Translate

16 ธันวาคม 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖ จุลวรรค ภาค ๑ กัมมขันธกะ สงฆ์ลงโทษและระงับกรรม วัตรที่ไม่ควรระงับ ๑๘ ข้อ ๓ หมวด

🔊🔋⚡🐝🐝
Google Workspace logo  ทำบุญหัวข้อประจำขันธกะ
   [๓๑๙] ๑. ภิกษุพวกพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ ก่อความบาดหมางเอง ได้เข้าไปหาภิกษุผู้เช่นกัน แล้วให้ขมักเขม้นในการก่อความบาดหมางขึ้นความบาดหมางที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น แม้ที่เกิดขึ้นแล้วก็ขยายตัวออกไป ภิกษุทั้งหลายที่มักน้อย มีศีลเป็นที่รัก ย่อมเพ่งโทษในบริษัท
   พระพุทธชินเจ้าผู้สยัมภูอัครบุคคล ผู้ทรงพระสัทธรรม รับสั่งให้ลงตัชชนียกรรม ณ พระนครสาวัตถี
   ตัชชนีกรรมที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย คือ ทำลับหลังไม่สอบถามก่อนแล้วทำ ไม่ทำตามปฏิญาณ หมวด ๑ ทำเพราะไม่ต้องอาบัติ ทำเพราะอาบัติมิใช่เทสนาคามินี ทำเพราะอาบัติที่แสดงแล้ว หมวด ๑ ไม่โจทก่อนแล้วทำ ไม่ให้จำเลยให้การก่อนแล้วทำ ไม่ปรับอาบัติแล้วทำ หมวด ๑ ทำลับหลัง ทำโดย
ไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำ หมวด ๑ ไม่สอบถามก่อนแล้วทำ ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำ หมวด ๑ ไม่ทำตามปฏิญาณ ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำ หมวด ๑ ทำเพราะไม่ต้องอาบัติ ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำ หมวด ๑ ทำเพราะอาบัติมิใช่เป็นเทสนาคามินี ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์
เป็นวรรคทำ หมวด ๑ ทำเพราะอาบัติที่แสดงแล้ว ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำ หมวด ๑ ไม่โจทก่อนแล้วทำ ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำหมวด ๑ ไม่ให้จำเลยให้การก่อนแล้วทำ ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำหมวด ๑
   ไม่ปรับอาบัติแล้วทำ ทำโดยไม่เป็นธรรม สงฆ์เป็นวรรคทำ หมวด ๑ ปราชญ์พึงทราบฝ่ายถูกตามนัยตรงกันข้ามกับฝ่ายผิดนั่นแหละ เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงตัชชนียกรรมแก่ภิกษุใด สงฆ์พึงลงตัชชนียกรรมแก่ภิกษุนั้น ผู้ก่อความบาดหมาง เป็นพาล คลุกคลีกับคฤหัสถ์ หมวด ๑ วิบัติในอธิศีล ในอัธยาจาร
  ในอติทิฐิ หมวด ๑ กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ หมวด ๑ สงฆ์พึงลงตัชชนียกรรมแก่ภิกษุ ๓ รูป คือ รูปหนึ่งก่อความบาดหมางรูปหนึ่งเป็นพาล รูปหนึ่งคลุกคลีกับคฤหัสถ์ หมวด ๑ รูปหนึ่งวิบัติในศีลรูปหนึ่งวิบัติในอัธยาจาร รูปหนึ่งวิบัติในอติทิฐิ หมวด ๑ รูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
  รูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระธรรม รูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระสงฆ์หมวด ๑  ภิกษุถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรมแล้ว ต้องประพฤติโดยชอบอย่างนี้ คือ ไม่ให้อุปสมบท ไม่ให้นิสัย ไม่ให้สามเณรอุปัฏฐาก ไม่สั่งสอนภิกษุณี และได้สมมติแล้วก็ไม่สั่งสอน ไม่ต้องอาบัตินั้น ไม่ต้องอาบัติอื่นอันเช่นกันและอาบัติยิ่งกว่านั้น ไม่ติกรรม
  ไม่ติภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรม ไม่ห้ามอุโบสถ ปวารณาแก่ปกตัตตะภิกษุไม่ทำการไต่สวน ไม่เริ่มอนุวาทาธิกรณ์ ไม่ยังภิกษุอื่นให้ทำโอกาสไม่โจทภิกษุอื่น ไม่ให้ภิกษุอื่นให้การ และไม่ช่วยภิกษุกับภิกษุให้สู้อธิกรณ์กัน
   ภิกษุใดประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ให้อุปสมบท ให้นิสัย ให้สามเณรอุปัฏฐาก สั่งสอนภิกษุณี แม้ได้รับสมมติแล้วก็ยังสั่งสอนและองค์ ๕ คือ ต้องอาบัตินั้น ต้องอาบัติอันเช่นกัน และต้องอาบัติที่ยิ่งกว่านั้น ติกรรม ติภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรม สงฆ์ไม่ระงับตัชชนียกรรมแก่ภิกษุนั้น
   ภิกษุใดประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ คือ ห้ามอุโบสถ ปวารณา ทำการไต่สวนเริ่มอนุวาทาธิกรณ์ ให้ทำโอกาส โจทภิกษุอื่น ให้ภิกษุอื่นให้การ และให้สู้อธิกรณ์กัน ย่อมไม่ระงับจากตัชชนียกรรม ปราชญ์พึงทราบฝ่ายถูกตามนัยตรงกันข้ามกับฝ่ายผิดนั้นแหละ
   ๒. พระเสยยสกะเป็นพาล มีอาบัติมาก และคลุกคลีกับคฤหัสถ์พระสัมพุทธเจ้าผู้มหามุนี รับสั่งให้ลงนิยสกรรม
   ๓. ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะทั้งสอง ในชนบทกิฏาคีรีไม่สำรวม ประพฤติแม้ซึ่งอานาจารมีอย่างต่างๆ พระสัมพุทธชินเจ้ารับสั่งให้ลงปัพพาชนียกรรม ในพระนครสาวัตถี
   ๔. พระสุธรรมเป็นเจ้าถิ่นของจิตตะคฤหบดีในเมืองมัจฉิกาสณฑ์ด่าจิตตะผู้อุบาสก ด้วยถ้อยคำกระทบชาติ พระตถาคตรับสั่งให้ลงปฏิสารณียกรรม
   ๕. พระชินเจ้าผู้อุดม ทรงบัญชาให้ลงอุกเขปนียกรรม ในเพราะไม่เห็นอาบัติ แก่พระฉันนะผู้ไม่ปรารถนาจะเห็นอาบัติ ในพระนครโกสัมพี
   ๖. พระฉันนะไม่ปรารถนาจะทำคืนอาบัตินั้นแล พระพุทธเจ้าผู้ดำรงตำแหน่งนายกพิเศษ รับสั่งให้ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่ทำคืนอาบัติต่อไป
   ๗. ทิฐิอันเป็นบาป อาศัยความไม่รู้ บังเกิดแก่พระอริฏฐะ พระชินเจ้าดำรัสให้ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิ นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม และปฏิสารณียกรรม ก็เหมือนกัน
   บทเกินเหล่านี้มีในปัพพาชนียกรรม คือ เล่นคะนอง ประพฤติอนาจารลบล้างพระบัญญัติ และมิจฉาชีพ ฐานไม่เห็นและไม่ทำคืนอาบัติ และฐานไม่สละทิฐิ บทเกินเหล่านี้มีในปฏิสารณียกรรมคือ มุ่งความไม่มีลาภ กล่าวติเตียนมีนามว่า ปัญจกะ ๒ หมวดๆ ละ ๕ แม้กรรมทั้งสอง คือ ตัชชนียกรรม และ
นิยสกรรม ก็เช่นกัน ปัพพานียกรรม และปฏิสารณียกรรม หย่อนและยิ่งกว่ากัน ๘ ข้อ ๒ หมวด โดยการจำแนกอุกเขปนียกรรม ๓ อย่างนั้นเช่นเดียวกัน ปราชญ์พึงทราบกรรมที่เหลือ แม้ตามนัยแห่งตัชชนียกรรม เทอญ ฯ
หัวข้อประจำขันธกะ จบ
ข้อที่สงฆ์จำนง ๖ หมวด
หมวดที่ ๑ [๓๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาดมีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ อยู่คลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
หมวดที่ ๒ [๓๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ แม้อื่นอีก เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป คือ เป็นผู้มีศีลวิบัติในอธิศีล ๑ เป็นผู้มีอาจารวิบัติ ในอัธยาจาร ๑ เป็นผู้มีทิฐิวิบัติ ในอติทิฐิ ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
หมวดที่ ๓ [๓๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ แม้อื่นอีก เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป คือ กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า ๑  กล่าวติเตียนพระธรรม ๑ กล่าวติเตียนพระสงฆ์ ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
หมวดที่ ๔ [๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุ ๓ รูป คือ รูปหนึ่งเป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ รูปหนึ่งเป็นพาลไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร รูปหนึ่งอยู่คลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุ ๓ รูปนี้แล ฯ
หมวดที่ ๕[๓๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุ ๓ รูป แม้อื่นอีก คือ รูปหนึ่งเป็นผู้มีศีลวิบัติในอธิศีล รูปหนึ่งเป็นผู้มีอาจารวิบัติ ในอัธยาจาร รูปหนึ่งเป็นผู้มีทิฐิวิบัติ ในอติทิฐิ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุ ๓ รูปนี้แล ฯ
หมวดที่ ๖ [๓๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุ ๓ รูป แม้อื่นอีก คือ รูปหนึ่ง กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า รูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระธรรม รูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระสงฆ์
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์จำนงพึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุ ๓ รูปนี้แล ฯ
ข้อที่สงฆ์จำนง ๖ หมวด ในอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป จบ
วัตร ๑๕ ข้อ[๓๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปแล้ว ต้องประพฤติโดยชอบ วิธีประพฤติชอบในอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปนั้นดังต่อไปนี้:-
   ๑. ไม่พึงให้อุปสมบท
   ๒. ไม่พึงให้นิสัย
   ๓. ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก
   ๔. ไม่พึงรับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี
   ๕. แม้ได้รับสมมติแล้ว ก็ไม่พึงสั่งสอนภิกษุณี
 ๖. สงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปเพราะอาบัติใดไม่พึงต้องอาบัตินั้น
   ๗. ไม่พึงต้องอาบัติอื่นอันเช่นกัน
   ๘. ไม่พึงต้องอาบัติอันเลวทรามกว่านั้น
   ๙. ไม่พึงติกรรม
   ๑๐. ไม่พึงติภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรม
   ๑๑. ไม่พึงห้ามอุโบสถแก่ปกตัตตะภิกษุ
   ๑๒. ไม่พึงห้ามปวารณาแก่ปกตัตตะภิกษุ
   ๑๓. ไม่พึงทำการไต่สวน
   ๑๔. ไม่พึงเริ่มอนุวาทาธิกรณ์
   ๑๕. ไม่พึงยังภิกษุอื่นให้ทำโอกาส
   ๑๖. ไม่พึงโจทภิกษุอื่น
   ๑๗. ไม่พึงให้ภิกษุอื่นให้การ
   ๑๘. ไม่พึงช่วยภิกษุกับภิกษุให้สู้อธิกรณ์กัน ฯ
วัตร ๑๘ ข้อ ในอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป จบ
สงฆ์ลงโทษและระงับกรรม
   [๓๑๐] ครั้งนั้น สงฆ์ได้ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปแก่พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง คือ ห้ามสมโภคกับสงฆ์ ท่านถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แล้วสึกเสีย บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูล
พรานแร้ง ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปแล้ว จึงได้สึกเสียเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ฯ
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
   [๓๑๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปแล้วสึกเสีย จริงหรือ
   ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบุรุษนั้น ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปแล้ว จึงได้สึกเสียเล่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของโมฆบุรุษนั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
วัตรที่ไม่ควรระงับ ๑๘ ข้อ ๓ หมวด
หมวดที่ ๑ [๓๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์ไม่พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ:-
   ๑. ให้อุปสมบท
   ๒. ให้นิสัย
   ๓. ให้สามเณรอุปัฏฐาก
   ๔. รับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี
   ๕. แม้ได้รับสมมติแล้ว ก็ยังสั่งสอนภิกษุณี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล สงฆ์ไม่พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
หมวดที่ ๒ [๓๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์ไม่พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก คือ:-
   ๑. สงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป เพราะอาบัติใดต้องอาบัตินั้น
   ๒. ต้องอาบัติอื่นอันเช่นกัน
   ๓. ต้องอาบัติอันเลวทรามกว่านั้น
   ๔. ติกรรม
   ๕. ติภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล สงฆ์ไม่พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
หมวดที่ ๓[๓๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์ไม่พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ:-
   ๑. ห้ามอุโบสถแก่ปกตัตตะภิกษุ
   ๒. ห้ามปวารณาแก่ปกตัตตะภิกษุ
   ๓. ทำการไต่สวน
   ๔. เริ่มอนุวาทาธิกรณ์
   ๕. ยังภิกษุอื่นให้ทำโอกาส
   ๖. โจทภิกษุอื่น
   ๗. ให้ภิกษุอื่นให้การ
   ๘. ช่วยภิกษุกับภิกษุให้สู้อธิกรณ์กัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล สงฆ์ไม่พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
วัตรที่ไม่ควรระงับ ๑๘ ข้อ ๓ หมวด ในอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป จบ
วัตรที่ควรระงับ ๑๘ ข้อ ๓ หมวด
หมวดที่ ๑[๓๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ:-
   ๑. ไม่ให้อุปสมบท
   ๒. ไม่ให้นิสัย
   ๓. ไม่ให้สามเณรอุปัฏฐาก
   ๔. ไม่รับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี
   ๕. แม้ได้รับสมมติแล้ว ก็ไม่สั่งสอนภิกษุณี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล สงฆ์พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
หมวดที่ ๒[๓๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก คือ:-
   ๑. สงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป เพราะอาบัติใด ไม่ต้องอาบัตินั้น
   ๒. ไม่ต้องอาบัติอื่นอันเช่นกัน
   ๓. ไม่ต้องอาบัติอันเลวทรามกว่านั้น
   ๔. ไม่ติกรรม
   ๕. ไม่ติภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล สงฆ์พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
หมวดที่ ๓[๓๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ:-
   ๑. ไม่ห้ามอุโบสถแก่ปกตัตตะภิกษุ
   ๒. ไม่ห้ามปวารณาแก่ปกตัตตะภิกษุ
   ๓. ไม่ทำการไต่สวน
   ๔. ไม่เริ่มอนุวาทาธิกรณ์
   ๕. ไม่ยังภิกษุอื่นให้ทำโอกาส
   ๖. ไม่โจทภิกษุอื่น
   ๗. ไม่ให้ภิกษุอื่นให้การ
   ๘. ไม่ช่วยภิกษุกับภิกษุให้สู้อธิกรณ์กัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล สงฆ์พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ฯ
วัตรที่ควรระงับ ๑๘ ข้อ ๓ หมวด ในอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป จบ
วิธีระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป
   [๓๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีระงับอุกเขปนียกรรมฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป พึงระงับอย่างนี้:-
   ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขอระงับกรรมนั้นอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำขอระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป
   ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปแล้วประพฤติโดยชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ ข้าพเจ้าขอระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป
   พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาระงับอุกเขปนียกรรม
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้
   ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็น
   บาป แล้วประพฤติโดยชอบหายเย่อหยิ่ง ประพฤติ
   แก้ตัวได้ บัดนี้ ขอระงับอุกเขปนียกรรม ฐาน
   ไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
   ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละ
   ทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุมีชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้
   ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็น
   บาป แล้วประพฤติโดยชอบหายเย่อหยิ่ง ประพฤติ
   แก้ตัวได้ บัดนี้ ขอระงับอุกเขปนียกรรม ฐาน
   ไม่สละทิฐิอันเป็นบาป สงฆ์ระงับอุกเขปนียกรรม

 

                      

      Khnumhotep II (ẖnmw-ḥtp, "Khnum is pleased") คนุมโฮเทป  อี10ดับเบิลยู 9เอชทีพี  ที ในอักษรเฮียโรกลิฟิกยุคสมัย : อาณาจักรกลาง (2055–1650 ปีก่อนคริสตกาล) 
علم التعمية   

วิทยาการเข้ารหัสลับ

          علم الأسرار، وهو يشمل التعمية - الكتابة السرية - واستخراج المعمى - تحليل الكتابات السرية -

ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุมีชื่อนี้ การระงับ อุกเขปนียกรรมฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุมี ชื่อนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง ... ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟัง ข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้ ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิ อันเป็นบาป แล้วประพฤติโดยชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ บัดนี้ ขอระงับอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป สงฆ์ระงับ อุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาปแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การระงับ อุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่ ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด อุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป สงฆ์ระงับแล้วแก่ ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วย อย่างนี้ ฯ อุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป ที่ ๗ จบ กัมมขันธกะ ที่ ๑ จบ ในขันธกะนี้มี ๗ เรื่อง
                    แผ่นเข้ารหัสจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในรูปแบบซีริลลิกพบในบัลแกเรีย แต่ฉันไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับแผ่นนี้มากนัก แผ่นนี้ ทำขึ้นด้วยมือจาก
                 ทองเหลืองและอลูมิเนียม โดยมีการแกะสลักขอบของภาคส่วน ทั้ง 40 ภาคส่วน ด้วยมือ และมีการประทับตัวเลขและตัวอักษรไว้ เมื่อตั้งดัชนี "A" เป็น "A" ภาคส่วนต่างๆ จะอยู่ในตำแหน่งที่ดี อย่างไรก็ตาม ในตำแหน่งอื่น การจัดตำแหน่งจะไม่ชัดเจน เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 มม.

ไม่มีความคิดเห็น: