Translate

03 ธันวาคม 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ องค์ของเจ้าหน้าที่ผู้รับจีวร เป็นต้น องค์ของเจ้าหน้าที่ผู้เก็บจีวร

Google Workspace logo
 ทำบุญ [๑๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนถือจีวรมาสู่อาราม พวกเขาหาภิกษุเจ้าหน้าที่รับไม่ได้จึงนำกลับไป จีวรเกิดขึ้นน้อย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร คือ
   ๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
   ๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง
   ๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย
   ๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ
   ๕. รู้จักจีวรจำนวนที่รับไว้ และยังมิได้รับ
&@วิธีสมมติ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้.
   สงฆ์พึงขอร้องภิกษุก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
&@กรรมวาจาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร นี้เป็นญัตติ   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร การสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่งไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวรแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
&@องค์ของเจ้าหน้าที่ผู้เก็บจีวร
   [๑๔๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร รับจีวรแล้วทิ้งไว้ในที่นั้นแหละ แล้วหลีกไป จีวรเสียหาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร คือ:-
   ๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
   ๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง
   ๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย
   ๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ
   ๕. รู้จักจีวรจำนวนที่เก็บไว้ และยังมิได้เก็บ
&@วิธีสมมติ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้.
   สงฆ์พึงขอร้องภิกษุก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
&@กรรมวาจาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร นี้เป็นญัตติ.   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร การสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่งไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ ให้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
&@พระพุทธานุญาตเรือนคลัง
   [๑๔๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร ได้เก็บจีวรไว้ในมณฑปบ้าง ที่โคนไม้บ้าง ที่ชายคาบ้าง ที่กลางแจ้งบ้าง จีวรถูกหนูกัดบ้าง ถูกปลวกกินบ้าง ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติ วิหาร เพิง เรือนชั้น เรือนโล้น หรือถ้ำ ที่สงฆ์จำหมายให้เป็นเรือนคลัง.
&@วิธีสมมติ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงสมมติอย่างนี้ คือ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
&@กรรมวาจาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติวิหารมีชื่อนี้ให้เป็นเรือนคลัง นี้เป็นญัตติ.   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติวิหารมีชื่อนี้ให้เป็นเรือนคลัง การสมมติวิหารมีชื่อนี้ให้เป็นเรือนคลัง ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
   สงฆ์สมมติวิหารมีชื่อนี้ ให้เป็นเรือนคลังแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
&@องค์ของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาเรือนคลัง
   [๑๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล จีวรในเรือนคลังของสงฆ์ ไม่มีคนเฝ้า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง คือ:-
   ๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
   ๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง
   ๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย
   ๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ
   ๕. รู้จักจีวรจำนวนที่รักษา และยังมิได้รักษา
วิธีสมมติ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้
   สงฆ์พึงขอร้องภิกษุก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
&@กรรมวาจาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง นี้เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง การสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   สงฆ์สมมติ ภิกษุมีชื่อนี้ ให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลังแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
&@พระพุทธบัญญัติห้ามย้ายเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง
   [๑๔๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ย้ายเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงย้ายเจ้าหน้าที่ผู้รักษาเรือนคลัง รูปใดย้าย ต้องอาบัติทุกกฏ.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ องค์ของผู้รับจีวรเป็นต้น
 ว่าด้วยเจ้าหน้าที่รับจีวร
   วินิจฉัยในข้อว่า โย น ฉนฺทาคตึ คจฺฉติ เป็นอาทิ
พึงทราบดังนี้ :- 
   ในภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร ภิกษุผู้รับของปิยชนทั้งหลายมีญาติเป็นต้นของตน แม้มาทีหลัง ก่อนกว่า, หรือรับแสดงความพอใจในทายกบางคน. หรือน้อมมาเพื่อตน ด้วยความเป็นผู้มีโลภเป็นปกติ, ชื่อว่าถึงความลำเอียง เพราะความชอบพอ. 
