Translate

06 ธันวาคม 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ เรื่องสมาทานติตถิยมีวัตรเปลือยกายเป็นต้น เรื่องจีวรยังไม่เกิดแก่ผู้จำพรรษา

Google Workspace logo
 ทำบุญ [ หัวข้อประจำขันธกะ ]
   [๑๗๓] ๑. เรื่องคนมั่งมีชาวพระนครราชคฤห์ เห็นหญิงงามเมืองในพระนครเวสาลี กลับมาพระนครราชคฤห์ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นให้พระราชาทรงทราบ
   ๒. เรื่องบุตรชายของ นางสาลวดี ซึ่งภายหลังเป็นโอรสของเจ้าชายอภัย เพราะเหตุที่ยังมีชีวิต เจ้าชายจึงประทานชื่อว่า
ชีวก
   ๓. เรื่องชีวกเดินทางไปเมืองตักกสิลา เรียนวิชาแพทย์สำเร็จเป็นหมอใหญ่ได้รักษาโรคซึ่งเป็นอยู่ถึง ๗ ปี หายด้วยการให้นัตถุ์ยา
   ๔. เรื่องรักษาโรคริดสีดวงงอกของพระเจ้าพิมพิสาร
หายด้วยการทายา
   ๕. เรื่องพระราชทานตำแหน่งแพทย์หลวงประจำพระองค์ พระสนม นางกำนัล พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
   ๖. เรื่องรักษาเศรษฐีชาวพระนครราชคฤห์ ๗. เรื่องรักษาเนื้องอกในลำไส้
   ๘. เรื่องรักษาโรคสำคัญของพระเจ้าปัชโชตหายด้วยให้เสวยพระโอสถผสมเปรียง ได้รับพระราชทานผ้าคู่สิไวยกะเป็นรางวัล
   ๙. เรื่องสรงพระกายของพระผู้มีพระภาคซึ่งหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษให้สดชื่น
   ๑๐. หมอชีวกทูลถวายพระโอสถ ๓๐ ครั้ง โดยอบก้านอุบล ๓ ก้านด้วยยา
   ๑๑. เมื่อพระตถาคตมีพระกายเป็นปกติแล้ว หมอชีวกทูลขอประทานพร
   ๑๒. ทรงรับผ้าคู่สิไวยกะ ๑๓. พระพุทธานุญาตจีวรที่คฤหัสถ์ถวาย ๑๔. เรื่องจีวรบังเกิดมากในพระนครราชคฤห์ ๑๕. เรื่องพระพุทธานุญาตผ้าปาวาร ผ้าไหม ผ้าโกเชาว์ ๑๖. เรื่องผ้ากัมพลมีราคากึ่งกาสี ๑๗. เรื่องผ้าชนิดดี ชนิดเลว ทรงสรรเสริญความสันโดษ ๑๘. เรื่องคอยและไม่คอย และก่อนและหลังและพร้อมกันทำกติกากันไว้
   ๑๙. เรื่องทายกนำจีวรกลับคืนไป ๒๐. เรื่องสมมติเรือนคลัง ๒๑. เรื่องรักษาผ้าในเรือนคลัง ๒๒. เรื่องสั่งย้ายเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง ๒๓. เรื่องจีวรบังเกิดมาก ๒๔. เรื่องแจกกันส่งเสียงโกลาหล ๒๕. เรื่องจะแบ่งกันอย่างไร ๒๖. เรื่องจะให้แบ่งกันอย่างไร ๒๗. เรื่องแลกส่วนของตน ๒๘. เรื่องให้ส่วนพิเศษ
   ๒๙. เรื่องจะให้ส่วนจีวรอย่างไร ๓๐. เรื่องย้อมจีวรด้วยโคมัย ๓๑. เรื่องย้อมด้วยน้ำเย็นและน้ำร้อน ๓๒. เรื่องน้ำย้อมล้น ๓๓. เรื่องไม่รู้ว่าน้ำย้อมสุกหรือไม่สุก ๓๔. เรื่องยกหม้อน้ำย้อมลง ๓๕. เรื่องไม่มีภาชนะย้อม ๓๖. เรื่องขยำจีวรในถาด ๓๗. เรื่องตากจีวรบนพื้นดิน ๓๘. เรื่องปลวกกัด ๓๙. เรื่องตากจีวรตรงกลาง
   ๔๐. เรื่องชายจีวรชำรุด ๔๑. เรื่องน้ำย้อมหยดออกชายเดียว ๔๒. เรื่องจีวรแข็ง ๔๓. เรื่องจีวรกระด้าง ๔๔. เรื่องใช้จีวรไม่ได้ตัด ๔๕. เรื่องตัดจีวรตามแบบคันนา ๔๖. เรื่องพระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นพวกภิกษุแบกห่อจีวร ๔๗. เรื่องพระศากยมุนีทรงทดลองแล้วทรงอนุญาตผ้า ๓ ผืน
   ๔๘. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ทรงอดิเรกจีวรสำรับอื่นเข้าบ้าน ๔๙. เรื่องอดิเรกจีวรเกิดขึ้น ๕๐. เรื่องอันตรวาสกขาดทะลุ ๕๑. เรื่องฝนตกพร้อมกัน ๔ ทวีป ๕๒. เรื่องนางวิสาขาขอประทานพร เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝน อาคันตุกภัตร คมิกภัตร คิลานภัตร คิลานุปัฏฐากภัตร เภสัช ยาคูประจำ และถวายอุทกสาฎกแก่ภิกษุณีสงฆ์
   ๕๓. เรื่องฉันโภชนะประณีต ๕๔. เรื่องผ้าปูนั่งเล็กเกินไป ๕๕. เรื่องฝีดาดหรืออีสุกอีใส ๕๖. เรื่องผ้าเช็ดหน้า เช็ดปาก ๕๗. เรื่องผ้าเปลือกไม้ ๕๘. เรื่องไตรจีวรบริบูรณ์ ๕๙. เรื่องอธิษฐาน ๖๐. เรื่องจีวรขนาดเล็กเท่าไรควรวิกัป ๖๑. เรื่องผ้าอุตราสงค์ที่ทำด้วยผ้าบังสุกุลหนัก ๖๒. เรื่องชายสังฆาฏิไม่เสมอกัน
   ๖๓. เรื่องด้ายลุ่ย ๖๔. เรื่องแผ่นผ้าสังฆาฏิลุ่ย ๖๕. เรื่องผ้าไม่พอ ๖๖. เรื่องผ้าดาม ๖๗. เรื่องจีวรเกิดขึ้นมาก ๖๘. เรื่องเก็บจีวรไว้ในวิหารอันธวัน ๖๙. เรื่องเผลอสติ ๗๐. เรื่องภิกษุรูปเดียวจำพรรษา ๗๑. เรื่องภิกษุอยู่รูปเดียวตลอดฤดูกาล ๗๒. เรื่องพระเถระสองพี่น้อง ๗๓. เรื่องภิกษุ ๓ รูป จำพรรษาในพระนครราชคฤห์ 
   ๗๔. เรื่องพระอุปนันทะจำพรรษาแล้วไปวัดใกล้บ้าน ได้รับส่วนแบ่ง แล้วกลับมาพระนครสาวัตถีตามเดิม ๗๕. เรื่องพระอุปนันทะจำพรรษา ๒ วัด ๗๖. เรื่องภิกษุอาพาธเป็นโรคท้องร่วง ๗๗. เรื่องภิกษุอาพาธ ๗๘. เรื่องภิกษุและสามเณร ๒ รูปอาพาธ ๗๙. เรื่องเปลือยกาย ๘๐. เรื่องนุ่งผ้าคากรอง ๘๑. เรื่องนุ่งผ้าเปลือกไม้กรอง 
   ๘๒. เรื่องนุ่งผ้าผลไม้กรอง ๘๓. เรื่องนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยผมคน ๘๔. เรื่องนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์ ๘๕. เรื่องนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยขนปีกนกเค้า ๘๖. เรื่องนุ่งหนังเสือ ๘๗. เรื่องนุ่งผ้าทำด้วยก้านดอกรัก ๘๘. เรื่องนุ่งผ้าทำด้วยเปลือกปอ ๘๙. เรื่องทรงจีวรสีล้วนๆ คือ สีคราม สีแดง สีบานเย็น สีแสดสีชมพู
   ทรงจีวรไม่ตัดชาย มีชายยาว มีชายเป็นลายดอกไม้ มีชายเป็นแผ่น สวมเสื้อ สวมหมวกใช้ผ้าโพกศีรษะ ๙๐. เรื่องจีวรยังไม่เกิดขึ้น ภิกษุหลีกไปเสีย ๙๑. เรื่องสงฆ์แตกกัน ๙๒. เรื่องถวายจีวรแก่สงฆ์ในฝ่ายหนึ่ง ๙๓. เรื่องท่านพระเรวตะฝากจีวร ๙๔. เรื่องถือวิสาสะ
๙๕. เรื่องอธิษฐาน ๙๖. เรื่องมาติกาของจีวร ๘ ข้อ.
&@เรื่องสมาทานติตถิยมีวัตรเปลือยกายเป็นต้น
   [๑๖๘] ก็โดยสมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเปลือยกายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงพรรณนาคุณแห่งความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย การเปลือยกาย
นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตการเปลือยกายแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้นไม่สมควร  .... ดูกรโมฆะบุรุษ ไฉนเธอจึงได้สมาทานการเปลือยกายที่พวกเดียรถีย์สมาทานเล่า การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมาทานการเปลือยกายที่พวกเดียรถีย์สมาทานรูปใดสมาทาน ต้องอาบัติถุลลัจจัย.   สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งนุ่งผ้าคากรอง .... รูปหนึ่งนุ่งผ้าเปลือกไม้กรอง .... รูปหนึ่งนุ่งผ้าผลไม้กรอง .... รูปหนึ่งนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยผมคน .... รูปหนึ่งนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์ ....
รูปหนึ่งนุ่งผ้าทำด้วยปีกนกเค้า .... รูปหนึ่งนุ่งหนังเสือ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงพรรณนาคุณแห่งความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย หนังเสือนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัดอาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตหนังเสือแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่นไม่สมควร  .... ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้ทรงหนังเสืออันเป็นธงชัยของเดียรถีย์เล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ภิกษุไม่พึงทรงหนังเสืออันเป็นธงชัยของเดียรถีย์ รูปใดทรง
ต้องอาบัติถุลลัจจัย.    สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งนุ่งผ้าทำด้วยก้านดอกรัก .... รูปหนึ่งนุ่งผ้าทำด้วยเปลือกปอ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระผู้มีพระภาคทรงพรรณนาคุณแห่งความมักน้อย ความสันโดษ
   ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสมการปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ผ้าทำด้วยเปลือกปอนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระกรุณาอนุญาตผ้าทำด้วยเปลือกปอแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่นไม่สมควร  .... ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้นุ่งผ้าทำด้วยเปลือกปอเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้วได้ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนุ่ง
ผ้าทำด้วยเปลือกปอ รูปใดนุ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@พระฉัพพัคคีย์ทรงจีวรสีครามล้วนเป็นต้น
   [๑๖๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ทรงจีวรสีครามล้วน ทรงจีวรสีเหลืองล้วนทรงจีวรสีแดงล้วน ทรงจีวรสีบานเย็นล้วน ทรงจีวรสีดำล้วน ทรงจีวรสีแสดล้วน ทรงจีวรสีชมพูล้วน ทรงจีวรที่ไม่ตัดชาย ทรงจีวรมีชายยาว ทรงจีวรมีชายเป็นลายดอกไม้ ทรงจีวรมีชายเป็นแผ่น สวมเสื้อ สวมหมวก ทรงผ้าโพก ประชาชน
พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงทรงจีวรสีครามล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีเหลืองล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีแดงล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีบานเย็นล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีดำล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีแสดล้วน ไม่พึงทรงจีวรสีชมพูล้วน ไม่พึงทรงจีวรที่ไม่ตัดชาย ไม่พึงทรงจีวรมีชายยาว ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็นลายดอกไม้
ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็นแผ่น ไม่พึงสวมเสื้อ ไม่พึงสวมหมวก ไม่พึงทรงผ้าโพก รูปใดทรง ต้องอาบัติทุกกฏ.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ  เรื่องสมาทานติตถิยมีวัตรเปลือยกายเป็นต้น
 ว่าด้วยจีวรที่ไม่ควร
วินิจฉัยในจีวรคากรองเป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :- 
   บทว่าอกฺกนาลํ ได้แก่ จีวรที่ทำด้วยก้านรัก. 
   ผ้าที่ทำด้วยปอ เรียกว่าผ้าเปลือกไม้.
   ผ้าที่เหลือได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาแห่งปฐมปาราชิก.๑-    ในผ้าเหล่านั้น เฉพาะผ้าเปลือกไม้ ปรับทุกกฏ ในผ้าที่เหลือปรับถุลลัจจัย.    ส่วนผ้าเปลือกรัก ผ้ากาบกล้วยและผ้าเปลือกละหุ่ง มีคติอย่างผ้าเปลือกไม้เหมือนกัน.   จีวรมีสีเขียวล้วนเป็นต้น พึงสำรอกสีเสีย ย้อมใหม่แล้วจึงใช้, ถ้าเป็นของที่ไม่อาจ
สำรอกสีได้, พึงให้กระทำเป็นผ้าปูลาดหรือพึงแทรกไว้ในท่ามกลางจีวรสองชั้น. 
   ความเป็นต่างๆ กันแห่งสีของจีวรเหล่านั้น มีนัยดังกล่าวแล้วในรองเท้านั่นแล.   ผ้าทั้งหลายที่มีชายไม่ได้ตัดและมีชายยาว พึงตัดชายเสียแล้ว จึงใช้.    ภิกษุได้เสื้อแล้วเลาะออกย้อมใช้ ย่อมควร. แม้ในผ้าโพกก็นัยนี้แล. 
   ส่วนหมวกเป็นของที่ทำด้วยเปลือกไม้ จะทำหมวกนั้น ให้เป็นของสำหรับเช็ดเท้าก็ควร. 
๑- สมนฺต. ปฐฺม. ๒๗๙.
&@เรื่องจีวรยังไม่เกิดแก่ผู้จำพรรษา
   [๑๗๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้น หลีกไปเสียบ้าง สึกเสียบ้าง ถึงมรณภาพบ้าง ปฏิญาณเป็นสามเณรบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขาบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริตบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนาบ้าง
   ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกฐานไม่ทำคืนอาบัติบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามกบ้าง ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์บ้าง ปฏิญาณเป็นคนลักเพศบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์บ้าง ปฏิญาณเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดาบ้าง
   ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดาบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์บ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณีบ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์บ้าง ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิตบ้าง ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนกบ้าง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสแนะนำ ดังต่อไปนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้น หลีกไปเสียเมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่ สงฆ์พึงให้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้น สึกเสียถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้น ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก
เมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่ สงฆ์พึงให้
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้น ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ .... ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก สงฆ์เป็นเจ้าของ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน หลีกไปเสีย เมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่ สงฆ์พึงให้
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน สึกเสีย ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุ สงฆ์เป็นเจ้าของ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรเกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละ
คืนทิฏฐิอันลามก เมื่อผู้รับแทนที่สมควรมีอยู่ สงฆ์พึงให้
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุที่จำพรรษาแล้ว เมื่อจีวรเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ทันได้แบ่งกัน ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ .... ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก สงฆ์เป็นเจ้าของ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาแล้วสงฆ์แตกกัน คนทั้งหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่ายหนึ่ง ถวายจีวรในฝ่ายหนึ่ง ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ นั่นเป็นของสงฆ์ฝ่ายเดียว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาแล้ว สงฆ์แตกกัน คนทั้งหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่ายหนึ่ง ถวายจีวรในฝ่ายนั้นเหมือนกัน ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ นั่นเป็นของสงฆ์ฝ่ายเดียว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาแล้ว สงฆ์แตกกัน คนทั้งหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่ายหนึ่ง ถวายจีวรในฝ่ายหนึ่ง ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายฝ่ายหนึ่ง นั่นเป็นของเฉพาะฝ่ายหนึ่ง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรยังไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษา สงฆ์แตกกัน คนทั้งหลายในถิ่นนั้น ถวายน้ำในฝ่ายหนึ่ง ถวายจีวรในฝ่ายนั้นเหมือนกัน ด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ฝ่ายหนึ่ง นั่นเป็นของเฉพาะฝ่ายหนึ่ง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ เมื่อจีวรเกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษา แต่ยังมิทันได้แบ่ง สงฆ์แตกกัน พึงแบ่งส่วนให้ภิกษุทุกรูปเท่าๆ กัน.
&@เรื่องพระเรวตเถระฝากจีวร
   [๑๗๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระเรวตะฝากจีวรแก่ภิกษุรูปหนึ่งไปถวายท่านพระสารีบุตร ด้วยสั่งว่า จงถวายจีวรผืนนี้แก่พระเถระ จึงในระหว่างทาง ภิกษุรูปนั้นได้ถือเอาจีวรนั้นเสีย เพราะวิสาสะต่อท่านพระเรวตะ
   กาลต่อมา ท่านพระเรวตะมาพบท่านพระสารีบุตร จึงเรียนถามว่า ผมฝากจีวรมาถวายพระเถระ. พระเถระได้รับจีวรนั้นแล้วหรือ ขอรับ?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ผมยังไม่เห็นจีวรนั้นเลย คุณ.
   จึงท่านพระเรวตะได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ผมฝากจีวรมาแก่ท่านให้ถวายพระเถระไหนจีวรนั้น?
   ภิกษุนั้นตอบว่า ผมได้ถือเอาจีวรนั้นเสีย เพราะวิสาสะต่อท่าน ขอรับ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสแนะนำ ดังต่อไปนี้:-
&@เรื่องถือวิสาสะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า จงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากถือเอาเสียในระหว่างทาง เพราะวิสาสะต่อผู้ฝาก ชื่อว่าถือเอาถูกต้องถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่าถือเอาไม่ถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า จงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากถือเอาเสียในระหว่างทาง เพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่าถือเอาไม่ถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้ฝาก ชื่อว่าถือเอาถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า จงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากทราบข่าวในระหว่างทางว่า ผู้ฝากถึงมรณภาพเสียแล้ว จึงอธิษฐานเป็นจีวรมรดกของภิกษุผู้ฝาก ชื่อว่าอธิษฐานถูกต้องแล้ว ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่า
ถือเอาไม่ถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า จงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากทราบข่าวในระหว่างทางว่า ผู้รับถึงมรณภาพเสียแล้ว จึงอธิษฐานเป็นจีวรมรดกของผู้รับ ชื่อว่าอธิษฐานไม่ถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้ฝาก ชื่อว่าถือเอาถูกต้อง
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า จงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากทราบข่าวในระหว่างทางว่า ทั้งสองรูปถึงมรณภาพเสียแล้ว จึงอธิษฐานเป็นมรดกของผู้ฝาก ชื่อว่าอธิษฐานถูกต้อง อธิษฐานเป็นจีวรมรดกของผู้รับ ชื่อว่าอธิษฐานไม่ถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า ฉันให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากถือเอาเสียในระหว่างทางเพราะวิสาสะต่อผู้ฝาก ชื่อว่าถือเอาไม่ถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่าถือเอาถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า ฉันให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากถือเอาเสียในระหว่างทางเพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่าถือเอาถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้ฝาก ชื่อว่าถือเอาไม่ถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า ฉันให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้ฝากทราบข่าวในระหว่างทางว่า ผู้ฝากถึงมรณภาพเสียแล้ว จึงอธิษฐานเป็นจีวรมรดกของผู้ฝาก ชื่อว่าอธิษฐานไม่ถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้รับ ชื่อว่าถือเอาถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า ฉันให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากทราบข่าวในระหว่างทางว่า ผู้รับถึงมรณภาพเสียแล้ว จึงอธิษฐานเป็นจีวรมรดกของผู้รับ ชื่อว่าอธิษฐานถูกต้อง ถือเอาเสียเพราะวิสาสะต่อผู้ฝาก ชื่อว่าถือเอาไม่ถูกต้อง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในข้อนี้ ภิกษุฝากจีวรแก่ภิกษุไปด้วยสั่งว่า ฉันให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากทราบข่าวในระหว่างทางว่า ทั้งสองรูปถึงมรณภาพเสียแล้ว จึงอธิษฐานเป็นจีวรมรดกของผู้ฝาก ชื่อว่าอธิษฐานไม่ถูกต้อง อธิษฐานเป็นจีวรมรดกของผู้รับ ชื่อว่าอธิษฐานถูกต้อง.
               อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ  เรื่องจีวรยังไม่เกิดแก่ผู้จำพรรษาเป็นต้น ว่าด้วยผู้ควรรับจีวรเป็นต้น
สองบทว่า ปฏิรูเป คาหเก มีความว่า ถ้าภิกษุบางรูปรับเอาด้วยกล่าวว่า เรารับแทนภิกษุนั้น พึงให้. ด้วยประการอย่างนี้แล บรรดาบุคคล ๒๓ คน เหล่านั้นไม่ได้ ๑๖ คน ได้ ๗ คน ฉะนี้แล.
               สองบทว่า สงฺโฆ ภิชฺชติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายแตกกันเป็น ๒ ฝ่าย เหมือนภิกษุชาวเมืองโกสัมพี.                สองบทว่า เอกสฺมึ ปกฺเข มีความว่า ชนทั้งหลายถวายน้ำทักขิโณทกและวัตถุมีของหอมเป็นต้นในฝ่ายหนึ่ง. ถวายจีวรในฝ่ายหนึ่ง. 
               บทว่า สงฺฆสฺเสเวตํ มีความว่า จีวรนั้นย่อมเป็นของสงฆ์ทั้งสิ้น คือของทั้งสองฝ่าย, ทั้งสองฝ่ายพึงตีระฆังแล้วแบ่งด้วยกัน.                บทว่า ปกฺขสฺเสเวตํ มีความว่า เมื่อชนทั้งหลายถวายอย่างนั้น น้ำอันเขาถวายแล้วแก่ฝ่ายใด, น้ำนั่นแลย่อมเป็นของฝ่ายนั้น, จีวรอันถวายแล้วแก่ฝ่ายใด,
               จีวรย่อมเป็นของฝ่ายนั้นเท่านั้น ในมหาอรรถกถาแก้ว่า ก็ในที่ใด น้ำทักขิโณทกเป็นประมาณ, ในที่นั้น ฝ่ายหนึ่งย่อมได้จีวร เพราะตนได้น้ำทักขิโณทก, ฝ่ายหนึ่งก็ย่อมได้ เพราะค่าที่จีวรนั้นแลตนได้แล้ว,เพราะฉะนั้น สองฝ่ายพึงเป็นผู้พร้อมกัน แจกกันตามลำดับผู้แก่. 
               ได้ยินว่า นี่เป็นลักษณะในสมุทรอื่น๑- (คือชมพูทวีป)               ส่วนในข้อว่า ตสฺมึเยว ปกฺเข นี้ มีความว่า ฝ่ายนอกนี้ไม่เป็นใหญ่เลยทีเดียว.                เรื่องส่งจีวรไปชัดเจนแล้วแล.                                          ๑- ปรสมุทฺเทติ ชมฺพูทีเปติ สารตฺถ จ วิมติ จ.
จีวรที่เกิดขึ้นมี ๘ มาติกา [๑๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มาติกาเพื่อจีวรเกิดขึ้นนี้ มี ๘ คือ ๑. ถวายแก่สีมา ๒. ถวายตามกติกา ๓. ถวายในสถานที่จัดภิกษา ๔. ถวายแก่สงฆ์ ๕. ถวายแก่อุภโตสงฆ์ ๖. ถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว ๗. ถวายเจาะจง ๘. ถวายแก่บุคคล ที่ชื่อว่า ถวายแก่สีมา คือ ภิกษุมีจำนวนเท่าใดอยู่ภายในสีมา ภิกษุเหล่านั้นพึงแบ่งกัน ที่ชื่อว่า ถวายตามกติกา คือ วัดมีหลายแห่ง ยอมให้มีลาภเสมอกัน เมื่อทายก ถวายในวัดหนึ่ง ชื่อว่าเป็นอันถวายทุกวัด ที่ชื่อว่า ถวายในสถานที่จัดภิกษา คือถวายในสถานที่ๆ ทายกทำสักการะประจำแก่สงฆ์ ที่ชื่อว่า ถวายแก่สงฆ์ คือ สงฆ์อยู่พร้อมหน้ากันแบ่ง ที่ชื่อว่า ถวายแก่อุภโตสงฆ์ คือ แม้มีภิกษุมาก มีภิกษุณีรูปเดียว ก็พึงให้ฝ่ายละครึ่ง แม้มีภิกษุณีมาก มีภิกษุรูปเดียว ก็พึงให้ฝ่ายละครึ่ง ที่ชื่อว่า ถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว คือภิกษุมีจำนวนเท่าใด จำพรรษาอยู่ในอาวาสนั้นภิกษุเหล่านั้นพึงแบ่งกัน ที่ชื่อว่า ถวายเจาะจง คือ ถวายเฉพาะยาคู ภัตตาหารของ ควรเคี้ยว จีวร เสนาสนะหรือเภสัช ที่ชื่อว่า ถวายแก่บุคคล คือ ถวายด้วยวาจาว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้. จีวรขันธกะ ที่ ๘ จบ. ในขันธกะ มี ๙๖ เรื่อง.
               อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ จีวรที่เกิดขึ้นมี ๘ มาติกา มาติกา ๘ แห่งความเกิดขึ้นแห่งจีวร
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า อฏฺฐิมา ภิกฺขเว มาติกา เพื่อแสดงเขตเป็นที่ได้จีวรที่ตรัสแล้ว จำเดิมแต่ต้น. คำว่า สีมาย เทติ เป็นอาทิ ตรัสโดยนัยปุคคลาธิษฐาน. ก็บรรดามาติกาเหล่านี้ การถวายแก่สีมาเป็นมาติกาที่ ๑, การถวายตามกติกาเป็นมาติกาที่ ๒, การถวายในที่ซึ่งตกแต่งภิกษาเป็นมาติกาที่ ๓, การถวายแก่สงฆ์เป็นมาติกาที่ ๔, การถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายเป็นมาติกาที่ ๕, การถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาเป็นมาติกาที่ ๖, การถวายจำเพาะเป็นมาติกา ที่ ๗, การถวายแก่บุคคลเป็นมาติกาที่ ๘. วินิจฉัยในมาติกาเหล่านั้น พึงทราบดังนี้ :- เมื่อทายกถวายพาดพิงถึงสีมาอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สีมา ชื่อถวายแก่สีมา. ในมาติกาทั้งปวงก็นัยนี้แล.
ถวายแก่สีมา              ก็ในมาติกาที่ ๑ นี้ว่า ถวายแก่สีมา ในมาติกานิทเทสต้นที่ว่า ทายกถวายแก่สีมา, ภิกษุมีจำนวนเท่าใดอยู่ภายในสีมา ภิกษุเหล่านั้นพึงแจกกัน ดังนี้ พึงทราบสีมา ๑๕ ชนิดก่อน
คือ :-                ขัณฑสีมา อุปจารสีมา สมานสังวาสสีมา อวิปปวาสสีมา ลาภสีมา คามสีมา นิคมสีมา นครสีมา อัพภันตรสีมา อุทกุกเขปสีมา ชนปทสีมา รัฐสีมา รัชสีมา ทีปสีมา 
จักกวาฬสีมา.                บรรดาสีมาเหล่านั้น ขัณฑสีมา ได้กล่าวแล้วในสีมากถา. อุปจารสีมาเป็นแดนที่กำหนดด้วยเครื่องล้อมแห่งวัดที่ล้อม ด้วยที่ควรแก่การล้อมแห่งวัดที่ไม่ได้ล้อม. 
               อีกอย่างหนึ่ง จากสถานที่ภิกษุประชุมกันเป็นนิตย์ หรือจากโรงฉันอันตั้งอยู่ริมเขตวัด หรือจากอาวาสที่อยู่ประจำ ภายใน ๒ ชั่วเลฑฑุบาตของบุรุษผู้มีแรงปานกลางเข้ามา พึงทราบ
ว่าเป็นอุปจารสีมา. ก็อุปจารสีมานั้น เมื่ออาวาสขยายกว้างออกไป ย่อมขยายออก, เมื่ออาวาสร่นแคบเข้า ย่อมแคบเข้า.                แต่ในมหาปัจจรีแก้ว่า อุปจารสีมานั้น เมื่อภิกษุเพิ่มขึ้น ย่อมกว้างออก
เนื่องด้วยลาภ, ถ้าภิกษุทั้งหลายนั่งเต็ม ๑๐๐ โยชน์ติดเนื่องเป็นหมู่เดียว กับพวกภิกษุผู้ประชุมในวัด. แม้ที่ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ย่อมเป็นอุปจารสีมาด้วย, ลาภย่อมถึงแก่ภิกษุทั่วกัน. แม้สมานสังวาสสีมา
และอวิปปวาสสีมาทั้ง ๒ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.                ขึ้นชื่อว่า ลาภสีมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาได้ทรงอนุญาตไม่, พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายก็ไม่ได้ตั้งไว้,
              ก็แต่ว่าพระราชาและมหาอมาตย์ของพระราชาให้สร้างวัดแล้ว กำหนดพื้นที่โดยรอบคาวุตหนึ่งบ้าง กึ่งโยชน์บ้าง โยชน์หนึ่งบ้าง ปักเสาจารึกชื่อว่า นี้เป็นลาภสีมาสำหรับวัดของเรา แล้ว
ปักแดนไว้ว่า สิ่งใดเกิดขึ้นภายในเขตนี้, สิ่งนั้นทั้งหมด เราถวายแก่วัดของเรา นี้ชื่อว่า ลาภสีมา. ถึงคามสีมา นิคมสีมา นครสีมา อัพภันตรสีมาและอุทกุกเขปสีมา ก็ได้กล่าวแล้วเหมือนกัน. 
               ชนปทสีมา นั้น ชนบทเป็นอันมาก มีภายในแคว้นกาสีและโกศลเป็นต้น, ในชนบทเหล่านั้น แดนกำหนดแห่งชนบทอันหนึ่งๆ ชื่อชนปทสีมา. 
               แดนกำหนดแห่งแคว้นกาสีและโกศลเป็นต้น ชื่อรัฐสีมา.๑-       สถานเป็นที่เป็นไปแห่งอาณาของพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งๆ อย่างนี้ คือ พหิโภค โจลโภค เกรฏฺฐโภค ชื่อรัชสีมา. 
๑- สทฺธมฺมปฺชโชติกา ปฐม ๑๖ ว่า รฏฐนฺติ ชนปเทกเทสํฯ ชนปโทติ กาสิโกสลาทิชนปโท? ถือเอาความว่า รัฐ เล็กกว่าชนบท ชนบทคือประเทศ. แต่ตามที่แก้ในที่นี้ กลับตรงกันข้าม จึงขอฝากนักศึกษาไว้ด้วย.
               เกาะใหญ่ และเกาะเล็ก ซึ่งกำหนดด้วยสมุทรเป็นที่สุด ชื่อทีปสีมา.               แดนที่กำหนดด้วยภูเขาจักรวาลเท่านั้น ชื่อจักกวาฬสีมา.                ในสีมาเหล่านี้ ที่กล่าวแล้วด้วยประการอย่างนี้ เมื่อทายกเห็นสงฆ์ประชุมกัน
ในขัณฑสีมา ด้วยกรรมบางอย่าง จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ในสีมานี้เท่านั้น ดังนี้. ภิกษุมีจำนวนเท่าใดอยู่ภายในขัณฑสีมา ภิกษุเหล่านั้นพึงแบ่งกัน. เพราะว่าจีวรนั้นย่อมถึงแก่ภิกษุเหล่านั้นเท่านั้น, ไม่ถึงแก่ภิกษุเหล่าอื่น แม้ผู้ตั้งอยู่ที่สีมันตริก หรือที่อุปจารสีมา.
แต่ย่อมถึงแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่บนต้นไม้หรือบนภูเขา ซึ่งขึ้นอยู่ในขัณฑสีมา. หรือผู้อยู่ท่ามกลางแผ่นดินภายใต้ขัณฑสีมา เป็นแท้. 
               อนึ่ง จีวรที่ทายกถวายว่า ถวายแก่สงฆ์ในอุปจารสีมานี้ ย่อมถึงแม้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในขัณฑสีมาและสีมันตริก.            ส่วนจีวรที่ทายกถวายว่า ถวายแก่สมานสังวาสสีมา ย่อมไม่ถึงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในขัณฑสีมาและสีมันตริก. 
               จีวรที่ทายกถวายในอวิปปวาสสีมา และลาภสีมา ย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ร่วมในสีมาเหล่านั้น.                ส่วนจีวรที่ทายกถวายในคามสีมาเป็นต้น ย่อมถึงแม้แก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในพัทธสีมา ภายในแห่งสีมาเหล่านั้น. 
               จีวรที่ถวายในอัพภันตรสีมา และอุทกกุกเขปสีมา ย่อมถึงแก่ภิกษุผู้อยู่ภายในสีมาเหล่านั้นเท่านั้น.                ในชนปทสีมา รัฐสีมา รัชสีมา ทีปสีมา และจักกวาฬสีมา มีวินิจฉัยเช่นดังกล่าวแล้วในคามสีมาเป็นต้นนั่นแล. 
               ก็ถ้าว่าทายกอยู่ในชมพูทวีป กล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายสงฆ์ในตามพปัณณิทวีป ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ไปจากตามพปัณณิทวีป ย่อมได้เพื่อรับแทนภิกษุทั้งปวง. แม้หากว่า ภิกษุผู้ชอบพอกันรูปหนึ่งในชมพูทวีปนั้นเอง จะรับส่วนแทนภิกษุทั้งหลายที่ชอบพอกันไซร้,
ไม่พึงห้ามเธอ. ในการถวายของทายกผู้ถวายของพาดพิงถึงสีมา พึงทราบวินิจฉัยอย่างนี้ก่อน. 
               ฝ่ายทายกใดไม่เข้าใจที่จะพูดว่า ในสีมาโน้น รู้แต่เพียงคำว่า สีมา อย่างเดียวเท่านั้น มาวัดกล่าวว่า ถวายแก่สีมา หรือว่า ถวายสงฆ์ผู้ตั้งอยู่ในสีมา ดังนี้.        พึงถามทายกนั้นว่า ขึ้นชื่อว่าสีมา มีหลายอย่าง, ท่านพูดหมายเอาสีมาอย่างไหน? 
               ถ้าเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้จักว่า สีมาชนิดโน้นๆ สงฆ์ผู้ตั้งอยู่ในสีมาจงแบ่งกันถือเอาเถิด ดังนี้.                สงฆ์ในสีมาไหน จะพึงแบ่งกัน?                ได้ยินว่า พระมหาสิวัตเถระกล่าวว่า สงฆ์ในอวิปปวาสสีมาพึงแบ่งกัน. 
               ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านว่า ธรรมดาอวิปปวาสสีมา ประมาณตั้ง ๓ โยชน์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุผู้ตั้งอยู่ใน ๓ โยชน์จักรับลาภได้. ผู้ตั้งอยู่ใน ๓ โยชน์ จึงพึงบำเพ็ญอาคันตุกวัตรเข้าสู่อาราม, ผู้เตรียมจะไปจักเดินทาง ๓ โยชน์ จึงจักบอก
มอบเสนาสนะ, สำหรับผู้ปฏิบัตินิสัยๆ จักระงับต่อเมื่อล่วง ๓ โยชน์ไป, ผู้อยู่ปริวาส จักพึงก้าวล่วง ๓ โยชน์แล้วรับอรุณ. ภิกษุณีตั้งอยู่ในระยะ ๓ โยชน์ จักพึงบอกเล่าการที่จะเข้าสู่อาราม, กิจนี้ทั้งหมดสมควรทำด้วยอำนาจแดนกำหนดแห่งอุปจารสีมาเท่านั้น,
เพราะเหตุนั้น สงฆ์ตั้งอยู่ในอุปจารสีมาเท่านั้นพึงแบ่งกัน.
ถวายตามกติกา บทว่า กติกาย ได้แก่ กติกา มีลาภเสมอกัน. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อาวาสมากหลายมีลาภเสมอกัน. ในหลายอาวาสมีลาภเสมอกันนั้น พึงตั้งกติกาอย่างนี้ :-
ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในวิหารหนึ่ง ระบุชื่อวัดที่ตนมีประสงค์จะสงเคราะห์ ปรารถนาจะทำให้เป็นแดนมีลาภเสมอกัน กล่าวเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งว่า วัดโน้นเป็นวัดเก่า หรือว่า วัดโน้นเป็นที่พระพทุธเจ้าเคยอยู่ หรือว่า วัดโน้นมีลาภน้อย แล้วประกาศ ๓ ครั้ง ว่า การที่ทำวัดนั้นกับวัดแม้นี้ ให้เป็นแดนมีลาภอันเดียวกัน พอใจสงฆ์ ดังนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ภิกษุแม้นั่งแล้วในวัดนั้น เธอย่อมเป็นเหมือนนั่งแล้วในวัดนี้, อันสงฆ์แม้ในวัดนั้น พึงทำอย่างนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ภิกษุแม้นั่งแล้วในวัด นี้, เธอย่อมเป็นเหมือนผู้นั่งแล้วในวัดนั้น. เมื่อแบ่งลาภกันอยู่ในวัดหนึ่ง, อันภิกษุผู้ตั้งอยู่ในอีกวัดหนึ่ง สมควรได้รับส่วนแบ่งด้วย. วัดแม้มาก ก็พึงกระทำให้เป็นที่มีลาภอันเดียวกันกับวัดอันหนึ่งโดยอุบายอย่างนั้น.
ถวายในที่ชึ่งตกแต่งภิกษา บทว่า ภิกฺขาปญฺญตฺติยา ได้แก่ ในสถานเป็นที่ตกแต่งทานบริจาคของตน. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ทานบริจาคที่ประจำอันตนทำแก่สงฆ์ในวัดใด. พึงทราบเนื้อความแห่งคำนั้นดังนี้ :- ภัตทานของสงฆ์ ซึ่งเป็นของทายกผู้ถวายจีวรนี้ เป็นไปในวัดใดก็ได้, ทายกทำภิกษุทั้งหลายในวัดใด ให้เป็นภาระของตน นิมนต์ให้ฉันในเรือนทุกเมื่อก็ดี, ในวัดใดเขาสร้างที่อยู่ไว้ก็ดี, ในวัดใดเขาถวาย สลากภัตเป็นต้นเป็นนิตย์ก็ดี, แต่วัดแม้ทั้งสิ้นอันทายกใดสร้าง, ในวัดนั้น ของทายกนั้น ไม่มีคำที่จะพึงกล่าวเลย. ภัตบริจาคเหล่านี้ จัดเป็นภัตบริจาคประจำ, เพราะเหตุนั้น ถ้าเขากล่าวว่าภัตบริจาคประจำของข้าพเจ้ากระทำอยู่ในวัดใด, ข้าพเจ้าถวายในวัดนั้น หรือว่า ท่านจงให้ในวัดนั้น แม้หากว่า มีภัตบริจาคประจำในที่หลายแห่ง, จีวรนั้นเป็นอันเขาถวายทั่วทุกแห่งทีเดียว. ก็ถ้าว่า ในวัดหนึ่งมีภิกษุมากกว่า, ภิกษุเหล่านั้นพึงบอกว่า ในวัดที่มีภัตบริจาคเป็นประจำของพวกท่าน วัดหนึ่งมีภิกษุมาก วัดหนึ่งมีภิกษุน้อย. ถ้าหากเขากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงถือเอาตามจำนวนภิกษุเถิด สมควรแบ่งถือเอาตามนั้น. ก็ในคำว่า ท่านทั้งหลายจงถือเอาตามจำนวนภิกษุเถิด นี้ ผ้าและเภสัชเป็นต้น แม้น้อย ย่อมแบ่งกันได้โดยง่าย. แต่ถ้าว่าเตียงหรือตั่งมีตัวเดียวเท่านั้น, พึงถามเขาแล้ว พึงให้สำหรับวัดหรือเสนาสนะแม้ในวัดหนึ่งที่เขาสั่ง ถ้าเขากล่าวว่า ภิกษุโน้น จงถือเอา ดังนี้ควรอยู่. หากว่าเขากล่าวว่า ท่านจงให้สำหรับวัดที่มีภัตบริจาคเป็นประจำของข้าพเจ้า ดังนี้แล้ว ไม่ทันได้สั่งการไปเสีย, แม้สงฆ์จะสั่งการก็ควร. ก็แล สงฆ์พึงสั่งการอย่างนี้ :- พึงสั่งว่า ท่านจงให้ในสถานเป็นที่อยู่ของพระสังฆเถระ. ถ้าในที่นั้นมีเสนาสนะบริบูรณ์, ในที่ใดเสนาสนะไม่เพียงพอ, พึงให้ในที่นั้น. ถ้าว่า ภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า ในที่อยู่ของข้าพเจ้า ไม่มีของใช้สำหรับเสนาสนะพึงให้ในที่นั้น. ถวายแก่สงฆ์ ข้อว่า สงฺฆสฺส เทติ มีความว่า ทายกเข้าไปยังวัดกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรเหล่านี้แก่สงฆ์. ข้อว่า สมฺมุขีภูเตน มีความว่า สงฆ์ผู้ตั้งอยู่ในอุปจารสีมา พึงตีะระฆัง ให้ประกาศเวลาแล้วแจกกัน. ภิกษุผู้จะรับส่วนแทนภิกษุผู้ตั้งอยู่ในสีมา แต่มาไม่ทัน ไม่ควรห้าม. วัดใหญ่, เมื่อถวายผ้าตั้งแต่เถรอาสน์ลงมา, พระมหาเถระผู้เฉื่อยช้าย่อมมาภายหลัง, อย่าพึงกล่าวกะท่านว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถวายถึงภิกษุมีพรรษา ๒๐, ลำดับของท่าน เลยไปเสียแล้ว, พึงเว้นลำดับไว้ถวายแก่พระมหาเถระเหล่านั้น เสร็จแล้ว จึงถวายตามลำดับภายหลัง. ภิกษุทั้งหลายได้ฟังข่าวว่า ได้ยินว่า ที่วัดโน้น จีวรเกิดขึ้นมาก จึงพากันมาจากวัดซึ่งตั้งอยู่ในระยะโยชน์หนึ่งบ้าง, พึงให้จำเดิมแต่ที่ซึ่งเธอทั้งหลายมาทันแล้วๆ เข้าลำดับ. เฉพาะที่เธอมาไม่ทันเข้าอุปจารสีมาแล้ว เมื่อ อันเตวาสิกเป็นต้นจะรับแทน ก็ควรให้แท้. อันเตวาสิกเป็นต้น กล่าวว่า ท่านจงให้แก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ภายนอกอุปจารสีมาดังนี้ ไม่พึงให้. ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ประตูวัดของตน หรืออยู่ภายในวัดของตนทีเดียว เป็นผู้เนื่องเป็นอันเดียวกับภิกษุทั้งหลายผู้เข้าอุปจารสีมาไซร้, สีมาชื่อว่าขยายออกด้วยอำนาจบริษัท ; เพราะฉะนั้น ควรให้. แม้เมื่อให้จีวรแก่สังฆนวกะแล้ว, ก็ควร ถวายแก่พระเถระทั้งหลายผู้มาภายหลังเหมือนกัน. อนึ่ง เมื่อส่วนที่สองได้ยกขึ้นสู่เถรอาสน์แล้ว ส่วนที่หนึ่ง ย่อมไม่ถึงแก่ภิกษุทั้งหลายที่มาแล้ว, พึงให้ตามลำดับพรรษา ตั้งแต่ส่วนที่สองไป. ถ้าในวัดหนึ่ง มีภิกษุ ๑๐ รูป, ทายกถวายผ้า ๑๐ ผืนว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ; ผ้าเหล่านั้น พึงแจกกันรูปละผืน. ถ้าภิกษุเหล่านั้น ถือเอาไปทั้งหมดทีเดียว ด้วยคิดว่า ผ้าเหล่านี้ ถึงแก่พวกเรา ดังนี้ไซร้, เป็นอันให้ถึง (แก่ตน) ไม่ดี ; ทั้งเป็นอันถือเอาไม่ดี ; ผ้าเหล่านั้น ย่อมเป็นของสงฆ์ในที่ซึ่งเธอไปถึงเข้าแล้วนั่นแล. อนึ่ง จะชักออกผืนหนึ่ง ถวายแก่สังฆเถระว่า ผืนนี้ถึงแก่ท่าน ดังนี้แล้ว ถือเอาผ้าที่เหลือด้วยคิดว่า ผ้าเหล่านี้ถึงแก่พวกเรา ดังนี้ ควรอยู่. ทายกนำผ้ามาผืนเดียว ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายไม่แบ่งกัน ถือเอาด้วยคิดว่า ผ้านี้ถึง แก่พวกเรา ; ผ้านั้นเป็นอันเธอทั้งหลายให้ถึงแก่ตน ไม่ชอบ ทั้งเป็นอันถือเอาไม่ชอบ. ควรเอามีดหรือขมิ้นเป็นต้น ทำให้เป็นรอย ให้ส่วนหนึ่งแก่พระสังฆเถระว่า ตอนนี้ถึงแก่ท่าน แล้วถือเอาส่วนที่เหลือว่า ตอนนี้ถึงแก่พวกเรา. จะทำการกำหนดปันกัน ด้วยลายดอกไม้ หรือผลไม้ หรือเครือวัลย์แห่งผ้านั้นเอง ไม่ควร. ถ้าชักเส้นด้ายออกเส้นหนึ่ง ถวายแก่พระเถระว่า ตอนนี้ ถึงแก่ท่าน แล้วถือเอาว่า ส่วนที่เหลือถึงแก่พวกเรา ควรอยู่. ผ้าที่ภิกษุตัดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่แบ่งกัน ควรแท้. เมื่อจีวรทั้งหลายเกิดขึ้นแก่สงฆ์ในวัด ซึ่งมีภิกษุรูปเดียว, หากภิกษุนั้นถือเอาว่า จีวรทั้งหมดย่อมถึงแก่เรา ตามนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นเอง, เป็นอันเธอถือเอาชอบ, ส่วนลำดับไม่ตั้งอยู่. หากเธอยกขึ้นทีละผืนๆ ถือเอาว่า ผ้านี้ถึงแก่เรา. ลำดับย่อม ตั้งอยู่. บรรดาลำดับที่ไม่ตั้งอยู่ และตั้งอยู่ทั้งสองนี้ เมื่อลำดับไม่ตั้งอยู่ครั้นจีวรอื่นเกิดขึ้นอีก ถ้าภิกษุรูปหนึ่งมา, เธอทั้งสองพึงตัดตรงกลางถือเอา. เมื่อลำดับตั้งอยู่ ครั้นจีวรอื่นเกิดขึ้นอีก ถ้าภิกษุอ่อนกว่ามา, ลำดับย่อมถึงภายหลัง ; ถ้าภิกษุผู้แก่กว่ามา, ลำดับ ย่อมถึงก่อน. ถ้าไม่มีภิกษุอื่น, พึงให้ถึงแก่ตนถือเอาอีก. แต่จีวรที่เขาถวายพาดพิงถึงสงฆ์ ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ก็ดี ว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุสงฆ์ ก็ดี ไม่ควรแก่ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล, เพราะเหตุที่เธอกล่าวคำว่า ข้าพเจ้างดคหบดีจีวรเสีย, สมาทานองค์ของผู้ถือผ้าบังสุกุล เป็นวัตร แต่ไม่ควรแก่ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล เพราะเหตุที่จีวรนั้น เป็นอกัปปิยะหามิได้, แม้ภิกษุสงฆ์อปโลกน์ให้แล้วก็ไม่ควรรับ. ก็และภิกษุให้จีวรใดซึ่งเป็นของตน, จีวรนั้นชื่อของที่ภิกษุให้ควรอยู่ ; แต่ว่าจีวรนั้นไม่เป็นผ้าบังสุกุล. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ธุดงค์ย่อมไม่เสีย. อนึ่ง เมื่อทายกถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย, ข้าพเจ้าถวายแก่พระเถระทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมควรแม้แก่ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล. แม้จีวรที่ทายกถวายว่า ข้าพเจ้าถวายผ้านี้แก่สงฆ์ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จงทำถุงใส่รองเท้า ถุงบาตร ผ้ารัดเข่า และสายสะพายเป็นต้นด้วยผ้านี้ ดังนี้ ย่อมควร. ผ้าที่ทายกถวายเพื่อประโยชน์แก่ถุงบาตรเป็นต้น มีมาก, เป็นของเพียงพอแม้เพื่อประโยชน์แก่จีวรจะกระทำจีวรจากผ้านั้นห่ม ก็ควร. ก็หากว่าสงฆ์ตัดผ้าที่เหลือจากแจกกันแล้ว แจกให้เพื่อประโยชน์แก่ถุงรองเท้าเป็นต้น, จะถือเอาจากผ้า นั้นไม่ควร. แต่ผ้านั้นพวกเจ้าของจัดการเองนั้นแลควรอยู่, นอกนั้นไม่ควร. แม้เมื่อทายกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายเพื่อประโยชน์แก่ผ้าผูกกระบอกกรองเป็นต้น แก่สงฆ์ผู้ถือผ้าบังสุกุล ดังนี้ สมควรถือเอา. ขึ้นชื่อว่าบริขาร แม้ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล ก็พึงปรารถนา ในผ้าที่เขาถวายเพื่อให้เป็นผ้าผูกกระบอกกรองเป็นต้น เหล่านั้น ผ้าใดเป็นของเหลือเฟือ จะน้อมผ้านั้นเข้าในจีวรบ้าง ก็ควร. ทายกถวายด้วยแก่สงฆ์ ด้วยนั้น แม้ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล ก็ควรรับ. วินิจฉัยในผ้าที่ทายกเข้าไปสู่วัดแล้วถวายว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรเหล่านี้แก่สงฆ์ เท่านี้ก่อน. ก็ถ้าว่า ทายกเห็นภิกษุทั้งหลายผู้เดินทางไปภายนอกอุปจารสีมาแล้ว บอกแก่พระสังฆเถระ หรือพระสังฆนวกะว่า ข้าพเจ้าถวายสงฆ์ แม้ถ้าบริษัทตั้งแผ่ไปโยชน์ หนึ่ง เนื่องเป็นอันเดียวกัน ย่อมถึงแก่ภิกษุทั่วกัน ; ฝ่ายภิกษุเหล่าใดไม่ทันบริษัทเพียง ๑๐ ศอก ไม่ถึงแก่ภิกษุเหล่านั้น. ถวายแก่สงฆ์สองฝ่าย วินิจฉัยในมาติกาว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่าย นี้ พึงทราบดังนี้ :- เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่าย ก็ดี ถวายแก่สงฆ์โดยส่วน ๒ ก็ดี ถวายแก่สงฆ์ ๒ พวกก็ดี กล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุณีสงฆ์ด้วยก็ดี ผ้านั้นเป็นอันเขาถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายแท้. ข้อว่า อุปฑฺฒํ ทาตพฺพํ มีความว่า พึงทำเป็นสองส่วนเท่าๆ กันในส่วนหนึ่ง. เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายด้วย แก่ท่านด้วย ถ้ามีภิกษุ ๑๐ รูป ภิกษุณี ๑๐ รูป พึงทำให้เป็น ๒๑ ส่วน ให้แก่บุคคลส่วนหนึ่ง ให้แก่สงฆ์ ๑๐ ส่วน ให้แก่ภิกษุณีสงฆ์ ๑๐ ส่วน ส่วนเฉพาะบุคคลอันภิกษุใดได้แล้ว ภิกษุนั้น ย่อมได้เพื่อถือเอาตามลำดับพรรษาของตนจากสงฆ์อีก. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุที่เธออันเขารวมเข้าด้วยศัพท์ว่า อุภโตสงฆ์. แม้ในผ้าที่เขาบอกถวายว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายด้วย แก่เจดีย์ด้วย ก็มีนัยเหมือนกัน. แต่ในคำถวายนี้ ไม่มีส่วนที่จะถึงแก่เจดีย์จากสงฆ์ มีแต่ส่วนที่เท่ากับส่วนที่ถึงแก่บุคคลผู้หนึ่งเท่านั้น. อนึ่ง เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายด้วย แก่ท่านด้วยแก่เจดีย์ด้วย พึงทำให้เป็น ๒๒ ส่วน ให้ภิกษุ ๑๐ ส่วน ให้แก่ภิกษุณี ๑๐ ส่วน. ให้แก่บุคคลส่วนหนึ่ง ให้แก่เจดีย์ส่วนหนึ่ง ; ในบุคคลและเจดีย์นั้น บุคคลย่อมได้เพื่อถือเอาอีกตามลำดับ พรรษาของตน จากสงฆ์ด้วย, สำหรับเจดีย์พึงได้ส่วนเดียวเท่านั้น. อนึ่ง เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุณีทั้งหลายด้วย อย่าแบ่งกลางให้ พึงนับภิกษุและภิกษุณีแล้วให้. อนึ่ง เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุณีทั้งหลายด้วยแก่ท่านด้วย บุคคลไม่ได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง ย่อมได้เฉพาะส่วนเดียว จากลำดับที่ถึงเท่านั้น เพราะเหตุไร? เพราะเหตุที่บุคคลอันเขารวมเข้าด้วยศัพท์ว่าภิกษุสงฆ์ แม้เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุทั้งหลายด้วย แก่ท่านด้วย แก่เจดีย์ด้วย เจดีย์ได้ส่วนเท่าบุคคลผู้หนึ่ง บุคคลไม่ได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง เพราะฉะนั้น พึงให้แก่เจดีย์ส่วนหนึ่ง ที่เหลือพึงนับภิกษุและภิกษุณีแจกกัน. แม้เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย อย่าแบ่งกลางให้ พึงแบ่งตามจำนวนบุคคลเท่านั้น เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ว่า ถวายแก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย แก่ท่านด้วย ดังนี้ก็ดี, กล่าวอย่างนี้ว่า ถวายแก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย แก่ เจดีย์ด้วย ดังนี้ก็ดี, กล่าวอย่างนี้ว่า ถวายแก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย แก่ท่านด้วย แก่เจดีย์ด้วย ดังนี้ก็ดี, เจดีย์ได้ส่วนเดียว บุคคลไม่มีส่วนอีกแผนกหนึ่ง พึงนับภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายเท่านั้น แจกกัน. เหมือนอย่างว่า ข้าพเจ้ายก ภิกษุสงฆ์ให้เป็นต้น อธิบายความ ฉันใด บัณฑิตพึงยกภิกษุณีสงฆ์ให้เป็นต้นบ้าง อธิบายความ ฉันนั้น. เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ท่านด้วย. บุคคลไม่ได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง พึงถือเอาตามลำดับพรรษาเท่านั้น. อนึ่ง เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่เจดีย์ด้วย, เจดีย์ได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง, แม้เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ท่านด้วย แก่เจดีย์ด้วย, เจดีย์เท่านั้น ได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง บุคคลไม่ได้. แม้เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วย แก่ท่านด้วย, บุคคลไม่ได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง. แต่เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายด้วย แก่เจดีย์ด้วย เจดีย์ย่อมได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง แม้เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายด้วย แก่ท่านด้วย แก่เจดีย์ด้วย เจดีย์เท่านั้น ย่อมได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง บุคคล ไม่ได้. พึงยกภิกษุณีสงฆ์ให้เป็นต้นบ้าง ประกอบเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. ถามว่า เฉพาะในกาลก่อน ทายกทั้งหลายถวายทานแก่สงฆ์สองฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งตรงกลาง ภิกษุนั่งข้างขวา ภิกษุณีนั่งข้างซ้าย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสังฆเถระแห่งสงฆ์ ๒ ฝ่าย ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบริโภคปัจจัยที่พระองค์ได้ด้วยพระองค์เองบ้าง รับสั่งให้แก่ภิกษุทั้งหลายบ้าง. ส่วนในบัดนี้ คนผู้ฉลาดทั้งหลายตั้งพระปฏิมาหรือพระเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุ แล้วถวายทานแก่สงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตั้งบาตร บนเชิงข้างหน้าแห่งพระปฏิมาหรือพระเจดีย์ แล้วถวายทักษิโณทกกล่าวว่า ขอถวายแด่พระพุทธเจ้า ดังนี้แล้ว ใส่ของควรเคี้ยว ของควรบริโภคอันใดเป็นที่หนึ่งในบาตรนั้น หรือนำมายังวัด ถวายบิณฑบาตและวัตถุมีระเบียบและของหอมเป็นต้น กล่าวว่า นี้ถวายพระเจดีย์; จะพึงปฏิบัติอย่างไร ในของควรเคี้ยวและของควรบริโภคนั้น? ตอบว่า วัตถุมีระเบียบและของหอมเป็นต้น ควรยกวางไว้ที่พระเจดีย์ก่อน, ผ้าพึงใช้ทำธงแผ่นผ้า น้ำมันพึงใช้ตามประทีป; ส่วนบิณฑบาตและเภสัชมีน้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น พึงให้แก่บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระเจดีย์เป็นประจำ เมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้รักษาเป็นประจำ สมควรจะตั้งไว้ดังภัตที่ตนเองนำมากระทำวัตรแล้วฉัน. ในเวลากระชั้น ฉันเสียแล้ว จึงทำวัตรต่อภายหลัง ก็ควรเหมือนกัน. ก็เมื่อเขากล่าว ขอท่านทั้งหลายจงนำสิ่งนี้ไปทำการบูชาพระเจดีย์ ดังนี้ บรรดาวัตถุมีระเบียบและของหอมเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ในที่ไกล ก็ควรนำไปบูชา แม้เมื่อเขากล่าวว่า ขอจงนำไปเพื่อภิกษุสงฆ์ ควรนำไป. ก็หากว่าเมื่อภิกษุกล่าว ว่า เราจักเที่ยวบิณฑบาต ที่อาสนศาสามีภิกษุ เธอทั้งหลายจักนำไป เขากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถวายท่านนั่นแล สมควรฉัน. ก็ถ้าว่า เมื่อภิกษุกำลังนำไปตั้งใจว่า จักถวายภิกษุสงฆ์ เวลาจวนเสียในระหว่างทางเทียว สมควรให้ถึงแก่ตนแล้วฉันเถิด.
ถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษา ข้อว่า ถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษา มีความว่า ทายกเข้าไปยังวิหารแล้วถวายว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรเหล่านี้ แก่สงฆ์ผู้จำพรรษา. ข้อว่า ยาวติกา ภิกฺขู ตสฺมึ อาวาเส วสฺสํ วุตฺถา มีความว่า ภิกษุมีจำนวนเท่าไร จำพรรษาแรก ไม่ทำให้ขาดพรรษา ภิกษุเหล่านั้น พึงแจกกัน ; จีวรนั้นไม่ถึงแก่ภิกษุเหล่าอื่น. เมื่อผู้รับแทนมี พึงให้แม้แก่ภิกษุผู้หลีกไปสู่ทิศ จนกว่าจะรื้อกฐิน. พระอาจารย์ทั้งหลายผู้เข้าใจลักษณะกล่าวว่า แต่เมื่อไม่ได้กรานกฐิน ก็แลจีวรที่เขาบอกถวายอย่างนั้น ในภายในเหมันตฤดู ย่อมถึงแม้แก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้จำพรรษาหลัง. ส่วนในอรรถกถาทั้งหลาย หาได้สอดส่องข้อนี้ไว้ไม่. ก็ถ้าว่า ทายกตั้งอยู่ภายนอกอุปจารสีมากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษา, จีวรนั้น ย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งปวงผู้มาถึงเข้า. ถ้าเขากล่าวว่า ถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาในวัดโน้น. ย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาในวัดนั้นเท่านั้น จนกว่าจะรื้อกฐิน. ก็ถ้าว่าเขากล่าวอย่างนั้น จำเดิมแต่วันต้นแห่งคิมหฤดูไป ย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งปวงผู้พร้อมหน้ากันในวัดนั้น. เพราะเหตุไร? เพราะจีวรนั้นเกิดขึ้นภายหลังสมัย. เมื่อเขากล่าวว่า ถวาย แก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษา ดังนี้ ในภายในพรรษาทีเดียว ภิกษุผู้ขาดพรรษา ย่อมไม่ได้ เฉพาะภิกษุผู้จำพรรษาตลอดจึงได้. ส่วนในจีวรมาส เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษา. ย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาในปัจฉิมพรรษาเท่านั้น, ไม่ถึงแก่ ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาในปุริมพรรษาและผู้ขาดพรรษา. จำเดิมแต่จีวรมาสไปจนถึงวันสุดท้ายแห่งเหมันตฤดู เมื่อเขากล่าวว่า ถวายผ้าจำนำพรรษา, กฐินจะได้กรานหรือไม่ได้กรานก็ตามที ผ้านั้นย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาที่ล่วงไปแล้วเท่านั้น. อนึ่ง เมื่อเขากล่าวจำเดิมแต่วันต้นแห่งคิมหฤดูไป. พึงยกมาติกาขึ้นว่า สำหรับกาลจำพรรษาที่เป็นอดีต ล่วงไปแล้ว ๕ เดือน กาลจำพรรษาที่เป็นอนาคต ต่อล่วงไป ๔ เดือน จึงจักมี ท่านให้แก่สงฆ์ผู้จำพรรษาไหน. ถ้าเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้จำพรรษาที่ล่วงไปแล้ว ย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่จำตลอดภายในพรรษานั้นเท่านั้น. ภิกษุผู้ชอบกัน ย่อมได้เพื่อรับแทนภิกษุผู้หลีกไปสู่ทิศ. ถ้าเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุผู้จำพรรษาในพรรษาที่จะมาข้างหน้า พึงเก็บผ้านั้นไว้ ถือเอาในวันเข้าพรรษา หากว่าที่อยู่คุ้มครอง ไม่ได้ ทั้งมีโจรภัย; เมื่อภิกษุกล่าวว่า ไม่อาจเก็บไว้ หรือไม่อาจถือเที่ยวไป เขาบอกว่า ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่พร้อมแล้ว ; พึงแจกกันถือเอา. หากว่า เขากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่ได้ถวายผ้าใด แก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษา ในพรรษาที่ ๓ แต่พรรษานี้ไป ข้าพเจ้าถวายผ้านั้น ย่อมถึงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาภายในพรรษานั้น. ถ้าภิกษุเหล่านั้นหลีกไปสู่ทิศเสียแล้ว ภิกษุอื่นผู้คุ้นเคยกัน จะรับแทน พึงให้. ถ้าเหลืออยู่รูปเดียวเท่านั้น นอกจากนั้น มรณภาพหมด ย่อมถึงแก่ภิกษุรูปเดียวนั่นแลทั้งหมด. ถ้าว่า แม้รูปเดียวก็ไม่มี ย่อมเป็นของสงฆ์ ผ้านั้นภิกษุผู้พร้อมหน้ากัน พึงแจกกัน. ถวายจำเพาะ ข้อว่า ถวายจำเพาะ มีความว่า เขาเจาะจง คือกำหนดหมายถวาย. ในบทว่า ยาคุยา เป็นอาทิ มีเนื้อความดังนี้ :- เขาเจาะจงถวายในข้าวต้ม หรือข้าวสวย หรือของควรเคี้ยวหรือจีวร หรือเสนาสนะ หรือเภสัช. ในบทเหล่านั้น มีโยชนาดังนี้ :- ทายกนิมนต์ภิกษุด้วยข้าวต้มประจำวันนี้ หรือประจำวันพรุ่ง แล้วถวายข้าวต้มแก่พวกเธอผู้เข้าสู่เรือนแล้ว, ครั้นถวายเสร็จแล้ว เมื่อภิกษุทั้งหลายฉันข้าวต้มแล้วจึงถวายว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรเหล่านี้ แก่พระผู้เป็นเจ้า ทั้งหลายผู้ฉันข้าวต้มของข้าพเจ้า. จีวรนั้น ย่อมถึงแก่ภิกษุผู้ได้รับนิมนต์ ได้ฉันข้าวต้มแล้วเท่านั้น ส่วนข้าวต้มอันภิกษุเหล่าใดผู้ผ่านไปทางประตูเรือน หรือผู้เข้าไปสู่เรือนด้วยภิกขาจารวัตรจึงได้ หรือข้าวต้มที่ชนทั้งหลายนำบาตรของภิกษุเหล่าใดมาจากอาสนศาลาแล้วนำไป ถวาย, หรือข้าวต้มอันพระเถระทั้งหลายส่งไปเพื่อภิกษุเหล่าใด ย่อมไม่ถึงแก่ภิกษุเหล่านั้น. แต่ถ้าว่าภิกษุแม้เหล่าอื่น กับภิกษุที่ได้รับนิมนต์มากันมาก นั่งเต็มทั้งภายในเรือนและนอกเรือน, หากทายกกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจะเป็นผู้ได้รับนิมนต์ หรือไม่ได้ รับนิมนต์ก็ตาม ข้าวต้มข้าพเจ้าได้ถวายแล้ว แก่พระผู้เป็นเจ้าเหล่าใด ผ้าเหล่านี้จงเป็นของพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น ดังนี้ ย่อมถึงทั่วกัน. ฝ่ายภิกษุเหล่าใดได้ข้าวต้มจากมือพระเถระ ย่อมไม่ถึงแก่ภิกษุเหล่านั้น. ถ้าเขากล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าเหล่าใดฉันข้าวต้มของข้าพเจ้า ผ้าเหล่านี้จงเป็นของพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นจนทั่วถึง ดังนี้ ย่อมถึงทั่วกัน. แม้ในข้าวสวยและของควรเคี้ยว ก็นัยนี้แล. บทว่า จีวเร วา มีความว่า ถ้าทายกผู้เคยถวายจีวรแก่ภิกษุทั้งหลายซึ่งตนนิมนต์ให้จำพรรษาแม้ในกาลก่อน ให้ภิกษุฉันแล้วกล่าวว่า ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ถวายจีวรแก่พระผู้เป็นเจ้าเหล่าใด จีวรนี้ก็ดี เนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้นก็ดี จงเป็น ของพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นแล ทุกอย่างย่อมถึงแก่ภิกษุเหล่านั้นเท่านั้น. บทว่า เสนาสเน วา มีความว่า เมื่อเขากล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าใดอยู่ในที่อยู่หรือในบริเวณที่ข้าพเจ้าสร้าง ผ้านี้จงเป็นของพระผู้เป็นเจ้านั้น ย่อมเป็นของภิกษุนั้นเท่านั้น. บทว่า เภสชฺเช วา มีความว่า เมื่อเขากล่าวว่า พวกข้าพเจ้าถวายเภสัชมีเนยใสเป็นต้น แก่พระเถระทั้งหลายทุกเวลา, เภสัชเหล่านั้น อันพระเถระเหล่าใดได้แล้ว; ผ้านี้จงเป็นของพระเถระเหล่านั้นเท่านั้น ดังนี้, ย่อมเป็นของพระเถระเหล่านั้นเท่านั้น. ถวายแก่บุคคล ข้อว่า ถวายแก่บุคคล มีความว่า เขาถวายลับหลังอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรนี้แก่ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ หรือวางไว้แทบบาทมูลถวายต่อหน้าอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถวายจีวรนี้ แก่ท่านดังนี้ก็ดี. ก็ถ้าว่าเขากล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรนี้แก่ท่านด้วย แก่อันเตวาสิก ทั้งหลายของท่านด้วย ดังนี้. ย่อมถึงแก่พระเถระและเหล่าอันเตวาสิก. ภิกษุผู้มาเพื่อเรียนอุทเทส และผู้เรียนแล้วจะไปมีอยู่, ย่อมถึงแม้แก่เธอ. เมื่อเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวอยู่เป็นนิตย์กับท่าน ย่อมถึงแก่อุทเทสันเตวาสิกทั้งปวง ผู้กระทำวัตร เรียนอุทเทสและปริปุจฉาเป็นต้นเที่ยวไปอยู่. นี้เป็นวินิจฉัยในบทนี้ว่า ถวายแก่บุคคล. คำที่เหลือในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. อรรถกถาจีวรขันธกะ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: