
ทำบุญ 
[๒๓๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี ครั้งนั้น ยังมีภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติแล้ว มีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ สมัยต่อมา ภิกษุรูปนั้นกลับมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมี


ความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ จึงภิกษุเหล่านั้นได้ถามภิกษุนั้นว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติ ท่านเห็นอาบัตินั้นหรือไม่? ภิกษุรูปนั้นตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะพึงเห็น ภายหลังภิกษุเหล่านั้นหาสมัครพรรคพวกได้ จึงยกภิกษุรูปนั้นเสีย เพราะไม่เห็นอาบัติ.
แท้จริง ภิกษุรูปนั้นเป็นผู้คงแก่เรียน ช่ำชองคัมภีร์ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกาเป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา มีความละอาย รังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา จึงภิกษุรูปนั้นเข้าไปหาบรรดาภิกษุที่เป็นเพื่อนเคยเห็น เคยคบกันมา แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย นั่นไม่เป็นอาบัติ นั่นเป็นอาบัติหามิได้ ผมไม่ต้องอาบัติ ผม
ต้องอาบัติหามิได้ ผมไม่ต้องถูกยก ผมต้องถูกยกหามิได้ ผมถูกยกด้วยกรรมไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ ขอท่านทั้งหลายจงกรุณาเป็นฝักฝ่ายของผมโดยธรรม โดยวินัยด้วยเถิด ภิกษุรูปนั้นได้ภิกษุที่เป็นเพื่อนเคยเห็น เคยคบกันมา เป็นฝักฝ่ายแล้ว ได้ส่งทูตไปในสำนักภิกษุชาวชนบทที่เป็นเพื่อนเคยเห็น
เคยคบกันมาว่าอาวุโสทั้งหลาย นั่นไม่เป็นอาบัติ นั่นเป็นอาบัติหามิได้ ผมไม่ต้องอาบัติ ผมต้องอาบัติหามิได้ผมไม่ต้องถูกยก ผมเป็นผู้ถูกยกหามิได้ ผมถูกยกด้วยกรรมไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ ขอท่านทั้งหลายจงกรุณาเป็นฝักฝ่ายของผมโดยธรรม โดยวินัยด้วยเถิด ดังนี้ ได้พวกภิกษุชาวชนบทที่เป็นเพื่อนเคยเห็น
เคยคบกันมา เป็นฝักฝ่าย.
ครั้งนั้น พวกภิกษุที่สนับสนุนผู้ถูกยกเหล่านั้น ได้เข้าไปหาภิกษุพวกที่ยก แล้วได้กล่าวคำนี้แก่ภิกษุพวกที่ยกว่า อาวุโสทั้งหลาย นั้นไม่เป็นอาบัติ นั่นเป็นอาบัติหามิได้ ภิกษุนั้นไม่ต้องอาบัติ ภิกษุนั้นต้องอาบัติหามิได้ ภิกษุนั้นไม่ต้องถูกยก ภิกษุนั้นเป็นผู้ถูกยกหามิได้ ภิกษุนั้นถูกยก ด้วยกรรมไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ.
เมื่อภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุพวกยก ได้กล่าวคำนี้แก่ภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกว่า อาวุโสทั้งหลาย นั่นเป็นอาบัติ นั่นไม่เป็นอาบัติหามิได้ ภิกษุนั้นต้องอาบัติ ไม่ต้องอาบัติหามิได้ ภิกษุนั้นต้องถูกยกแล้ว ไม่ต้องถูกยกหามิได้ ภิกษุนั้นถูกยกแล้วด้วยกรรมเป็นธรรม ไม่กำเริบ ควร
แก่ฐานะ ขอท่านทั้งหลายอย่าสนับสนุน อย่าตามห้อมล้อมภิกษุผู้ถูกยกนั้นเลย. ภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกเหล่านั้น อันภิกษุพวกยกว่ากล่าวอยู่แม้อย่างนี้แล ก็ยังสนับสนุน ยังตามห้อมล้อมภิกษุผู้ถูกยกนั้นอย่างเดิมนั่นแหละ.
ภิกษุรูปหนึ่งเข้าเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบ
[๒๓๙] ครั้นต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปในพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุรูปนั้นนั่งเฝ้าเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า ภิกษุรูปหนึ่งในวัดโฆสิตารามนี้ต้องอาบัติ ท่านมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติแต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็น
ในอาบัตินั้นว่า ไม่เป็นอาบัติ ครั้นต่อมา ท่านกลับมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ จึงภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวคำนี้แก่ท่านว่า อาวุโส ท่านต้องอาบัติ ท่านต้องอาบัตินั้นหรือไม่ ท่านตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่จะพึงเห็น ภายหลังภิกษุเหล่านั้น
หาสมัครพรรคพวกได้แล้ว จึงยกท่านเสีย เพราะไม่เห็นอาบัติ แท้จริง ท่านรูปนั้นเป็นผู้คงแก่เรียน ช่ำชองคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา มีความละอาย รังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา จึงเข้าไปหาบรรดาภิกษุที่เป็นเพื่อนเคยเห็น เคยคบกันมา แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายนั่นไม่เป็น
อาบัติ นั่นเป็นอาบัติหามิได้ ผมไม่ต้องอาบัติ ผมต้องอาบัติหามิได้ ผมไม่ต้องถูกยก ผมต้องถูกยกหามิได้ ผมถูกยกด้วยกรรมไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ ขอท่านทั้งหลายจงกรุณาเป็นฝักฝ่ายของผมโดยธรรม โดยวินัยด้วยเถิด แล้วได้พวกภิกษุที่เป็นเพื่อนเคยเห็นเคยคบกันมา เป็นฝักฝ่าย และส่งทูตไปในสำนัก
ภิกษุชาวชนบท ที่เป็นเพื่อนเคยเห็น เคยคบกันมาว่า อาวุโสทั้งหลาย นั่นไม่เป็นอาบัติ นั่นเป็นอาบัติหามิได้ ผมไม่ต้องอาบัติ ผมต้องอาบัติหามิได้ ผมไม่ต้องถูกยก ผมต้องถูกยกหามิได้ ผมถูกยกด้วยกรรมไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ ขอท่านทั้งหลายจงกรุณาเป็นฝักฝ่ายของผมโดยธรรม โดยวินัยด้วยเถิด
แล้วได้ภิกษุพวกชาวชนบทที่เป็นเพื่อนเคยเห็น เคยคบกันมา เป็นฝักฝ่าย.
ครั้งนั้น ภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยก เข้าไปหาภิกษุพวกยกแล้ว ได้กล่าวคำนี้แก่ภิกษุพวกยกว่า อาวุโสทั้งหลาย นั้นไม่เป็นอาบัติ นั่นเป็นอาบัติหามิได้ ภิกษุรูปนั้นไม่ต้องอาบัติภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติหามิได้ ภิกษุรูปนั้นไม่ต้องถูกยก ภิกษุรูปนั้นต้องถูกยกหามิได้ ภิกษุรูปนั้นถูกยกด้วยกรรมไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ
เมื่อภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุพวกยกได้กล่าวคำนี้แก่ภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกว่า อาวุโสทั้งหลาย นั่นเป็นอาบัติ นั่นไม่เป็นอาบัติหามิได้ ภิกษุนั้นต้องอาบัติ ไม่ต้องอาบัติหามิได้ ภิกษุนั้นต้องถูกยก ไม่ต้องถูกยกหามิได้ ภิกษุนั้นถูกยกด้วยกรรมเป็นธรรมไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ ขอท่าน
ทั้งหลายอย่าสนับสนุน อย่าตามห้อมล้อมภิกษุผู้ถูกยกนั้นเลย. เมื่อภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกเหล่านั้น อันภิกษุพวกยกว่ากล่าวอยู่แม้อย่างนี้ ก็ยังสนับสนุน ยังตามห้อมล้อมภิกษุผู้ถูกยกนั้นอย่างเดิมนั่นแหละ พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงประทานโอวาท
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้ว ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้วจึงทรงลุกจากที่ประทับ เสด็จเข้าไปทางภิกษุพวกยก ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย ครั้นพระองค์ประทับนั่งแล้ว ได้ตรัสประทานพระพุทโธวาทแก่ภิกษุพวกยกว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าสำคัญภิกษุอันตนพึงยกเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยนึกว่าพวกเราเฉลียวฉลาด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติแล้วมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ ถ้าพวกเธอรู้จักภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่าท่านผู้นี้แลเป็นพหูสูต .... ผู้ใคร่ต่อสิกขา ถ้าพวกเราจักยกภิกษุรูปนี้ เพราะไม่เห็นอาบัติ จักทำอุโบสถร่วมกับภิกษุรูปนี้
ไม่ได้ จักต้องทำอุโบสถแยกจากภิกษุรูปนี้ ความบาดหมาง ความทะเลาะความแก่งแย่ง ความวิวาท ความแตกแยกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ การกำหนดแห่งสงฆ์การกระทำต่างแห่งสงฆ์ ซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ จักมีแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายผู้เกรงแต่ความแตกนั้นไม่พึงยกภิกษุนั้น เพราะไม่เห็นอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติแล้วมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ ถ้าพวกเธอรู้จักภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แลเป็นพหูสูต .... ผู้ใคร่ต่อสิกขา ถ้าพวกเราจักยกภิกษุรูปนี้เพราะไม่เห็นอาบัติจักปวารณาร่วมกับภิกษุรูปนี้
ไม่ได้ จักต้องปวารณาแยกจากภิกษุรูปนี้ จักทำสังฆกรรมร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้ จักต้องทำสังฆกรรมแยกภิกษุรูปนี้ จักนั่งบนอาสนะร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้จักต้องนั่งบนอาสนะแยกจากภิกษุรูปนี้ จักนั่งในสถานที่ดื่มยาคูร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้ จักต้องนั่งในสถานที่ดื่มยาคูแยกจากภิกษุรูปนี้ จักนั่งในโรงภัตรร่วมกับภิกษุรูปนี้
ไม่ได้ จักต้องนั่งในโรงภัตรแยกจากภิกษุรูปนี้ จักอยู่ในที่มุงที่บังอันเดียวกันร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้ จักต้องอยู่ในที่มุงที่บังอันเดียวกันแยกจากภิกษุรูปนี้ จักทำอภิวาทต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ตามลำดับผู้แก่พรรษาร่วมกับภิกษุรูปนี้ไม่ได้ จักต้องทำอภิวาท ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ตามลำดับ
ผู้แก่พรรษาแยกจากภิกษุรูปนี้ ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท ความแตกแยกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ การกำหนดแห่งสงฆ์ การกระทำต่างแห่งสงฆ์ซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ จักมีแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลาย ผู้เกรงแต่ความแตกกัน ไม่พึงยกภิกษุรูปนั้นเพราะไม่เห็นอาบัติ.
ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสข้อความนั้นแก่ภิกษุพวกยกแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าไปทางภิกษุพวกที่สนับสนุนผู้ถูกยก แล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย ครั้นพระองค์ประทับนั่งแล้ว ได้ตรัสประทานพระพุทโธวาทแก่ภิกษุพวกที่สนับสนุนผู้ถูกยกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้อง
อาบัติแล้ว อย่าสำคัญอาบัติว่าไม่ต้องทำคืน ด้วยเข้าใจว่าพวกเราไม่ต้องอาบัติ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติแล้ว มีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ ถ้าเธอรู้จักภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านเหล่านี้แลเป็นพหูสูต .... ผู้ใคร่ต่อสิกขา คงจะไม่
ถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ เพราะเหตุแห่งเรา หรือเพราะเหตุแห่งภิกษุเหล่าอื่น ถ้าภิกษุเหล่านี้จักยกเรา เพราะไม่เห็นอาบัติพวกเธอจักทำอุโบสถร่วมกับเราไม่ได้ จักต้องทำอุโบสถแยกจากเรา ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท ความแตกแยกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์
ความกำหนดแห่งสงฆ์ การกระทำต่างแห่งสงฆ์ ซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ จักมีแก่สงฆ์ ภิกษุผู้เกรงแต่ความแตกกัน พึงยอมแสดงอาบัตินั้นเสีย แม้ด้วยความเชื่อผู้อื่น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติแล้ว มีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ
ถ้าเธอรู้จักภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านเหล่านี้แลเป็นพหูสูต .... ผู้ใคร่ต่อสิกขา คงจะไม่ถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ เพราะเหตุแห่งเรา หรือเพราะเหตุแห่งภิกษุอื่น ถ้าภิกษุเหล่านี้ จักยกเราเพราะไม่เห็นอาบัติ จักปวารณาร่วมกับเราไม่ได้ จักต้องปวารณาแยกจากเรา จักทำสังฆกรรมร่วมกับเราไม่ได้
จักต้องทำสังฆกรรมแยกจากเรา จักนั่งเหนืออาสนะร่วมกับเราไม่ได้ จักต้องนั่งเหนืออาสนะแยกจากเรา จักนั่งในสถานที่ดื่มยาคูร่วมกับเราไม่ได้ จักต้องนั่งในสถานที่ดื่มยาคูแยกจากเราจักนั่งในโรงภัตรร่วมกับเราไม่ได้ จักต้องนั่งในโรงภัตรแยกจากเรา จักอยู่ในที่มุงที่บังอันเดียวร่วมกับเราไม่ได้ จักต้องอยู่ในที่มุงที่บัง
อันเดียวแยกจากเรา จักทำอภิวาท ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ตามลำดับผู้แก่พรรษากับเราไม่ได้ จักต้องทำอภิวาท ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ตามลำดับผู้แก่พรรษาเว้นจากเรา ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท ความแตกแยกแห่งสงฆ์ ความกำหนดแห่งสงฆ์ การกระทำต่างแห่งสงฆ์
ซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุจักมีแก่สงฆ์ ภิกษุผู้เกรงแต่ความแตกกัน พึงยอมแสดงอาบัตินั้นเสีย แม้ด้วยความเชื่อผู้อื่น.
ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสข้อความนั้นแก่ภิกษุพวกที่สนับสนุนผู้ถูกยกแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.
วินิจฉัยในโกสัมพิขันธกะ ในคำว่า ตํ ภิกฺขุํ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปึสุ นี้ มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้ :- ได้ยินว่า ภิกษุ ๒ รูป คือ พระวินัยธร ๑ พระสุตตันติกะ ๑ อยู่ในอาวาสเดียวกัน. ในภิกษุ ๒ รูปนั้น วันหนึ่ง พระสุตตันติกภิกษุเข้าไปยังเว็จกุฏิ ค้างน้ำชำระที่เหลือไว้ในภาชนะแล้วออกไป.
พระวินัยธรเข้าไปทีหลัง เห็นน้ำนั้น ออกไปแล้วจึงถามภิกษุนั้นว่า :- ผู้มีอายุ ท่านเหลือน้ำนี้ไว้หรือ?
ขอรับ ผู้มีอายุ
ท่านไม่รู้ว่าเป็นอาบัติในเพราะเหลือน้ำไว้นี้หรือ?
ขอรับผมไม่รู้.
ผู้มีอายุมีอาบัติเพราะเหตุนี้.
ถ้ามี,ผมจักแสดง.
ผู้มีอายุ แต่ถ้าท่านไม่แกล้ง ทำด้วยไม่มีสติ, ก็ไม่มีอาบัติ.
พระสุตตันติกะนั้นได้เป็นผู้มีความเห็นอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ. ฝ่ายพระวินัยธรได้บอกแก่เหล่านิสิตของตนว่า พระสุตตันติกะนี้ แม้ต้องอาบัติอยู่ ก็ยังไม่รู้. นิสิตเหล่านั้นพบพวกนิสิตของพระสุตตันติกะนั้นเข้า จึงกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่าน แม้ต้องอาบัติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ.
นิสิตเหล่านั้นจึงมาบอกแก่อุปัชฌาย์. เธอจึงกล่าวอย่างนี้ว่า วินัยธรนี้แต่ก่อนพูดว่า ไม่เป็นอาบัติ มาบัดนี้พูดว่า เป็นอาบัติ, เธอพูดปด. นิสิตเหล่านั้นจึงไปก่อการทะเลาะกะกันและกันอย่างนี้ว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่านพูดปด. ลำดับนั้น พระวินัยธรได้โอกาสจึงได้ลงอุกเขปนียกรรม เพราะไม่เห็นอาบัติ
แก่เธอ. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ได้ยกวัตรภิกษุนั้น เพราะไม่เห็นอาบัติ.
วินิจฉัยในคำว่า ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ นี้พึงทราบดังนี้ :- ภิกษุสงฆ์ยังไม่แตกกันก่อน, เช่นอย่างว่า เมื่อฝนตก ชนทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บัดนี้ข้าวกล้าสำเร็จแล้ว. จริงอยู่ ข้าวกล้านั้นจักสำเร็จเป็นแน่ ข้อนี้ฉันใด ; ด้วยเหตุนี้ ต่อไป ภิกษุสงฆ์จักแตกกันแน่แท้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น.
จริงอยู่ ภิกษุสงฆ์นั้นแลจักแตกกันด้วยอำนาจความทะเลาะ, จักแตกกันด้วยอำนาจสังฆเภทหามิได้ ; เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า แตกกันแล้ว. ส่วนคำที่ตรัสซ้ำในข้อนี้ พึงทราบด้วยอำนาจเนื้อความที่ปรากฏ.
ข้อว่า เอตมตฺถํ ภาสิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิ มีคำถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงเสด็จหลีกไปเสีย?
ตอบว่า ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสกะเหล่าภิกษุผู้ยกวัตรว่า ภิกษุนั้นอันท่านทั้งหลายยกวัตรแล้ว โดยมิใช่เหตุ หรือจะพึงตรัสกะเหล่าภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกยกวัตรว่า ท่านทั้งหลายต้องอาบัติ. ภิกษุเหล่านั้นจะพึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นฝักฝ่ายแห่งภิกษุเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
ฝักฝ่ายแห่งภิกษุเหล่านี้ และผูกอาฆาต. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงตั้งเพียงแบบแผนเท่านั้น จึงทรงภาษิตเนื้อความนั้นแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย.
ในข้อว่า อตฺตนา วา อตฺตานํ นี้มีความว่า ภิกษุใดนั่งในฝ่ายแห่งเหล่าอธรรมวาที ผู้มีกรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุผู้ควรยกวัตร ถามว่า พวกท่านกล่าวอย่างไร? ได้ฟังลัทธิของพวกเธอและของอีกฝ่ายหนึ่ง ยังจิตให้เกิดขึ้นว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นอธรรมวาที, ภิกษุนอกจากนี้เป็นธรรมวาที ; ภิกษุนี้คงนั่งในท่ามกลาง
แห่งพวกภิกษุอธรรมวาทีนั้น ย่อมเป็นนานาสังวาสก์ของพวกเธอ ย่อมยังกรรมให้กำเริบ ; ชื่อว่ายังกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งให้กำเริบด้วย เพราะข้อที่เธอไม่มาเข้าหัตถบาส. ภิกษุย่อมทำตนให้เป็นนานาสังวาสก์ด้วยตนเอง ด้วยประการอย่างนี้.
แม้ในข้อว่า สมานสํวาสกํ นี้มีความว่า ภิกษุใดนั่งในฝ่ายอธรรมวาทีทราบว่า พวกนี้เป็นอธรรมวาที พวกนอกจากนี้เป็นธรรมวาที แล้วเข้าไปในท่ามกลางของพวกนั้น, นั่งแล้วในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถืออยู่ว่า พวกนี้เป็นธรรมวาที. ภิกษุนี้พึงทราบว่า ทำตนให้เป็นสมานสังวาสก์ด้วยตนเอง.
ในคำว่า กายกมฺมํ วจีกมฺมํ นี้มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น เมื่อประหารกันด้วยกาย พึงทราบว่า ยังกายกรรมให้เป็นไป เมื่อกล่าวคำหยาบ พึงทราบว่า ยังวจีกรรมให้เป็นไป.
สองบทว่า หตฺถปรามสํ กโรนฺติ มีความว่า ภิกษุเหล่านั้นกระทำการตีกันและกันด้วยมือ ด้วยอำนาจความโกรธ.
บทว่า อธมฺมิยมาเน ได้แก่ ผู้ทำอยู่ซึ่งกิจทั้งหลาย อันไม่สมควรแก่ธรรม.
สองบทว่า อสมฺโมทิกาย วตฺตมานาย คือ เมื่อถ้อยคำอันชวนให้บันเทิง ไม่เป็นไปอยู่. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะนี้เองเป็นบาลี. ความว่า เมื่อถ้อยคำเป็นเครื่องบันเทิงพร้อม ไม่เป็นไปอยู่.
วินิจฉัยในข้อว่า เอตฺตาวตา น อญฺมญฺญํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- พึงทำให้เป็น ๒ แถว นั่งเว้นอุปจารไว้. ส่วนในฝ่ายผู้กระทำกรรมสมควรแก่ธรรม เมื่อถ้อยคำอันชวนให้บันเทิงเป็นไปอยู่ พึงนั่งในแถวมีอาสนะคั่นในระหว่าง คือพึงนั่งเว้นอาสนะอันหนึ่งๆ ไว้ในระหว่าง. ในบทว่า มา ภณฺฑนํ เป็นต้น พึงถือเอา
ปาฐะที่เหลือว่า อกตฺถ เห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำความบาดหมางกัน.
บทว่า อธมฺมวาที ได้แก่ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกยกวัตร. อันภิกษุนี้ เป็นผู้ใคร่ประโยชน์แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ได้ยินว่า ความประสงค์ของภิกษุนั้น ดังนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมไม่เชื่อฟังคำของพระศาสดา, พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าต้องทรงลำบากตักเตือนภิกษุเหล่านั้นเลย เพราะฉะนั้น เธอจึงทูลอย่างนั้น. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสด้วยทรงเอ็นดูแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเธอ
จักได้ความรู้สึกแล้วงดเว้นในภายหลังบ้าง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนตฺถโต ตัดบทว่า อนตฺโถ อโต. มีคำอธิบายว่า ความเสื่อมเสียจักมีแก่เราจากบุรุษนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อนตฺถโต ได้แก่ อนตฺถโท แปลว่า บุรุษนั้นจักเป็นผู้ให้ความฉิบหาย. คำที่เหลือชัดเจนแล้ว.
ก็วินิจฉัยในคาถาว่า ปุถุสทฺโท เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :- ชนชื่อว่าผู้มีเสียงดัง เพราะเขามีเสียงมากคือใหญ่. ชนผู้เป็นเช่นเดียวกัน ชื่อว่าชนผู้สมกัน. มีคำอธิบายว่า จริงอยู่ ชนผู้ทำความบาดหมางกันนี้ทั้งหมด เป็นผู้มีเสียงดังเพราะเปล่งเสียงรอบด้านและเป็นเช่นกัน.
บาทคาถาว่า น พาโล โกจิมญฺญถ มีความว่า ในชนนิกายนั้น ใครๆ แม้คนหนึ่ง (ไม่) สำนึกตนเลยว่า เราเป็นพาล, ทุกๆ คนเป็นผู้มีความสำคัญว่า เราเป็นบัณฑิตทั้งนั้น.
บาทคาถาว่า นาญฺญํ ภิยฺโย อมญฺญรุํ มีความว่า ใครๆ แม้ผู้หนึ่ง ไม่สำนึกตนเลยว่า เราเป็นพาล และยิ่งกว่านั้น เมื่อสงฆ์แตกกันอยู่ ไม่สำนึกถึงเหตุอันหนึ่งแม้คนอื่น คือเหตุอันนี้ว่า สงฆ์แตกกันเพราะเราเป็นเหตุ.
บทว่า ปริมุฏฺฐา ได้แก่ ผู้หลงลืมสติ.
บาทคาถาว่า วาจาโคจรภาณิโน คือ ทำอาเทศ ร อักษรให้เป็นรัสสะ. ความว่า ผู้มีวาจาเป็นโคจร หาใช่ผู้มีสติปัฏฐานเป็นต้น เป็นโคจรไม่.
บทว่า ภาณิโน ได้แก่ ผู้มักกล่าวถ้อยคำ.
บาทคาถาว่า ยาวจฺฉนฺติ มุขายามํ มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น ตนปรารถนาจะต่อปากกันเพียงใด ย่อมเป็นผู้มักกล่าวยืดไปเพียงนั้น แม้รูปหนึ่งก็ไม่ทำความสยิ้วหน้าด้วยความเคารพต่อสงฆ์.
สองบทว่า เยน นีตา มีความว่า อันความทะเลาะใดนำไปสู่ความเป็นผู้ไม่มีละอายนี้.
สองบทว่า น ตํ วิทู มีความว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่รู้ซึ่งความทะเลาะนั้นว่า ความทะเลาะนี้มีโทษอย่างนี้.
บาทคาถาว่า เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ มีความว่า ชนเหล่าใดเข้าไปผูกอาการที่ว่า ผู้นี้ได้ด่าเรา เป็นต้นนั้นไว้.
บทว่า สนนฺตโน คือ เป็นของเก่า.
บทว่า ปเร มีความว่า เว้นพวกบัณฑิตเสีย ชนเหล่าอื่นจากบัณฑิตนั้น คือผู้ก่อความบาดหมางกัน ชื่อว่าชนเหล่าอื่น. ชนเหล่าอื่นนั้น เมื่อทำการทะเลาะอยู่ท่ามกลางสงฆ์นี้ ย่อมไม่รู้เสียเลยทีเดียวว่าเราทั้งหลายยุบยับ คือป่นปี้ ฉิบหาย ไปสู่ที่ใกล้ความตายเนืองๆ คือสม่ำเสมอ.
บาทคาถาว่า เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ มีความว่า ฝ่ายชนเหล่าใดเป็นบัณฑิตในท่ามกลางสงฆ์นั้น ทราบชัดว่า เราทั้งหลายไปสู่ที่ใกล้แห่งความตาย.
บาทคาถาว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา มีความว่า จริงอยู่ ชนเหล่านั้น เมื่อทราบอย่างนั้น ยังโยนิโสมนสิการให้เกิดขึ้น ย่อมปฏิบัติเพื่อความเข้าไปสงบแห่งความหมายมั่น คือความทะเลาะเสีย. คาถาว่า อฏฺฐิจฺฉิทา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเจ้าพรหมทัตและทีฆาวุกุมาร. ความว่า ความพร้อมเพรียง แม้แห่งชนเหล่านั้น ยังมีได้, เหตุไร ความพร้อมเพรียงของท่านทั้งหลายจะมีไม่ได้เล่า? กระดูกของมารดาบิดาอันพวกท่านเหล่าใด ก็หาได้ถูกตัดเสียไม่เลย, ชีวิตก็หาได้ถูกผลาญเสียไม่, โค ม้าและทรัพย์ทั้งหลายก็หาได้ถูกลักไม่. คาถาว่า สเจ ลเภถ เป็นอาทิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อแสดงคุณแห่งสหายผู้เป็นบัณฑิตและโทษแห่งสหายผู้เป็นพาล. บาทคาถาว่า อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ มีความว่า พึงย่ำยีอันตรายที่ปรากฏ และอันตรายที่ซ่อนเร้นเสีย มีใจชื่นชมกับด้วยสหายนั้น มีสติเที่ยวไป. หลายบทว่า ราชาวรฏฺฐํ วิชิตํ มีความว่า พระราชาทรงพระนามว่า มหาชนก และพระมหาราชาทรงพระนามว่า อรินทมะทรงละแว่นแคว้น คือดินแดนเป็นที่ยินดีของพระองค์เสีย เที่ยวไปตามลำพัง ฉันใด, พึงเที่ยวไป ฉันนั้น. สองบทว่า มาตงฺครญฺเญว นาโค มีความว่า เหมือนช้างใหญ่ละโขลง เที่ยวไปในป่า. สัตว์มีงวงเรียกช้าง. คำว่า นาค นี้ เป็นชื่อแห่งผู้เป็นใหญ่. มีคำอธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ช้างใหญ่ผู้เลี้ยงมารดา เที่ยวไปในป่าแต่ลำพัง ทั้งไม่ได้ทำบาปทั้งหลาย ฉันใด ; อนึ่ง ช้างปาริเลยยกะเที่ยวไปในป่าตามลำพัง ทั้งไม่ได้ทำบาปทั้งหลาย ฉันใด : บุคคลพึงเที่ยวไปตามลำพัง ทั้งไม่พึงทำบาปทั้งหลายก็ฉันนั้น. หลายบทว่า ปาริเลยฺยเก วิหรติ รกฺขิตวนสณฺเฑ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าไปอาศัยบ้านชื่อปาริเลยยกะ เสด็จอยู่ในรักขิตไพรสณฑ์. บทว่า หตฺถินาโค ได้แก่ ช้างใหญ่. บทว่า หตฺถิกลเภหิ ได้แก่ ลูกช้าง. บทว่า หตฺถิจฺฉาเปหิ ได้แก่ ลูกช้างอ่อน ซึ่งยังดื่มนม. บทว่า ฉินฺนคฺคานิ มีความว่า เคี้ยวกินหญ้า มียอดซึ่งช้างเหล่านั้นไปข้างหน้าๆ ตะพ่วนเสีย คือ คล้ายตอซึ่งเหลือจากที่เคี้ยวกินแล้ว. ข้อว่า โอภคฺโคภคฺคํ มีความว่า อันช้างใหญ่นั้นหักให้ตกลงจากที่สูงแล้ว. สองบทว่า อสฺส สาขาภงคํ ความว่า ช้างเหล่านั้นย่อมเคี้ยวกินกิ่งไม้ที่พึงหัก ซึ่งเป็นของช้างใหญ่นั่น. บทว่า อาวิลานิ มีความว่า ช้างใหญ่นั้นย่อมดื่มน้ำเจือตม ซึ่งช้างเหล่านั้น เมื่อลงดื่มก่อนลุยเสียแล้ว. บทว่า โอคาหา คือจากท่า. สองบทว่า นาคสฺส นาเคน คือแห่งสัตว์ใหญ่ คือช้าง ด้วยผู้เป็นใหญ่ คือพระพุทธเจ้า. บทว่า อีสาทนฺตสฺส คือ ผู้มีงาเช่นกับงอนรถ. บาทคาถาว่า ยเทโก รมตี วเน มีความว่า สัตว์ใหญ่ คือช้างแม้นี้ เป็นผู้เดียว คือเงียบสงัด รื่นรมย์ในป่า เหมือนผู้ประเสริฐ คือพระพุทธเจ้า, เพราะฉะนั้น จิตของสัตว์ใหญ่นั้น ชื่อว่าเสมอด้วย ท่านผู้ประเสริฐ คือเป็นเช่นเดียวกัน ด้วยความยินดีในความเป็นผู้เดียว. พึงทราบความในคำว่า ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา นี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่บ้านปาริเลยยกะนั้นตลอดไตรมาส. คำที่พูดกันได้แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเบียดเบียนด้วยเหตุเท่านี้ จึงเสด็จเข้าป่าอยู่ตลอดไตรมาส. หลายบทว่า อถ โข โกสมฺพิกา อุปาสกา มีความว่า ครั้งนั้นแล พวกอุบาสกชาวเมืองโกสัมพี ได้ฟังถ้อยคำที่เจรจากันนี้. ข้าพเจ้าจักพรรณนาเภทกรวัตถุ ๑๘ มีคำว่า อธมฺมํ ธมฺโม เป็นต้น ในสังฆเภทขันธกะ. บทว่า อาทายํ ได้แก่ ฝั่งแห่งลัทธิ. บทว่า วิวิตฺตํ ได้แก่ ว่าง. หลายบทว่า ตํ อุกฺขิตฺตกํ ภิกฺขุํ โอสาเรตฺวา มีความว่า พาภิกษุผู้ถูกยกวัตรนั้นไปนอกสีมา ให้แสดงอาบัติแล้ว เรียกเข้าหมู่ด้วยกรรมวาจา. สองบทว่า ตาวเทว อุโปสโถ มีความว่า พึงทำสามัคคีอุโบสถตามนัยที่กล่าวแล้วในอุโปสถขันธกะในวันนั้นทีเดียว. หลายบทว่า อมูลา มูลํ คนฺตฺวา มีความว่า ไม่ออกจากมูลไปหามูล. อธิบายว่า ไม่วินิจฉัยวัตถุนั้น. ข้อว่า อยํ วุจฺจติ อุปาลี สงฺฆสามคฺคี อตฺถาเปตา พฺยญฺชนุเปตา มีความว่า สังฆสามัคคีนี้ ปราศจากอรรถ แต่อาศัยเพียงพยัญชนะว่า สังฆสามัคคี นี้.
เกิดวันอาทิตย์ พระประจำวันเกิดคือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร ลักษณะพระพุทธรูป พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน ลืมพระเนตรทั้งสอง
เพ่งไปข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานกันอยู่ระหว่างพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนเหลื่อมพระหัตถ์ซ้าย อยู่ในพระอาการสังวรทอด พระเนตรดูต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประวัติย่อ เมื่อพระพุทธองค์
ได้ตรัสรู้แล้ว จึงประทับยับยั้งเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ร่มโพธิ์เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นจึงเสด็จออกไปจากภายใต้ร่มโพธิ์ไปประทับยืนอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ทอด
พระเนตรพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตรเป็นเวลา 7 วัน เพื่อรำลึกถึงคุณประโยชน์ของต้นมหาโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้านประทานร่มเงา ให้ความชุ่มเย็น เป็นการอำนวย
ช่วยพระองค์จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
บทสวดมนต์บูชาพระประจำวันอาทิตย์
(บทโมรปริตร) อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะคุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะ ธัมเม, เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ นะมัตถุ พึทธานัง นะมัตถุ โพธิยา, นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา อิมังโส ปะริตตัง กัตวา โมโร จะระติ เอสะนา ฯ
สวดวันละ 6 จบ.
อรรถแห่งคาถา สองบทว่า สงฺฆสฺส กิจฺเจสุ มีความว่า เมื่อกิจที่จะพึงกระทำ เกิดขึ้นแก่สงฆ์ บทว่า มนฺตนาสุ ได้แก่ เมื่อการปรึกษาวินัย. สองบทว่า อตฺเถสุ ชาเตสุ ได้แก่ เมื่อเนื้อความแห่งวินัยเกิดขึ้น. บทว่า วินิจฺฉเยสุ ได้แก่ ครั้นวินิจฉัยอรรถเหล่านั้นแล. บทว่า มหตฺถิโก ได้แก่ ผู้มีอุปการะมาก. บทว่า ปคฺคหารโห ได้แก่ สมควรเพื่อยกย่อง. บาทคาถาว่า อนานุวชฺโช ปฐเมน สีลโต มีความว่า ในชั้นต้นทีเดียว ใครๆ ก็ติเตียนไม่ได้โดยศีลก่อน. บทว่า อเวกฺขิตาจาโร คือ ผู้มีอาจาระอันตนพิจารณาแล้ว ได้แก่ผู้มีอาจาระอันตนคอยตรวจตราแล้ว โดยนัยเป็นต้นว่า มีปกติ ทำความรู้สึกตัว ในเมื่อมองดู ในเมื่อเหลียวแล. ส่วนในอรรถกถาทั้งหลายแก้ว่า ผู้มีอาจาระไม่ปกปิด คือผู้ระวังตัวดี. บทว่า วิสยฺห ได้แก่ องอาจ. สองบทว่า อนุยฺยุตฺตํ ภณํ คือ เมื่อพูด ไม่นอกเหตุอันควรคือไม่เข้ากัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า จริงอยู่ บุคคลนั้น ย่อมพูดไม่นอกเหตุอันควร คือไม่พูดปราศจากเหตุด้วยความริษยาหรือด้วยอำนาจความลำเอียง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ยังประโยชน์ให้เสีย. ฝ่ายบุคคลผู้พูดด้วยความริษยาหรือด้วยอำนาจความลำเอียง ชื่อว่าย่อมยังประโยชน์ให้เสีย, บุคคลนั้นไปในบริษัทย่อมประหม่าและสะทกสะท้าน, บุคคลใดไม่เป็นผู้เช่นนี้ บุคคลนี้สมควรเพื่อยกย่อง. คาถาว่า ตเถวปญฺหํ พึงทราบให้ชัดอีกสักหน่อย. เนื้อความแห่งคาถานั้น บุคคลผู้พูดไม่นอกเหตุอันสมควร ย่อมไม่ยังประโยชน์ให้เสียฉันใด เขาเป็นผู้ถูกถามปัญหา ในท่ามกลางบริษัท ย่อมไม่เป็นผู้เก้อ ก็ฉันนั้นนั่นแล. จริงอยู่ ผู้ใดไม่รู้อรรถ ผู้นั้นย่อมนิ่งอั้น, ผู้ใดไม่อาจเพื่อตอบ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้เก้อ. ฝ่ายผู้ใดรู้อรรถด้วย อาจเพื่อตอบด้วย ผู้นั้นย่อมไม่นิ่งอั้น ไม่เป็นผู้เก้อ. บทว่า กาลาคตํ มีความว่า เหมาะในกาลที่สมควรกล่าว. บทว่า พฺยากรณารหํ ความว่า ชื่อว่าเป็นพยากรณ์ที่สมควร เพราะเข้ากับใจความแห่งปัญหา. บทว่า วโจ ได้แก่ เมื่อพูด. อธิบายว่า เมื่อกล่าวถ้อยคำเห็นปานนั้น. บทว่า รญฺเชติ ได้แก่ ย่อมให้พอใจ. บทว่า วิญฺญูปริสํ ความว่า ยังบริษัทแห่งวิญญูชนทั้งหลาย. สองบทว่า อาเจรกมฺหิ จ สเก มีความว่า เป็นผู้แกล้วกล้า ในวาทะแห่งอาจารย์ของตน. สองบทว่า อลํ ปเมตุํ มีความว่า เป็นผู้สามารถเพื่อพิจารณา คือเพื่อชั่งดูเหตุนั้นๆ ด้วยปัญญา. สองบทว่า ปคุโณ มีความว่า ผู้ได้ทำความสั่งสมไว้ คือ ได้ความซ่องเสพจนคุ้น. บทว่า กเถตเว ได้แก่ ในคำที่จะพึงกล่าว. บทว่า วิรทฺธิโกวิโท ได้แก่ ผู้ฉลาด คือรู้ทัน ในเหตุอันพิรุธ. คาถาว่า ปจฺจตฺถิกา เยน วชนฺติ นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเพื่อแสดงคำที่จะพึงกล่าวซึ่งเป็นที่ชำนาญ. จริงอยู่ ในคาถานี้ มีเนื้อความดังนี้ :- ด้วยถ้อยคำเช่นใด อันตนกล่าวแล้ว ข้าศึกทั้งหลาย ย่อมถึงความถูกปราบ, และมหาชนย่อมถึงความยินยอม, อธิบายว่า ถึงความตกลงตามคำประกาศ. จริงอยู่บุคคลนี้ เมื่อกล่าว ชื่อว่าย่อมไม่ลบล้างลัทธิเป็นที่เชื่อถือของตน คือวาทะแห่งอาจารย์ตน. อธิกรณ์เกิดขึ้น เพราะเรื่องใด, เมื่อแก้ปัญหา สมควรแก่เรื่องนั้น คือไม่ทำความขัดขวาง แก่เรื่องนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ชำนาญในคำที่จะพึงกล่าวเช่นนั้น. สองบทว่า ทูเตยฺยกมฺเมสุ อลํ มีความว่า ชื่อว่าผู้สามารถในกรรม เนื่องด้วยทูตของสงฆ์ เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยองค์แห่งทูต ๘ ประการ. ชื่อว่าผู้ยอมรับ เพราะอรรถว่า รับด้วยดี คือโดยง่าย. มีคำอธิบายดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายย่อมรับด้วยดี ซึ่งสักการะอันเขาพึงนำมาคำนับคือบิณฑาหารอันชื่อว่า ขอคำนับ ชื่อฉันใด, บุคคลนี้ ย่อมเป็นผู้ยอมรับในกิจทั้งหลายของสงฆ์ ด้วยน้ำใจอันมีปีติและโสมนัสเป็นแท้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น, ความว่า เป็นผู้รับช่วยกิจนั้น ในบรรดากิจของสงฆ์. สองบทว่า กรํ วโจ มีความว่า เมื่อทำหน้าที่เจรจา. สองบทว่า น เตน มญฺญติ มีความว่า ย่อมไม่ประพฤติถือตัวและเย่อหยิ่งว่า เราทำ. เราช่วยภาระสงฆ์ เพราะการทำหน้าที่เจรจาอันนั้น. บทว่า อาปชฺชติ ยาวตเกสุ มีความว่า เมื่อจะต้องอาบัติย่อมต้องในวัตถุมีประมาณเท่าใด. สามบทว่า โหติ ยถา จวุฏฺฐิติ๑- มีความว่า และความออกอาบัตินั้น ย่อมมีด้วยประการใด. สองบทว่า เอเต วิภงฺคา มีความว่า ย่อมต้องในวัตถุเหล่าใดและความออกย่อมมีด้วยประการใด, วิภังค์ทั้งสองเหล่านี้ของภิกษุนั้น ซึ่งส่องเนื้อความเหล่านี้ มาดีแล้ว คือมาถูกต้องแล้ว. บาทคาถาว่า อาปตฺติวุฏฺฐานปทสฺส โกวิโท คือ ผู้ฉลาดในเหตุแห่งการออกอาบัติ. สองบทว่า ยานิ จารจรํ มีความว่า อนึ่ง เมื่อประพฤติซึ่งกรรมมีความก่อความบาดหมางเป็นต้น เหล่าใด จึงถึงความถูกขับออกด้วยอำนาจตัชชนียกรรมเป็นอาทิ. บาทคาถาว่า โอสารณํ ตํ วุสิตสฺส ชนฺตุโน มีความว่า เมื่อบุคคลผู้จบพรตนั้นแล้ว, การเรียกเข้าหมู่อันใด สงฆ์พึงทำให้, ย่อมรู้การเรียกเข้าหมู่แม้นั้น. คำที่เหลือในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. อรรถกถาโกสัมพิขันธกะ จบ. อรรถกถามหาวรรค ในอรรถกถา ชื่อสมันตปาสาทิกา จบบริบูรณ์ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง วรรณนานี้ไม่มีอุปัทวะ จบบริบูรณ์แล้วฉันใด ขอปวงชนจงถึงความสงบ หาอุปัทวะมิได้ ฉันนั้นแล. ๑- อิ. วุฏฺฐาติ.แยกกันทำอุโบสถในสีมาเป็นต้น [๒๔๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุพวกที่สนับสนุนผู้ถูกยก ทำอุโบสถทำสังฆกรรมภายในสีมานั้นเอง ส่วนภิกษุพวกยกไปทำอุโบสถ ทำสังฆกรรมนอกสีมา กาลต่อมา ภิกษุผู้ยกรูปหนึ่ง เข้าไปพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกนั้น ทำอุโบสถ ทำสังฆกรรม ภายในสีมานั้นเองส่วนพวกข้าพระพุทธเจ้า เป็นภิกษุพวกยกต้องไปทำอุโบสถ ทำสังฆกรรมนอกสีมา พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุ ถ้าภิกษุพวกที่สนับสนุนผู้ถูกยกนั้น จักทำอุโบสถ ทำสังฆกรรม ภายในสีมานั้นเอง ถูกตามญัตติและอนุสาวนาที่เราบัญญัติไว้ กรรมของพวกเธอนั้นเป็นธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ ถ้าพวกเธอเป็นภิกษุพวกยกจักทำอุโบสถ ทำสังฆกรรมภายในสีมานั้นเอง ถูกตามญัตติและอนุสาวนา ที่เราบัญญัติไว้ แม้กรรมของพวกเธอนั้น ก็เป็น ธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุพวกนั้นมีสังวาสต่างจากพวกเธอ และพวกเธอก็มีสังวาสต่างจากภิกษุพวกนั้น. นานาสังวาสภูมิ ๒ อย่าง ดูกรภิกษุ ภูมิของภิกษุนานาสังวาสนี้มี ๒ อย่าง คือ ภิกษุทำตนเป็นนานาสังวาสด้วยตน ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันยกภิกษุนั้น เพราะไม่เห็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะ ไม่สละทิฏฐิบาป ๑ ดูกรภิกษุ ภูมิของภิกษุนานาสังวาส ๒ อย่างนี้แล. สมานสังวาสภูมิ ๒ อย่าง ดูกรภิกษุ ภูมิของภิกษุสมานสังวาสนี้มี ๒ อย่าง คือ ภิกษุทำตนให้เป็นสมานสังวาส ด้วยตน ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันรับภิกษุนั้นผู้ถูกยก เพราะไม่เห็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติหรือเพราะไม่สละทิฏฐิบาป เข้าหมู่ ๑ ดูกรภิกษุ ภูมิของภิกษุสมานสังวาส ๒ อย่างนี้แล. เรื่องความบาดหมางกันเป็นต้น [๒๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาทกัน ย่อมแสดงกายกรรม วจีกรรม อันไม่สมควรต่อกันและกัน ทำปรามาสกันด้วยมือในโรงภัตร ในละแวกบ้าน คนทั้งหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทั้งหลาย จึงได้เกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาท แสดงกายกรรม วจีกรรม อันไม่สมควรต่อกันและกัน ทำปรามาสกันด้วยมือ ในโรงภัตร ในละแวกบ้านเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา อยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย .... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลาย จึงได้เกิดความบาดหมาง .... ทำปรามาสกันด้วยมือ ในโรงภัตร ในละแวกบ้านเล่า แล้วได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายเกิดความบาดหมาง
.... ทำปรามาสกันด้วยมือ ในโรงภัตร ในละแวกบ้าน จริงหรือ? ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. ทรงติเตียนแล้วทรงห้าม พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว แต่ยังทำกิจอันเป็นธรรม เมื่อถ้อยคำไม่ชวนให้ชื่นชมต่อกันเป็นไปอยู่ พวกเธอพึงนั่งเหนืออาสนะ โดยนึกในใจว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
พวกเราจักไม่แสดงกายกรรม วจีกรรม อันไม่สมควรต่อกันและกัน จักไม่ทำปรามาสกันด้วยมือ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์แตกกันแล้วแต่ยังทำกิจที่เป็นธรรม เมื่อถ้อยคำอันชวนให้ชื่นชมต่อกันเป็นไปอยู่ พวกเธอพึงนั่งในแถวมีอาสนะอันหนึ่งคั่นในระหว่าง. [๒๔๒] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะถึงการวิวาทกันย่อมทิ่มแทงกันด้วยหอก คือ ปาก ในท่ามกลางสงฆ์อยู่ ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจระงับอธิกรณ์นั้นได้ ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปในพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุรูปนั้นยืนเฝ้าเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาค
ว่าพระพุทธเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายในวัดโฆสิตารามนี้ เกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาทกัน ย่อมทิ่มแทงกันด้วยหอกคือ ปาก ในท่ามกลางสงฆ์อยู่ ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจระงับ อธิกรณ์นั้นได้ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงโปรดอาศัยความอนุเคราะห์เสด็จเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนา ด้วยอาการดุษณี ครั้นแล้วได้เสด็จเข้าไปหาภิกษุนั้น ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวายประทับนั่งแล้วได้ตรัสคำนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นว่า อย่าเลย ภิกษุทั้งหลายพวกเธออย่าบาดหมาง อย่า ทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง อย่าวิวาทกันเลย เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุอธรรมวาที รูปหนึ่งได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรม จงทรง พระกรุณารอก่อน ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงมีความขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระพุทธเจ้าจักปรากฏ ด้วยความบาดหมาง ด้วยความทะเลาะ ด้วยความ แก่งแย่ง ด้วยการวิวาทนั้น พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นเป็นคำรบสองว่า อย่าเลยภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าบาดหมาง อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง อย่าวิวาทกันเลย ภิกษุอธรรมวาทีนั้น ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเป็นคำรบสองว่า ขอพระผู้มีพระภาคผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรม จงทรงพระกรุณารอก่อน ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงมีความ ขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระองค์จักปรากฏ ด้วยความบาดหมาง ด้วยความทะเลาะ ด้วยความแก่งแย่ง ด้วยการวิวาทนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น