   ภิกษุใดรับของทายกแม้มาก่อนกว่า ทีหลังด้วยอำนาจความโกรธ หรือรับทำอาการดูหมิ่นในคนจน หรือทำลาภันตรายแก่สงฆ์อย่างนี้ว่า ที่เก็บในเรือนของท่านไม่มีหรือ, ท่านจงถือเอาของๆ ท่านไปเถิด. ภิกษุนี้ชื่อว่าถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง. 
   ฝ่ายภิกษุใดหลงลืมสติ ไม่รู้ตัว ภิกษุนี้ ชื่อถึงความลำเอียงเพราะงมงาย.    ภิกษุผู้รับของอิสรชนทั้งหลาย แม้มาทีหลัง ก่อนกว่า เพราะความกลัว หรือหวาดหวั่นอยู่ว่า ตำแหน่งผู้รับจีวรนี้หนักนัก, ชื่อถึงความลำเอียงเพราะกลัว, 
   ภิกษุผู้รู้อยู่ว่า จีวรนี้ด้วย นี้ด้วย เรารับแล้ว และส่วนนี้ เราไม่ได้รับ ชื่อรู้จักจีวรที่รับแล้วและไม่ได้รับ เพราะเหตุนั้น    ภิกษุใดไม่ลำเอียงด้วยอำนาจแห่งฉันทาคติเป็นต้น รับตามลำดับผู้มา ไม่ทำให้แปลกกันในคนที่เป็นญาติและมิใช่ญาติ คนมั่งมีและคนจน, เป็นผู้ประกอบด้วยศีลาจารปฏิบัติ มีสติ มีปัญญา เป็น
พหูสูต สามารถเพื่อกระทำอนุโมทนาด้วยบทและพยัญชนะอันเรียบร้อย ด้วยวาจาอันสละสลวย ยังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ทายกทั้งหลาย ; ภิกษุเห็นปานนี้สงฆ์ควรสมมติ. 
   ก็วินิจฉัยในข้อว่า เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว สมฺมนฺนิตพฺโพ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   สมควรแท้ที่จะสมมติในท่ามกลางสงฆ์ทั้งปวง ภายในวัดก็ได้ ในขัณฑสีมาก็ได้ ด้วยกรรมวาจาตามที่ตรัสนั้นก็ได้ ด้วยอปโลกน์ก็ได้ ก็อันภิกษุซึ่งสงฆ์สมมติแล้วอย่างนั้น ไม่พึงอยู่ในกุฎีที่อยู่หลังสุดท้ายหรือในที่ทำความเพียร. ก็แต่ว่า ชนทั้งหลายผู้มาแล้ว จะพบได้ง่าย ในที่ใด พึงวางพัดไว้ข้างตัว นุ่งห่มเรียบร้อยนั่งในที่แห่งกุฎีอยู่ใกล้เช่นนั้น. 
   สองบทว่า ตตฺเถว อุชฺฌิตฺวา มีความว่า ภิกษุเจ้าหน้าที่รับจีวรกล่าวว่า การรับเท่านั้น เป็นธุระของพวกข้าพเจ้า แล้วทิ้งไว้ในที่ซึ่งตนรับนั่นเองแล้วไปเสีย.
   บทว่า จีวรปฏิคฺคาหกํ ได้แก่ ภิกษุผู้รับจีวรซึ่งคหบดีทั้งหลายถวายแก่สงฆ์.   บทว่า จีวรนิทาหกํ ได้แก่ ภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร. 
   ในคำว่า โย น ฉนฺทาคตึ เป็นอาทิ ในอธิการว่าด้วยสมมติเจ้าหน้าที่เก็บจีวรนี้ และในอธิการทั้งปวงนอกจากนี้ พึงทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวนั้นนั่นแล. 
   ถึงวินิจฉัยในการสมมติ ก็พึงทราบโดยทำนองดังกล่าวแล้วเหมือนกัน. วินิจฉัยในคำว่า วหารํ วา เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :- 
   ที่อยู่อันใดพลุกพล่านด้วยชนทั้งหลายมีคนวัดและสามเณรเป็นต้น ในท่ามกลางวัด เป็นกุฎีที่อยู่ก็ตาม เป็นเพิงก็ตาม อยู่ในสถานเป็นที่ประชุมของชนทั้งปวง ที่อยู่อันนั้น ไม่พึงสมมติ. อนึ่งเสนาสนะปลายแดน ก็ไม่ควรสมมติ. อันการที่ภิกษุทั้งหลายไปสู่ขัณฑสีมานั่งในขัณฑสีมา สมมติภัณฑาคารนี้ ย่อมไม่ควร ต้องสมมติในท่ามกลางวัดเท่านั้น. 
   วินิจฉัยในข้อว่า คุตฺตาคุตฺตญฺจ ชาเนยฺย นี้
พึงทราบดังนี้ :- 
   โทษไรๆ ในสัมภาระทั้งหลายมีหลังคาเป็นต้น แห่งเรือนคลังใดไม่มีก่อน เรือนหลังนั้น ชื่อว่าคุ้มได้ ฝ่ายเรือนคลังใด มีหญ้าสำหรับมุง หรือกระเบื้องสำหรับมุง พังไปในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือมีช่องในที่บางแห่ง มีฝาเป็นต้น ที่มีฝนรั่วได้ หรือมีทางเข้าแห่งสัตว์ทั้งหลายมีหนูเป็นต้น หรือปลวกขึ้นได้ เรือนคลังนั้นทั้งหมด
ชื่อว่าคุ้มไม่ได้ พึงตรวจดูเรือนคลังนั้นแล้วซ่อมแซม. ในฤดูหนาวพึงปิดประตูและหน้าต่างให้ดี เพราะว่า จีวรย่อมตกหนาว๑- เพราะความหนาว. ในฤดูร้อน ประตูและหน้าต่าง ควรเปิดเพื่อให้ลมเข้าในระหว่างๆ. ด้วยว่าเมื่อทำอย่างนั้นชื่อว่ารู้จักเรือนคลังที่คุ้มได้และคุ้มไม่ได้. 
๑- สีที่ละลายออกหรือจางไปในเวลาซักหรือถูกแดดเป็นต้น สีตก เรียกว่าตกหนาว. 
   ก็เจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ นี้ มีเจ้าหน้าที่รับจีวรเป็นต้น ต้องรู้จักวัตรของตน. 
   บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ นั้น ผ้าทุกชนิดที่ชนทั้งหลายถวายว่า กาลจีวร ก็ดี ว่า อกาลจีวร ก็ดี ว่า อัจเจกจีวร ก็ดี ว่า วัสสิกสาฏิกา ก็ดี ว่า ผ้านิสีทนะ ก็ดี ว่า ผ้าปูลาด ก็ดี ว่า ผ้าเช็ดหน้า ก็ดี อันเจ้าหน้าที่รับจีวรไม่ควรรับปนรวมเป็นกองเดียวกัน พึงรับจัดไว้เป็นแผนกๆ แล้วบอกอย่างนั้นแล มอบแก่เจ้าหน้าที่
เก็บจีวร. เจ้าหน้าที่เก็บจีวรเล่า เมื่อจะมอบแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาเรือนคลัง พึงบอกมอบหมายว่า นี่กาลจีวร ฯลฯ นี่ผ้าเช็ดหน้า. 
   ฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้รักษาเรือนคลัง พึงทำเครื่องหมายเก็บไว้เป็นแผนกๆ อย่างนั้นเหมือนกัน. ภายหลังเมื่อสงฆ์สั่งว่า จงนำกาลจีวรมา พึงถวายเฉพาะกาลจีวร ฯลฯ เมื่อสงฆ์สั่งว่า จงนำผ้าเช็ดหน้ามา พึงถวายเฉพาะผ้าเช็ดหน้าเท่านั้น. 
