Translate

15 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมี ครุธรรม ๘ ประการ

 [๕๑๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธารามเขตกรุงกบิลพัสดุ์ ในสักกะชนบท ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอประทานวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอสตรีพึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย โคตมี เธออย่าชอบใจ การที่สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย  แม้ครั้งที่สอง ...  แม้ครั้งที่สาม พระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าขอประทานวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอสตรีพึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย โคตมี เธออย่าชอบใจ การที่สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
   ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงน้อยพระทัยว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงพลางถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ เสด็จกลับไป ฯ
   [๕๑๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จหลีกจาริกทางพระนครเวสาลี เสด็จจาริกโดยลำดับถึงพระนครเวสาลี ข่าวว่า พระองค์ประทับอยู่ที่กูฏาคารสาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลีนั้น
   ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีให้ปลงพระเกสา ทรงพระภูษาย้อมฝาดพร้อมด้วยนางสากิยานีมากด้วยกัน เสด็จหลีกไปทางพระนครเวสาลี เสด็จถึงเมืองเวสาลี กูฏาคารสาลาป่ามหาวัน โดยลำดับ เวลานั้นพระนางมีพระบาททั้งสองพองมีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ได้ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก ท่านพระอานนท์ได้เห็นพระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระบาททั้งสองพองมีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก ครั้นแล้วได้ถามว่า
       ดูกรโคตมี เพราะเหตุไร พระนางจึงมีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลีมีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์ชุ่มด้วยน้ำพระเนตร ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก
       พระนางตอบว่า พระอานนท์เจ้าข้า เพราะพระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ฯ
   พระอานนท์กล่าวว่า ดูกรโคตมี ถ้าเช่นนั้น พระนางจงรออยู่ที่นี่แหละสักครู่หนึ่ง จนกว่าอาตมาจะทูลขอพระผู้มีพระภาคให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ฯ
   [๕๑๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมีนั้น มีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก ด้วยน้อยพระทัยว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ขอประทานวโรกาส ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
       พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจ การที่สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
       แม้ครั้งที่สอง ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอประทานวโรกาส ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
       พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจ การที่สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
       แม้ครั้งที่สาม ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอประทานวโรกาส ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
       พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจ การที่สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
       ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์คิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ไฉนหนอ เราพึงทูลขอพระผู้มีพระภาคให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว โดยปริยายสักอย่างหนึ่ง จึง
ทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ควรหรือไม่เพื่อทำให้แจ้งแม้ซึ่งโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผล
       พ. ดูกรอานนท์ สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ควรเพื่อทำให้แจ้งแม้ซึ่งโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผล
       อ. พระพุทธเจ้าข้า ถ้าสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ควรเพื่อทำให้แจ้งแม้ซึ่งโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผลได้ พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาค ทรงมีอุปการะมาก ทรงประคับประคองเลี้ยงดู ทรงถวายขีรธารา เมื่อพระชนนีสวรรคต ได้ให้พระผู้มีพระภาคเสวยขีรธารา ขอประทานวโรกาส ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
ครุธรรม ๘ ประการ
   [๕๑๖] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนางคือ:-
               ๑. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๒. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือ ถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟังคำสั่งสอน ๑ จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่ายธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะเคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทางให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
       ดูกรอานนท์ ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ข้อนั้นแหละจงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง ฯ
 [๕๑๗] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม ๘ ประการ ในสำนักพระผู้มีพระภาค แล้วเข้าไปหาพระนางมหาปชาบดีโคตมี ชี้แจงว่า พระนางโคตมี ถ้าพระนางยอมรับครุธรรม ๘ ประการ ข้อนั้นแหละจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง คือ:-
               ๑. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรมสามีจิกรรม แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๒. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือ ถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟังคำสั่งสอน ๑ จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะเคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่ายธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               ๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีแล้ว ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะเคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต ฯ
                ๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษ ภิกษุโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต ฯ
               ๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทางให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือบูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
               พระนางโคตมี ถ้าพระนางยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ข้อนั้นแหละจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง
       พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ดิฉันยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ไม่ละเมิดตลอดชีวิต เปรียบเหมือนหญิงสาว หรือชายหนุ่มที่ชอบแต่งกาย อาบน้ำสระเกล้าแล้ว ได้พวงอุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้วพึงประคองรับด้วยมือทั้งสอง ตั้งไว้เหนือเศียรเกล้าฉะนั้น ฯ
พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน
   [๕๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการแล้ว พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาค อุปสมบทแล้ว
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น ดูกรอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อย ตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย
 อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงในนาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน ดูกรอานนท์ บุรุษกั้นทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘ ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
ครุธรรม ๘ ประการของภิกษุณี จบ
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ ภิกขุนีขันธกะ เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นต้น
ภิกขุนิกขันธกวรรณนา [ว่าด้วยครุธรรม ๘] วินิจฉัยในภิกขุนิกขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-
              ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงห้ามว่า อย่าเลย โคตมี (บรรพชา ... ของมาตุคาม) อย่าได้ชอบใจแก่ท่านเลย, บริษัทของพระพุทธเจ้าแม้ทั้งปวง ย่อมมี ๔ มิใช่หรือ ?
              ตอบว่า บริษัทของพระพุทธเจ้าแม้ทั้งปวงมี ๔ ก็จริง, ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระประสงค์จะยังพระนางมหาปชาบดีโคตมีให้ลำบากแล้ว จึงทรงอนุญาตทำให้เป็นของสำคัญ (อย่างนี้) ว่า สตรีทั้งหลายจักคิดว่า บรรพชานี้ เราได้ยาก ดังนี้ แล้วจักบริบาลไว้โดยชอบ ซึ่งบรรพชาอันเราถูกวิงวอนแล้วมากครั้งจึงอนุญาต ดังนี้ จึงทรงห้ามเสีย.
              กถาว่าด้วยครุธรรม ๘ ได้กล่าวไว้แล้ว ในมหาวิภังค์๑- แล.
              บทว่า กุมฺภเถนเกหิ ได้แก่ โจรผู้ตามประทีปในหม้อแล้ว ค้นสิ่งของในเรือนของชนอื่น ด้วยแสงนั้น ลักเอาไป.
              ข้อว่า เสตฏฺฐิกา นาม โรคชาติ นั้น ได้แก่ ชื่อสัตว์มีชีวิตชนิดหนึ่ง. รวงข้าวสาลีแม้พลุ่งแล้ว ไม่อาจเลี้ยงน้ำนมไว้ได้ เพราะถูกสัตว์ใดเจาะแล้ว สัตว์นั้นย่อมเจาะไส้ซึ่งยังอยู่ในปล้อง.
              ข้อว่า มญฺเชฏฺฐิกา นาม โรคชาติ นั้น ได้แก่ การที่อ้อยเป็นโรคไส้แดง. 
         ก็แล ด้วยคำว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลึ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเนื้อความนี้ว่า เมื่อขอบแห่งสระใหญ่แม้ไม่ได้ก่อแล้ว น้ำน้อยหนึ่งพึงขังอยู่ได้, แต่เมื่อได้ก่อขอบไว้เสียก่อนแล้ว น้ำใดไม่พึงขังอยู่ เพราะเหตุที่มิได้ก่อขอบไว้, น้ำแม้นั้นพึงขังอยู่ได้ เมื่อได้ก่อขอบแล้ว ข้อนี้ฉันใด ;
       ครุธรรมเหล่านี้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรีบบัญญัติเสียก่อน เพื่อกันความละเมิด ในเมื่อยังไม่เกิดเรื่อง, เมื่อครุธรรมเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้มิได้ทรงบัญญัติ พระสัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ห้าร้อยปี เพราะเหตุที่มาตุคามบวช, แต่เพราะเหตุที่ทรงบัญญัติครุธรรมเหล่านั้นไว้ก่อน พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้อีกห้าร้อยปี ข้อนี้ก็ฉันนั้นแล จึงรวมความว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดพันปีที่ตรัสทีแรกนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้. 
         แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น. แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน, รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้. 
         ฝ่ายพระปริยัติธรรม จักตั้งอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน. เมื่อปริยัติไม่มี ปฏิเวธจะมีไม่ได้เลย, เมื่อปริยัติมี ปฏิเวธจะไม่มี ก็ไม่ได้. แต่เมื่อปริยัติ แม้เสื่อมสูญไปแล้ว เพศจะเป็นไปตลอดกาลนานฉะนี้แล. 
