอธิษฐานว่า บริขารโจล เหมือนกัน.
                แม้จะรวมจีวรมากผืนเข้าด้วยกันแล้วอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานจีวรเหล่านี้เป็นบริขารโจล ดังนี้ ก็สมควรเหมือนกัน.
                แม้ภิกษุจะเก็บไว้เพื่อประโยชน์แก่เภสัช นวกรรมและมารดาบิดาเป็นต้น ก็จำต้องอธิษฐานแท้.
               แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า ไม่เป็นอาบัติ.
               ส่วนในเสนาสนบริขารเหล่านี้ คือ ฟูกเตียง ๑ ฟูกตั่ง ๑ หมอน ๑ ผ้าปาวาร ๑ ผ้าโกเชาว์ ๑ และในเครื่องปูลาดที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนบริขาร ไม่มีกิจที่ต้องอธิษฐานเลย.
[ว่าด้วยเหตุให้ขาดอธิษฐาน]
               ถามว่า ก็จีวรที่อธิษฐานแล้ว เมื่อภิกษุใช้สอยอยู่ จะละอธิษฐานไปด้วยเหตุอย่างไร?
               ตอบว่า ย่อมละด้วยเหตุ ๙ อย่างนี้ คือ ด้วยให้บุคคลอื่น ๑ ด้วยถูกชิงเอาไป ๑ ด้วยถือเอาโดยวิสาสะ ๑ ด้วยหันไปเป็นคนเลว ๑ ด้วยลาสิกขา ๑ ด้วยกาลกิริยา ๑ ด้วยเพศกลับ ๑ ด้วยถอนอธิษฐาน ๑ ด้วยความเป็นช่องทะลุ ๑.
               บรรดาเหตุ ๙ อย่างนั้น จีวรทุกชนิดย่อมละอธิษฐานด้วยเหตุ ๘ อย่างข้างต้น. แต่เฉพาะไตรจีวรละอธิษฐานด้วยความเป็นช่องทะลุ ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทุกแห่ง. และการละอธิษฐานนั้น ท่านกล่าวไว้ด้วยช่องทะลุประมาณเท่าหลังเล็บ. 
               ในช่องทะลุประมาณเท่าหลังเล็บนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบขนาดเท่าหลังเล็บ ด้วยสามารถแห่งเล็บนิ้วก้อย. และช่องทะลุ เป็นช่องโหว่ทีเดียว. ก็ถ้าแม้นว่า ภายในช่องทะลุมีเส้นด้ายเส้นหนึ่งยังไม่ขาด, ก็ยังรักษาอยู่.
           บรรดาไตรจีวรนั้น สำหรับสังฆาฏิและอุตราสงค์ ช่องทะลุจากด้านในแห่งเนื้อที่มีประมาณเพียง ๑ คืบจากชายด้านยาว, มีประมาณ ๘ นิ้วจากชายด้านกว้าง ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน. แต่สำหรับอันตรวาสกช่องทะลุจากด้านในแห่งเนื้อที่ มีประมาณเพียง ๑ คืบจากชายด้านยาว, มีประมาณ ๔ นิ้ว จากชายด้านกว้าง ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน. ช่องทะลุเล็กลงมา ไม่ทำให้ขาดอธิษฐาน. เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดเป็นช่องทะลุ จีวรนั้นย่อมตั้งอยู่ในฐานแห่งอติเรกจีวร, ควรกระทำสูจิกรรมแล้วอธิษฐานใหม่.
               แต่พระมหาสุมเถระกล่าวว่าสำหรับจีวรที่ได้ประมาณ มีช่องทะลุที่ใดที่หนึ่ง ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน, แต่สำหรับจีวรที่ใหญ่ ช่องทะลุภายนอกจากประมาณ ยังไม่ทำให้ขาดอธิษฐาน, ช่องทะลุที่เกิดข้างในจึงทำให้ขาด ดังนี้.
        พระกรวิยติสสเถระกล่าวว่า จีวรเล็ก ใหญ่ ไม่เป็นประมาณ, ช่องทะลุในที่ซึ่งภิกษุเมื่อครองจีวรซ้อนกัน ๒ ตัวม้วนมาพาดไว้บนแขนซ้าย ยังไม่ทำให้ขาดอธิษฐาน, ช่องทะลุส่วนภายในย่อมทำให้ขาด, แม้สำหรับอันตรวาสก ช่องทะลุในที่แห่งจีวรที่ภิกษุม้วนให้เป็นลูกบวบ ย่อมไม่ทำให้ขาด, ช่องทะลุที่ต่ำลงจากที่ม้วนให้เป็นลูกบวบนั้น ย่อมทำให้ขาด.  วิมติ : เทฺว จีวรานิ ปารุปนฺตสฺสาติ คามปฺปเวเส ทฺวิคุณํ กตฺวา สงฺฆาฏิโย ปารุปนํ สนฺธาย วุตฺตํ. แม้สารัตถทีปนี ๓/๑๔๖ ก็แก้คล้ายกันนี้.
               แต่ในอรรถกถาอันธกะ ท่านทำวาทะของพระมหาสุมเถระให้เป็นหลักในไตรจีวรแล้วกล่าวว่า จีวรประมาณอย่างต่ำ ย่อมรักษาอธิษฐานไว้ได้ จึงกล่าวคำแม้นี้เพิ่มเติมไว้ว่า ในบริขารโจล ด้านยาว ๙ นิ้วโดยนิ้วสุคต ด้านกว้าง ๔ นิ้ว เป็นช่องทะลุ ณ ที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ย่อมละอธิษฐานไป, ในบริขารโจลผืนใหญ่ช่องทะลุที่ต่ำกว่า ๘ นิ้วและ ๔ นิ้วนั้น ยังไม่ละอธิษฐาน, ในจีวรที่ควรอธิษฐานทั้งหมดก็นัยนี้ ดังนี้.
               บรรดาวาทะทั้ง ๔ นั้น เพราะขึ้นชื่อว่า ประมาณอย่างเล็กอื่นๆ ที่ต่ำกว่าประมาณอย่างเล็ก แห่งจีวรที่ควรวิกัป ของจีวรที่จะพึงอธิษฐานแม้ทั้งหมด ย่อมไม่มี. ด้วยว่า ประมาณแห่งผ้านิสีทนะ ผ้าปิดแผลและผ้าอาบน้ำฝนที่ท่านกล่าวไว้นั้น เป็นประมาณอย่างใหญ่ เพราะประมาณที่ยิ่งกว่าประมาณอย่างใหญ่นั้น สำเร็จแล้ว (ใช้ได้), 
               หาใช่ประมาณอย่างเล็กไม่ เพราะประมาณอย่างเล็กลงมาจากประมาณอย่างใหญ่นั้น ไม่สำเร็จ (ใช้ไม่ได้). 
               แม้ไตรจีวรที่หย่อนกว่าประมาณแห่งสุคตจีวร จัดเป็นประมาณอย่างใหญ่เหมือนกัน. แต่ประมาณอย่างเล็กที่ท่านแยกกล่าวไว้ต่างหากในพระสูตรไม่มี.
