การศึกษาพบว่ามีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างหลับตื้นกับหลับลึก เป็นการสั่นไหวอย่างเร็วของลูกตา เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) บางคนจึงแบ่งการหลับออกเป็น 2 ชนิด คือ REM Sleep และ Non-REM Sleep
ช่วงเวลาที่คนเราฝันบ่อยที่สุด ก็คือช่วงระหว่างหลับตื้นและหลับลึก หรือ REM Sleep นี่เอง และ 80-90% จะจำความฝันนั้นได้
บางคนที่คิดว่าตนไม่เคยฝัน ก็เพราะความฝันของบางคนเป็นเรื่องเบาบาง สมองจึงไม่ค่อยยอมบันทึกไว้ให้เปลืองเนื้อที่ ถ้าฝันแล้วตื่นขึ้นทันที ก็ยังพอจะจำได้ แต่ถ้านานไปก็จะลืมหมด จนบางคนคิดว่าไม่ได้ฝัน
จากการศึกษาพบว่าคนส่วนมากมักจำความฝันไม่ค่อยได้หรือจำได้ก็ไม่นาน ตกๆ หล่นๆ ไม่ปะติดปะต่อ ที่ฝันเป็นเรื่องเป็นราวเห็น จะมีแต่ในนิยายหรือแต่งเติมเอาเองทั้งนั้น นักประสาทสรีรศาสตร์กล่าวว่าการบันทึกความจำอะไรก็ตาม เกิดขึ้นได้จากการจับตัวกันของเซลล์สมอง ความฝันทั่วไป เซลล์สมองจับกันไม่แน่น ไม่นานก็คลายหลุด เราก็ลืมความฝันนั้น แต่ถ้าเป็นความฝันที่ประทับใจหรือตื่นเต้นน่ากลัว เซลล์สมองจะจับกันแน่น ทำให้จดจำอยู่ได้นาน
ความฝันที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ของการหลับ มักจะถูกลืมบ่อยกว่าความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อใกล้ตื่นหรือฝันจนตื่น และคนที่หลับสนิทจะฝันน้อย หรือจำความฝันได้น้อย หรือไม่รู้สึกว่าฝันเลย แต่ถ้าหลับๆ ตื่นๆ มักจะจำความฝันได้มาก
ความฝันแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่กินยานอนหลับจนหลับสนิท จะไม่ฝันเพราะระยะต่างๆ จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเข้าสู่ระยะหลับลึก แต่พอยาหมดฤทธิ์ใกล้ตื่น อาจจะฝันได้ และส่วนมากเป็นฝันร้ายเสียด้วย นักจิตวิเคราะห์บางกลุ่มจึงให้ความสำคัญกับการแปลความหมายของความฝันอย่างมาก และเชื่อว่าจิตใต้สำนึกจะส่งสิ่งเตือนใจมาให้เราอย่างต่อเนื่อง ในรูปของความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงจำเป็นต้องให้ความสนใจกับความฝันของตนเองบ้าง เผื่อจะรู้จักและเข้าใจตัวเองดีขึ้น ไปจนถึงแก้ปัญหาต่างๆ ที่ค้างคาอยู่ได้ Source : ผู้จัดการออนไลน์ - เอมอร คชเสนี
ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ทางจิตรู้แล้วว่า จิตกับกาย มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน อย่างลึกซึ้ง และเป็น จิตที่คุมกาย (mind over matter) นักวิทยาศาสตร์ทางจิต รู้เช่นเดียวกันว่า มนุษย์เราทุกคนมีพลังจิต มีการตระหนักรู้จาก ความตั้งใจ มีอารมณ์ และเมื่อลักษณะจิตดังกล่าว รวมกับความตั้งใจ ที่จะทำสิ่งที่มีความหมายดีงาม หรือทำให้เราอยู่รอด
ในสังคมที่เปลี่ยนไป เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองตามไปด้วยได้ นักวิจัยได้ทดลองให้ชายหญิงกับเด็กวัยรุ่นดูหนังโป๊และหนังเศร้าสุดขีด ปรากฏว่า ทุกคนสามารถควบคุมระดับจิต และพฤติกรรมทางกายได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเด็กวัยรุ่นอาจจะควบคุมยากไปบ้างเล็กน้อย (Beauregard and O"Leary : Introduction in Spiritual Brain, 2007) ซึ่งแสดงว่า มนุษย์สามารถควบคุม พฤติกรรมทางกายด้วยการยืดหยุ่นทางจิต และจิตวิญญาณได้ตลอดเวลา เพราะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถมีวิวัฒนาการสู่จิตวิญญาณ (spirituality) ได้
มนุษย์มีการยืดหยุ่นทางจิต (resiliency) ได้สูง เพราะว่าได้ผ่านพ้นความเป็น สัตว์ไปแล้ว การปรับตัวเองทางกายภาพไม่ได้อยู่ที่ ชีววิวัฒนาการทางกายภาพ แต่เป็นเรื่องวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้า ละเอียด มาทีหลังชีววิวัฒนาการทางกายภาพ และมีแต่ในมนุษย์เท่านั้น ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเหมือนที่ศาสนาบอกว่า มนุษย์ทุกคน เร็วหรือช้า จะต้องมีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่ไล่สูงขึ้นไปจนถึงนิพพาน
นักวิชาการทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายกาย ทั้งนักจิตวิทยา และนักเทววิทยา หรือนักศาสนศาสตร์กับนักวิทยาศาสตร์ หรือนักฟิสิกส์ ต่างรู้ว่าจิตกับกาย (mind and body) แยกจากกันไม่ได้ แต่ความรู้หรือความเข้าใจเช่นนั้น ไม่ค่อยมีใครตอบให้กระจ่างชัดได้ ยิ่งนักประสาทวิทยาศาสตร์ส่วนมากแล้วแทบไม่ต้อง
พูดถึง พวกเขาแทบจะไม่ยอมรับอะไรที่เป็นเรื่องของจิตแท้ๆ เลย เพราะเชื่อว่าจิตไม่มีจริง หรือถึงมีก็เป็นส่วนของกาย (epiphenomenon) ที่ทำงานอย่างซับซ้อน หรือ พูดง่ายๆ ว่า จิตเป็นผลของการจัดองค์กรตนเองของสมอง โดยเฉพาะในระยะหลัง เมื่อมีการค้นพบสารเคมีหลายชนิด ที่ทำหน้าที่
เหมือนกับว่าเป็นตัวการที่สัมพันธ์กับเรื่องของจิต (neurocorrelates of the consciousness or NCCs) ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ของการเป็นเหตุที่ก่อผลเลย ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป ในขณะที่หนังสือที่ดีมากๆ ในเรื่องนี้ เรื่องสำคัญของการพึ่งพาอาศัยหรือเป็นเหตุปัจจัยกัน ที่เขียนโดยนักจิตวิทยาอัจฉริยะ คาร์ล กุสตาฟ จุง กับนักควอนตัมฟิสิกส์รางวัลโนเบล วูล์ฟกัง พอลี่ (Carl Gustav Jung and Wolfgang Pauli : Interpretation of Nature and Psyche, 1954) กลับไม่มีคนสนใจเท่าที่ควร และเรื่องนี้สมควรจะนำมาพูดกัน หนังสือเล่มนี้เดิมทีเขียนเป็นภาษาเยอรมัน แต่มีคนแปล เป็น
ภาษาอังกฤษ ในหนังสือ วูลฟ์กัง พอลี่ จะพูดเสมอๆ ว่า เขาเชื่อว่าเรื่องของ จิตกับกายนั้น มีกระบวนการแห่งความรู้ที่ชัดแจ้งว่า ทั้งสองมีจุดกำเนิดหรือที่มาจากแหล่งเดียวกัน ก่อนที่จะแยกเป็น จิตกับกายดังที่ผู้เขียนได้เขียนถึงมาตลอด คาร์ล จุง ก็พูดเช่นนั้น โดยบอกว่ามิติที่มาก่อนการแยกตัวออกเป็นจิตกับกาย
จุงเรียกว่า "อูนัส แมนดัส" (unus mandus) - และจากอูนัส แมนดัส รูปแบบ (archetype) ของจิตไร้สำนึกโบราณของสัตว์โลกที่เรารับรู้ก็จะแสดงปรากฏการณ์ของจิตใจและร่างกายออกมา พูดง่ายๆ คือ เป็นรูปแบบของจิตโบราณของจักรวาลที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนตัวเองเป็นจิตสำนึกได้ (ต้องมีสมองของสัตว์โลกเป็นผู้บริหาร) แต่เป็นจิตโบราณที่เป็นรูปแบบร่วมของจิตและกาย ซึ่งจุงเชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้จิตกับกายมีความติดต่อเชื่อมโยงกัน
และจะว่าไปแล้ว วูลฟ์กัง พอลี่ ก็คิดเช่นนั้นว่า คงจะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความจริงแท้ที่ติดต่อเชื่อมโยงกัน ซึ่งทำให้องค์กรอัตวิสัย (subjective) และวัตถุวิสัย (objective) ของจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน (ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นเสมือนจิตไร้สำนึกที่ไม่ได้บริหารที่สมอง แต่บริหารโดยจักรวาลเช่นเดียวกับ
องค์กรซ่อนตัวเองของเดวิด โบห์ม (implicate order)) ซึ่งพอลี่ก็คิดว่ามันจะต้องมีการแตกแยกกันของอูนัส แมนดัส ที่ถือว่าเป็นจิตไร้สำนึกพื้นฐาน (psychophysical symmetry) ที่ทำให้จิตโบราณ (archetype) หนึ่ง กับกฎทางฟิสิกส์ (physical law) อีกหนึ่งมีขึ้นมา และพอลี่คิดว่า
น่าจะมีกฎธรรมชาติของจักรวาลอีกกฎหนึ่งคอยควบคุมการโผล่ปรากฏของจุดกำเนิดของจิตและกายอีก
อย่างไรก็ตาม สมมติฐานของ วูล์ฟกัง พอลี่ นี้เป็นเรื่องที่นักฟิสิกส์คลาสสิคยอมรับกันไม่ได้ พอลี่เลยไม่ขยายความต่อความสำคัญที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น ตอกย้ำสิ่งที่ผู้เขียนได้พูดมาตลอดว่า แทนที่จิตจะเกิดขึ้นจากการทำงานที่ซับซ้อนของกายหรือสมอง ตามที่นักประสาทวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อกัน จริงๆ แล้ว ทั้ง
สององค์กรหรือทั้งจิตและกายน่าจะโผล่ปรากฏออกมาจากความจริงแท้แหล่งเดียวกันของจิตโบราณ หรืออาร์คีไทป์ของจุง ว่าไปแล้ว เบเนดิค เดอ สปิโนซ่า เคยสันนิษฐานว่าจะต้องมีพื้นฐานของความจริงอยู่หนึ่งเดียวที่เขาเรียกว่า "คอสซา ซูอิ" (causa sui) ซึ่งให้ปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของโลกแห่ง จิต
และกาย ต่อมา เดวิด โบหม์ นักควอนตัมฟิสิกส์อัจฉริยะ และ อูยีน วิกเนอร์ กับ เบอร์นาร์ด เอสปาร์ยัต นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ต่างกรรมต่างวาระ ต่างก็ให้ทรรศนะเป็นอย่างเดียวกัน เดวิด โบห์ม เป็นนักฟิสิกส์ที่มองทุกอย่างในจักรวาลในทางปรัชญา ดังนั้น เขาจึงมองความจริงทางโลกว่าเป็นภาพลวงตาของสิ่ง
ที่ ในความเป็นจริง ที่อยู่ลึกลงไป จะเป็นอีกอย่าง ภาพลักษณ์ทางโลกล้วนเป็นสิ่งที่คลี่ขยายออกมาเป็นองค์กรที่เปิดเผย (explicate order) เพื่อให้เรารับรู้ (perception) โลกเป็นวัตถุหรือเป็นปรากฏการณ์เพื่อการดำรงอยู่ของเราในโลกที่มีสามมิติ (บวกที่ว่าง-เวลาอีกหนึ่งรวมเป็นสี่มิติ) ที่คลี่ขยายออก
มาจาก องค์กรที่ซ่อนเร้นตัวเอง (implicate order) ซึ่งน่าจะตรงกับอาร์คีไทป์ของ คาร์ล จุง ซึ่งการคลี่ขยายออกไป และการม้วนตัวกลับเข้ามา (unfold and enfold) จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยมีจิตเป็นส่วนร่วมและกำหนดทุกวันนี้ นักฟิสิกส์หลายคนคิดว่าโลกและจักรวาลมีที่มาจากความคิดหรือ
จินตนาการ (ที่มีความเป็นไปได้อย่างมีเหตุมีผล) คล้ายๆ กับโลกแห่งคณิตศาสตร์ ของพลาโต (mathematic world of Plato) ที่ประกอบด้วยความจริงหลายระดับที่ซับซ้อนอย่างที่สุด อย่างเช่นที่ จอร์จ เอลลิส คิดว่ามีอยู่สี่ระดับ คือ หนึ่ง โลกแห่งสสารวัตถุและพลังงาน สอง โลกแห่งจิต
สาม โลกแห่งชีวิต และสี่ โลกแห่งคณิตศาสตร์ ซึ่งแต่ละระดับมีความซับซ้อน และต่างเป็นเอกราชต่อกัน คือต่างก็ใช้อธิบายการเกิดขึ้นของแต่ละอย่างไม่ได้ทั้งหมด เช่น คณิตศาสตร์อย่างเดียวไม่สามารถอธิบายการเกิดขึ้นของสสารวัตถุได้ ชีวิตไม่อาจอธิบายการเกิดของจิตได้ ฯลฯ
ดังนั้น ทั้งหมดจะต้องมีตัวเชื่อม (George F.R. Ellis : Progress in scientific and Spiritual Understanding in Spiritual Information, 2005) ซึ่งเอลลิสคิดว่า คือ ข้อมูล แต่ผู้เขียนไม่เห็นว่า ตัวอย่างหรือระดับทั้งสี่นั้นมีความจำเป็นเลย ข้อเสนอของ จอร์จ เอลลิส จึงเหมือนกับว่า
เป็นการถอยหลังเข้าคลอง โดยไปติดที่ความซับซ้อน หากเราคิดโดยมองเรื่องของจิตไปสู่ความสุดละเอียดที่เป็นปฐมภูมิจริงๆ เช่น เป็นจิตหนึ่งหรือเป็นความว่าง (สุญญตา) ที่ให้ "ธรรมธาตุ" อันเป็นที่มาของ สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ของจักรวาลในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเรื่องของมิติแห่งอาร์คีไทป์ รวมเรื่องของกาย เรื่อง
ของจิต และเรื่องของ โลกแห่งจินตนาการบริสุทธิ์ (pure idea) แห่งคณิตศาสตร์ ของพุทธศาสนาและของไพธากอรัส ซึ่งเป็นที่มาของโลกแห่งคณิตศาสตร์ของพลาโต (ไพธากอรัสนั้นอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวหรือก่อนพระพุทธเจ้าเล็กน้อย เป็นมังสวิรัติและเชื่อในการเคลื่อนย้ายของวิญญาณหลังตาย เคยท่องเที่ยวไกลถึง
อียิปต์ เอเชียใกล้ถึงบาบิโลนและอัฟกัน จึงเป็นไปได้ว่าเขาได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมพระเวทจากทางตะวันออก) เรื่องของสารเคมีที่สมองอันเป็นตัวการที่สัมพันธ์กับจิต ที่นักประสาทวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเป็นตัว "จิต" (consciousness) หรือเป็นนายหน้าของจิต ที่วิทยาศาสตร์เฝ้าหามานาน (NCCs) เท่าที่รู้ สารเคมี
ที่สัมพันธ์กับการทำงานของกาย-จิตหลายชนิด จะทำงานพร้อมๆ กันจากเซลล์สมองส่วนหน้าเป็นพัลส์ (pulse) ที่ออกมาเป็นชุดติดต่อกันโดยมีประจุไฟฟ้าของแต่ละชุดราวๆ เศษหนึ่งส่วนสิบของโวลต์เป็นเวลาประมาณ 0.5-1.0 มิลลิวินาที (Christof Koch : The Quest for Consciousness, 2004)
การค้นพบของ คริสตอฟ คอช ทำให้นักประสาทวิทยาศาสตร์หลายคนดีใจ เพราะทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์ กายภาพทั้งหลาย เข้าไปใกล้เรื่องของจิตที่พวกเขาแบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด แต่การค้นพบว่าเซลล์สมองเป็นสิ่งจำเป็นเฉพาะการทำงานของปรากฏการณ์ทางจิตนั้น ไม่ได้แปลว่าสิ่งอื่นของเซลล์ประสาทไม่มีหรือ
ไม่สำคัญ ในการก่อปรากฏการณ์ทางจิต นอกจากนี้ การค้นพบดังกล่าวว่าสารเคมีที่สมองส่วนหน้าคือสิ่งจำเป็นเฉพาะของการผลิตปรากฏการณ์ทางจิต ก็ไม่พบ ในสัตว์อื่นๆ หรือพืชที่เราก็รู้ว่ามีจิตแต่ไม่มีสมองได้อย่างไร? ที่สำคัญคือ ในคนนอนหลับแล้วฝัน หรือในคนที่สลบไป ซึ่งก็ยังคงมี ปรากฏการณ์ทางจิต เช่นเดียวกัน หรือคนที่อยู่ท่ามกลางเสียงอึกระทึกครึกโครม
ตลอดเวลา เช่น ที่สนามบิน แต่เรากลับสามารถได้ยืนเสียงเรียกชื่อของเรา ในความละเอียดอ่อนเช่นนี้ เราไม่สามารถจะหาสารเคมีหรือตัวการสำคัญที่ว่า (NCCs) ได้ แล้วเราจะตอบว่าอย่างไร? ที่สำคัญที่สุด เรารู้ว่าปรากฏการณ์ทางจิตเกิดขึ้นเร็วมากและเกิดทับซ้อนกันอย่างรวดเร็วจนเกินคำว่าทันที
ทันใด เรียกว่าไม่มีทางที่จะกำหนดหรือวัดได้ การวัดได้เป็นหนึ่งในพันของวินาทีเป็นเวลาที่ช้ามากเหลือเกินจากคำว่าทันทีทันใด ประสบการณ์ทับซ้อนกันอย่างทันทีทันใดนั้นรับรู้ได้แต่เฉพาะกับบุคคลที่หนึ่ง (first person experience) เราจะทำให้เป็นเรื่องของบุคคลที่สามไม่ได้ ตอนหลัง คริสตอฟ คอช จึงได้หัน
ไปสนใจเรื่องของจิตในเชิงจิตวิทยาและศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา ตามอย่างนักประสาทวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์สายตรง เช่นเดียวกับนักประสาทวิทยาศาสตร์ส่วนมาก ที่คิดว่าจิตเป็นผลผลิตของสมอง ฟรานซิสโก วาเรล่า ที่เพิ่งตายไป กับ อันโตนิโย ดามาสิโอ และคนอื่นๆ ที่หันไป
สนใจพุทธศาสนาอย่างมากและเคยพบกับองค์ดาไลลามะด้วย แม้ว่าการวิจัยทางประสาทชีววิทยาหรือประสาทวิทยาศาสตร์จะทำให้เราเข้าใจสมอง อวัยวะหนึ่งเดียวที่ให้ประสบการณ์ทางจิตแก่เรา แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถตอบว่าจิตคืออะไร? ทั้งๆ ที่เราได้ใช้เงินและเวลาถึงร้อยกว่าปีในการวิจัยและค้นคว้าเรื่องของจิต
อย่างจริงจังมาตลอด เพราะจิตไม่ใช่สิ่งที่เราจะหาพบได้โดยกล้องจุลทรรศน์ หรือในหลอดทดลอง หรือโดยการสร้างภาพเหมือนจริงโดยเอ็มอาร์ไอ หรือเครื่องสแกนต่างๆ พูดง่ายๆ จิตไม่ใช่เรื่องของกายหรือวิทยาศาสตร์กายภาพ เพราะจิตเป็นประสบการณ์ตรงที่รู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ของบุคคลที่หนึ่งอย่าง ที่พุทธศาสนาบอกไว้จริงๆ
โดย ประสาน ต่างใจ แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คอลัมน์ จิตวิวัฒน์ มติชนรายวัน วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10906 ประสบการณ์ทางศาสนามาจากพระเจ้าหรือเป็นเพียงการทำงานสุ่มของเซลล์ประสาทในสมองเท่านั้น? มาริโอ โบเรการ์ด นักประสาทวิทยา ได้ใช้ผลการวิจัยของตนเองร่วมกับแม่ชีคาร์เมไลท์ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ทางจิตวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริงสามารถบันทึกไว้ได้ เขาเสนอหลักฐาน
อันน่าเชื่อว่าประสบการณ์ทางศาสนามีต้นกำเนิดมาจากสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ โดยสร้างเหตุผลที่น่าเชื่อสำหรับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่เต็มใจที่จะพิจารณา นั่นคือ พระเจ้าเป็นผู้สร้างประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของเรา ไม่ใช่สมอง Beauregard และ O'Leary สำรวจความพยายามล่าสุดในการค้นหา
"ยีนของพระเจ้า" ในตัวเราบางคน และอ้างว่าสมองของเรา "ถูกสร้างมา" สำหรับศาสนาโดยเฉพาะ แม้แต่กรณีแปลกๆ ของนักประสาทวิทยาคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าประดิษฐ์
"หมวกพระเจ้า" ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถสร้างประสบการณ์ลึกลับให้กับผู้ที่สวมใส่ได้ ผู้เขียนโต้แย้งว่าความพยายามเหล่านี้เป็นความเข้าใจผิดและมีใจที่คับแคบ เนื่องจากความพยายามเหล่านี้ลดประสบการณ์ทางจิตวิญญาณให้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางวัตถุ
นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากละเลยหลักฐานที่ชัดเจนที่ท้าทายอคติทางวัตถุนิยมของตน โดยยึดติด กับมุมมองที่จำกัดที่ว่าประสบการณ์ของเราอธิบายได้ด้วยสาเหตุทางวัตถุเท่านั้น โดยมีความเชื่อมั่น อย่างแน่วแน่ว่าโลกทางกายภาพเท่านั้นคือความจริงแต่ลัทธิวัตถุนิยมทางวิทยาศาสตร์นั้นยังขาดความ สามารถ
ในการอธิบายเรื่องราวที่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับเรื่องของจิตใจเหนือสสาร เรื่องของ สัญชาตญาณ ความมุ่งมั่น การกระโดดของศรัทธา เรื่องของ "ผลของยาหลอก" ในทางการแพทย์ เรื่องของประสบการณ์ใกล้ตายบนโต๊ะผ่าตัด เรื่องของลางสังหรณ์ทางจิตถึงคนที่รักที่กำลัง อยู่ในภาวะวิกฤติ รวมไปถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเป็นครั้งคราวและประสบการณ์ลึกลับ
ในการทำสมาธิหรือการสวดมนต์ วิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมอธิบายสิ่งเหล่านี้และเหตุการณ์อื่นๆ ว่าเป็น ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจผิด แต่ด้วยการสำรวจงานวิจัยทางประสาทวิทยาล่าสุดเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์เช่นนี้ สมองฝ่ายจิตวิญญาณจึงค้นหาแหล่งที่มาที่แท้จริงของปรากฏการณ์เหล่านี้ นี่เป็น ทฤษฎีของ Dean Hamer ที่ว่าจิตวิญญาณเป็นของทางพันธุกรรมและได้ระบุยีนที่มีแนวโน้มหนึ่ง คือ SLC18A2 หรือที่เรียกว่าVMAT2 สมมติฐาน คือ อัลลีลหนึ่งตัว (หรือบางตัว) ของยีนช่วยทำให้ ผู้คน "มีจิตวิญญาณ" ในขณะที่อัลลีลอื่น (หรือบางตัว) ไม่ช่วย สมมติฐานนี้ยังเป็นประเด็นโต้แย้ง อย่างมาก เนื่องจากบางคนไม่มีจิตวิญญาณ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอัลลีล "ทางจิตวิญญาณ"สำหรับยีนนั้น มีแนวคิดแยกกันเกี่ยวกับ " โมดูลตรวจจับพระเจ้า" ในสมอง เราทราบว่ามี "โมดูล"ทางพันธุกรรม ในสมองสำหรับงานเฉพาะ โมดูลหนึ่งคือ "โมดูลตรวจจับการโกง"ซึ่งมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี มีการ เสนอว่ามีโมดูลอื่นที่เชื่อมโยงความสามารถในการตรวจจับการสื่อสารโดยพระเจ้า: พระเจ้าจะมีจิตใจได้อย่างไรหากพระองค์ไม่มีสมองที่เป็นวัตถุ พระเจ้าจะคิดอะไรได้อย่างไร
"เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด ทางของเราก็สูงกว่า ทางของเจ้าฉันนั้น และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น" ฉันไม่คิดว่าพระเจ้าต้องการ สมองในการคิด ฉันต้องการสมองเพราะฉันเป็นสิ่งมีชีวิต พระเจ้าไม่ใช่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิต ของฉัน ฉันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ของพระเจ้า เช่นเดียวกับคุณ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ ถูกจำกัดด้วยการสร้างสรรค์ของพระองค์
เนื่องจากพระองค์ดำรงอยู่ภายนอกสิ่งที่พระองค์สร้าง ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ต้องการสมองที่เป็นวัตถุเพื่อที่จะคิด หรืออวัยวะที่เป็นวัตถุใดๆ ก็ตาม ฉันต้องการสสารทาง กายภาพ (เนื้อเทา) เพื่อที่จะเข้าใจสสารรอบตัวเรา เนื่องจากพระเจ้าเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งและทรงเห็นทุกสิ่ง ผ่านมุมมองของความเป็นนิรันดร์ พระองค์จึงสามารถสะท้อนสิ่งที่คอมพิวเตอร์ซูเปอร์ทำได้เพียงแต่ ฝันเท่านั้น ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยสมองอันเล็กจิ๋วของฉัน ฉันจะต้องไม่ถูกผูกมัดกับร่างกาย เพื่อจะสะท้อนสิ่งที่เป็นดาราศาสตร์ได้ นั่นทำให้ฉันเกิดคำถามว่า ความคิดที่ไม่มีร่างกายคืออะไร มันเป็นเพียงสิ่งที่ล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือไม่ แม้ว่าฉันจะรู้สึกอยากตอบว่าใช่ แต่ฉันไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะความคิดทุกอย่างต้องผูกติดกับความคิดของสิ่งมีชีวิต แม้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะไม่มีร่างกายก็ตาม (เหมือนกับความฝันทุกความฝันที่มีคนฝัน)
ดังนั้นฉันคิดว่าคำตอบอาจเป็นว่าพระเจ้าสามารถคิดได้ เพราะพระองค์เป็นสิ่งมีชีวิต หากคุณเป็นสิ่งมีชีวิต คุณก็คิดได้ หากคุณไม่ใช่สิ่งมีชีวิต คุณก็ไม่สามารถ คิดได้ หากคุณเป็นสิ่งมีชีวิต คุณก็จะมีจิตใจ มันทำให้คุณสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของจิตสำนึก ถ้า ฉันซึ่งเป็นวัตถุที่อ่อนแอ มีจิตใจที่มาจากสมองที่มีความสามารถในการจดจำ ความจำได้ ถึง 2.5 ล้าน กิกะไบต์ ลองนึกดูว่าสิ่งที่ไม่มีตัวตน เห็นทุกสิ่ง มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง จะจัดการได้ดีกว่านั้นมากเพียงใด พูด ง่ายๆ ก็คือ พระเจ้าสามารถคิดได้เพราะพระองค์มีอยู่ เพราะพระองค์มีอยู่ ฉันจึงมีตัวตน ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันก็จะไม่มีทางเป็นได้ ดังนั้น ฉันก็จะคิดไม่ได้ เพราะฉันต้องมีตัวตนจึงจะคิดได้ ความเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งมีชีวิตและความคิดจะเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา
The Devil on Trial (2023) พิพากษาปีศาจ

- ปีที่ฉาย : 2023
- ความยาว : 1 ชั่วโมง 21 นาที
- คุณภาพ : HD
- เสียง : พากย์ไทย
เรื่องย่อ - The Devil on Trial (2023) พิพากษาปีศาจ
ภาพยนตร์สารคดีสยองขวัญของ Netflix ปี 2023 ที่เจาะลึกคดีของ Arne Cheyenne Johnson ในระหว่างการ
พิจารณาคดี ทนายความของจอห์นสันพยายามใช้ "การครอบครองของปีศาจ" เป็นข้อแก้ต่าง แต่ผู้พิพากษาที่
เป็นประธาน โรเบิร์ต คัลลาฮาน ปฏิเสธข้อโต้แย้งนั้น เรื่องราวเกี่ยวกับการพิจารณาคดีของอาร์เน่ ไชแอนน์ จอห์นสันวัย 19 ปีใช้การจำลองเหตุการณ์และโฮมวิดีโอเพื่อสืบสวนการครอบครองเด็กหนุ่มและการฆาตกรรมอันโหดร้ายที่ตามมาภาพยนต์เรื่องนี้จะมีบทสรุปอย่างไรสามารถติดตามได้แล้ววันนี้
สมองแห่งจิตวิญญาณ: กรณีศึกษาของนักประสาทวิทยาเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของ จิตวิญญาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น