               ๑- มหาวิภงฺค. ทุติย. ๒๗๐. ๒. องฺกุร.
              [ว่าด้วยอุปสัมปทาแห่งภิกษุณีเป็นต้น]   ภิกษุทั้งหลายให้อุปสมบทนางสากิยานีห้าร้อย ทำให้เป็นสัทธิวิหารรินีของพระนางมหาปชาบดีโคตมี โดยพระอนุญาตนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายให้อุปสมบทนางภิกษุณี. นางสากิยานีแม้ทั้งปวงเหล่านั้น ได้เป็นผู้ชื่อว่า อุปสมบทแล้วพร้อมกัน ด้วยประการฉะนี้.
              พระนางโคตมีบรรลุพระอรหัตด้วยพระโอวาทนี้ว่า เย โข ตฺวํ โคตมิ (เป็นอาทิ).
              ข้อว่า กมฺมํ น กริยติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายไม่ทำกรรมทั้ง ๗ อย่าง มีตัชชนียกรรมเป็นอาทิ.
              บทว่า ขมาเปนฺติ มีความว่า ภิกษุเหล่านี้ ย่อมขอโทษว่า เราทั้งหลายจักไม่ทำกรรมเห็นปานนี้อีก.
 วินิจฉัยในคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ภิกฺขูหิ ภิกฺขุนีนํ กมฺมํ อาโรเปตฺวา ภิกฺขุนีนํ นิยฺยาเทตุํ นี้ พึงทราบดังนี้ :-
              อันภิกษุทั้งหลายพึงยกขึ้นอย่างนี้ว่า บรรดากรรมมีตัชชนียกรรมเป็นต้น กรรมชื่อนี้ พึงทำแก่ภิกษุณีนั่น แล้วพึงมอบหมายว่า บัดนี้ ท่านทั้งหลายนั่นแลจงทำกรรมนั้น.
              ก็ถ้าว่า ภิกษุณีทั้งหลายทำกรรมอื่น ในเมื่อกรรมอื่น อันภิกษุยกขึ้นแล้ว เธอทั้งหลาย ย่อมถึงความเป็นผู้อันสงฆ์ควรปรับโทษตามนัยที่กล่าวแล้วในบาลีนี้ว่า ทำนิยสกรรม แก่บุคคลผู้ควรแก่ตัชชนียกรรม ทีเดียว.
              [ว่าด้วยอวันทิยกรณ์เป็นต้น] วินิจฉัยในคำว่า กทฺทโมทเกน นี้ พึงทราบดังนี้ :-
              เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้รดด้วยน้ำโคลนอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ เมื่อรดแม้ด้วยน้ำใส น้ำยอมและตมเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นทุกกฏเหมือนกัน.
              ข้อว่า อวนฺทิโย โส ภิกฺขเว ภิกฺขุนิสงฺเฆน กาตพฺโพ มีความว่า ภิกษุณีสงฆ์พึงประชุมกันในสำนักภิกษุณี สวดประกาศ ๓ ครั้งอย่างนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่อโน้น แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใสแก่ภิกษุณีทั้งหลาย การทำพระผู้เป็นเจ้านั้น ให้เป็นผู้อันภิกษุณีไม่พึงย่อมชอบใจแก่สงฆ์
              ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้อันภิกษุณีทั้งหลายกระทำให้เป็นผู้อันตนไม่ควรไหว้ ด้วยสวดประกาศเพียงเท่านี้. จำเดิมแต่นั้น ภิกษุนั้น อันภิกษุณีแม้เห็นแล้วไม่พึงไหว้อย่างที่เห็นสามเณรแล้วไม่ไหว้ฉะนั้น.
              อันภิกษุนั้น เมื่อจะประพฤติชอบ ไม่พึงไปสู่สำนักภิกษุณี พึงเข้าไปหาสงฆ์หรือบุคคลผู้หนึ่ง ในสำนักนั่นแล นั่งกระโหน่งประนมมือ ขอขมาโทษว่า ขอภิกษุณีสงฆ์จงอดโทษแก่ข้าพเจ้า.