               การกำหนดขนาดใหญ่แห่งผ้าเช็ดหน้า ผ้าปูนอนและผ้าบริขารโจล ไม่มีเหมือนกัน. แต่ท่านกล่าวกำหนดไว้ด้วยประมาณอย่างเล็กขนาดจีวรที่ควรวิกัป. เพราะฉะนั้น คำใดที่ท่านกล่าวไว้ก่อน ในอรรถกถาอันธกะว่าประมาณอย่างเล็กย่อมรักษาการอธิษฐานไว้ได้ แล้วแสดงประมาณอย่างเล็ก ๘ นิ้ว และ ๔ นิ้ว โดยนิ้วสุคตแห่งบริขารโจลเท่านั้น
               ในบรรดาไตรจีวรและบริขารโจลเป็นต้นนั้นแล้วและหมายเอาประมาณอย่างเล็กแห่งไตรจีวรเป็นต้นนอกนี้ ซึ่งมีชนิด ๕ ศอกกำเป็นต้น จึงกล่าวว่า ในจีวรที่ควรอธิษฐานทั้งหมด ก็นัยนี้, คำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาอันธกะนั้น ย่อมไม่สมกัน. แม้ในวาทะของพระกรวิยติสสเถระ ท่านก็แสดงช่องทะลุจากชายด้านยาวเท่านั้น จากชายด้านกว้างท่านมิได้แสดงไว้ เพราะฉะนั้น วาทะของพระกรวิยติสสเถระนั้น ก็ไม่ได้กำหนดไว้.
               ในวาทะของพระมหาสุมเถระท่านกล่าวไว้ว่า ช่องทะลุในที่แห่งใดแห่งหนึ่งแห่งจีวรที่ได้ประมาณ ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน, ช่องทะลุภายนอกจากประมาณ แห่งจีวรขนาดใหญ่ ย่อมไม่ทำให้ขาดอธิษฐาน. 
               แต่ท่านก็ไม่ได้กล่าวคำนี้ว่า จีวรชื่อนี้ จัดเป็นจีวรที่ได้ประมาณ, ที่โตกว่าจีวรที่ได้ประมาณนี้ จัดเป็นจีวรใหญ่.
               อีกอย่างหนึ่ง ในวิสัยแห่งไตรจีวรเป็นต้นนี้ อาจารย์ทั้งหลายประสงค์เอาคำว่า ขนาดที่ต่างกันมี ๕ ศอกกำเป็นอาทิ เป็นประมาณอย่างเล็กแห่งไตรจีวรเป็นต้น,
        ถ้าในจีวรใหญ่นั้น ช่องทะลุในภายนอกจากประมาณอย่างเล็กไม่พึงทำให้ขาดอธิษฐานไซร้, ช่องทะลุในภายนอกจากประมาณอย่างเล็กแม้แห่งบาตรขนาดใหญ่ หรือแห่งบาตรขนาดกลาง ก็ไม่พึงทำให้ขาดอธิษฐาน, แต่ (ช่องทะลุในภายนอกจากประมาณอย่างเล็ก) จะไม่ทำให้ขาดอธิษฐาน หามิได้ เพราะฉะนั้น วาทะแม้นี้ก็ไม่ได้กำหนดขนาดไว้.
              แต่อรรถกถาวาทะแรกทั้งหมดนี้ เป็นประมาณ ในอธิการวินิจฉัยไตรจีวรเป็นต้นนี้.
              เพราะเหตุไร? เพราะมีกำหนด. จริงอยู่ ประมาณอย่างเล็กแห่งไตรจีวร ประมาณช่องทะลุ และประมาณแห่งส่วนที่เป็น่ช่องทะลุ ท่านกำหนดกล่าวไว้แล้วในทุกอรรถกถาเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น วาทะนั้นนั่นแลเป็นประมาณ. ด้วยว่า อรรถกถาวาทะนั้น ท่านกล่าวคล้อยตามพระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแน่แท้. ส่วนใน ๓ วาทะนอกนี้ ไม่มีกำหนดเลย.
               คำหน้ากับคำหลังไม่สมกันฉะนี้แล.
               ก็ภิกษุใดดามผ้าปะลงในที่ชำรุดก่อนแล้ว เลาะที่ชำรุดออกในภายหลัง, การอธิษฐานของภิกษุนั้นยังไม่ขาดไป.
               แม้ในการเปลี่ยนแปลงกระทง (จีวร) ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. สำหรับจีวร ๒ ชั้น เมื่อชั้นหนึ่งเกิดเป็นช่องทะลุ หรือครากไป อธิษฐานยังไม่ขาด. ภิกษุกระทำจีวรผืนเล็กให้เป็นผืนใหญ่ หรือกระทำผืนใหญ่ให้เป็นผืนเล็ก, อธิษฐานยังไม่ขาด. เมื่อจะต่อริมสองข้างเข้าที่ตรงกลาง ถ้าว่า ตัดออกก่อนแล้ว ภายหลังเย็บติดกัน อธิษฐานย่อมขาด.
               ถ้าเย็บต่อกันแล้วภายหลังจึงตัด ยังไม่ขาดอธิษฐาน. แม้เมื่อใช้พวกช่างย้อมซักให้เป็นผ้าขาว อธิษฐานก็ยังคงเป็นอธิษฐานอยู่ทีเดียวแล.
               วินิจฉัยในการอธิษฐาน ในคำว่า อนฺโตทสาหํ อธิฏฺเฐติ วิกปฺเปติ นี้ เท่านี้ก่อน.
[อธิบายการวิกัปจีวร]
               ส่วนในการวิกัปมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               วิกัปมี ๒ อย่าง คือ วิกัปต่อหน้า ๑ วิกัปลับหลัง ๑.
               ถามว่า วิกัปต่อหน้า เป็นอย่างไร?
              แก้ว่า ภิกษุพึงทราบว่า จีวรผืนเดียวหรือมากผืน และว่า จีวรวางไว้ใกล้หรือมิได้วางไว้ใกล้ (อยู่ในหัตถบาสหรือนอกหัตถบาส) แล้วกล่าวว่า อิมํ จีวรํ จีวรผืนนี้ บ้าง ว่า อิมานิ จีวรานิ จีวรเหล่านี้บ้าง ว่า เอตํ จีวรํ จีวรนั่น บ้าง ว่า เอตานิ จีวรานิ จีวรเหล่านั่นบ้าง แล้วพึงกล่าวว่า ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ ข้าพเจ้าวิกัปแก่ท่าน ดังนี้. วิกัปต่อหน้านี้ มีอยู่อย่างเดียว. ด้วยการวิกัปเพียงเท่านี้ จะเก็บไว้สมควรอยู่. จะใช้สอย หรือจะสละ หรือจะอธิษฐาน ไม่ควร.
               แต่เมื่อภิกษุนั้น (ภิกษุผู้รับวิกัป) กล่าวคำว่า มยฺหํ สนฺตกํ สนฺตกานิ ปริภุญฺช วา วิสฺสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ แปลว่า จีวรนี้หรือจีวรเหล่านี้ เป็นของข้าพเจ้า ท่านจงใช้สอย จงจำหน่าย จงกระทำตามสมควรแก่ปัจจัยเถิด ดังนี้ ชื่อว่า ปัจจุทธรณ์ (ถอนวิกัป), จำเดิมแต่นั้น แม้การบริโภคเป็นต้น ย่อมสมควร.
             อีกนัยหนึ่ง ภิกษุพึงรู้ว่า จีวรผืนเดียวหรือมากผืน และว่าวางไว้ใกล้ หรือมิได้วางไว้ใกล้ อย่างนั้นนั่นแล แล้วกล่าวว่า อิมํ จีวรํ หรือว่า อิมานิ จีวรานิ ดังนี้ ว่า เอตํ จีวรํ หรือว่า เอตานิ จีวรานิ ดังนี้ ในสำนักของภิกษุนั้นนั่นแล ระบุชื่อสหธรรมิก ๕ รูปใดรูปหนึ่ง คือผู้ใดผู้หนึ่ง ที่ตนชอบใจแล้ว พึงกล่าวว่า ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกปฺเปมิ ข้าพเจ้าวิกัป... แก่ภิกษุติสสะ หรือว่า ติสฺสาย ภิกฺขุนิยา, ติสฺสาย สิกฺขมานาย, ติสฺสสฺส สามเณรสฺส, ติสฺสาย สามเณริยา วิกปฺเปมิ ข้าพเจ้าวิกัป... แก่ติสสาภิกษุณี, แก่ติสสาสิกขมานา, แก่ติสสสามเณร, แก่ติสสาสามเณรี ดังนี้. นี้เป็นวิกัปต่อหน้า อีกอย่างหนึ่ง. ด้วยการวิกัปเพียงเท่านี้ จะเก็บไว้สมควรอยู่. แต่ในการใช้สอยเป็นต้น กิจแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่ควร.
               แต่เมื่อภิกษุนั้นกล่าวคำว่า จีวรนี้ของภิกษุชื่อติสสะ ฯลฯ ของสามเณรีชื่อติสสา ท่านจงบริโภคก็ตาม จงจำหน่ายก็ตาม จงกระทำตามสมควรแก่ปัจจัยก็ตาม ดังนี้ ชื่อว่าเป็นอันถอน, 
               จำเดิมแต่นั้นแม้การใช้สอยเป็นต้น ก็สมควร.
               ถามว่า การวิกัปลับหลัง เป็นอย่างไร?
               แก้ว่า ภิกษุพึงทราบว่า จีวรผืนเดียวหรือมากผืน และจีวรวางไว้ใกล้ หรือมิได้วางไว้ใกล้ เหมือนอย่างนั้นแล้ว กล่าวว่า อิมํ จีวรํ ซึ่งจีวรนี้
               หรือว่า อิมานิ จีวรานิ ซึ่งจีวรทั้งหลายนี้ ว่า เอตํ จีวรํ ซึ่งจีวรนั่น
               หรือว่า เอตานิ จีวรานิ ซึ่งจีวรทั้งหลายนั่น ดังนี้ แล้วกล่าวว่า ตุยฺหํ วิกปฺปนตฺถาย ทมฺมิ ข้าพเจ้าให้แก่ท่าน เพื่อประโยชน์แก่การวิกัป.
               ภิกษุผู้วิกัปอันภิกษุผู้รับวิกัปนั้น พึงกล่าวว่า ใครเป็นมิตรหรือเป็นเพื่อนเห็น หรือเป็นเพื่อนคบกันของท่าน.
               ลำดับนั้น ภิกษุผู้วิกัปนอกนี้พึงกล่าวว่า ภิกษุชื่อติสสะ หรือว่า ฯลฯ สามเณรีชื่อติสสาโดยนัยก่อนนั่นแล.
               ภิกษุนั้นพึงกล่าวอีกว่า อหํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน ทมฺมิ ข้าพเจ้าให้แก่ภิกษุชื่อติสสะ ฯลฯ หรือว่า อหํ ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺมิ ข้าพเจ้าให้แก่สามเณรีชื่อติสสา ดังนี้. อย่างนี้ ชื่อว่าวิกัปลับหลัง. ด้วยการวิกัปเพียงเท่านี้ การเก็บไว้ สมควรอยู่. ส่วนในการใช้สอยเป็นต้น กิจแม้อย่างเดียว ก็ไม่สมควร.
               แต่เมื่อภิกษุนั้นกล่าวคำว่า อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ (จีวร) ของภิกษุชื่อนี้ ท่านจงใช้สอยก็ได้ จงจำหน่ายก็ได้ จงกระทำตามสมควรแก่ปัจจัยก็ได้ โดยนัยดังกล่าวแล้วในวิกัปต่อหน้าอย่างที่สองนั่นแล, ชื่อว่าเป็นอันถอน. จำเดิมแต่ถอนแล้วนั้น แม้กิจทั้งหลายมีการใช้สอยเป็นต้น ย่อมควร.
               ถามว่า การวิกัปทั้ง ๒ อย่าง ต่างกันอย่างไร?
               ตอบว่า ในการวิกัปต่อหน้า ภิกษุวิกัปเองแล้วให้ผู้อื่นถอนได้, ในวิกัปลับหลัง ภิกษุให้คนอื่นวิกัปแล้วให้คนอื่นนั่นเองถอน, นี้เป็นความต่างกัน ในเรื่องวิกัปทั้ง ๒ นี้.
               ก็ถ้าวิกัปแก่ผู้ใด ผู้นั้นไม่ฉลาดในพระบัญญัติ ไม่รู้จะถอน, พึงถือจีวรนั้นไปยังสำนักสหธรรมิกอื่นผู้ฉลาด วิกัปใหม่แล้วพึงให้ถอน. นี้ชื่อว่า การวิกัปบริขารที่วิกัปแล้ว ควรอยู่.
               ในบทว่า วิกปฺเปติ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               ก็คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยไม่แปลกกันว่า วิกปฺเปติ นี้ ดูเหมือนจะผิด จากพระบาลีเป็นต้นว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ติจีวรํอธิฏฺาตุํ นวิกปฺเปตุํ
              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อธิษฐานไตรจีวร ไม่ใช่ให้วิกัป ดังนี้, แต่พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ตรัสคำที่ผิด
               เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความแห่งคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ติจีวรํ เป็นต้นนั้น โดยนัยอย่างนี้ว่า เราอนุญาตให้อธิษฐานสำหรับภิกษุผู้บริหารไตรจีวร โดยสังเขปว่าไตรจีวรเท่านั้น ไม่ใช่ให้วิกัป.
      แต่ผ้าอาบน้ำฝน อนุญาตให้วิกัปอย่างเดียว ถัดจาก ๔ เดือน (ฤดูฝน) ไม่ใช่อธิษฐาน, และเมื่อมีอรรถอย่างนี้ ภิกษุรูปใดใคร่จะอยู่ปราศจากไตรจีวร ผืนใดผืนหนึ่ง, เป็นอันทรงประทานโอกาสแก่ภิกษุนั้น เพื่อถอนจีวรอธิษฐานแล้ววิกัป เพื่อสะดวกในการอยู่ปราศ (ไตรจีวร) ไม่เป็นอาบัติ ในเมื่อล่วง ๑๐ วัน. โดยอุบายนี้ บัณฑิตพึงทราบความที่วิกัปไม่สำเร็จในจีวรเป็นต้นทั้งหมดฉะนี้แล.
               บทว่า วิสฺสชฺเชติ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุให้จีวรแก่ผู้อื่น, ก็อย่างไรเป็นอันให้แล้ว และอย่างไร เป็นอันถือเอาแล้ว? 
               ภิกษุผู้สละให้กล่าวว่า อิทํ ตุยฺหํ เทมิ ททามิ ทชฺชามิ โอโณเชมิ ปริจฺจชามิ วสฺสชฺชามิ ข้าพเจ้าให้ ยกให้ มอบให้ น้อมให้ สละให้ จำหน่ายจีวรผืนนี้แก่ท่าน หรือว่า อิตฺถนฺนามสฺส เทมิ ฯเปฯ นิสฺสชฺชามิ ข้าพเจ้าให้ ฯลฯ สละให้แก่ท่านผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ เป็นอันให้ทั้งต่อหน้าทั้งลับหลังแล้วทีเดียว ; เมื่อผู้สละให้กล่าวว่า ตุยฺหํ คณฺหาหิ ท่านจงถือเอาของท่าน ดังนี้,
               ภิกษุผู้รับกล่าวว่า มยฺหํ คณฺหามิ ข้าพเจ้าถือเอาของข้าพเจ้า เป็นอันให้ถูกและถือเอาถูก, เมื่อผู้สละให้กล่าวว่า ตว สนฺตกํ กโรหิ ตว สนฺตกํ โหตุ ตว สนฺตกํ กริสฺสสิ ท่านจงทำให้เป็นของท่าน จงเป็นของท่าน ท่านจักกระทำให้เป็นของท่าน ดังนี้.
               ภิกษุผู้รับกล่าวว่า มม สนฺตกํ กโรมิ ข้าพเจ้าจะทำให้เป็นของข้าพเจ้า มม สนฺตกํ โหตุ จงเป็นของข้าพเจ้า มม สนฺตกํ กริสฺสามิ ข้าพเจ้าจักกระทำให้เป็นของข้าพเจ้า ดังนี้, เป็นอันให้ไม่ถูกและเป็นอันถือเอาไม่ถูก.