   เจ้าหน้าที่รับจีวร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว เจ้าหน้าที่เก็บจีวร ทรงอนุญาตแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้รักษาเรือนคลัง ก็ทรงอนุญาตแล้ว เพื่อความเป็นผู้มักมากหามิได้ เพื่อความไม่สันโดษหามิได้ โดยที่แท้ ทรงอนุญาตแล้ว เพื่ออนุเคราะห์สงฆ์ ด้วยประการฉะนี้. 
   ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลายจะพึงถือเอาจีวรที่ทายกนำมาแล้วๆ แบ่งกันไซร้ เธอทั้งหลายจะไม่ทราบจีวรที่ทายกนำมาแล้ว ไม่พึงทราบจีวรที่ทายกยังมิได้นำมา ไม่พึงทราบจีวรที่ตนให้แล้วไม่พึงทราบจีวรที่ตนยังไม่ได้ให้ ไม่พึงทราบจีวรที่ภิกษุได้แล้ว ไม่พึงทราบจีวรที่ภิกษุยังไม่ได้ ; จะพึงถวายจีวรที่ทายกนำมาแล้วๆ ในเถรอาสน์
หรือจะพึงตัดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ถือเอา. เมื่อเป็นเช่นนี้ การใช้สอยจีวรที่ไม่เหมาะ ย่อมมีได้ ทั้งไม่เป็นอันได้ทำความสงเคราะห์ทั่วถึงกัน. ก็แต่ว่า ภิกษุทั้งหลายเก็บจีวรไว้ในเรือนคลังแล้ว ในคราวมีจีวรมาก จักให้จีวรแก่ภิกษุรูปละไตรบ้าง รูปละ ๒ ผืนๆ บ้าง รูปละผืนๆ บ้าง เธอทั้งหลายจักทราบจีวรที่ภิกษุได้แลัว
และยังไม่ได้ ครั้นทราบความที่จีวรซึ่งภิกษุยังไม่ได้ จักสำคัญเพื่อทำความสงเคราะห์กันฉะนี้.
 ว่าด้วยบุคคลที่ไม่ควรให้ย้าย
   วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว ภณฺฑาคาริโก วุฏฺฐาเปตพฺโพ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   พึงรู้จักภิกษุที่ไม่ควรให้ย้ายแม้อื่นอีก จริงอยู่ ไม่ควรให้ย้ายภิกษุ ๔ พวก คือ ภิกษุผู้แก่กว่า ๑ ภิกษุเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง ๑ ภิกษุผู้อาพาธ ๑ ภิกษุได้เสนาสนะจากสงฆ์ ๑. 
   ในภิกษุ ๔ พวกนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า อันภิกษุผู้อ่อนกว่า ไม่พึงให้ย้าย เพราะท่านเป็นผู้แก่กว่าตน, ภิกษุเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง ไม่พึงให้ย้าย เพราะเรือนคลังอันสงฆ์สมมติมอบให้, ภิกษุผู้อาพาธ ไม่พึงให้ย้าย เพราะค่าที่เธอเป็นผู้อาพาธ, แต่ว่า สงฆ์มอบที่อยู่อันสำราญกระทำให้เป็นสถานที่ไม่ต้องให้ย้าย แก่ภิกษุ
ผู้เป็นพหูสูต มีอุปการะมาก ด้วยอุทเทสและปริปุจฉาเป็นต้น ผู้ช่วยภาระ, เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้เป็นพหูสูตนั้น ไม่พึงให้ย้าย เพราะค่าที่เธอเป็นผู้มีอุปการะ และเพราะค่าที่เสนาสนะเป็นของอันเธอได้จากสงฆ์ ฉะนี้แล. .
องค์ของเจ้าหน้าที่ผู้แจกจีวร
   [๑๔๖] ก็โดยสมัยนั้นแล จีวรในเรือนคลังของสงฆ์มีมาก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สงฆ์ผู้อยู่พร้อมหน้า แจก.
   สมัยต่อมา สงฆ์ทั้งปวงกำลังแจกจีวรได้ส่งเสียงอื้ออึง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร คือ:-
   ๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
   ๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง
   ๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย
   ๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ
   ๕. รู้จักจีวรจำนวนที่แจกแล้ว และยังมิได้แจก .
ยวิธีสมมติ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงสมมติอย่างนี้
   สงฆ์พึงขอร้องภิกษุก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่ แล้วสงฆ์พึงสมมติ ภิกษุชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร นี้เป็นญัตติ.   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร การสมมติภิกษุมีชื่อนี้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   สงฆ์สมมติภิกษุชื่อนี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวรแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า ควรแจกจีวรอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสแนะวิธีแจกว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คัดเลือกผ้าก่อน แล้วตีราคาคิดถัวกัน นับภิกษุ ผูกผ้าเป็นมัดๆ แล้วตั้งส่วนจีวรไว้.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร ได้มีความปริวิตกว่า พึงให้ส่วนจีวรแก่สามเณรอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้มอบส่วนกึ่งหนึ่งให้แก่พวกสามเณร.
   สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งปรารถนาจะรีบเดินทางไปกับส่วนของตน ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้มอบส่วนของตนแก่ภิกษุผู้รีบเดินทางไป.
   สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่ง ปรารถนาจะรีบเดินทางไปกับส่วนพิเศษ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้มอบส่วนพิเศษในเมื่อให้สิ่งทดแทนสมกัน.
   ครั้งนั้น ภิกษุเจ้าหน้าที่แจกจีวรคิดว่า พึงให้ส่วนจีวรอย่างไรหนอ คือ พึงให้ตามลำดับภิกษุผู้มา หรือพึงให้ตามลำดับภิกษุผู้แก่พรรษา จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมยอมส่วนที่บกพร่อง แล้วทำการจับสลาก.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ องค์ของเค้าหน้าที่ผู้แจกจีวรเป็นต้น
 ว่าด้วยเจ้าหน้าที่แจกจีวร
   สองบทว่า อุสฺสนฺนํ โหติ มีความว่า จีวรมีมากต้องจัดกองไว้คือเรือนคลังไม่จุพอ. 
   บทว่า สมฺมุขีภูเตน คือ ยืนอยู่ภายในอุปจารสีมา. 
   บทว่า ภาเชตุํ มีความว่า เพื่อให้ประกาศเวลา แจกกันตามลำดับ. 
   สองบทว่า โกลาหลํ อกาสิ คือ ได้ทำเสียงดังอย่างนี้ว่า ท่านจงให้แก่อาจารย์ของเรา ท่านจงให้แก่อุปัชฌาย์ของเรา. 
วินิจฉัยในองค์ของเจ้าหน้าที่แจกจีวร พึงทราบดังนี้ :- 
   เมื่อให้จีวรที่มีราคามาก แม้ยังไม่ถึง (ลำดับ) แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ชอบพอกัน ชื่อถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ. ไม่ให้จีวรมีราคามาก แม้ถึงแก่ภิกษุผู้แก่กว่าเหล่าอื่น แต่กลับเอาจีวรมีราคาน้อยให้ชื่อถึงความลำเอียง เพราะความเกลียดชัง. ภิกษุผู้งมงายด้วยความเขลา ไม่รู้จักธรรมเนียมการให้จีวร ชื่อถึงความลำเอียง
เพราะงมงาย เพราะกลัวแม้แต่ภิกษุอ่อนผู้มีปากกล้า จึงให้จีวรมีราคามากที่ยังไม่ทันถึง (ลำดับ) ชื่อถึงความลำเอียงเพราะกลัว. ภิกษุใดไม่ถึงความลำเอียงอย่างนั้น คือ เป็นผู้เที่ยงตรง เป็นผู้พอดี วางเป็นกลางต่อภิกษุทั้งปวง ภิกษุเห็นปานนี้สงฆ์ควรสมมติ. 
   บทว่า ภาชิตาภาชิตํ มีความว่า ภิกษุผู้ทราบอยู่ว่า ผ้าแจกไปแล้วเท่านี้ ยังมิได้แจกเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทราบผ้าที่แจกแล้วและยังมิได้แจก. 
   บทว่า อุจฺจินิตฺวา มีความว่า คัดเลือกผ้าทั้งหลายอย่างนี้ว่านี่เนื้อหยาบ นี่เนื้อละเอียด นี่เนื้อแน่น นี่เนื้อบาง นี่ใช้แล้ว นี่ยังไม่ได้ใช้ นี่ยาวเท่านี้ นี่กว้างเท่านี้. 
   บทว่า ตุลยิตฺวา มีความว่า ทำการกำหนดราคาอย่างนี้ว่า ผืนนี้ตีราคาเท่านี้ ผืนนี้ตีราคาเท่านี้.
สองบทว่า วณฺณาวณฺณํ กตฺวา มีความว่า ถ้าเฉพาะผืนหนึ่งๆ ซึ่งมีราคาผืนละ ๑๐ กหาปณะๆ พอทั่วกัน อย่างนั้น นั่นเป็นการดี ; ถ้าไม่พอผืนใด ตีราคา ๙ หรือ ๘ กหาปณะ ผืนนั้นควบกับผืนอื่น ซึ่งมีราคา ๑ กหาปณะ และมีราคา ๒ กหาปณะจัดส่วนเท่าๆ กันโดยอุบายนี้แล..
           ข้อว่า ภิกฺขู คเณตฺวา วคฺคํ พนฺธิตฺวา มีความว่า หากว่าเมื่อแจกทีละรูปๆ วันไม่พอ เราอนุญาตให้นับภิกษุพวกละ ๑๐ รูปๆ จัดส่วนจีวร
เป็นหมวดๆ หมวดละ ๑๐ ส่วนๆ ทำเป็นมัดอันเดียวกันตั้งเป็นส่วนจีวรอันหนึ่ง เมื่อส่วนจีวรได้จัดตั้งไว้อย่างนี้แล้วพึงให้จับสลาก แม้ภิกษุเหล่านั้น ก็พึงจับสลากแจกกันอีก. 
               วินิจฉัยในข้อว่า สามเณรานํ อุฑฺฒปฏิวึสํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
           สามเณรเหล่าใดเป็นอิสระแก่ตน ไม่ทำการงานที่ควรทำของภิกษุสงฆ์ ขวนขวายในอุทเทสและปริปุจฉา ทำวัตรปฏิบัติแก่อาจารย์และ
อุปัชฌาย์เท่านั้น ไม่ทำแก่ภิกษุเหล่าอื่น เฉพาะสามเณรเหล่านั้น พึงให้กึ่งส่วน. ฝ่ายสามเณรเหล่าใดทำกิจที่ควรทำของภิกษุสงฆ์เท่านั้น ทั้งปุเรภัตและ
ปัจฉาภัต พึงให้ส่วนเท่ากันแก่สามเณรเหล่านั้น. แต่คำนี้กล่าวเฉพาะด้วยอกาลจีวร ซึ่งเกิดขึ้นหลังสมัย ได้เก็บไว้ในเรือนคลัง ส่วนกาลจีวรต้องให้เท่าๆ กันแท้. บทว่า ปทกฺขา ได้แก่ เฉียบแหลม คือฉลาด. ผ้าจำนำพรรษา ซึ่งเกิดในที่นั้น ภิกษุและสามเณรพึงทำผาติกรรมแก่สงฆ์มีผูกไม้กวาดเป็นต้น แล้วถือเอา. จริงอยู่ การทำหัตถกรรม มี ผูกไม้กวาดเป็นต้น เป็นวัตรของภิกษุสามเณรทั้งปวง ในการถือเอาผ้าจำนำพรรษานี้ ทั้งใน (อกาล) จีวรที่เก็บไว้ในเรือนคลัง (ตามปกติ). ถ้าว่า สามเณรทั้งหลายมากระทำการร้องขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ พวกผมต้มข้าวต้ม พวกผมหุงข้าวสวย พวกผมปิ้งของควรเคี้ยว พวกผมถางหญ้า พวกผมหาไม้สีฟันมา พวกผมทำสะเก็ดน้ำย้อมให้ควรถวาย ก็อะไรเล่า ที่ชื่อว่าพวกผมไม่ได้ทำ พึงให้ส่วนเท่ากันแก่สามเณรเหล่านั้นเทียว. การให้ส่วนเท่ากัน เมื่อพวกสามเณรทำการร้องขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาสามเณรผู้กระทำผิดและสามเณรผู้มีความกระทำไม่ปรากฏ. แต่ในกุรุนทีแก้ว่า หากว่า สามเณรทั้งหลายวิงวอนว่า ท่านผู้เจริญ พวกผมไม่ทำงานของสงฆ์ เพราะเหตุอะไร พวกผมจักทำ พึงให้ส่วนเท่ากัน. บทว่า อุตฺตริตุกาโม มีความว่า ผู้ประสงค์จะข้ามแม่น้ำหรือทางกันดาร คือผู้ได้พวกแล้วประสงค์จะหลีกไปสู่ทิศ. คำว่า สกํ ภาคํทาตุํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเนื้อความนี้ว่า เมื่อขนจีวรออกจากเรือนคลังจัดกองไว้แล้ว ตีระฆังแล้ว ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว, ภิกษุผู้ได้พวกแล้วประสงค์จะไป อย่าต้องพลัดพรากจากพวก.. เพราะฉะนั้น เมื่อจีวรยังมิได้ขนออกก็ดี ระฆังยังมิได้ตีก็ดี สงฆ์ยังมิได้ประชุมกันก็ดี ไม่ควรให้. แต่เมื่อจีวรขนออกแล้ว ตีระฆังแล้ว ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร พึงคะเนดูว่า ส่วนของภิกษุนี้พึงมีเท่านี้ แล้วให้จีวรตามความคาดคะเน ; เพราะว่าไม่อาจให้เท่าๆ กัน เหมือนชั่งด้วยตราชั่งได้ เพราะฉะนั้น จะหย่อนไปหรือเกินไปก็ตามที จีวรที่ให้แล้ว โดยคาดคะเนโดยนัยอย่างนี้ เป็นอันให้ด้วยดีแท้ ; หย่อนไปก็ไม่ต้องแถมให้อีก เกินไปก็ไม่ต้องเอาคืนฉะนี้แล. ข้อว่า อติเรกภาเคน มีความว่า ภิกษุมี ๑๐ รูป ทั้งผ้าก็มี ๑๐ ผืนเหมือนกัน. ในผ้าเหล่านั้น ผืนหนึ่งตีราคา ๑๒ กหาปณะ ผืนที่เหลือตี ราคาผืนละ ๑๐ กหาปณะ เมื่อได้จับสลากในผ้าทั้งปวงด้วยอำนาจตีราคาผืนละ ๑๐ กหาปณะเท่ากัน สลากในผ้ามีราคา ๑๒ กหาปณะ ให้ตกแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นเป็นผู้ประสงค์จะไปทั้งส่วนที่เกินนั้น ด้วยกล่าวว่า จีวรของเราย่อมพอเพียงด้วยส่วนเท่านี้. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ผู้มีอายุ ส่วนที่เกินต้องเป็นของสงฆ์?   ; พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อให้ส่วนที่เกิน ในเมื่อเธอให้สิ่งของสำหรับทดแทนแล้ว ดังนี้
เพื่อแสดงเนื้อความนั้นว่า ชื่อว่าน้อยย่อมไม่มีในของสงฆ์และของคณะ ภิกษุพึงทำความสำรวมในของสงฆ์และของคณะทั้งปวง ถึงภิกษุผู้จะถือเอาก็พึงรังเกียจ. ในบทว่า อนุกฺเขเป ทินฺเน นั้น มีความว่า ขึ้นชื่อว่าสิ่งของสำหรับทดแทน ได้แก่กัปปิยภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะพึงทดแทน คือพึงใช้แทนให้. ในส่วนของภิกษุนั้น ที่เกินไปเท่าใด เมื่อกัปปิยภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีราคาเท่านั้น อันเธอให้แล้ว. ความบกพร่องในคำว่า วิกลเก โตเสตฺวา นี้ มี ๒ คือ :- บกพร่องจีวร ๑ บกพร่องบุคคล ๑. ที่ชื่อว่าความบกพร่องจีวร พึงทราบดังนี้ :- ผ้าถึงภิกษุรูปละ ๕ ผืนๆ ทั่วกัน, ทั้งยังมีผ้าเหลือ แต่ไม่พอรูปละผืนๆ พึงตัดให้. ก็แล เมื่อจะตัด พึงทำให้เป็นท่อนให้พอแก่จีวรมีอัฑฒมณฑลเป็นต้น หรือบริขารอื่นมีถุงใส่รองเท้าเป็นต้น โดยกำหนดอย่างต่ำที่สุด สมควรตัดท่อนให้กว้างเพียง ๔ นิ้ว ยาวพอแก่อนุวาต. แต่ไม่พึงทำเป็นท่อนจนใช้ไม่ได้ ; เพราะฉะนั้นข้อที่จีวรไม่เพียงพอ ชื่อว่าความบกพร่องจีวร ในคำว่า วิกลเก โตเสตฺวา นี้ ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง เมื่อตัดจีวรให้แล้ว จีวรนั้นเป็นของแถมให้ภิกษุทั้งหลายพอใจ. ลำดับนั้นพึงทำการจับสลาก. ในอันธกอรรถกถาแก้ว่า ถึงหากว่า ในส่วนของภิกษุรูปหนึ่ง ผ้าจะไม่พอผืน ๑ หรือ ๒ ผืน, พึงแถมสมณบริขารอย่างอื่นในส่วนนั้น ภิกษุใดพอใจด้วยส่วนนั้น, พึงให้ส่วนนั้นแก่ภิกษุนั้นแล้ว พึงทำการจับฉลากในภายหลัง ; แม้นี้ก็ชื่อว่า ความบกพร่องจีวร. ที่ชื่อว่า ความบกพร่องบุคคล พึงทราบดังนี้ :- เมื่อนับภิกษุจัดเป็นหมวดๆ ละ ๑๐ รูป หมวดหนึ่งไม่ครบ มีภิกษุอยู่ ๘ รูปหรือ ๙ รูป พึงให้แก่ภิกษุเหล่านั้น ๘ ส่วนหรือ ๙ ส่วนว่า ท่านทั้งหลายจงนับส่วนเหล่านี้แบ่งแจกกันเกิด. ข้อที่บุคคลไม่เพียงพอนี้ ชื่อความบกพร่องบุคคล ด้วยประการฉะนี้. ก็เมื่อให้เป็นแผนกแล้ว จีวรนั้นย่อมเป็นของที่ให้ภิกษุทั้งหลาย
พอใจได้, ครั้นให้พอใจได้อย่างนั้นแล้ว พึงทำการจับสลาก. อีกอย่างหนึ่ง ข้อว่า วิกลเก โตเสตฺวา มีความว่า ส่วนจีวรใดบกพร่อง. พึงเอาบริขารอื่นแถมส่วนจีวรนั้นให้เท่ากันแล้วพึงทำการจับสลาก.

ไม่มีความคิดเห็น: