
[๑๖๘] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่ได้รับอาราธนา แสดงธรรมในท่ามกลางสงฆ์.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ได้รับอาราธนา ไม่พึงแสดงธรรมในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระแสดงธรรมเอง หรือให้อาราธนาผู้อื่นแสดง.
ถามพระวินัยท่ามกลางสงฆ์ต้องได้รับสมมติก่อน
[๑๖๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ยังไม่ได้รับสมมติ ถามพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยังไม่ได้รับสมมติ ไม่พึงถามวินัยในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดถาม ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ได้รับสมมติแล้ว ถามวินัยในท่ามกลางสงฆ์ได้.
วิธีสมมติเป็นผู้ถาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงสมมติอย่างนี้. ตนเองสมมติตนก็ได้ ภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่นก็ได้.
อย่างไรเล่า ชื่อว่าตนเองสมมติตน?
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติตน
พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าขอถามพระวินัยต่อผู้มีชื่อนี้.
อย่างนี้ ชื่อว่าตนเองสมมติตน.
อย่างไรเล่าชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น?
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติผู้อื่น
พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ขอผู้มีชื่อนี้ ถามพระวินัยต่อผู้มิชื่อนี้.
อย่างนี้ ชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น.
ถามพระวินัยต้องตรวจดูบริษัทก่อน สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ได้รับสมมติแล้ว ถามพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์. พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ แม้ที่ได้รับสมมติแล้ว ตรวจดูบริษัท พิจารณาดูบุคคลแล้วจึงถามวินัยในท่ามกลางสงฆ์. สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ยังไม่ได้รับสมมติ วิสัชนาพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ยังไม่ได้รับสมมติ ไม่พึงวิสัชนาวินัยในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดวิสัชนาต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุที่ได้รับสมมติแล้ว วิสัชนาวินัยในท่ามกลางสงฆ์.
วิธีสมมติเป็นผู้วิสัชนา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล ภิกษุพึงสมมติอย่างนี้. ตนเองสมมติตนก็ได้ ภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่นก็ได้.
อย่างไรเล่า ชื่อว่าตนเองสมมติตน?
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติตน
พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันผู้มีชื่อนี้ถามถึงพระวินัยแล้ว ขอวิสัชนา.
อย่างนี้ ชื่อว่าตนเองสมมติตน.
อย่างไรเล่า ชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น?
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติผู้อื่น
พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ผู้มีชื่อนี้อันผู้มีชื่อนี้ถามถึงพระวินัย
แล้ว ขอวิสัชนา.
อย่างนี้ ชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น.
วิสัชนาพระวินัยต้องตรวจดูบริษัทก่อน
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ได้รับสมมติแล้ว วิสัชนาพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์. พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแม้ที่ได้รับสมมติแล้ว ตรวจดูบริษัท พิจารณาดูบุคคลก่อน จึงวิสัชนาวินัยในท่ามกลางสงฆ์.
โจทก์ต้องขอโอกาสต่อจำเลย [๑๗๐] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์โจทภิกษุผู้มิได้ทำโอกาสด้วยอาบัติ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงโจทภิกษุผู้มิได้ทำโอกาสด้วยอาบัติ รูปใดโจท ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โจทก์ขอให้จำเลยทำโอกาส ด้วยคำว่า ขอท่านจงทำโอกาส ผมใคร่จะกล่าวกะท่าน ดังนี้ แล้วจึงโจทด้วยอาบัติ.
ก่อนโจทต้อง-พิจารณาดูบุคคล
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ขอให้พระฉัพพัคคีย์ทำโอกาสแล้ว โจทด้วยอาบัติ.
พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โจทแม้เมื่อจำเลยทำโอกาสแล้ว พิจารณาดูบุคคลก่อน จึงโจทด้วยอาบัติ.
ก่อนขอโอกาสต้อง-พิจารณาดูบุคคล
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์คิดว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ขอให้พวกเราทำโอกาสก่อนดังนี้ จึงรีบขอให้ภิกษุทั้งหลายที่บริสุทธิ์ไม่มีอาบัติ ทำโอกาสในอธิกรณ์ที่ไม่เป็นเรื่องไม่มีเหตุ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงขอให้ภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ ทำโอกาสในอธิกรณ์ที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่มีเหตุ รูปใดขอให้ทำ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้พิจารณาดูบุคคลก่อน จึงขอให้ทำโอกาส.
เรื่องห้ามทำกรรมไม่เป็นธรรม
[๑๗๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ทำกรรมไม่เป็นธรรมในท่ามกลางสงฆ์. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุไม่พึงทำกรรมไม่เป็นธรรมในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดทำต้องอาบัติทุกกฏ.
พระฉัพพัคคีย์ยังขืนทำกรรมไม่เป็นธรรมอยู่ตามเดิม.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คัดค้าน ในเมื่อภิกษุทำกรรมไม่เป็นธรรม.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก พากันคัดค้าน ในเมื่อพระฉัพพัคคีย์ทำกรรมไม่เป็นธรรม.
พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำความเห็นแย้งได้. ภิกษุทั้งหลายทำความเห็นแย้งในสำนักพระฉัพพัคคีย์เหล่านั้นนั่นแหละ.
พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔-๕ รูปคัดค้านให้ภิกษุ ๒-๓ รูป ทำความเห็นแย้ง ให้ภิกษุรูปเดียวนึกในใจว่า กรรมนั้นไม่ควรแก่เรา.
แกล้งสวดปาติโมกข์ไม่ให้ได้ยิน
[๑๗๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์แกล้งสวดปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ไม่ให้ได้ยิน. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สวดปาติโมกข์ไม่พึงแกล้งสวดไม่ให้ได้ยิน รูปใดสวดไม่ให้ ได้ยิน ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ท่านพระอุทายีเป็นผู้สวดปาติโมกข์แก่สงฆ์ แต่มีเสียงเครือดุจเสียงกา. ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้วว่า
ภิกษุสวดปาติโมกข์ต้องสวดให้ได้ยินทั่วกัน ก็อาตมามีเสียงเครือดุจเสียงกา อาตมาจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ จึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุที่สวดปาติโมกข์ พยายามสวดด้วยตั้งใจว่าจะสวดให้ได้ยินถ้อยคำทั่วกัน เมื่อพยายาม ไม่ต้องอาบัติ.
ห้ามสวดปาติโมกข์ในบริษัท-ที่มีคฤหัสถ์
[๑๗๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พระเทวทัตต์สวดปาติโมกข์ในบริษัทที่มีคฤหัสถ์ปนอยู่ด้วย.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ในบริษัทที่มีคฤหัสถ์ปนอยู่ด้วย รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ต้องได้รับอาราธนาจึงสวดปาติโมกข์ได้
[๑๗๔] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่ได้รับอาราธนาสวดปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ได้รับอาราธนา ไม่พึงสวดปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตปาติโมกข์ให้เป็นหน้าที่ของพระเถระ.
อัญญติตถิยภาณวารที่ ๑๑ จบ.
หน้าที่สวดปาติโมกข์
[๑๗๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระนครราชคฤห์ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกโดยมรรคาอันจะไปเมืองโจทนาวัตถุ เสด็จจาริกโดยลำดับ ลุถึงเมืองโจทนาวัตถุแล้ว. ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง มีภิกษุอยู่ด้วยกันมากรูป.
บรรดาภิกษุเหล่านั้นพระเถระเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด.
ท่านไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์ จึงภิกษุเหล่านั้นคิดกันว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้วว่า ปาติโมกข์เป็นหน้าที่ของพระเถระ
ก็พระเถระของพวกเรารูปนี้เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้อุโบสถ หรือ วิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์หรือวิธีสวดปาติโมกข์ พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายบรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปใดเป็นผู้ฉลาด สามารถ เราอนุญาตปาติโมกข์ให้เป็นหน้าที่ของภิกษุรูปนั้น.
ทรงให้ส่งภิกษุไปศึกษาปาติโมกข์
[๑๗๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่ด้วยกันมากรูป ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด.
พวกเธอไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์หรือวิธีสวดปาติโมกข์. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
ท่านตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. ภิกษุทั้งหลายจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๒ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
แม้ท่านก็ตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายเราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. ภิกษุทั้งหลายจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๓ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
แม้ท่านก็ตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. ภิกษุเหล่านั้นได้อาราธนาจนถึงพระสังฆนวกะ โดยวิธีนี้แหละว่า ขอคุณจงสวดปาติโมกข์.
แม้เธอก็ตอบอย่างนี้ว่า ผมสวดปาติโมกข์ไม่ได้ ขอรับ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันอุโบสถ ภิกษุในศาสนานี้อยู่ด้วยกันมาก ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด. พวกเธอไม่รู้อุโบสถหรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระ
ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
ท่านตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๒ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ. แม้ท่าน ก็ตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๓ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ. แม้ท่านก็ตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้.
พวกเธอได้อาราธนาจนถึงพระสังฆนวกะ
โดยวิธีนี้แหละว่า ขอคุณจงสวดปาติโมกข์. แม้เธอรูปนั้นก็ตอบอย่างนี้ว่า ผมสวดปาติโมกข์ไม่ได้ ขอรับ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียง พอจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดยพิสดารมา.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า จะพึงส่งภิกษุรูปไหนหนอไป แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระบัญชาภิกษุผู้นวกะไป.
ภิกษุนวกะทั้งหลายอันพระเถระบัญชาแล้วไม่ยอมไป. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้วจะไม่ยอมไปไม่ได้ รูปใดไม่ยอมไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตให้เรียนปักขคณนา
[๑๗๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองโจทนาวัตถุตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จกลับมายังพระนครราชคฤห์อีก.
ก็โดยสมัยนั้นแล ชาวบ้านถามภิกษุทั้งหลายที่กำลังเที่ยวบิณฑบาตว่า ดิถีที่เท่าไรแห่งปักษ์ เจ้าข้า? ภิกษุทั้งหลายตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาไม่รู้เลย.
ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม้เพียงนับปักษ์ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ก็ยังไม่รู้
ไฉนจะรู้คุณความดีอะไรอย่างอื่นเล่า.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้เรียนปักขคณนา.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงเรียนปักขคณนาแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทุกๆ รูปเรียนปักขคณนา.
ก็โดยสมัยนั้นแล ชาวบ้านถามภิกษุทั้งหลายที่กำลังเที่ยวบิณฑบาตว่า ภิกษุมีจำนวนเท่าไร เจ้าข้า? ภิกษุทั้งหลายตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาไม่รู้เลย.
ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม้พวกกันเอง พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ ไฉนจักรู้ความดีอะไรอย่างอื่นเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นับภิกษุ.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า เมื่อไรหนอเราพึงนับภิกษุ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เราอนุญาตให้นับภิกษุด้วยเรียกชื่อหรือให้จับสลากในวันอุโบสถ.
พระพุทธานุญาตให้บอก-วันอุโบสถ
[๑๗๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถ ไปบิณฑบาต ณ หมู่บ้านที่ไกล. พวกเธอมาถึงเมื่อกำลังสวดปาติโมกข์ก็มี มาถึงเมื่อสวดจบแล้วก็มี.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บอกว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงบอก แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุเถระบอกแต่เช้าตรู่.
สมัยต่อมา พระเถระรูปหนึ่ง เวลาเช้าตรู่ระลึกไม่ได้.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บอก แม้ในเวลาภัตตกาล. แม้ในเวลาภัตตกาล พระเถระนั้นก็ระลึกไม่ได้.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บอกในกาลที่ตนระลึกได้.
บุพพกรณ์และบุพกิจในโรงอุโบสถ
[๑๗๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง โรงอุโบสถรก. พวกพระอาคันตุกะพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงไม่กวาดโรงอุโบสถเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้กวาดโรงอุโบสถ.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงกวาดโรงอุโบสถ แล้วจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุเถระบัญชาภิกษุนวกะ.
ภิกษุนวกะทั้งหลายอันพระเถระบัญชาแล้วไม่ยอมกวาด. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้ว จะไม่กวาดไม่ได้ รูปใดไม่กวาด ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ในโรงอุโบสถ ไม่มีใครปูอาสนะไว้.
ภิกษุทั้งหลายนั่งที่พื้นดิน.
ทั้งตัวทั้งจีวร เปื้อนฝุ่น.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปูอาสนะในโรงอุโบสถ.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอ พึงปูอาสนะในโรงอุโบสถแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระบัญชาภิกษุนวกะ.
ภิกษุนวกะทั้งหลายอันพระเถระบัญชาแล้วไม่ปูอาสนะ. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้ว จะไม่ปูอาสนะไม่ได้ รูปใดไม่ปู ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ในโรงอุโบสถ ไม่ได้ตามประทีปไว้. เวลาค่ำคืนภิกษุทั้งหลาย<i>เหยียบกายกันบ้าง</i> <i>เหยียบจีวรกันบ้าง แล้วกราบ</i>ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตามประทีปในโรงอุโบสถ. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงตามประทีปในโรงอุโบสถ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระบัญชาภิกษุนวกะ. ภิกษุนวกะทั้งหลาย อันพระเถระบัญชาแล้วไม่ยอมตามประทีป.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้ว จะไม่ตามประทีปไม่ได้ รูปใดไม่ตามประทีป ต้องอาบัติทุกกฏ.
จะไปไหนต้อง-อาปุจฉาก่อน
[๑๘๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปด้วยกันเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไปสู่ทิศ ไม่อำลาพระอุปัชฌาย์ อาจารย์.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้หลายรูปด้วยกันเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไปสู่ทิศ ไม่อำลาพระอุปัชฌาย์ อาจารย์. พวกเธออันพระอุปัชฌาย์ อาจารย์พึงถามว่าท่านทั้งหลายจักไปไหน?
จักไปกับใคร?
ถ้าพวกเธอเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด พูดอ้างถึงภิกษุเหล่าอื่นที่เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาดด้วยกัน พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ ไม่พึงอนุญาต ถ้าอนุญาต ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด อันพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ ไม่อนุญาต ถ้ายังขืนไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
พึงสงเคราะห์พหูสูต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้อยู่ในอาวาสแห่งหนึ่งมากรูปด้วยกัน ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด.
พวกเธอไม่รู้อุโบสถหรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์. ภิกษุรูปอื่นมาในอาวาสนั้น เป็นผู้คงแก่เรียน ชำนาญในคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกาเป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา มีความละอาย รังเกียจ ใคร่ต่อสิกขา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นพึงสงเคราะห์ อนุเคราะห์ ปราศรัย บำรุงเธอด้วยจุณดิน ไม้ชำระฟัน น้ำบ้วนปากถ้าไม่สงเคราะห์ อนุเคราะห์ ปราศรัย บำรุงด้วยจุณดิน ไม้ชำระฟัน น้ำบ้วนปาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทรงให้ส่งพระไปเรียนปาติโมกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ ภิกษุในศาสดานี้อยู่ด้วยกันมากรูป ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด. พวกเธอไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์หรือวิธีสวดปาติโมกข์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อ หรือโดยพิสดารมา.
ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุเหล่านั้นทุกๆ รูปพึงพากันไปสู่อาวาสที่มีภิกษุรู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์ ถ้าไม่พากันไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรร ทรงอนุญาตให้จำพรรษาในอาวาสที่มีผู้สวดปาติโมกข์ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ อยู่จำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งมากรูปด้วยกันล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด. พวกเธอไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียง พอจะจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดยพิสดารมา.
ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปชั่วระยะกาล ๗ วัน ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดยพิสดารมา. ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุเหล่านั้นไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสนั้น ถ้าขืนอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า อนชฺฌิฏฐา
ได้แก่ ไม่ได้รับบัญชา หรือไม่ได้รับเชิญ.
ก็ในอัชเฌสนาธิการนี้ การเชิญ เนื่องด้วยภิกษุผู้เชิญแสดงธรรมซึ่งสงฆ์สมมติก็มี เนื่องด้วยพระสังฆเถระก็มี. เมื่อภิกษุผู้เชิญแสดงธรรมนั้นไม่มี ภิกษุเรียนพระสังฆเถระแล้ว หรืออันพระสังฆเถระอัญเชิญแล้ว ย่อมได้เพื่อกล่าวธรรม.
พระสังฆเถระเล่า ถ้าในวัดที่อยู่มีพระธรรมกถึกมาก, พึงสั่งตามลำดับวาระ. ภิกษุผู้ซึ่งท่านสั่งว่า เธอจงสวดธรรม ก็ดี ว่า เธอจงแสดงธรรม ก็ดี ว่า เธอจงให้ธรรมทาน ก็ดี พึงกล่าวธรรมได้ทั้ง ๓ วิธี แต่ภิกษุผู้ได้รับคำสั่งว่า จงสวด ย่อมได้เพื่อสวดเท่านั้น ผู้ได้รับคำสั่งว่า จงแสดง ย่อมได้เพื่อแสดงเท่านั้น ผู้ได้รับคำสั่งว่า จงสวดสรภัญญะ ย่อมได้เพื่อสวดสรภัญญะเท่านั้น.
ฝ่ายพระเถระเล่าผู้นั่งบนอาสนะสูงกว่า ย่อมไม่ได้เพื่ออัญเชิญ. ถ้าพระสังฆเถระเป็นอุปัชฌาย์ และพระธรรมกถึกเป็นสัทธิวิหาริก และพระอุปัชฌาย์นั่งบนอาสนะสูง สั่งสัทธิวิหาริกนั้นว่าเธอจงสวด. พึงตั้งใจสาธยายแล้วสวดเถิด.
แต่ถ้าในสำนักอุปัชฌาย์นี้ มีภิกษุหนุ่มมาก, พึงตั้งใจว่า เราสวดแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้วสวดเถิด.
ถ้าพระสังฆเถระในวัดที่อยู่ให้สวดแต่นิสิตของตนเท่านั้น, ไม่อัญเชิญภิกษุเหล่าอื่นที่สวดไพเราะบ้าง, ภิกษุเหล่าอื่นพึงเรียนท่านว่า ท่านผู้เจริญ พวกผมขอให้ภิกษุชื่อโน้นสวด.
ถ้าท่านตอบ สวดเถิด หรือท่านนิ่งเสีย สมควรให้สวดได้. แต่ถ้าท่านห้าม ไม่ควรให้สวด.
หากว่า เริ่ม ธรรมสวนะ แต่เมื่อพระสังฆเถระยังมิได้มา, เมื่อท่านมากลางคัน กิจที่จะต้องหยุดขอโอกาส ไม่มี.
อนึ่ง เมื่อสวดแล้วจะอธิบายเนื้อความ พึงขอโอกาสท่านแล้ว จึงอธิบายก็ได้. ไม่หยุดเลยอธิบายทีเดียวก็ได้ แม้ในพระสังฆเถระผู้มากลางคัน เมื่อกำลังอธิบายก็มีนัยเหมือนกัน.
ถึงในอุปนิสินนกถาพระสังฆเถระเป็นเจ้าของ, เพราะฉะนั้น พระสังฆเถระนั้นพึงกล่าวเอง, หรือสั่งภิกษุอื่นว่า เธอจงกล่าว ก็แลพระเถระนั่งสูงกว่าไม่ควรสั่ง. แต่ว่าจะสั่งแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า ท่านจงกล่าว ควรอยู่ชนทั้งหลายถามภิกษุผู้รู้จักตน
ภิกษุนั้นพึงขอโอกาสพระเถระก่อนจึงค่อยตอบ. ถ้าพระเถระได้รับตอบว่า ท่านผู้เจริญ ชนเหล่านี้ถามปัญหากะผม ดังนี้แล้ว สั่งว่า ตอบเถิดก็ดี นิ่งเสียก็ดี จะตอบก็ควร.
แม้ในการอนุโมทนาเป็นต้นในละแวกบ้าน ก็นัยนี้แล.
ถ้าว่าพระสังฆเถระอนุญาตว่า เธอพึงกล่าวในวัดที่อยู่หรือในละแวกบ้านเถิด ไม่ต้องบอกเล่าฉันละ เป็นอันได้ข้ออ้าง, สมควรกล่าวได้ในที่ทั้งปวง. แม้เมื่อจะทำการสาธยายเล่า
ก็ต้องขอโอกาสพระเถระเหมือนกัน. เมื่อขอโอกาสองค์ ๑ แล้วกำลังสาธยาย องค์อื่นมาอีก กิจที่จะต้องขอโอกาสอีก ย่อมไม่มี. หากว่า เมื่อผูกใจว่าเราจักพัก แล้วหยุดอยู่ พระเถระมา,
เมื่อเริ่มอีกต้องขอโอกาส แม้เมื่อกำลังสาธยายธรรมที่ตนเริ่มไว้แล้ว แต่เมื่อพระสังฆเถระยังมิได้มา ก็นัยนี้แล. พระสังฆเถระองค์ ๑ อนุญาตแล้วว่า ไม่ต้องขอโอกาสฉันละ ท่องตามสบายเถิด ดังนี้ สมควรสาธยายตามสบาย แต่เมื่อพระสังฆเถระองค์อื่นมา ต้องขอโอกาสท่านก่อนจึงสาธยาย.
ข้อว่า อตฺตนา วา๑- อตฺตานํ สมฺมนฺนิตพฺพํ
มีความว่า พึงสมมติตนด้วยตนเองก็ได้. แต่เมื่อจะถาม ต้องแลดูบริษัท ถ้าอุปัทวะไม่มีแก่ตน; พึงถามวินัย.
ข้อว่า กเตปิ โอกาเส ปุคฺคลํ ตุลยิตฺวา
มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุ แม้เมื่อตนขอโอกาสแล้ว ต้องพิจารณาอย่างนี้ว่า อุปัทวะจากบุคคลนี้จะมีแก่เรา หรือไม่มีหนอ? ดังนี้ แล้วจึงโจทด้วยอาบัติ.
ข้อว่า ปุคฺคลํ ตฺลยิตฺวา โอกาสํ กาตุํ
มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุพิจารณาอย่างนี้ว่า ผู้นี้จะกล่าวอาบัติเฉพาะที่เป็นจริงเท่านั้น หรือจะกล่าวที่ไม่เป็นจริงหนอ ดังนี้แล้ว จึงค่อยให้โอกาส.
บทว่า ปฺรมฺหากํ ได้แก่ เราทั้งหลาย ก่อน.บทว่า ปฏิกจฺเจว ได้แก่ ก่อนกว่าทีเดียว.กรรมไม่เป็นธรรมมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.บทว่า ปฏิกฺโกสิตุํ ได้แก่ เพื่อห้าม.
ข้อว่า ทิฏฺฐิมฺปิ อาวิกาตุ มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุประกาศความเห็นของตนในสำนักภิกษุอื่นอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่เป็นธรรม นั่นไม่ชอบใจข้าพเจ้า.
คำว่า ๔ รูป ๕ รูปเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อต้องการมิให้มีอันตรายแก่ภิกษุเหล่านั้น.
ข้อว่า สญฺจิจฺจ น สาเวนฺติ มีความว่า แกล้งสวดค่อยๆ
ด้วยตั้งใจว่า ภิกษุเหล่าอื่นจะไม่ได้ยินด้วยประการใด เราจักสวดด้วยประการนั้น. บทว่า เถราธิกํ มีความว่า เราตถาคตอนุญาตปาติโมกข์ ให้มีพระเถระเป็นใหญ่.
อธิบายว่า เพื่อเป็นกิจ เนื่องด้วยพระเถระ.
บาลีว่า เถราเธยฺยํ ก็มี แปลว่า ให้มีพระเถระเป็นเจ้าหน้าที่. เพราะเหตุนั้น พระเถระพึงสวดเองก็ได้ พึงเชิญภิกษุอื่นก็ได้.
ในอธิการว่าด้วยการอัญเชิญปาติโมกข์นี้ วิธีเชิญมีนัยดังกล่าวแล้วในการอัญเชิญธรรมนั่นแล.
๑- พระบาลีวินัยเป็น อตฺตนา ว.
แต่ อตฺตนา วา น่าจะถูกกว่า.
หน้าที่สวดปาติโมกข์เป็นต้น
อรรถกถาอัชเฌสนา
วินิจฉัยในข้อว่า โส น ชานาติ อุโปสถํ วา เป็นอาทิดังนี้ :-
พระเถระนั้นไม่รู้จักอุโบสถ ๓ อย่าง โดยต่างด้วยจาตุททสิกอุโบสถ ปัณณรสิกอุโบสถและสามัคคีอุโบสถ และไม่รู้จักอุโบสถ ๙ อย่าง โดยต่างด้วยสังฆอุโบสถเป็นต้น ไม่รู้อุโบสถกรรม ๔ อย่าง ไม่รู้ปาติโมกข์ ๒ อย่าง ไม่รู้ปาติโมกขุทเทส ๙ อย่าง.
ในข้อว่า โย ตตฺถ ภิกฺขุ พฺยตฺโต ปฏิพโล นี้ มีวินิจฉัยว่า ปาฏิโมกข์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแก่ภิกษุผู้ฉลาดแม้ยังหนุ่มก็จริงแล. ถึงกระนั้น ในข้อนี้ ควรทราบอธิบายดังนี้ :-
ถ้าปาฏิโมกขุทเทส ๕ หรือ ๔ หรือ ๓ ของพระเถระ ยังจำไม่ได้ ส่วน ๒ อุทเทสเป็นของไม่บกพร่อง ชำนาญดี คล่องปาก ปาติโมกข์คงเนื่องด้วยพระเถระ.