              ภิกษุนั้นพึงไปสู่สำนักภิกษุณี กล่าวว่า ภิกษุนั้นขอโทษพวกท่าน. จำเดิมแต่นั้น ภิกษุณีทั้งหลายพึงไหว้ภิกษุนั้น. ความสังเขปในภิกขุนิกขันธกะนี้ เท่านี้ แต่ข้าพเจ้าจักกล่าวความพิสดาร ในกัมมวิภังค์.
              บทว่า โอภาเสนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ย่อมชักชวนภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยอสัทธรรม.
              หลายบทว่า ภิกฺขุนีหิ สทฺธึ สมฺปโยเชนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ช่วยชักจูงบุรุษกับภิกษุณีด้วยอสัทธรรม. การทำให้เป็นผู้อันภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
              บทว่า อาวรณํ ได้แก่ การกีดกัน มีการห้ามมิให้เข้าในสำนักเป็นต้น.
              บทว่า น อาทิยนฺติ มีความว่า ภิกษุณีพวกฉัพพัคคีย์ ไม่ยอมรับเองโดยชอบ.
  วินิจฉัยในคำว่า โอวาทํ ฐเปตุํ นี้ พึงทราบดังนี้ :-
              โอวาทอันภิกษุไม่พึงไปงดที่สำนักภิกษุณี แต่พึงบอกภิกษุณีทั้งหลายผู้มาเพื่อประโยชน์แก่โอวาทว่า ภิกษุณีชื่อโน้น มีอาบัติติดตัว เรางดโอวาทแก่ภิกษุณีนั้น เธอทั้งหลายอย่าทำอุโบสถกับภิกษุณีนั้น. ทัณฑกรรมแม้ในการเปิดกายเป็น มีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน.
              คำว่า น ภิกฺขเว ภิกฺขุนิยา โอวาโท น คนฺตพฺโพ เป็นอาทิข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้วในวรรณนาแห่งภิกขุนีวิภังค์.
              [ว่าด้วยการแต่งตัวเป็นต้น] ข้อว่า ผาสุเก นเมนฺติ มีความว่า ภิกษุณีทั้งหลายใช้ประคดดอก คาดซี่โครง เพื่อประโยชน์ที่จะดัด อย่างหญิงคฤหัสถ์เพิ่งรุ่นสาว คาดด้วยผ้าคาดนมฉะนั้น.  
              บทว่า เอกปริยายกตํ ได้แก่ ประคดที่คาดได้รอบเดียว. 
              สองบทว่า วิลิเวน ปฏฺเฏฺน ได้แก่ ผ้าแถบที่ทอด้วยดอกไม้ไผ่อย่างละเอียด.
              บทว่า ทุสฺสปฏฺเฏน ได้แก่ ผ้าแถบขาว.
              บทว่า ทุสฺสเวณิยา ได้แก่ ช้องที่ทำด้วยผ้า.
              บทว่า ทุสฺสวฏฺฏิยา ได้แก่ เกลียวที่ทำด้วยผ้า.
              ในผ้าถแถบเล็กเป็นต้น ผ้ากาสาวะผืนเล็ก พึงทราบว่า ชื่อว่าผ้าแถบเล็ก.
              บทว่า อฏฺฐิลฺเลน ได้แก่ กระดูกแข้งแห่งโค. บั้นสะเอวเรียกตะโพก.
              สองบทว่า หตฺถํ โกฏฺฏาเปนฺติ ได้แก่ ให้ทุบปลายแขนแต่งให้งามด้วยขนนกยูงเป็นต้น.
              บทว่า หตฺถโกจฺฉํ ได้แก่ หลังมือ.
              บทว่า ปาทํ ได้แก่ แข้ง.
              บทว่า ปาทโกจฺฉํ ได้แก่ หลังเท้า. การไล้หน้าเป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
              สองบทว่า อวงฺคํ กโรนฺติ มีความว่า ภิกษุณีพวกฉัพพัคคีย์เขียนลวดลายหันหน้าลงล่างที่หางตา ด้วยไม้ป้ายยาตา.
              บทว่า วิเสสกํ มีความว่า ภิกษุณีเหล่านั้น ทำรูปสัตว์แปลกๆ มีทรวดทรงงดงาม ที่แก้ม.
