[๒๕] โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของ
อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายอันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารท
ถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก เพราะอาพาธนั้น พวกเธอ
จึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น พระผู้มีพระภาค
ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้นซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ
มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น ครั้นแล้วจึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งถามว่า ดูกรอานนท์
ทำไมหนอ เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ
มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลาย อันอาพาธซึ่งเกิดชุม
ในฤดูสารทถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก เพราะอาพาธนั้น
พวกเธอจึงซูบผอม เศร้าหมองมีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น.
พระพุทธานุญาตเภสัช ๕ ในกาล
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับในที่สงัดทรงหลีกเร้นอยู่ ได้มีพระปริวิตกแห่งพระทัยเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายอันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารท ถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก เพราะอาพาธนั้น พวกเธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวพรรณ
เหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น เราจะพึงอนุญาตอะไรหนอ เป็นเภสัชแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเป็นเภสัชอยู่ในตัว และเขาสมมติว่าเป็นเภสัช ทั้งจะพึงสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลก และจะไม่พึงปรากฏเป็นอาหารหยาบ ทีนั้นพระองค์ได้มีพระปริวิตกสืบต่อไปว่า เภสัช ๕ นี้แล คือ เนยใส
เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัช
อยู่ในตัว และเขาสมมติว่าเป็นเภสัช ทั้งสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลก และไม่ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ผิฉะนั้น เราพึงอนุญาตเภสัช ๕ นี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ให้รับประเคนในกาลแล้วบริโภคในกาล ครั้นเวลาสายัณห์พระองค์เสด็จออกจากที่หลีกเร้น ทรงทำธรรมีกถา
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้
ว่า เดี๋ยวนี้ ภิกษุทั้งหลายอันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารท ถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก เพราะอาพาธนั้น พวกเธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น เราจะพึงอนุญาตอะไรหนอเป็นเภสัชแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเป็น
เภสัชอยู่ในตัวและเขาสมมติว่าเป็นเภสัช ทั้งจะพึงสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลกและไม่ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกสืบต่อไปว่า เภสัช ๕ นี้แล คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัชอยู่ในตัว และเขาสมมติว่าเป็นเภสัช
ทั้งสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลก และไม่ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ผิฉะนั้น เราพึงอนุญาตเภสัช ๕ นี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ให้รับประเคนในกาลแล้วบริโภคในกาล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับประเคนเภสัช ๕ นั้นในกาล แล้วบริโภคในกาล.
พระพุทธานุญาตเภสัช ๕ นอกกาล
[๒๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายรับประเคนเภสัช ๕ นั้นในกาล แล้วบริโภคในกาล โภชนาหารของพวกเธอชนิดธรรมดา ชนิดเลว ไม่ย่อย ไม่จำต้องกล่าวถึงโภชนาหารที่ดี พวกเธออันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารทนั้น และอันความเบื่อภัตตาหารนี้ถูกต้องแล้ว เพราะเหตุ ๒ ประการนั้น
ยิ่งเป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้นซึ่งซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น
ครั้นแล้วจึง ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ มารับสั่งถามว่า ดูกรอานนท์ ทำไมหนอ เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายยิ่ง ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น?
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายรับประเคนเภสัช ๕ นั้น ในกาลแล้วบริโภคในกาล โภชนาหารของพวกเธอชนิดธรรมดา ชนิดเลว ไม่ย่อย ไม่จำต้องกล่าวถึงโภชนาหารที่ดี พวกเธออันอาพาธ ซึ่งเกิดชุมในฤดูสารทนั้น และอันความเบื่อภัตตาหารนี้ถูกต้องแล้ว
เพราะเหตุ ๒ ประการนั้น ยิ่งเป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น.
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับประเคนเภสัช ๕ นั้น แล้วบริโภคได้ทั้งในกาลทั้งนอกกาล.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ
ภิกษุอาพาธในฤดูสารทเป็นต้น
อรรถกถาเภสัชชขันธกะ| ว่าด้วยเภสัช
วินิจฉัยในเภสัชชขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-
สองบทว่า สารทิเกน อาพาเธน ได้แก่ อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นในสารทกาล.๑-
จริงอยู่ ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายย่อมเปียกด้วยน้ำฝนบ้าง ย่อมเหยียบย่ำโคลนบ้าง แดดย่อมกล้าในระหว่างๆ บ้าง เพราะเหตุนั้น ดีของภิกษุเหล่านั้นย่อมเป็นของซึมเข้าไปในลำไส้.
๑- กล่าวตามฤดู ๖ ในตำราแพทย์ ไท, สารทฤด ได้แก่ เดือนสิบเอ็ดกับเดือนสิบสอง และว่าเป็นไข้เพื่อลม.
สองบทว่า อาหารตฺถญฺจ ผเรยฺย มีความว่า วัตถุพึงยังประโยชน์ด้วยอาหารให้สำเร็จ. บทว่า นจฺฉาเทนฺติ มีความว่า ย่อมไม่ยอมไป คือไม่สามารถจะระงับโรคลมได้.
บทว่า สิเนสิกานิ ได้แก่ โภชนะที่สนิท.
บทว่า ภตฺตจฺฉาทเกน คือ ความไม่ย่อยแห่งอาหาร.
ในคำว่า กาเล ปฏิคฺคหิตํ เป็นต้น มีความว่า รับประเคนเจียวกรอง ในเมื่อเวลาเที่ยงยังไม่ล่วงเลยไป.
สองบทว่า เตลปริโภเคน ปริภุชิตุํ มีความว่า เพื่อบริโภคอย่างบริโภคน้ำมัน ซึ่งเป็นสัตตาหกาลิก.
บทว่า วจตฺถํ ได้แก่ ว่านที่เหลือ.
สองบทว่า นิสทํ นิสทโปตํ ได้แก่ ตัวหินบดและลูกหินบด.
ชื่อว่า ปัคควะ นั้น เป็นชาติไม้เถา (ได้แก่บอระเพ็ด).
บทว่า นตฺตมาลํ ได้แก่ กระถินพิมาน.
วินิจฉัยในบทว่า อจฺฉวสํ เป็นอาทิ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวในอรรถกถาแห่งนิสสัคคิยกัณฑ์๒- นั่นแล.
แม้วินิจฉัยในมูลเภสัชเป็นต้น ก็ได้กล่าวแล้วในขุททกวรรณนา๓- เหมือนกัน เพราะเหตุนั้น คำใดๆ ที่ไม่ได้กล่าวแล้วในก่อน ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะคำนั้นๆ ในที่นี้. หิงคุ หิงคุชตุและหิงคุสิปาฏิกา ก็คือชาตแห่งหิงคุนั่นเอง. ตกะ ตกปัตติและตกปัณณิยะ ก็คือชาติครั่งนั่นเอง.
๒- สมนฺต ทุติย. ๒๕๕. ๓- สมนฺต. ทุตยิ. ๔๑๓.
เกลือสมุทร นั้นได้แก่ เกลือที่เกิดตามฝั่งทะเลเหมือนทราย.
ชื่อว่า กาฬโลณะ นั้นได้แก่ เกลือตามปกติ.
เกลือสินเธาว์นั้น ได้แก่ เกลือมีสีขาว เกิดตามภูเขา.
ชื่อว่า อุพภิทะ นั้นได้แก่ เกลือที่เป็นหน่อขึ้นจากแผ่นดิน.
ชื่อว่า พิละ นั้นได้แก่ เกลือที่เขาหุงกับเครื่องปรุงทุกอย่าง เกลือนั้นแดง.
บทว่า ฉกนํ ได้แก่ โคมัย.
สองบทว่า กาโย วา ทุคฺคนฺโธ มีความว่า กลิ่นตัวของภิกษุบางรูป เหมือนกลิ่นตัวแห่งสัตว์มีม้าเป็นต้น จุรณแห่งไม้ซึกและดอกคำเป็นต้น หรือจุรณแห่งเครื่องหอมทุกๆ อย่าง ควรแก่ภิกษุแม้นั้น.
บทว่า รชนนิปกฺกํ ได้แก่ กากเครื่องย้อม. ภิกษุจะตำแม้ซึ่งจุรณตามปกติแล้วแช่น้ำอาบ ก็ควร. แม้จุรณตามปกตินั้น ย่อมถึงความนับว่า กากเครื่องย้อมเหมือนกัน.
อมนุษย์เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสด เพราะเหตุนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าไม่ได้เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดนั้น. อมนุษย์ ครั้นเคี้ยวกินและดื่มแล้วได้ออกไป เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อาพาธเกิดแต่อมนุษย์นั้นของเธอย่อมระงับ.
คำว่า อญฺชนํ นี้ เป็นคำกล่าวครอบยาตาทั้งหมด.
บทว่า กาฬญฺชนํ ได้แก่ ชาติแห่งยาตาชนิดหนึ่ง หรือยาตาที่หุงด้วยเครื่องปรุงทุกอย่าง.
บทว่า รสญฺชนํ ได้แก่ ยาตาที่ทำด้วยเครื่องปรุงต่างๆ.
บทว่า โสตญฺชนํ ได้แก่ ยาตาที่เกิดในกระแสน้ำเป็นต้น.
หรดาล กลีบทอง ชื่อเครุกะ.
ชื่อว่า กปัลละ นั้นได้แก่ เขม่าที่เอามาจากเปลวประทีป.
ชื่อว่า จันทนะ ได้แก่ จันทน์ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีจันทน์แดงเป็นต้น. เครื่องยาตาทั้งหลายมีกฤษณาเป็นต้น ปรากฏแล้ว. เครื่องยาแม้เหล่าอื่นมีอุบลเขียวเป็นต้น ย่อมควรเหมือนกัน.
บทว่า อญฺชนุปปึสเนหิ ได้แก่ เครื่องยาทั้งหลายที่จะพึงบดผสมกับยาตา. แต่เครื่องบดยาตาไรๆ จะไม่ควรหามิได้.
บทว่า อฏฺฐิมยํ มีความว่า ภาชนะยาตาที่แล้วด้วยกระดูกที่เหลือ เว้นกระดูกมนุษย์. บทว่า ทนฺตมยํ ได้แก่ ภาชนะยาตาที่แล้วด้วยงา ทุกอย่างมีงาช้างเป็นต้น. ขึ้นชื่อว่า ภาชนะที่ไม่ควร ย่อมไม่มีในภาชนะที่ทำด้วยเขาเลย. ภาชนะยาตาที่แล้วด้วยไม้อ้อเป็นต้น เป็นของควรโดยส่วนเดียวแท้.
บทว่า สลาโกธานิยํ มีความว่า ชนทั้งหลายย่อมเก็บไม้ด้ามยาตาในที่เก็บอันใด เราอนุญาตที่เก็บอันนั้นเป็นกลักก็ตาม เป็นถุงก็ตาม. บทว่า อํสวทฺธก นั้น ได้แก่ หูสำหรับสะพายแห่งถุงยาตา.
สองบทว่า ยมกํ นตฺถุกรณึ ได้แก่ กล้องยานัตถ์อันเดียวเป็นหลอดคู่ มีรูเท่ากัน. ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว เตลปากํ มีความว่า การหุงน้ำมันทุกชนิด เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้ใส่เครื่องยาอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงได้แท้.
บทว่า อติปกฺขิตฺตมชฺชานิ มีความว่า มีน้ำเมาอันตนใส่เกินเปรียบไป.
อธิบายว่า ปรุงใส่น้ำเมามากไป.
ลมในอวัยวะใหญ่น้อย ชื่ออังควาตะ.
บทว่า สมฺภารเสหํ ได้แก่ การเข้ากระโจมด้วยใบไม้ที่จะพึงหักได้ต่างๆ อย่าง.
บทว่า มหาเสทํ มีความว่า เราอนุญาตให้นึ่งร่างกายด้วยบรรจุถ่านไฟให้เต็มหลุม ประมาณเท่าตัวคนแล้ว กลบด้วยฝุ่นและทรายเป็นต้น ลาดใบไม้ที่แก้ลมได้ต่างๆ ชนิด บนหลุมนั้น แล้วนอนพลิกไปพลิกมาบนใบไม้นั้น ด้วยตัวอันทาน้ำมันแล้ว.
บทว่า ภงฺโคทกํ ได้แก่ น้ำที่ต้มเดือดด้วยใบไม้ต่างๆ ที่จะพึงหักได้. พึงรดตัวด้วยใบไม้เหล่านั้นและน้ำ เข้ากระโจม.
บทว่า อุทโกฏฺฐกํ ได้แก่ ซุ้มน้ำ. ความว่า เราอนุญาตให้ใช้อ่างหรือรางที่เต็มด้วยน้ำอุ่นแล้วลงในอ่างหรือรางนั้น ทำการนึ่งให้เหงื่อออก. สองบทว่า ปพฺพวาโต โหติ
มีความว่า ลมย่อมออกตามข้อๆ.
สองบทว่า โลหิตํ โมเจตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุปล่อยโลหิตด้วยมีด. สองบทว่า มชฺชํ อภิสงฺขริตุํ มีความว่า เท้าที่ผ่าแล้ว จะหายเป็นปกติได้ด้วยน้ำเมาใด เราอนุญาตให้ภิกษุใส่ยาต่างๆ ลงในกะลามะพร้าวเป็นต้นปรุงน้ำเมานั้น คือให้หุงยาเป็นที่สบายแก่เท้าทั้งสอง.
สองบทว่า ติลกกฺเกน อตฺโถ มีความว่า ต้องการด้วยงาทั้งหลายที่บดแล้ว. บทว่า กพฬิกํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุพอกแป้งที่ปากแผล.๔- บทว่า สาสปกุฑฺเฑน มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุชะล้างด้วยแป้งเมล็ดผักกาด.
บทว่า วฑฺฒมํสํ ได้แก่ เนื้อที่งอกขึ้นดังเดือย.
บทว่า วิกาสิกํ ได้แก่ ผ้าเก่าสำหรับกันน้ำมัน.
สองบทว่า สพฺพํ วณปฏิกมฺมํ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าการรักษาแผลทุกอย่างบรรดามี เราอนุญาตทั้งหมด.
สองบทว่า สามํ คเหตฺวา มีความว่า ยามหาวิกัตินี้ อันภิกษุผู้ถูกงูกัดอย่างเดียวเท่านั้น พึงถือเอาฉันเอง หามิได้ เมื่อพิษอันสัตว์กัดแล้ว แม้อย่างอื่น ภิกษุก็พึงถือเอาฉันเองได้ แต่ในเหตุเหล่าอื่น รับประเคนแล้วเท่านั้นจึงควร.
ข้อว่า น ปฏิคฺคาหาเปตพฺโพ มีความว่า ถ้าคูถถึงภาคพื้นแล้ว ต้องรับประเคน แต่จะถือเอาเองซึ่งคูถที่ยังไม่ถึงภาคพื้นควรอยู่. โรคที่เกิดขึ้นแต่น้ำซึ่งสตรีให้เพื่อทำให้อยู่ในอำนาจ ชื่อว่าอาพาธเกิดแต่ยาอันหญิงแม่เรือนให้.
บทว่า สิตาโลลึ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุเอาดินที่ติดผาลของผู้ไถนาด้วยไถ ละลายน้ำดื่ม.
บทว่า ทุฏฺฐคหณิโก มีความว่า ผู้มีไฟธาตุเผาอาหารเสีย.
อธิบายว่า อุจจาระออกยาก.
บทว่า อามิสขารํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุเผาข้าวสุกที่ตากแห้งให้ไหม้ แล้วดื่มน้ำด่างที่ไหลออกจากเถ้านั้น.
บทว่า มุตฺตหรีฏกํ ได้แก่ สมอไทยที่ดองด้วยมูตรโค.
บทว่า อภิสนฺนกาโย ได้แก่ มีกายเป็นโทษมาก.
บทว่า อจฺฉกญฺชิกํ ได้แก่ น้ำข้าวใส.
บทว่า อกฏยูสํ ได้แก่ น้ำถั่วเขียวต้ม ที่ไม่ข้น.
บทว่า กฏากฏํ ได้แก่ น้ำถั่วเขียวต้มนั้นเอง แต่ขันหน่อย.
บทว่า ปฏิจฺฉาทนเยน ได้แก่ รสแห่งเนื้อ.
๔- กพฬิกาติ. อปนาหเภสชฺชนฺติ วิมติวิโนทนี.
อรรถกถา พระพุทธานุญาตน้ำมันเปลว [๒๗]
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยน้ำมันเปลวเป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำมันเปลวเป็นเภสัช คือ น้ำมันเปลวหมี น้ำมันเปลวปลา น้ำมันเปลวปลาฉลาม
น้ำมันเปลวหมู น้ำมันเปลวลา ที่รับประเคนในกาล เจียวในกาล กรองในกาล บริโภคอย่างน้ำมัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุรับประเคนในวิกาล เจียวในวิกาล กรองในวิกาล หากจะพึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๓ ตัว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุรับประเคนในกาล เจียวในวิกาล กรองในวิกาล หากจะพึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าภิกษุรับประเคนในกาล เจียวในกาล กรองในวิกาล หากจะ
พึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ตัว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุรับประเคนในกาล เจียวในกาล กรองในกาล หากจะพึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ไม่ต้องอาบัติ.
พระพุทธานุญาตมูลเภสัช
[๒๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้เป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรากไม้ที่เป็นเภสัช คือ ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ อุตพิด ข่า แฝก แห้วหมู ก็ หรือ
มูลเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนมูลเภสัชเหล่านั้นแล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตเครื่องบดยา
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้ที่เป็นเภสัชชนิดละเอียด จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตัวหินบด ลูกหินบด.
พระพุทธานุญาตกสาวเภสัช
[๒๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยน้ำฝาดเป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำฝาดที่เป็นเภสัช คือ น้ำฝาดสะเดาะ น้ำฝาดมูกมัน น้ำฝาดกระดอม หรือ ขี้กา น้ำฝาดบรเพ็ด หรือพญามือเหล็ก น้ำฝาดกถินพิมาน ก็หรือกสาวเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค
รับประเคนกสาวเภสัชเหล่านั้น แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตปัณณเภสัช
[๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยใบไม้เภสัชจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตใบไม้ที่เป็นเภสัช คือ ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอม หรือขี้กา ใบกะเพรา หรือแมงลัก ใบฝ้าย ก็หรือปัณณเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามีที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนปัณณเภสัชเหล่านั้น แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มีภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตผลเภสัช
[๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยผลไม้เป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผลไม้ที่เป็นเภสัช คือ ลูกพิลังกาสา ดีปลี พริก สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลแห่งโกฐ ก็หรือผลเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยวในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนผลเภสัชเหล่านั้นแล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตชตุเภสัช
[๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยยางไม้เป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยางไม้ที่เป็นเภสัช คือ ยางอันไหลออกจากต้นหิงคุ ยางอันเขาเคี่ยวจากก้านและใบ
แห่งต้นหิงคุ ยางอันเขาเคี่ยวจากใบแห่งต้นหิงคุ หรือเจือของอื่นด้วย ยางอันไหลออกจากยอดไม้ตกะ ยางอันไหลออกจากใบแห่งต้นตกะ ยางอันเขาเคี่ยวจากใบหรือไหลออกจากก้าน
แห่งต้นตกะ กำยานก็หรือชตุเภสัชชนิดอื่นใด
บรรดามีที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ในของควรเคี้ยว ที่
ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนชตุเภสัชเหล่านั้น แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภคต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตโลนเภสัชเป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น