แต่ถ้าแม้เพียงเท่านี้ ท่านย่อมไม่อาจเพื่อทำให้ชำนาญได้ ย่อมเป็นหน้าที่ของพระภิกษุผู้ฉลาดเทียว. สองบทว่า สามนฺตา อาวาสา ได้แก่ อาวาสใกล้เคียงกัน.
บทว่า สชฺชุกํ
มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่การมาในวันนั้นเอง.
วินิจฉัยในข้อว่า นวกํ ภิกฺขุํ อาณาเปตุํ นี้ว่า ภิกษุใดสามารถจะเรียนได้ พึงบังคับภิกษุเห็นปานนั้น อย่าบังคับภิกษุที่โง่.
บทว่า กตมี๑- ภนฺเต นี้
มีอธิบายว่า ดิถีเป็นที่เต็มแห่งดิถีทั้งหลายเท่าไร ชื่อว่า ดิถีที่เท่าไร คือกี่ค่ำ. มนุษย์ทั้งหลายหมายเอากุศลกรรมที่เนื่องด้วยพระผู้เป็นเจ้า ถามว่า ภิกษุมีประมาณเท่าไรขอรับ?
ข้อว่า สลากํ วา คาเหตุํ มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุถือเอา คือรวมสลากแล้วนับ.
บทว่า กาลวโต ได้แก่ ต่อกาลทีเดียว.
ความว่า แต่เช้าทีเดียว.
ในข้อว่า ยํ กาลํ สรติ นี้ มีความว่า แม้ในเวลาเย็นจะบอกว่า วันนี้อุโบสถ ท่านทั้งหลายจงมาประชุม ก็ควร. แม้ในข้อว่า เถเรน ภิกฺขุนา นวํ ภิกฺขุํ อาณาเปตุํ นี้ มีวินิจฉัยว่า
ภิกษุผู้ทำกรรมบางอย่างก็ดี ภิกษุผู้ช่วยภาระอย่างหนึ่งตลอดกาลในกาลทุกเมื่อทีเดียวก็ดี ภิกษุผู้สรภาณกะและธรรมกถึก เป็นต้นรูปใดรูปหนึ่งก็ดี พระเถระไม่ควรสั่งบังคับ เพื่อกวาดโรงอุโบสถ ส่วนภิกษุที่เหลือพึงสั่งบังคับตามวาระ คือผลัดเปลี่ยนกัน หากว่า ภิกษุผู้ได้รับคำสั่งแล้ว
จะไม่ได้ไม้กวาดแม้เป็นของยืมไซร้ พึงวานกัปปิยการกหักกิ่งไม้ทำให้ควรแล้วกวาด เมื่อเธอไม่ได้แม้ซึ่งกัปปิยการกนั้น เป็นอันได้ข้ออ้าง. ถึงในการสั่งบังคับเพื่อให้ปูลาดอาสนะ ก็พึงสั่งบังคับตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
ฝ่ายภิกษุผู้รับคำสั่งแล้ว ถ้าอาสนะในโรงอุโบสถไม่มี พึงขนมาจากสังฆิกาวาส ปูลาดแล้ว ต้องขนไปคืน. เมื่ออาสนะไม่มีจะปูเสื่อลำแพนก็ดี เสื่ออ่อนก็ดี ย่อมควร ถึงเมื่อเสื่ออ่อนไม่มีก็พึงวานกัปปิยการกให้ช่วยหักกิ่งไม้ ทำให้ควรแล้วปูลาดเถิด เมื่อเธอไม่ได้กัปปิยการก เป็นอันได้ข้ออ้าง.
ในการตามประทีปเล่า พระเถระก็พึงสั่งบังคับตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. และเมื่อจะสั่งบังคับ ต้องบอกว่า น้ำมันหรือไส้หรือตะเกียง มีอยู่ในโอกาสโน้น เธอจงถือเอาสิ่งนั้นๆ มาตามประทีป.
หากน้ำมันเป็นต้น ไม่มี ภิกษุผู้รับคำสั่งต้องแสวงหามา เมื่อแสวงหาแล้วไม่ได้ เป็นอันได้ข้ออ้าง. อีกอย่างหนึ่ง จะพึงติดไฟให้โพลงบนกระเบื้องก็ได้.
ข้อว่า สงฺคเหตพฺโพ มีความว่า ภิกษุผู้เป็นพหุสูตนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงสงเคราะห์ ด้วยถ้อยคำอันไพเราะอย่างนี้ว่า ท่านมาแล้วก็ดีแหละ ขอรับ ที่นี่ภิกษาหาได้ง่าย แกงและกับข้าวก็มี อย่าต้องเป็นกังวลเลย นิมนต์อยู่เถิด พึงอนุเคราะห์เนื่องด้วยการพูดจากันบ่อยๆ พึงเกลี้ยกล่อมด้วยให้เธอให้คำตอบว่า ขอรับผมจักอยู่.
อีกประการหนึ่ง พึงสงเคราะห์และอนุเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ พึงเกลี้ยกล่อมด้วยถ้อยคำอันไพเราะ.
อธิบายว่า พึงเจรจาให้เสนาะหู พึงให้บำรุงด้วยสิ่งของต่างๆ มีจุณเป็นต้น. ข้อว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ถ้าสงฆ์แม้ทั้งมวลไม่ทำไซร้, ต้องทุกกฎทั้งหมด.
ในอธิการนี้ พระเถระทั้งหลายก็ไม่พ้น พวกภิกษุหนุ่มก็ไม่พ้น. ภิกษุทั้งปวงพึงให้เปลี่ยนวาระกันบำรุง เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่บำรุงในวาระของตน. แต่ภิกษุผู้เป็นพหุสูตนั้น อย่าพึงยินดีวัตรมีการกวาดบริเวณและให้ไม้สีฟันเป็นต้นของพระมหาเถระทั้งหลาย.
แม้เมื่อข้อที่เธอได้ยินดี มีอยู่ พระมหาเถระทั้งหลายก็ควรมาสู่ที่บำรุงทั้งเย็นเช้า. แต่ภิกษุผู้พหุสูตนั้นรู้ความมาของพวกท่านแล้ว พึงไปสู่ที่บำรุงของพระมหาเถระทั้งหลายเสียก่อน. ถ้าภิกษุผู้สหจร ซึ่งเป็นอุปัฏฐากของเธอมีอยู่ เธอพึงห้ามเสียว่าอุปัฏฐากของผมมี ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ขวนขวายน้อยอยู่เถิด.
แม้ถ้าว่า ภิกษุผู้สหจรของเธอไม่มี.
แต่ภิกษุรูปหนึ่งหรือ ๒ รูป ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรในวัดที่อยู่นั่นเอง กล่าวว่า ผมจักทำกิจที่ควรทำแก่พระเถระเอง ภิกษุที่เหลือจงอยู่เป็นผาสุกเถิด ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งปวง.
ข้อว่า โส อาวาโส คนฺตพฺโพ
มีความว่า อาวาสนั้นอันภิกษุทั้งหลายผู้เขลา ไม่ฉลาด พึงไปทุกกึ่งเดือน เพื่อประโยชน์แก่การทำอุโบสถ
ก็อาวาสนั้นแล ควรไปทั้งเหมันตฤดูและคิมหฤดูทีเดียว แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า ผู้เขลาไม่ฉลาดจำพรรษา ดังนี้ ก็เพื่อแสดงกิจที่ควรทำในฤดูฝน.
ในพระบาลี ข้อว่า น ภิกฺขเว เตหิ ภิกฺขูหิ ตสฺมึ อาวาเส วสฺสํ วสิตพฺพํ มีความว่า ในการเข้าพรรษาแรก อย่าจำพรรษาปราศจากภิกษุผู้สวดปาฏิโมกข์.
หากว่าภิกษุผู้สวดปาติโมกข์นั้นหลีกไปเสียหรือสึกเสียหรือทำกาลกิริยาเสีย ต่อเมื่อภิกษุทั้งหลายจำพรรษาแล้ว เมื่อภิกษุอื่นที่สวดได้มีอยู่นั่นแล จึงควรจำพรรษาหลัง
เมื่อไม่มี ต้องไปในอาวาสอื่น เมื่อไม่ไป ต้องทุกกฎ. แต่ถ้าภิกษุผู้สวดปาติโมกข์นั้นหลีกไปเสียหรือสึกเสียหรือทำกาลกิริยาเสีย ในการเข้าพรรษาหลัง พึงอยู่ในที่นั้นตลอด ๒ เดือน.
๑- พระบาลีวินัยเป็น กติมี, ฏีกาวิมติโนทนีก็เป็น กติมี.
อรรถกถาอัชเฌสนา จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น