               ภิกษุผู้สละให้ ไม่รู้เพื่อจะให้ (ไม่รู้วิธีเสียสละให้) เลย, ฝ่ายผู้รับก็ไม่รู้เพื่อจะรับ (ไม่รู้วิธีรับ).
               ก็ถ้าเมื่อภิกษุผู้เสียสละให้กล่าวว่า ขอท่านจงทำให้เป็นของท่านเสีย ภิกษุผู้รับกล่าวว่า ดีละ ขอรับ! ผมจะรับเอาแล้วถือเอา, เป็นอันให้ไม่ถูกต้อง แต่เป็นอันรับเอาถูกต้อง. ก็ถ้ารูปหนึ่งกล่าวว่า ท่านจะถือเอาเสีย, อีกรูปหนึ่ง (คือผู้รับ) กล่าวว่า ผมจะไม่ถือเอา, ผู้เสียสละให้นั้นกล่าวอีกว่า ท่านจงถือเอาของที่ผมให้แล้วเพื่อท่าน,
               ฝ่ายภิกษุนอกนี้กล่าวว่า ผมไม่มีความต้องการด้วยของสิ่งนี้, หลังจากนั้นแม้รูปก่อนก็ให้ล่วง ๑๐ วันไปด้วยเข้าใจว่า เราให้แล้ว, ฝ่ายรูปหลังก็ให้ล่วง ๑๐ วัน ไปด้วยเข้าใจว่า เราได้ปฏิเสธไปแล้ว เป็นอาบัติแก่ใคร ไม่เป็นอาบัติแก่ใคร? ไม่เป็นอาบัติแก่ใคร, ก็ท่านรูปใดชอบใจ, ท่านรูปนั้นพึงอธิษฐานใช้สอยเถิด.
               ฝ่ายภิกษุผู้ที่มีความสงสัยในการอธิษฐาน จะพึงทำอย่างไร? 
  พึงบอกความเป็นผู้สงสัยแล้วกล่าวว่า ถ้าจีวรจักไม่ได้อธิษฐาน เมื่อเป็นอย่างนั้น จีวรเป็นของควรแก่ข้าพเจ้า แล้วพึงเสียสละโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. เพราะว่าเมื่อภิกษุให้รู้อย่างนี้แล้วทำวินัยกรรมไม่เป็นมุสาวาท. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า จีวรนั้น ภิกษุรูปหนึ่งถือเอาเป็นวิสาสะแล้วคืนให้ ก็ควร. คำของอาจารย์บางพวกนั้นไม่ชอบ. เพราะนั่น ไม่ใช่วินัยกรรมของภิกษุผู้มีความสงสัยนั้น. ทั้งผ้านั้น ก็ไม่เป็นวัตถุอื่น ด้วยเหตุสักว่าถือเอาแล้วให้คืนนี้.
               คำว่า นสฺสติ เป็นต้น มีอรรถตื้นทั้งนั้นแล.
               ในคำว่า โย น ทเทยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ไม่คืนให้ ด้วยความสำคัญนี้ว่า ภิกษุนี้ให้แล้วแก่เรา. แต่ภิกษุผู้รู้ว่าเป็นของภิกษุนั้นแล้วชิงเอาด้วยเลศ พระวินัยธรพึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติ ฉะนี้แล.
               ในสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้ ชื่อว่ากฐินสมุฏฐาน ย่อมเกิดทางกายกับวาจา และทางกายวาจากับจิต เป็นอกิริยา เพราะต้องด้วยการไม่อธิษฐานและไม่วิกัป เป็นโนสัญญาวิโมกข์ เพราะไม่พ้นด้วยสัญญา แม้ไม่รู้ก็ต้อง เป็นอจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
               พรรณนาปฐมกฐินสิกขาบท ในอรรถกถาพระวินัย               
               ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.