              บทว่า โอโลกนเกน มีความว่า เปิดหน้าต่างแลดูถนน.
              สองบทว่า สาโลเก ติฏฺฐนฺติ มีความว่า เปิดประตู ยืนเยี่ยมอยู่ครึ่งตัว.
              บทว่า สนจฺจํ มีความว่า ให้ทำการมหรสพด้วยนักระบำ.
              สองบทว่า เวสึ วุฏฺฐเปนฺติ มีความว่า ได้ตั้งหญิงนครโสเภณี.
              สองบทว่า ปานาคารํ ฐเปนฺติ มีความว่า ย่อมขายสุรา. 
สองบทว่า สูนํ ฐเปนฺติ มีความว่า ย่อมขายเนื้อ. 
บทว่า อาปณํ มีความว่า ย่อมออกร้านสินค้าต่างๆ หลายอย่าง.
              สองบทว่า ทาสํ อุปฏฺฐาเปนฺติ มีความว่า ย่อมรับทาสแล้วยังทาสนั้นให้ทำการรับใช้สองของตน. แม้ในทาสีเป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกัน.
              สองบทว่า หริตกปตฺติกํ ปกีณนฺติ มีความว่า ย่อมขายของสดและของแห้ง. มีคำอธิบายว่า ย่อมออกร้านขายของเบ็ดเตล็ด.
              กถาว่าด้วยจีวรเขียวทั้งปวงเป็นต้น ได้กล่าวแล้วแล.
              [ว่าด้วยการปลงบริขาร] ในข้อว่า ภิกฺขุนี เจ ภิกฺขเว กาลํ กโรนฺติ เป็นอาทิ มีวินิจฉัยนอกพระบาลี ดังต่อไปนี้ :-
              ก็ถ้าว่า ในสหธรรมิกทั้ง ๕ ผู้ใดผู้หนึ่ง เมื่อจะทำกาลกิริยาจึงสั่งว่า โดยสมัยที่ขาพเจ้าล่วงไป บริขารของข้าพเจ้า จงเป็นของพระอุปัชฌายํ หรือว่า จงเป็นของพระอาจารย์ หรือว่า จงเป็นของสัทธิวิหาริก หรือว่า จงเป็นของอันเตวาสิก หรือว่า จงเป็นของมารดา หรือว่า จงเป็นของบิดา หรือว่า จงเป็นของใครๆ อื่น บริขารของผู้นั้น ไม่เป็นของชนเหล่านั้น คงเป็นของสงฆ์เท่านั้น เพราะว่าการให้โดยกาลที่ล่วงไป (แห่งตน) ของสหธรรมิกทั้ง ๕ ย่อมใช้ไม่ได้ ของพวกคฤหัสถ์ ใช้ได้.
              ภิกษุทำลายกิริยาในสำนักของภิกษุณี บริขารของเธอ ย่อมเป็นของภิกษุทั้งหลายเท่านั้น.
              ภิกษุณีทำกาลกิริยาในสำนักของภิกษุบริขารของเธอ ย่อมเป็นของภิกษุณีทั้งหลายเท่านั้น.
              บทว่า ปุราณมลฺลี มีความว่า เป็นภริยาของนักมวย ในกาลก่อน คือในครั้งเป็นคฤหัสถ์.
              บทว่า ปุริสพฺญฺชนํ มีความว่า นิมิตของบุรุษ จะเป็นอวัยวะที่ปกปิดก็ตาม มิได้ปกปิดก็ตาม คือจะเป็นของที่สิ่งไรๆ กำบังก็ตาม มิได้กำบังก็ตาม. ถ้าภิกษุณีเพ่งดูความคิดให้เกิดขึ้นว่า นิมิตของบุรุษอยู่ที่นี่ ต้องทุกกฏ.
              [ว่าด้วยอามิสที่เขาถวายเฉพาะตน] อามิสใดที่เขาบอกถวายว่า ท่านจงบริโภคเอง อามิสนั้นชื่อว่าของที่เขาถวาย เพื่อประโยชน์แก่การบริโภคเฉพาะตน เมื่อภิกษุให้อามิสนั้นแก่ผู้อื่น เป็นทุกกฏ.
              แต่ถือเอาส่วนดีเสียก่อนแล้วจึงให้ควรอยู่.
