นิกายพุทธศาสนาในล้านนา ระหว่างรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชถึงพญาแก้ว (พ.ศ. 1984-2068) : ศึกษาจากพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ที่มีจารึกในจังหวัดเชียงใหม่ - หน้า 7-16 คลิกที่นี่
- หน้า 17-25 คลิกที่นี่
ม.ล.สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์
![]() |
รูปที่ 10. พระพุทธสิหิงค์ ในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลําพูน จารึกที่ฐานระบุปีที่หล่อคือ พ.ศ. 2025 ภาย ในอุษณีษะที่ถอดออกได้ของพระพุทธสิหิงค์องค์นี้ ทำ เป็นช่องเก็บพระธาตุ (ภาพโดยผู้วิจัย) |
ส่วนประกอบสำคัญในพิธี ประเด็นพิจารณาในที่นี้คือ แม้ว่าพระพุทธรูปลังกาที่สร้างด้วยสัมฤทธิ์มักจะหล่อ ทึบตัน แต่ชาวลังกาก็ให้ความสำคัญกับการบรรจุ พระธาตุไว้ในพระพุทธรูปตามประเพณีที่สืบทอดมา จากยุคคันธาระเมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็น ครั้งแรกในอินเดีย (Rhi 2005 : 169-211) พระสงฆ์และ พุทธศาสนิกชนในลังกายังถือว่าพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ สมควรกราบไหว้บูชาได้นั้นจะต้องมีพระธาตุบรรจุอยู่ โดยมักนิยมบรรจุไว้ในอุษณีษะหรือพระเมาลี ไม่ว่า พระพุทธรูปองค์นั้นจะสร้างด้วยสัมฤทธิ์หรือศิลาก็ตาม

ชาวลังกาก็เช่นเดียวกับชาวเนปาล-ทิเบตและ ชาวไทยที่เชื่อว่ารูปเคารพทุกองค์ไม่ว่าจะเนื่องใน ศาสนาฮินดูหรือพุทธศาสนาจะต้องผ่านพิธีพุทธาภิเษก เสียก่อนจึงจะนำไปกราบไหว้บูชาได้ (Von Schroeder 2001:29) พิธีพุทธาภิเษกของชาวลังกาที่เรียกว่าเนตร ปิงกมะก็ตรงกับพิธีเบิกพระเนตรที่ปฏิบัติกันในไทย นั่นเอง ซึ่งหากเป็นพระพุทธรูปศิลาก็มักใช้การแต้มสีที่ในตาดำ หรือ หากเป็น พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ก็อาจติดนัยน์ตาดำด้วยอัญมณี ในทางตรงข้ามรูปเคารพสัมฤทธิ์ ฝ่ายมหายานและวัชรยานจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหล่อ กลวง เพราะพิธีพุทธาภิเษกซึ่งชาวทิเบตพัฒนาจาก ประเพณีอินเดียดั้งเดิมมาเป็นของตนเองที่เรียกว่า รับเนโชกาหรือรับเนนั้นจะต้องทําการบรรจุซุงหรือ ธารณีและซุงชุกหรือมวลสารศักดิ์สิทธ์ต่างๆ เข้าไว้ใน พระพุทธรูปและรูปเคารพด้วย พิธีพุทธาภิเษกแบบ ทิเบตไม่ได้จํากัดเฉพาะรูปเคารพหรืองานจิตรกรรม
เท่านั้น แต่พวกเขายังทำพิธีพุทธาภิเษกต่อสิ่งสำคัญอีก 3 สิ่งคือ หนังสือ หรือ คัมภีร์พระวิหารและพระสถูปในฐานะ สัญลักษณ์ที่รองรับพระวจนะ พระวรกาย และดวงจิต ของพระพุทธองค์ “เครื่องรองรับ”ดังกล่าวนี้อาจแบ่ง ออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1)
รูปเคารพและภาพจิตรกรรม ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องรองรับพระกายของพระพุทธองค์ 2) หนังสือหรือคัมภีร์ มันตระและธารณี ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องรองรับพระวจนะของพระพุทธองค์ และ 3) พระสถูปซึ่งถือว่าเป็นเครื่องรองรับพระวิญญาณ ของพระพุทธองค์
สิ่งนี้อธิบายว่าทําไมตามปรกติแล้ว วัดในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานและนิกายวัชรยาน จึงมัก ประกอบด้วยพระพุทธรูป ธงมนต์ หรือ ทังกา คัมภีร์ หรือพระสูตรต่างๆ และสถูปบรรจุพระธาตุ สำหรับพิธี พุทธาภิเษกพระพุทธรูปของคนล้านนาทุกวันนี้ซึ่งมีการ บรรจุหัวใจพระเจ้ารวมทั้งปอด ตับ ไต และซี่โครงซึ่งมัก ทำด้วยเงิน
![]() |
รูปที่ 13. หัวใจพระเจ้าใช้ในพิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าทันใจ วัด พันเตา อ.เมืองเชียงใหม่ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 (ภาพโดยผู้วิจัย) |
อาจสะท้อนภาพของพิธีดังกล่าว ในอดีตได้อย่างชัดเจน ตำราพิธีบรรจุหัวใจพระเจ้า บางฉบับก็แสดงภาพหัวใจพระเจ้าประกอบไว้ด้วย เช่น ตำราคัดลอกด้วยลายมือจากวัดทุ่งคา อําเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง ในกรณีของการสร้างพระพุทธ รูปก่อด้วยอิฐก็ยังมีการบรรจุยันต์ปโชตาที่จารลงบนอิฐ ดิบคล้ายการวางศิลาฤกษ์ในองค์พระพุทธรูปอีกด้วย
![]() |
รูปที่ 15. ภาพจำลองการบรรจุยันต์สุคโต ยันต์ปโชตา และหัวใจพระเจ้าในพระพุทธรูปก่ออิฐ ตามพิธีพุทธาภิเษกแบบล้านนา (พระจตุพล จิตฺตสํวโร และพระศุภชัย ชยสุโภ 2542) |
ซึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นประเพณีของหนสวนดอก ซึ่งเริ่มมีขึ้นในรัชกาลพระเจ้าติโลกราช(พระจตุพลและ พระศุภชัย 2542 : 6-7) หากพิจารณาพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูป ในลัทธิมหายานและนิกายวัชรยานแบบเนปาลและ ทิเบตกับประเพณีล้านนา เราจะเห็นถึงความเชื่อมโยง ระหว่างประเพณีและพิธีกรรมทั้ง 2 แหล่งได้ชัดเจน ใน ที่นี้อาจกล่าวได้ว่าพวงหัวใจและชิ้นส่วนภายในของ พระพุทธรูปล้านนาคงจะมีที่มาจากซุงหรือธารณีทที่นักบวชชั้นรินโปเชผู้ได้รับมอบหมายโดยเฉพาะบรรจุ ลงไปในองค์พระพุทธรูปหรือรูปเคารพต่างๆ เพื่อเป็นการให้ชีวิตต่อองค์พระปฏิมาหรือรูปเคารพนั้น
ยันต์ปโชตาซึ่งจารบนอิฐที่ใช้ก่อพระพุทธรูปเช่นในส่วน หน้าตัก ในส่วนลำตัว ตลอดจนการใส่หัวใจลงแผ่นหลาบเงิน หรือทองในพระอุระ ตลอดจนการบรรจุยันต์สุขโตลง ในแผ่นคำปกหัวพระพุทธรูปตามประเพณีล้านนา ล้วนตรงกับการบรรจุซุงในพระพุทธรูปทิเบต สำหรับพระธาตุ ที่บรรจุในพระพุทธรูปหรือรูปเคารพแบบทิเบตนั้นก็มีความหมายครอบคลุมมากกว่าที่พุทธศาสนิกชนลัทธิ เถรวาทยึดถือกัน นับตั้งแต่อัฐิธาตุของพระสงฆ์สำคัญซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของลูกศิษย์ลูกหาที่เรียกว่ารินเซล รวมไปถึงเส้นผม เล็บ ฟัน ส่วนของกะโหลก หรือ ส่วนของจีวร
นอกจากนี้ยังมีสถูป พระพุทธรูป พระพิมพ์ดินดิบ ภาพ วาด ภาพพิมพ์ไม้ และธารณีมนต์ ส่วนบัลลังก์ก็สามารถใช้บรรจุ ดินและหินที่เรียกกันในวงการพระเครื่องของไทยว่า “มวลสาร” จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นอกจาก นั้นยังมี อัญมณี พืชสมุนไพร ธัญพืช และพืชพันธุ์ไม้ที่ชาวทิเบตถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ (Leonov 1992 : 100-110)
ต้นไม้แห่งชีวิต แกนจักรวาลภายใน และพระธยานิ พุทธทั้งห้า เช่นเดียวกับโดแนล สแวเรอร์ (Swearer 2004) ผู้วิจัยเห็นว่าพิธีพุทธาภิเษกหรือการอบรมพระเจ้า คือการเปลี่ยนสภาพพระพุทธรูปไปสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าที่มีชีวิตผ่านทางการจําลองแบบพระพุทธองค์การทําให้พระพุทธรูปหรือรูปเคารพตามลัทธิมหายาน
![]() |
รูปที่ 16. ภาพจําลองการบรรจุซุงหรือธารณีมนต์ตามวิธีของ พระลามะงาวัง ซังโป (ภาพจำลองโดยผู้วิจัย) |
และนิกายวัชรยานกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่จะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะมีการบรรจุ ซกชิง หรือต้นไม้แห่งชีวิตลงไปด้วย จะเห็นว่าซกชิงซึ่งมีลักษณะเป็นเสา 4 เหลี่ยมยอดแหลมมัดดเวยเส้นด้าย 5 สีและเขียน มนต์เฉพาะของพระธยานิพุทธ 5 พระองค์ลงไปด้วยนั้น คือการ
สร้างเหตุและปัจจัยของการมีอยู่เป็นอยู่ตาม หลักปฏิจ จ สมุปบาทขึ้นมาเพื่อให้พระพุทธเจ้ากลับมา ดำรงพระชนม์ในโลกนี้อีกครั้ง (นิรมานกาย) ในรูปของ พระปฏิมา (สัมโภคกาย) และสามารถสั่งสอนพระธรรม (ธรรมกาย) แก่พุทธศาสนิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธา หากใน ที่นี้ถือเป็นการสร้างขึ้นด้วยมนต์หรือธารณีอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าสอดคล้องกับ
ทฤษฎี ของไร (Rhi 2005 : 169-211) ที่กล่าวถึงการประสานกันอย่างสลับซับซ้อนระหว่างพระธาตุตถาคต วิคฤหะ หรือพระพุทธรูปที่มีลักษณะเป็นรูปธรรม ซึ่งทําให้การ สื่อสารระหว่างพุทธศาสนิกชนกับพระพุทธองค์ (ผ่าน ทางพระพุทธรูป) เป็นไปโดยสมบูรณ์ ประเด็นนี้ยังอาจ เป็นที่มาของคติพระธรรมเจดีย์ในจารึก พ.ศ. 2092 จาก พิษณุโลกซึ่งเปรียบส่วนต่างๆ ขององค์พระพุทธรูป
![]() |
รูปที่ 17. ตัวอย่าง ซกชิง หรือ ต้นไม้แห่งชีวิตที่ลามะตากยะพระ สงฆ์ชาวทิเบตแห่ง TrikalMaitreyaBuddhaVihara ที่สถูปโพธานาถนำมาให้ดู (ภาพโดยผู้วิจัย) |
กับพระพุทธคุณต่างๆ ที่นำไปสู่การตรัสรู้ เช่น พระเศียรเปรียบดังพระสัพพัญญูตญาณ (ญาณหยั่งรู้สิ่งทั้งปวงที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต) อุณาโลม เปรียบดังพระปัญญาในมหาวชิรสมาบัติ (ปัญญาคือ ความรู้แจ้งในสมาบัติหรือญาณ 8) เป็นต้น (ฉ่ำ ทองคำวรรณ 2527 : 277-281)
ในที่นี้หากพิจารณา จากคุณลักษณะเฉพาะของพระธยานิพุทธแต่ละองค์ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นซกชิงหรือต้นไม้แห่งชีวิตแล้วเรา จะเข้าใจได้ทันทีถึงการให้ชีวิตแก่พระพุทธรูปตามคติ มหายานดังกล่าวเพราะพระธยานิพุทธแต่ละองค์ยังเป็นตัวแทนของขันธ์ทั้ง ๕ ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดหรือไม่เกิดโดยอาศัยปัจจัยซึ่งกัน
และกันตามหลักปฏิจ จ สมุปบาท ได้แก่ วิญญาณ (พระมหาไวโรจนะ) รูป (พระวัชระสัตต อักโภษยะ) เวทนา (พระรัตนสัมภวะ) สัญญา (พระอมิตาภะ) และสังขาร (พระอโมฆสิทธิ) ในทํานองเดียวกัน หากจะพิจารณาในแง่ที่ว่าร่างกายมนุษย์เราล้วนประกอบ ขึ้นจากการสนธิของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และ
อากาศธาตุ พิธีกรรมนี้ก็อธิบายได้เช่นกันเพราะตามคติ ลัทธิมหายานและนิกายวัชรยาน ถือว่าพระมหาไวโรจนะคือตัวแทนของอากาศธาตุ พระวัชระสตัตอัก โภษยะ คือ ธาตุน้ำ พระรัตนสัมภวะ คือ ธาตุดิน พระอมิตาภะ คือ ธาตุไฟ ขณะที่พระอโมฆสิทธิ คือ ธาตุลม ซกชิงหรือต้นไม้แห่งชีวิตในพระพุทธรูปทิเบต อาจ
ตีความได้อีกประการหนึ่งว่า หมายถึงแกนกลางของ ร่างกายซึ่งเป็นเส้นทางหมุนเวียนของลมปราณภายใน ตามตำราจักระ 2 เส้นทางคืออิฑา และปิงคลา (สนอด กราส 2537 : 305-307)
ลมปราณทั้ง 2 ยังเปรียบได้กับ สิ่งต่างๆ ที่เป็นคู่ตรงข้ามกันในจักรวาล เช่น ปรัชญากับ อุปายะชายกับหญิง ไข่กับเชื้อพันธุ์ ฯลฯ สิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามกันเหล่านี้จะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ณ จุดดอกบัวที่กลางกระหม่อม ซึ่งจะไม่มีความเป็นคู่ตรงข้ามกันอีกต่อไปดังที่เรียกว่า อทไวตะ แต่จะกลายเป็นความว่าง
หรือ สุญญตาอันเป็นภาวะแห่งความสุขอันยิ่งใหญ่ คือ มหา สุข สิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนจากอุษณีษะพระพุทธรูปล้านนา ยุครุ่งเรืองเช่นเดียวกับพระพุทธรูปเนปาล-ทิเบตที่เปิดออกสำหรับบรรจุพระธาตุดังกล่าวมาแต่ต้น แม้ในวัฒนธรรมศิลา เช่น พระพุทธรูปศิลาในศิลปะคันธาระและ ศิลปะลังกาก็มีช่องเล็กๆ สำหรับบรรจุพระธาตุบนกระหม่อมหรือบนอุษณีษะเช่นกัน
อนึ่ง คัมภีร์ต่างๆ ของ นิกายมหายานและลัทธิวัชรยานยังเปรียบเทียบจักรวาล ภายนอกกับจักรวาลภายในร่างกายมนุษย์อยู่เสมอ การ บรรจุ ซกชิงและซุงในองค์พระพุทธรูปและรูปเคารพในพิธี พุทธาภิเษกแบบทิเบตดังกล่าวก็อาจสะท้อนแนวความคิดเช่นนี้ด้วย เพราะหลักการของฝ่ายมหายานและวัชรยานถือว่า
ร่างกายมนุษย์อุปมาเหมือนจักรวาลที่ย่อลงมา กระดูกสันหลังของมนุษย์ซึ่งตั้งต้นที่บริเวนหัวเหน่า ผ่านกงล้อ (จักร) หลายอันขึ้นมาถึงกลางกระหม่อมเปรียบได้กับเขาพระสุเมรุ กงล้อ (จักร) เปรียบได้กับสวรรค์ชั้น ต่างๆ ที่ไล่ขึ้นไปตามความสูง ของเขาพระสุเมรุ ส่วนยอด ศีรษะที่เรียกว่าพรหมรันธระ หรือ “ช่องทางแห่งพรหม” เป็นจุดที่สว่างจ้าเปรียบได้กับพระอาทิตย์บน
ยอดสุดของ จักรวาล หรือเป็นจุดกำเนิดตลอดกาลของสรรพสิ่งที่ยังไม่เกิดหรือยังไม่ปรากฏ ยอดศีรษะหรือกระหม่อมจึงถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของตัวตนและเป็นหลัก สูงสุดที่ก่อให้เกิดความมีตัวตนของมนุษย์ ด้วยเหตุนั้น จุดประสงค์ของการปฏิบัติ โยคะตันตระการปีนเขาพระสุเมรุที่อยู่ภายในข้ึนไปทีละชั้น ผู้ฝึกปฏิบัติจะพบความ สว่างขึ้นเป็นลําดับจนในที่สุดมาถึงจุดสว่างจ้าที่สุดดังพระอาทิตย์บนยอดจักรวาล
คาถา เย ธฺมมา คาถาหัวใจพระพุทธสิหิงค์ และ คาถาปฐมัง
น่าสังเกตว่าในประเทศอินเดียหลักธรรมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทเป็นที่นิยมกันมากในแคว้นวัลภี ศูนย์กลางพุทธศาสนาในภาคตะวันตกของอินเดีย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-12 ดังที่หลวงจีนอี้จิง ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อมีการสร้างพระพุทธรูป หรือสถูปด้วย ทอง เงิน ทองแดง เหล็ก ดิน อิฐ และ หิน พุทธศาสนิกชน
อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนพระสงฆ์ จะนิยมบรรจุ พระธาตุ (สรีระ) 1 ใน 2 ประเภทลงไปภายในพระพุทธ รูปหรือสถูป ประเภทแรกคืออัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ประเภทที่ 2 คือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท โดยมี ความเชื่อว่าเมื่อบรรจุพระธาตุหนึ่งในสองประเภทนี้ ลงไปแล้ว ตนเองจะได้รับบุญกุศลมากมาย การที่ หลักธรรมคำสอนเรื่องปฏิจ จ สมุปบาทถูกจัดให้อยู่ใน กลุ่มสรีระนั้น แสดงว่ามีความสำคัญเทียบเท่า พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว (ผาสขุ อนิ ทราวธุ 2551 : 51)
การตีความในเชิงอภิปรัชญาดังกล่าวคงจะ แพร่มาถึงดินแดนล้านนาผ่านเส้นทางการเดินทางของ ท่านพุทธคุปตะ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก่อนที่ท่าน ตารนาถได้รวบรวมและเขียนเป็นหนังสือในพุทธ ศตวรรษที่ ๒๑ ภายหลังมาคงค่อยๆ ถูกปรับเปลี่ยน มาสู่ความเข้าใจของภิกษุล้านนาในเชิงกายวิภาค
![]() | ||
รูปที่ 18 ภาพแสดงจักระ 7 ตำแหน่งในร่างกายมนุษย์ตามแนว กระดูกสันหลังหรือแกนต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งภาษาทิเบต เรียกว่าซกชิง ซึ่ง ประกอบด้วยหัวใจและอวัยวะภายในรวมทั้งมีการลง อักขระมงคลต่างๆ เพื่อสื่อ “ความหมาย” หรือ “สาร” แห่งพระธรรมควบคู่ไปกับความศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงสารดังกล่าวก็ปรากฏอย่างชัดเจนในยุครุ่งเรืองของล้านนา ดังคาถาหัวใจพระพุทธสิหิงค์ (สมนิ ทุ นิม สมทุ สนิทุ) ซึ่งพบบนฐานพระพุทธรูปสัมฤทธิ์เชียงใหม่ จำนวนหนึ่งที่เก่าที่สุดที่พบในขณะนี้ ได้แก่ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรสัมฤทธิ์ในวัดเชียงมั่น อําเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2008 (เพนธ์ 2519 : 55-56) เนื้อหาประเด็น หลักของคาถาหัวใจพระพุทธสิหิงค์นี้ก็ตรงกันกับหลักอริยสัจสี่นั่นเอง หัวใจพระพุทธศาสนาดังกล่าวเช่นนี้ยัง ปรากฏในรูปของพระคาถา เย ธมฺมา ที่รู้จักกันดี มาในวัฒนธรรมทวารวดีทั่วประเทศไทยหากมีความหมายใกล้เคียงกับปฏิจ จ สมุปบาทที่ชาวอินเดียนิยมบรรจุใน สถูปหรือพระพุทธรูปดังกล่าว ภายหลังมา ชาวล้านนา จึงเรียกว่าคาถาปฐมัง (ปฐม) หรือปฐมัง 4 ด้านเมื่อถูก นําไปใช้ประกอบผ้ายันต์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคาถาพระพุทธสิหิงค์หรือ คาถาปฐมังซึ่งมีเนื้อหาสั่งสอนพระธรรมทำนองเดียว กับกับคาถา เย ธมฺมา และ ปฏิจ จ สมุปบาทนี้อาจมีที่มาจาก ประเพณีพุทธศาสนานิกายฝ่ายเหนือจากการค้นคว้า ของ ปีเตอร์ สกิลลิ่ง พบว่าพระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้แสดง พระคาถา เย ธฺมมา ด้วยพระองค์เอง แต่พระอัสสชิ หนึ่งในปัญจวัคคี เป็นผู้แสดงคาถาวัตถุประสงค์ของพระศาสนาดังกล่าวนี้แด่อุปดิสสะ (พระสารีบุตร) ในกรุง ราชคฤห์ ด้วยเหตุนั้นจึงถือว่าคาถานี้เป็นสาวกภาษิต ซึ่งสามารถสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า (พุทธภาษิต) ได้อย่างสมบูรณ์ จนเป็นที่นิยมแผ่ขยายออกไป ต่อมา บรรดาพระสูตรฝ่ายมหายานและตันตระต่างๆ ที่แต่งขึ้นในภายหลังหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นโดยกล่าวว่า พระพุทธองค์เองที่เป็นผู้ตรัสสั่งสอนคาถานี้ เช่น พระสูตรชื่อประจิตยสมุตปาทนามมหายานสูตร กล่าวว่า พระพุทธเจ้า ทรงประทานคาถานี้ในสวรรค์ดาวดึงส์ เป็นต้น พระสูตรในสำนักของท่านนาคารชุนบางฉบับ ที่กล่าวถึงคาถา เย ธมฺมา เช่น ธรรมธาตุครรภวิวรณ์ ก็ ถูกถ่ายทอดเป็นภาษาทิเบตในราวกลาง พุทธศตวรรษ ที่ 14 ที่สำคัญคือ คาถา เย ธมฺมา นี้นอกจากจะปรากฏบน ตราประทับในพระไตรปิฎกทิเบตที่เรียกว่ากันจูร์แล้ว ชาวทิเบตยังนิยมสลักพระคาถา เย ธมฺมา นี้ตามแผ่นหิน ต่างๆ เช่นเดียวกับที่ฐานพระพุทธรูป (Skilling 2008 : 503-525) ทำนองเดียวกับความนิยมบรรจุคำสอนเรื่อง ปฏิจ จ สมุปบาทในพระพุทธรูปของชาวแคว้นวัลภีในอินเดีย อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนมีส่วนใน การปลอบประโลมให้ชาวล้านนามีใจตั้งมั่นในวิถีของ พระพุทธองค์ ส่งผลให้เกิดประเพณีการอุทิศสิ่งก่อสร้าง และพระพุทธรูป ตลอดจนผู้คนและไร่นาแก่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง ดังปรากฏเรื่องราวให้เห็นบน ศิลาจารึกและจารึกบนฐานพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ศิลา และไม้จำนวนมากมาย สิ่งที่หลวงจีนอี้จิงได้เห็นมาใน อินเดียในยุคของท่านนั้นยังสืบทอดผ่านกาลเวลา และ นิกายต่างๆ ของพุทธศาสนาทั้งเถรวาท มหายาน และ วัชรยาน มายังเชียงใหม่และล้านนาในยุครุ่งเรือง ด้วยกระบวนการทางประวัติศาสตร์ สังคม ศาสนา และ ศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระพุทธรูปดังกล่าว มาแต่ต้น Aung-Twin, Michael. (1985). Pagan: The origins of modern Burma. Honolulu: University of Hawaii Press. Chattopadhyaya, Debiprasad, editor. (1990). Taranatha’s history of Buddhism in India. Delhi: Private. Coomaraswamy, A. K. (1908). Medieval Singhalese art. S.l.: Broad Campden. Duroiselle, Charles. (1911). The Aris of Burma and Tantric Buddhism. Journal of Burma Research Society I, (i). Griswold, A. B. (1957). Dated Buddha images of northern Siam. S.l.: Artibus Asiae Supplementum XVI Publishing. Gutman, Pamela. (2001). Burma’s lost kingdoms: splendours of Arakan. Bangkok: Orchid Press. Leonov, Gennady. (1992). The rite of consecration in Tibetan Buddhism. Arts of Asia 22, (5), (September - October). Luce, G.H., and Ba Shin. (1961). A Chieng Mai Mahathera Visits Pagan (1393 A.D.). ArtibusAsiae 24. Marasinghe, E. W. (1991). The Citrakarmasastra Ascribed to Manjusri. Delhi: A.R. Printers. __________. (1994). The Bimbamana of Cautamiyasastra as heard by Sariputra. Delhi: Sri Satguru. Penth, Hans. (1976). Kunst im Lan Na Thai: Carl Bocks Buddhafiguren aus Fang. Artibus Asiae 38 (2/3). __________. (1994). Jinakālamālī index. Chiang Mai: Silkworm Books. Ray, Nihar-Ranjan. (1936). Sanskrit Buddhism in Burma. Rangoon: Buddha Sasana Council Press. Rhi, Juhyung. (2005). Images, relics, and jewels: The assimilation of images in the Buddhist Relic cult of Gandhāra: or Vice Versa. Artibus Asiae 65, (2). Rhie, Marylin M. and Thurman, Robert A. F. (1991). The sacred art of Tibet. London: Thames and Hudson Press. Rowland, Benjamin. (1981). The Pelican history of art : The art and architecture of India; Buddhist/Hindu/Jain. Kingsport: Kingsport Press. San Tha Aung. (1997). The Buddhist art of ancient Rakhine. 2nd ed. Yangon: U Myint Win Maung A.Z Offset. Skilling, Peter. (2008). “Buddhist sealings and the ye dharma stanza.” In Archaeology of early historic south Asia. New Delhi: Pragati Publications, p. 503-525. Stratton, Carol. (2004). Buddhist sculpture in northern Thailand. Chiang Mai: Silkworms Book. Swearer, Donald K. (2004). Becoming the Buddha. New Jersey: Princeton University Press. Tucci, Giuseppe. (1931). The sea and land travels of a Buddhist Sadhu in the sixteenth century. The Indian Historical Quarterly (Calcutta) VII, (no.4), December. |
Visual Dharma Publications.
__________. (2001). Buddhist sculptures in Tibet, vol. 1-2. Hong Kong: Visual Dharma. Woodward, Hiram. (2003). The art and architecture of Thailand: from prehistoric times
through the thirteenth century. Leiden ; Boston: Brill.
Woodward Jr., Hiram. (1997). The sacred sculpture of Thailand. Bangkok: River Book.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น