
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๙
พรรณนารูปิยสัพโยหารสิกขาบท
รูปิยสัพโยหารสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :- ในรูปิยสัพโยหารสิกขาบท๑- นั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- บท ว่า นานปฺปการกํ ได้แก่ มีประการมิใช่น้อย ด้วยอำนาจรูปิยะที่
ทำ (เป็นรูปภัณฑ์) และมิได้ทำ (เป็นรูปภัณฑ์) เป็นต้น. บท ว่า รูปิยสพฺโยหารํ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนด้วยทองและเงิน.
บท ว่า สมาปชฺชนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์มองไม่เห็นโทษในการแลกเปลี่ยนด้วยทองและเงิน
ที่ตนรับไว้แล้ว เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการรับอย่างเดียว จึงกระทำ (การแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะ).
๑- บาลีและโยชนาเป็น รูปิยสังโวหารสิกขาบท.
ในคำว่า สีสูปคํ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
ทองเงินรูปภัณฑ์ ที่ชื่อว่าสีสูปคะ เพราะอรรถว่า ประดับศีรษะ.
ก็ในคัมภีร์ทั้งหลายเขียนไว้ว่า สีสูปกํ ก็มี. คำว่า สีสูปกํ นี้เป็นชื่อของ เครื่องประดับศีรษะชนิดใดชนิดหนึ่ง. ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
ในบท ว่า กเตน กตํ เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบการซื้อขายด้วยรูปิยะล้วนๆ เท่านั้น.
ข้าพเจ้าจักกล่าววินิจฉัยในบทว่า รูปิเย รูปิยสญฺญี เป็นต้นต่อไป :-
บรรดาวัตถุที่กล่าวแล้วในสิกขาบทก่อน เมื่อภิกษุซื้อขายนิสสัคคิยวัตถุด้วยนิสสัคคิยวัตถุ,
เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับมูลค่า, ในเพราะการซื้อขายของอื่นๆ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้แล.
แม้เมื่อซื้อขายทุกกฏวัตถุ หรือกัปปิยวัตถุด้วยนิสสัคคิยวัตถุ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
[ว่าด้วยการซื้อขายรูปิยะด้วยรูปิยะเป็นต้น]
จริงอยู่ ผู้ศึกษาพึงทราบติกะว่า ภิกษุมีความสำคัญในรูปิยะว่าเป็นรูปิยะ ซื้อขายสิ่งที่มิใช่อรูปิยะเป็นต้น นี้
เป็นอีกติกะหนึ่ง ซึ่งแม้มิได้ตรัสไว้ เพราะอนุโลมแก่ติกะที่สองที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่มิใช่รูปิยะว่าเป็น
รูปิยะ ซื้อขายรูปิยะ เป็นต้นนี้. แท้จริง ภิกษุซื้อขายรูปิยะของผู้อื่นด้วยสิ่งมิใช่รูปิยะของตนก็ดี ซื้อขาย
สิ่งที่มิใช่รูปิยะของผู้อื่นด้วยรูปิยะของตนก็ดี แม้โดยการซื้อขายทั้งสองประการ ก็จัดเป็นทำการซื้อขายด้วย
รูปิยะเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ในบาลีจึงตรัสไว้ติกะเดียวเท่านั้น ในฝ่ายรูปิยะข้างเดียวฉะนี้แล.
ก็เมื่อภิกษุซื้อขายวัตถุแห่งนิสสัคคีย์ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏ เป็นทุกกฏด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับ
มูลค่า. เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้ ในเพราะแลกเปลี่ยนในภายหลัง เพราะซื้อขายของหนัก. เมื่อซื้อขาย
ทุกกฏวัตถุนั่นแหละหรือกัปปิยวัตถุ ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏ เป็นทุกกฏด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับมูลค่า. เป็น
ทุกกฏเช่นกันด้วยสิกขาบทนี้ แม้ในเพราะแลกเปลี่ยนภายหลัง. เพราะเหตุไร? เพราะซื้อขายด้วยอกัปปิยวัตถุ.
ส่วนในอรรถกถาอันธกะ ท่านกล่าวว่า ถ้าภิกษุถึงการซื้อขายเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ คำนั้น ท่านกล่าวไว้
ไม่ชอบ. เพราะเหตุไร? เพราะชื่อว่าการซื้อขาย นอกจากการให้และการรับ ไม่มี. และกยวิกกยสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาการแลกเปลี่ยนกัปปิยวัตถุด้วยกัปปิย วัตถุเท่านั้น. ก็แลการแลกเปลี่ยนนั้นนอกจากพวกสหธรรมิก.
สิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาการซื้อขายรูปิยะ และสิ่งมิใช่รูปิยะด้วยรูปิยะ และการซื้อ
ขายรูปิยะด้วยสิ่งมิใช่รูปิยะ, ส่วนการซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏด้วยวัตถุแห่งทุกกฏ มิได้ตรัสไว้ในบาลีในสิกขาบทนี้
(และ) มิได้ตรัสไว้ในบาลีในกยวิกกยสิกขาบทนั้นเลย. ก็ในการซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏ ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏนี้
ไม่ควรจะ (เป็นอนาบัติ). เพราะฉะนั้น พวกอาจารย์ผู้รู้พระประสงค์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคำว่า
ในเพราะรับวัตถุแห่งทุกกฏ เป็นทุกกฏ ฉันใด, แม้ในเพราะซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏนั้น ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏนั้น
นั่นแล เป็นทุกกฏ ก็ชอบแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน. อนึ่ง เมื่อภิกษุซื้อขายวัตถุนิสสัคคีย์ ด้วยกัปปิยวัตถุ
เป็นอนาบัติด้วยสิกขาบทก่อนในเพราะการรับมูลค่า, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้ ในเพราะแลกเปลี่ยน
ภายหลัง. สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งมิใช่รูปิยะว่าไม่ใช่รูปิยะ
ซื้อขายรูปิยะ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เมื่อภิกษุซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏด้วยกัปปิยวัตถุนั้นนั่นแหละ ไม่เป็น
อาบัติ เหมือนอย่างนั้น ในเพราะการรับมูลค่า, เป็นทุกกฏด้วยสิกขาบทนี้ ในเพราะการแลกเปลี่ยนภายหลัง. เพราะเหตุไร? เพราะซื้อขายสิ่งเป็นอกัปปิยะ.
อนึ่ง เมื่อภิกษุแลกเปลี่ยนกัปปิยวัตถุด้วยกัปปิยวัตถุ นอกจากพวกสหธรรมิก ไม่เป็นอาบัติ
ด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับมูลค่า. เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยกยวิกกยสิกขาบทข้างหน้า เพราะการแลก
เปลี่ยนภายหลัง. เมื่อภิกษุถือเอาพ้นการซื้อขายไป ไม่เป็นอาบัติ แม้โดย
สิกขาบทข้างหน้า. (แต่) เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ประกอบการหาผลกำไร.
[อธิบายปัตตจตุกกะเป็นอุทาหรณ์]
อนึ่ง ผู้ศึกษาพึงทราบปัตตจตุกกะนี้ อันแสดงถึงความที่ รูปิยสัพโยหารสิกขาบทนี้หนัก.
ความพิสดารว่า ภิกษุใดรับเอารูปิยะ แล้วจ้างให้ขุดแร่เหล็กขึ้นด้วยรูปิยะนั้น, ให้ช่างเหล็กถลุงแร่เหล็กนั้น แล้ว
ให้ทำบาตรด้วยโลหะนั้น. บาตรนี้ชื่อว่าเป็นมหาอกัปปิยะ ภิกษุนั้นไม่อาจทำให้ เป็นกัปปิยะได้ด้วยอุบายไรๆ
ก็ถ้าว่า ทำลายบาตรนั้นแล้วให้ช่างทำกระถาง. แม้กระถางนั้นก็เป็นอกัปปิยะ. ให้กระทำมีด แม้ไม้สีฟันที่ตัดด้วยมีด
นั้น ก็เป็นอกัปปิยะ. ให้กระทำเบ็ด แม้ปลาที่เขาให้ตายด้วยเบ็ดนั้น ก็เป็นอกัปปิยะ. ภิกษุให้ช่างเผาตัวมีดให้ร้อน
แล้ว แช่น้ำ หรือนมสดให้ร้อน. แม้น้ำและนมสดนั้น ก็เป็นอกัปปิยะเช่นกัน. ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า ก็ภิกษุใดรับรูปิยะแล้วซื้อบาตรด้วยรูปิยะนั้น แม้บาตรนี้ของภิกษุนั้น ก็เป็น
อกัปปิยะ ไม่สมควรแม้แก่สหธรรมิกทั้ง ๕. แต่ภิกษุนั้นอาจทำบาตรนั้น ให้เป็นกัปปิยะได้. จริงอยู่ บาตรนั้นจะเป็น
กัปปิยะได้ ต่อเมื่อให้มูลค่าแก่เจ้าของมูลค่า และเมื่อให้บาตรแก่เจ้าของบาตร. ภิกษุจะให้กัปปิยภัณฑ์แล้ว
รับเอาไปใช้สอยสมควรอยู่. ฝ่ายภิกษุใดให้รับเอารูปิยะไว้แล้วไปยังตระกูลช่างเหล็กกับด้วยกัปปิยการก
เห็นบาตรแล้วพูดว่า บาตรนี้ เราชอบใจ. และกัปปิยการกให้รูปิยะนั้นแล้ว ให้ช่างเหล็กตกลง. แม้บาตรใบนี้
อันภิกษุนั้นถือเอาโดยกัปปิยโวหาร เป็นเช่นกับบาตรใบที่ ๒ นั่นเองจัดเป็นอกัปปิยะเหมือนกันเพราะภิกษุรับมูลค่า.
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่ควรแก่สหธรรมิกที่เหลือ?
แก้ว่า เพราะไม่เสียสละมูลค่า.
อนึ่ง ภิกษุใดไม่รับรูปิยะไปยังตระกูลช่างเหล็ก พร้อมกับกัปปิยการกที่ทายกส่งมาว่า ท่านจงซื้อบาตรถวายพระ
เถระ เห็นบาตรแล้ว ให้กัปปิยการกจ่ายกหาปณะว่า เธอจงรับเอากหาปณะเหล่านี้แล้ว ให้บาตรนี้ แล้วได้ถือเอาไป.
บาตรนี้ไม่ควรแก่ภิกษุรูปนี้เท่านั้น เพราะจัดการไม่ชอบ, แต่ควรแก่ภิกษุเหล่าอื่น เพราะไม่ได้รับมูลค่า.
ได้ทราบว่า อุปัชฌาย์ของพระมหาสุมเถระ มีชื่อว่าอนุรุทธเถระ. ท่านบรรจุบาตรเห็นปานนี้ของตนให้เต็ม
ด้วยเนยใสแล้ว สละแก่สงฆ์. พวกสัทธิวิหาริกแม้ของพระจุลนาคเถระผู้ทรงไตรปิฎก ก็ได้มีบาตรเช่นนั้นเหมือนกัน.
พระเถระสั่งให้บรรจุบาตรนั้นให้เต็ม ด้วยเนยใสแล้ว ให้เสียสละแก่สงฆ์ ดังนี้แล. นี้ชื่ออกัปปิยปัตตจตุกกะ.
ก็ถ้าว่า ภิกษุไม่รับรูปิยะไปสู่ตระกูลแห่งช่างเหล็ก พร้อมด้วยกัปปิยการกที่ทายกส่งมาว่า เธอจงซื้อบาตรถวาย
พระเถระ เห็นบาตรแล้วกล่าวว่า บาตรนี้เราชอบใจ หรือว่า เราจักเอาบาตรนี้, และกัปปิยการกจ่ายรูปิยะนั้นให้
แล้ว ให้ช่างเหล็กยินยอมตกลง. บาตรนี้สมควรทุกอย่าง ควรแก่การบริโภคแม้แห่งพระพุทธทั้งหลาย.
สอง บท ว่า อรูปิเย รูปิยสญฺญี ได้แก่ มีความสำคัญในทองเหลืองเป็นต้น ว่าเป็นทองคำเป็นต้น.
สอง บท ว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ถ้าภิกษุซื้อขายสิ่งที่มิใช่รูปิยะ ด้วยสิ่งที่มิใช่รูปิยะ
ซึ่งมีความสำคัญว่าเป็นรูปิยะนั้น เป็นอาบัติทุกกฏ.
ในภิกษุผู้มีความสงสัย ก็มีนัยอย่างนี้.
แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุมีความสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ แม้กระทำการซื้อขาย กับด้วยสหธรรมิก ๕ ว่า ท่านจงถือเอาสิ่งนี้แล้วให้สิ่งนี้.
คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ เป็นอจิตตกะ
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
รูปิยสัพโยหารสิกขาบทที่ ๙ จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น