              ถ้าว่า อามิสนั้นไม่เป็นที่สบาย จะสละเสียทั้งหมด ก็ควร. จะบริโภคจีวรเสียวันหนึ่ง หรือ ๒ วันแล้วจึงให้ ก็ควร. แม้ในบาตรเป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกัน.
              [ว่าด้วยฐานะแห่งของที่รับประเคน] ข้อว่า ภิกฺขูหิ ภิกฺขุนีหิ ปฏิคฺคหาเปตฺวา มีความว่า อามิสที่ภิกษุรับประเคนเก็บไว้เมื่อวันวาน เมื่ออนุปสัมบันอื่น ไม่มีในวันนี้ภิกษุณีทั้งหลาย พึงให้ภิกษุรับประเคนแล้วฉัน. เพราะว่า อามิสที่ภิกษุรับประเคนแล้ว ย่อมตั้งอยู่ ในฐานะแห่งอามิส ที่ยังมิได้รับประเคน สำหรับภิกษุณี. แม้สำหรับภิกษุ ก็มีนัยเหมือนในภิกษุณีนั่นแล.
              [ว่าด้วยการนั่ง] สองบทว่า อาสนํ สงฺคายนฺติโย มีความว่า ภิกษุณีทั้งหลายเมื่อยังกันและกันให้ถือเอาที่นั่ง.
              สองบทว่า กาลํ วีตินาเมสุํ ความว่า มัวให้รูปหนึ่งลุกขึ้น ให้อีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ ได้ยังเวลาฉันให้ล่วงเลยไปเสีย.
              วินิจฉัยในคำว่า อฏฺฐนฺนํ ภิกฺขุนีนํ ยถาวุฑฺฒํ นี้ พึงทราบดังนี้ :-
              หากว่า ภิกษุณี ๘ รูปนั่งในที่ใกล้ ภิกษุณีอื่นที่เป็นไปภายในแห่งภิกษุณีเหล่านั้นมา. เธอย่อมได้เพื่อยังภิกษุณีผู้อ่อนกว่าตนให้ลุกขึ้นแล้วนั่งแทน.
              ฝ่ายภิกษุณีใด เป็นผู้อ่อนกว่าภิกษุณีทั้ง ๘ รูป ภิกษุณีนั้นแม้หากจะมีพรรษา ๖๐ ย่อมได้เพื่อนั่งตามลำดับแห่งผู้มาเท่านั้น.
              ข้อว่า อญฺญตฺถ ยถาวุฑฺฒํ น ปฏิพาหิตพฺพํ มีความว่า ในที่แจกปัจจัย ๔ แห่งอื่น นอกจากโรงเลี้ยง
              ใครจะห้ามภิกษุแก่ว่า เรามาก่อนแล้วถือเอาสิ่งไรๆ ไม่ได้. การถือเอาตามลำดับผู้แก่นั่นแลจึงควร.
              กถาว่าด้วยปวารณา ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วแล. ยานทุกชนิด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว ด้วยคำว่า อิตฺถียุตฺตํ เป็นอาทิ.
              บทว่า ปาฏงฺกึ ได้แก่ เปลผ้า.
              [ว่าด้วยการอุปสมบทด้วยทูต] การอุปสมบทด้วยทูต ย่อมควร เพราะอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาอันตราย ๑๐ อย่าง. ในเวลาจบกรรมวาจา ภิกษุณีนั้นจะยืนหรือนั่งอยู่ก็ตาม ตื่นอยู่หรือหลับอยู่ก็ตาม ในสำนักภิกษุณี, เธอย่อมเป็นผู้อุปสมบทแล้ว แท้. ในทันทีนั้น ภิกษุสงฆ์พึงบอกส่วนแห่งวันมีคำว่า เงา เป็นต้น แก่ภิกษุณีทูตผู้มาแล้ว.
              [ว่าด้วยโรงเก็บของเป็นต้น] บทว่า อุทฺโทสิโต ได้แก่ โรงเก็บของ.
              บทว่า น สมฺมติ ได้แก่ ไม่พอ.
              บทว่า อุปสฺสยํ ได้แก่ เรือน.
              บทว่า นวกมฺมํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุณีทำการสร้างใหม่ เพื่อประโยชน์แก่สงฆ์.
              สองบทว่า ตสฺสา ปพฺพชิตาย ได้แก่ ในเวลาที่หญิงนั้นบวชแล้ว.
              หลายบทว่า ยาว โส ทารโก วิญญุตํ ปาปุณาติ มีความว่า (เราอนุญาตให้เลี้ยงดู) จนกว่าทารกนั้นจะสามารถขบเคี้ยวบริโภคและอาบได้ ตามธรรมดาของตน.
              สองบทว่า ฐเปตฺวา สาคารํ ได้แก่ เว้นเพียงห้องเรือนที่เป็นสหไสย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ภิกษุณีผู้เป็นเพื่อน พึงปฏิบัติในทารกนั้น เหมือนที่ปฏิบัติในบุรุษอื่น. ภิกษุณีเป็นผู้เป็นมารดา ย่อมได้เพื่อยังทารกนั้นให้อาบ ให้ดื่ม และให้บริโภค เพื่อแต่งตัวทารกและให้เพื่อนอนกกทารกนั้นไว้ที่อก.
              [ว่าด้วยลาสิกขาเป็นต้น] ด้วยคำว่า ยเทว สา วิพฺภนฺตา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เพราะภิกษุณีนั้น สึกแล้วนุ่งผ้าขาว ด้วยความยินดีพอใจของตน ฉะนั้นแล เธอจึงมิใช่ภิกษุณี.
              เธอมิใช่ภิกษุณี เพราะการลาสิกขาหามิได้. เธอย่อมไม่ได้อุปสมบทอีก.
              ข้อว่า สา อาคตา น อุปสมฺปาเทตพฺพา มีความว่า ก็ภิกษุณีนั้น อันสงฆ์ไม่พึงให้อุปสมบทอย่างเดียวเท่านั้น หามิได้ เธอย่อมไม่ได้แม้ซึ่งบรรพชา. ฝ่ายนางผู้นุ่งขาวสึกไป ย่อมได้เพียงบรรพชา.
              [ว่าด้วยยินดีการอภิวาทเป็นต้น] ในบทว่า อภิวาทนํ เป็นอาทิ มีความว่า บุรุษทั้งหลาย เมื่อจะนวดเท้า ย่อมไหว้ ย่อมปลงผม, ย่อมตัดเล็บ,
              ย่อมทำการรักษาแผล, ภิกษุณีทั้งหลายรังเกียจการนั้นทั้งหมด จึงไม่ยินดี. ในคำว่า อภิวาทนํ เป็นต้นนั้น อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ถ้าว่า เป็นผู้อันราคะครอบงำแล้ว เป็นผู้มีความกำหนัดกล้า
              ข้างภิกษุณีฝ่ายเดียวหรือ ทั้ง ๒ ข้าง, เป็นอาบัติตามวัตถุแท้. พระอาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ในการไหว้เป็นต้นนี้ ไม่มีอาบัติ. พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายแสดงอาจริยวาทอย่างนี้กล่าวไว้
              ในอรรถกถาว่า การไหว้เป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตจำเพาะแก่ภิกษุณีทั้งหลาย จึงสมควร. คำแห่งอรรถกถานั้น เป็นประมาณ. เพราะว่าการที่บุรุษทั้งหลายไหว้เป็นต้น
              เป็นกิจสมควร โดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณียินดี ดังนี้แล.
              สองบทว่า ปลฺลงฺเกน นิสีทนฺติ ได้แก่ นั่งขัดสมาธิ.
              บทว่า อฑฺฒปลฺลงฺกํ ได้แก่ นั่งขัดสมาธิทบเท้าข้างเดียว.
              วินิจฉัยในคำว่า เหฏฺฐาวิวเฏ อุปริปฏิจฺฉนฺเน นี้ พึงทราบดังนี้ :- ถ้าว่า เป็นหลุมที่เขาขุด และเพียงแต่ไม่เรียบข้างบนเท่านั้น ปรากฏในทิศทั้งปวง, จะถ่ายอุจจาระในหลุมแม้เห็นปานนั้น ก็ควร.
              สองบทว่า กุกฺกุสํ มตฺติกํ ได้แก่ รำและดินเหนียว.
              คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
  ภิกขุนิกขันธกวรรณนา จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: