[๒๕๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีสองรูปจำวัดร่วมเตียงกัน คนทั้งหลายเที่ยวเดินชมวิหาร พบเห็นแล้วพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้นอนร่วมเตียงกันสองรูป เหมือนหญิงชาวบ้านเล่า. ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้จำวัดบนเตียงเดียวกันสองรูปเล่า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีจำวัดร่วมเตียงกันสองรูป จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้จำวัดร่วมเตียงกันสองรูปเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้น แสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๘๖. ๑. อนึ่ง เหล่าภิกษุณีใด สองรูปนอนบนเตียงเดียวกัน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๕๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
ที่ชื่อว่า เหล่าภิกษุณี ได้แก่ เหล่าสตรีที่เรียกกันว่า ภิกษุณีอุปสัมบัน.
พากย์ว่า สองรูปนอนบนเตียงเดียวกัน คือ เมื่อรูปหนึ่งนอนแล้วอีกรูปหนึ่งจึงนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือนอนทั้งสองรูป ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ลุกขึ้นแล้วนอนต่ออีกก็ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปัตติวาร
[๒๖๐] รูปหนึ่งนอน อีกรูปหนึ่งนั่ง หรือนั่งทั้งคู่ ๑ วิกลจริตทั้งคู่ ๑ อาทิกัมมิกาทั้งคู่ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ตุวัฏฏวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ตุวัฎฏวรรค
สิกขาบทที่ ๑
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งตุวัฏฏวรรค พึงทราบดังนี้:-
บทว่า ตุวฏฺเฏยฺย แปลว่า พึงนอน.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น