Translate

07 ธันวาคม 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ จัมเปยยขันธกะ ปฏิโกสนา ๒ อย่าง เป็นต้น นิสสรณา ๒ อย่าง โอสารณา ๒ อย่าง

Google Workspace logo
 ทำบุญ [๑๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ขึ้น บางคนคัดค้านไม่ขึ้น    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครเล่าคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ไม่ขึ้น       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณี คัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ไม่ขึ้น
   สิกขมานา .... สามเณร .... สามเณรี
   ภิกษุผู้บอกลาสิกขา .... ภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุ
   ภิกษุวิกลจริต .... ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน ....
   ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ....
   ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ....
   ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ....
   ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละทิฏฐิบาป ...
   บัณเฑาะก์ .... ภิกษุลักเพศ ....
   ภิกษุเข้ารีตเดียรถีย์ .... สัตว์ดิรัจฉาน ..
   ภิกษุผู้ฆ่ามารดา .... ภิกษุผู้ฆ่าบิดา ....
   ภิกษุผู้ฆ่าพระอรหันต์ .. ภิกษุผู้ประทุษร้ายภิกษุณี
   ภิกษุผู้ทำสังฆเภท .... ภิกษุผู้ทำโลหิตุปบาท
   อุภโตพยัญชนก .... ภิกษุนานาสังวาส ....
   ภิกษุผู้อยู่ในสีมาต่างกัน ....
   ภิกษุผู้อยู่ในเวหาสด้วยฤทธิ์ ....
สงฆ์ทำกรรมแก่ผู้ใด ผู้นั้นคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ไม่ขึ้น
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้แล คัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ไม่ขึ้น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครเล่าคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุปกตัตตะมีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมาเดียวกัน โดยที่สุดแม้ภิกษุผู้นั่งอยู่บนอาสนะติดกันบอกให้รู้ คัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ขึ้น.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล คัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ขึ้น. นิสสรณา ๒ อย่าง [๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิสสารณาการขับออกนี้มี ๒ อย่าง คือมีบุคคลที่ยังไม่ถึงการขับออก ถ้าสงฆ์ขับเธอออก บางคนเป็นอันสงฆ์ขับออกดีแล้ว บางคนเป็นอันสงฆ์ขับออกไม่ดี
   ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลชนิดไรที่ยังไม่ถึงการขับออก ถ้าสงฆ์ขับเธอออก เป็นอันขับออกไม่ดี
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ ถ้าสงฆ์ขับเธอออกเป็นอันขับออกไม่ดี
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้ เรากล่าวว่ายังไม่ถึงการขับออก ถ้าสงฆ์ขับเธอออกเป็นอันขับออกไม่ดี
   ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลชนิดไรที่ยังไม่ถึงการขับออก ถ้าสงฆ์ขับเธอออก เป็นอันขับออกดีแล้ว
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมารยาทไม่สมควร อยู่คลุกคลีกับพวกคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ถ้าสงฆ์ขับเธอออกเป็นอันขับออกดีแล้ว
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้ เรากล่าวว่ายังไม่ถึงการขับออก ถ้าสงฆ์ขับเธอออก เป็นอันขับออกดีแล้ว.
โอสารณา ๒ อย่าง
   [๑๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โอสารณาการรับเข้าหมู่นี้มี ๒ อย่าง คือมีบุคคลที่ยังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ บางคนเป็นอันรับเข้าดี บางคนเป็นอันรับเข้าไม่ดี
   ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลชนิดไรที่ยังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่เป็นอันรับเข้าไม่ดี
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณเฑาะก์ยังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าไม่ดี
   คนลักเพศ .... คนเข้ารีตเดียรถีย์ ....
   สัตว์ดิรัจฉาน .... คนผู้ฆ่ามารดา ....
   คนผู้ฆ่าบิดา ....คนผู้ฆ่าพระอรหันต์ ...
   คนผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ....คนผู้ทำสังฆเภท
   คนผู้ทำโลหิตตุปบาท ....
   อุภโตพยัญชนก ยังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าไม่ดี   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่ายังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าไม่ได้
   ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลชนิดไรที่ยังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนมือด้วน ยังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
   คนเท้าด้วน .... คนทั้งมือและเท้าด้วน ....
   คนหูขาด .... คนจมูกแหว่ง ....
   คนทั้งหูขาดจมูกแหว่ง .... คนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด
   คนมีง่ามมือง่ามเท้าขาด .... คนเอ็นขาด ....
   คนมือเป็นแผ่น .... คนค่อม .... คนเตี้ย
   คนคอพอก .... คนมีเครื่องหมายติดตัว
   คนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ....
   คนถูกประกาศให้จับ .... คนเท้าปุก ....
   คนมีโรคเรื้อรัง .... คนแปลกเพื่อน ....
   คนตาบอดข้างเดียว .... คนง่อย ....
   คนกระจอก .... คนเป็นโรคอัมพาต ....
   คนมีอิริยาบถขาด .... คนชราทุพพลภาพ
   คนตาบอดสองข้าง .... คนใบ้ ....
   คนหูหนวก .... คนทั้งบอดและใบ้ ....
   คนทั้งบอดและหนวก .... คนทั้งใบ้และหนวก
   คนทั้งบอด ใบ้ และหนวก ยังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้ เรากล่าวว่ายังไม่ถึงการรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่เป็นอันรับเข้าดีแล้ว.
วาสภคามภาณวาร ที่ ๑ จบ.
อุกเขปนียกรรมที่ไม่เป็นธรรม
   [๑๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เห็นอาบัติ สงฆ์หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหม? เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะเห็น สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ทำคืนอาบัติ สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูปหรือรูปเดียวโจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะทำคืน สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่สละทิฏฐิลามก สงฆ์หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีทิฏฐิลามกที่จะสละ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่สละทิฏฐิลามก ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม.
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เห็นอาบัติ และไม่ทำคืนอาบัติสงฆ์ หรือภิกษุหลายรูปหรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหม? จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะเห็น ไม่มีอาบัติที่จะทำคืนสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติและฐานไม่ทำคืน ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม.
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เห็นอาบัติ และไม่สละทิฏฐิลามก สงฆ์หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหมท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะเห็น ไม่มีทิฏฐิลามกที่จะสละ สงฆ์ยกเธอเสียฐาน
ไม่เห็นอาบัติ และฐานไม่สละทิฏฐิลามก ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ทำคืนอาบัติ และไม่สละทิฏฐิลามก สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย ท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะทำคืน ไม่มีทิฏฐิลามกที่จะสละ สงฆ์ยกเธอ
เสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ และฐานไม่สละทิฏฐิลามกชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เห็นอาบัติ ไม่ทำคืนอาบัติ ไม่สละทิฏฐิลามก สงฆ์หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหม จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย ท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะเห็น ไม่มี
อาบัติที่จะทำคืน ไม่มีทิฏฐิลามกที่จะสละ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่เห็นอาบัติฐานไม่ทำคืนอาบัติ และฐานไม่สละทิฏฐิลามก ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม.
   [๑๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เห็นอาบัติ สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหม? เธอกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมเห็นขอรับ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำคืนอาบัติ สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายผมจักทำคืนขอรับ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม.
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สละทิฏฐิลามก สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมจักสละ ขอรับ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่สละทิฏฐิลามก ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม.
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เห็นอาบัติ และทำคืนอาบัติ .... เป็นผู้เห็นอาบัติ และสละทิฏฐิลามก .... เป็นผู้ทำคืนอาบัติ และสละทิฏฐิลามก .... เป็นผู้เห็นอาบัติ ทำคืนอาบัติ และสละทิฏฐิลามก สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหม?
   จงทำคืนอาบัตินั้น ท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้นเสีย เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมเห็น ขอรับ ผมจักทำคืน ขอรับ ผมจักสละ ขอรับ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ฐานไม่ทำคืนอาบัติ และฐานไม่สละทิฏฐิลามก ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม.
อุกเขปนียกรรมที่เป็นธรรม
   [๑๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เห็นอาบัติ สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูปหรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหม? เธอพูดอย่างนี้ว่าอาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะเห็น สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม.
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำคืนอาบัติ สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้น เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายผมไม่มีอาบัติที่จะทำคืน สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม.
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สละทิฏฐิลามก สงฆ์ หรือภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้น เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายผมไม่มีทิฏฐิลามกที่จะสละ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่สละทิฏฐิลามก ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม.
   อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เห็นอาบัติ ทำคืนอาบัติ .... เป็นผู้เห็นอาบัติ และสละทิฏฐิลามก .... เป็นผู้ทำคืนอาบัติ และสละทิฏฐิลามก .... เป็นผู้เห็นอาบัติ ทำคืนอาบัติ และสละทิฏฐิลามก สงฆ์ หรือ ภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียว โจทก์เธอว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติแล้ว ท่านเห็นอาบัตินั้นไหม?
   จงทำคืนอาบัตินั้นท่านมีทิฏฐิลามก จงสละทิฏฐิลามกนั้น เธอพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะเห็น ไม่มีอาบัติที่จะทำคืน ไม่มีทิฏฐิลามกที่จะสละ สงฆ์ยกเธอเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ฐานไม่ทำคืนอาบัติ และฐานไม่สละคืนทิฏฐิลามก ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม.
พระอุบาลีทูลถามปัพพาชนียกรรมเป็นต้น
   [๑๙๙] ครั้งนั้น ท่านพระอุบาลีเข้าไปในพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า กรรมที่ควรทำในที่พร้อมหน้า แต่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน กลับทำในที่ลับหลัง การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมเป็นธรรมเป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมไม่เป็นธรรมไม่เป็นวินัย
   อุ. สงฆ์พร้อมเพรียงกัน ทำกรรมที่ควรสอบถาม แต่ทำโดยไม่สอบถาม .... ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยมิได้ปฏิญาณ ....  ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ทำตัสสปาปิยสิกา กรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำนิยสกรรม
แก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปฏิสารนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำอุเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารนียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุ
ผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... อัพภานภิกษุผู้ควรมานัต .... ให้ภิกษุผู้ควรอัพภาณให้อุปสมบทกุลบุตร การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?
   ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย กรรมที่ควรทำในที่พร้อมหน้า แต่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันกลับทำเสียในที่ลับหลัง อย่างนี้แลอุบาลี ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ
   อุบาลี สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำกรรมที่ควรสอบถาม แต่ทำโดยไม่สอบถาม .... ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยมิได้ปฏิญาณ .... ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ทำตัสสปาปิยสิกา กรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัยทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุ
ผู้ควรตัชชนียกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหา
อาบัติเดิม .... อัพภาณภิกษุผู้ควรมานัต .... ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานให้อุปสมบทกุลบุตร อย่างนี้แลอุบาลี ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ [๒๐๐]
   อุ. กรรมที่ควรทำในที่พร้อมหน้า สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำในที่พร้อมหน้า การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรมวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?
   ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรม เป็นวินัย
   อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำกรรมที่ควรสอบถามแล้วทำโดยการสอบถาม .... ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยการปฏิญาณ .... ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้อมูฬหวินัย ....แก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำตัชชนีย
กรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส .... ชักเข้าหาอาบัติเดิม
ซึ่งภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต .... อัพภานภิกษุผู้ควรอัพภาน .... อุปสมบทกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรม เป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?
   ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรม เป็นวินัย กรรมที่ควรทำในที่พร้อมหน้าสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำในที่พร้อมหน้า อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่า กรรมเป็นธรรม เป็นวินัยและการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่มีโทษ.
   อุบาลี สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำกรรมที่ควรสอบถามแล้วทำโดยสอบถาม .... ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยการปฏิญาณ .... ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้อมูฬวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม
.... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส .... ชักเข้าหาอาบัติเดิมซึ่งภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต ....
อัพภานภิกษุผู้ควรอัพภาน .... อุปสมบทกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่มีโทษ. [๒๐๑]
   อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรมเป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?
   ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย.
   อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสาปาปิยสิกากรรม .... ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุควรตัชชนียกรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม ....ทำตัชชนีย
กรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม ....
ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส .... ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ชักภิกษุ
ผู้ควรมานัตเข้าหาอาบัติเดิม .... อัพภานภิกษุผู้ควรมานัต .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรอัพภาน .... ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานให้อุปสมบทกุลบุตร .... อัพภานกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมเป็นธรรมเป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?
   ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัยอุบาลี สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย อย่างนี้แล อุบาลีชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
   สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัสสปาปิยสิกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุ
ผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุ
ผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส .... ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ชักภิกษุผู้ควรมานัตเข้าหาอาบัติเดิม .... อัพภาน
ภิกษุผู้ควรมานัต .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรอัพภาน .... ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานอุปสมบทกุลบุตร .... อัพภานกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
            [๒๐๒] อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย การกระทำนั้น ชื่อว่ากรรมเป็นธรรมเป็นวินัย หรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?
             ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย.
             อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุ
             ผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส .... ชักเข้าหาอาบัติเดิมซึ่งภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้
             มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต .... อัพภานภิกษุผู้ควรอัพภาน .... อุปสมบทกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท การ
กระทำนั้นชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย หรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า?.
ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย อุบาลี สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่มีโทษ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควร อุกเขปนียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส .... ชักเข้าหาอาบัติเดิมซึ่งภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต .... อัพภานภิกษุผู้ควรอัพภาน .... อุปสมบท กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่มีโทษ. [๒๐๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติ วินัย .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ชักภิกษุ ผู้ควรสติวินัยเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย .... อัพภานภิกษุผู้ควรสติวินัย .... ให้ภิกษุผู้ควรสติวินัยให้อุปสมบทกุลบุตร อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำ อย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำ ปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ชักภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัยเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... อัพภานภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย .... ให้ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัยให้อุปสมบทกุลบุตร .... ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลายชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม .... ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควร ปฏิสารณียกรรม .... ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม .... ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม .... อัพภานภิกษุผู้ควรมานัต .... ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานให้อุปสมบทกุลบุตร .... ให้สติวินัยแก่กุลบุตร ผู้ควรอุปสมบท .... ให้อมูฬหวินัยแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ทำตัชชนียกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ทำนิยสกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ทำปัพพาชนียกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ทำปฏิสารณียกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ทำอุกเขปนียกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ให้ปริวาสแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... ชักกุลบุตรผู้ควรอุปสมบทเข้าหาอาบัติเดิม .... ให้มานัตแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท .... อัพภานกุลบุตรผู้ควร อุปสมบท อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ. อุบาลีปุจฉาภาณวาร ที่ ๒ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: