Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ .ปาจิตติยกัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ .ปาจิตติยกัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด

21 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๓ เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง

     [๔๘๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
   ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งไม่มีผ้ารัดถัน เข้าไปเพื่อบิณฑะในหมู่บ้าน ลมบ้าหมูพัดเวิกผ้าสังฆาฏิขึ้นที่ถนนนั้น. 
   คนทั้งหลายได้ส่งเสียงว่าถันและท้องของแม่เจ้าสวย ภิกษุณีรูปนั้นถูกคนทั้งหลายเยาะเย้ยได้เป็นผู้เก้อเขิน ครั้นนางไปถึงสำนักแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นให้ภิกษุณีทั้งหลายฟัง.
   บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงไม่มีผ้ารัดถัน เข้าบ้านเล่า.

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีไม่มีผ้ารัดถันเข้าบ้าน จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงไม่มีผ้ารัดถันเข้าบ้านเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๕๑. ๑๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไม่มีผ้ารัดถัน เข้าบ้าน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๘๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   บทว่า ไม่มีผ้ารัดถัน คือ ปราศจากผ้ารัดนม.
   ที่ชื่อว่า ผ้ารัดถัน ได้แก่ ผ้าที่ใช้ปกปิดอวัยวะเบื้องต่ำตั้งแต่รากขวัญลงมา เบื้องบนตั้งแต่นาภีขึ้นไป.
   คำว่า เข้าบ้าน คือ บ้านที่มีเครื่องล้อม เดินเลยเครื่องล้อม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปีตติวาร

   [๔๘๒] มีจีวรถูกชิงไป ๑ มีจีวรหาย ๑ อาพาธ ๑ หลงลืมไป ๑ ไม่รู้ตัว ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๓ จบ.
ปาจิตติยวรรค ที่ ๙ จบ

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ฉัตตุปาหนวรรคสิกขาบทที่ ๑๓

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๓ พึงทราบดังนี้ :- 
   สองบทว่า ปริกฺเขปํ อติกฺกมนฺติยา คือ เมื่อก้าวไปด้วยเท้าก้าวแรกเป็นทุกกฏ เมื่อก้าวไปด้วยเท้าก้าวที่ ๒ เป็นปาจิตตีย์. 
แม้ในอุปจารก็นัยนี้เหมือนกัน. 
   ในคำว่า อจฺฉินฺนจีวริกาย เป็นต้น จีวร คือ ผ้ารัดถันนั่นแล บัณฑิตพึงทราบว่า จีวร. 
   บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ผ้ารัดถันมีค่ามาก เมื่อภิกษุณีห่มเดินไป อันตรายจะเกิดขึ้นได้ ไม่เป็นอาบัติในอันตรายเช่นนี้. 
คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น. 
   สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล. อรรถกถาฉัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๓ จบ               
อรรถกถาฉัตตวรรคที่ ๙ จบ.

บทสรุป

   [๔๘๓] แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคือปาจิตตีย์ ๑๖๖ สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล
   ข้าพเจ้าขอถามแม่เจ้าทั้งหลาย ในธรรมคือปาจิตตีย์ ๑๖๖ สิกขาบทนั้นว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถาม
แม้ครั้งที่สามว่า
   ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ แม่เจ้าทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วในธรรมคือปาจิตตีย์ ทั้ง ๑๖๖ สิกขาบทเหล่านี้ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
ปาจิตติยกัณฑ์ จบ.
๑. วรรคที่ ๑๐ ถึงวรรคที่ ๑๖ มีวรรคละ ๑๐ สิกขาบท คือ มุสาวาทวรรคที่ ๑๐ มี ๑๐ สิกขาบท ภูตคามวรรคที่ ๑๑
มี ๑๐ สิกขาบท โภชนวรรคที่๑๒ มี ๑๐ สิกขาบท จริตตวรรคที่ ๑๓ มี ๑๐ สิกขาบท โชติวรรคที่ ๑๔ มี ๑๐ สิกขาบท
ทิฏฐิวรรคที่ ๑๕ มี ๑๐ สิกขาบทธัมมิกวรรคที่ ๑๖ มี ๑๐ สิกขาบท รวมอีก ๗๐ สิกขาบท เป็นอุภโตบัญญัติ ผู้ปรารถนา
พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในภิกขุวิภังค์โน้นเทอญ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์บทสรุป

บทสรุปธรรมคือปาจิตตีย์               
   ในคำว่า อุทฺทิฏฺฐา โข อยฺยาโยฉสฺสฏฺฐิสตา ปาจิตฺติยา ธมฺมา นี้พึงทราบว่า สิกขาบท ๑๘๘ ทั้งหมดด้วยกัน คือสิกขาบทในขุททกะของพวกภิกษุณี ๙๖ สิกขาบท พวกภิกษุ ๙๒ สิกขาบท ชักออกจากสิกขาบท ๑๘๘ นั้นเสีย ๒๒ สิกขาบทนี้ คือภิกขุณีวรรค ทั้งสิ้น (๑๐ สิกขาบท) ปรัมปรโภชนสิกขาบท ๑
   อนติริตตโภชนสิกขาบท ๑ อนติริตเตนอภิหัฏฐุมปวารณสิกขาบท ๑ ปณีตโภชนวิญญัติสิกขาบท ๑ อเจลกสิกขาบท ๑ ทุฏฐุลลปฏิจฉาทนสิกขาบท ๑ อูนวีสติวัสสูปสัมปาทนสิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยการชักชวนกันเดินทางไกลกับมาตุคาม ๑ 
   ราชันตนปุรัปเวสนสิกขาบท ๑  สิกขาบทว่าด้วยการไม่บอกลาภิกษุณีที่มีอยู่เข้าบ้านในเวลาวิกาล ๑ นิสีทนสิกขาบท ๑ วัสสิกสาฏิกสิกขาบท ๑ เหลืออีก ๑๖๖ สิกขาบท เป็นอันข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว ตามทางแห่งปาฏิโมกขุทเทส. 
   เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า อุทฺทิฏฺฐา โข อยฺยาโย ฉสฺสฏฺฐิสตา ปาจิตฺติยา ธมฺมา ฯเปฯ เอวเมตํ ธารยามิ ดังนี้
[วินิจฉัยสมุฏฐานเป็นต้นโดยย่อ] 
ในขุททกวรรณนาธิการนั้น มีวินิจฉัยสมุฏฐาน โดยสังเขปดังต่อไปนี้ :- 
   ๑๐ สิกขาบทเหล่านี้ คือ คิรัคคสมัชชสิกขาบท ๑ จิตตาคารสิกขาบท ๑ สังฆาณีสิกขาบท ๑ อิตถาลังการสิกขาบท ๑ คันธวัณณกสิกขาบท ๑ วาสิตกปิญญากสิกขาบท ๑ การใช้ภิกษุณีเป็นต้น บีบนวด ๔ สิกขาบท เป็นอจิตตกะ โลกวัชชะ. 
ก็ในสิกขาบท ๑๐ เหล่านี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- 
   สิกขาบทเหล่านี้ชื่อว่าเป็นอจิตตกะ เพราะแม้เว้นจากจิตก็ยังต้อง แต่เมื่อมีจิต ก็เป็นโลกวัชชะ เพราะจะพึงต้องด้วยอกุศลจิตเท่านั้น สิกขาบทที่เหลือเป็นอจิตตกะ เป็นปัณณัตติวัชชะ ทั้งนั้น. 
   ๑๙ สิกขาบทเหล่านี้ คือ โจรีวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ คามันตรอารามสิกขาบท ๑ ในคัพภินีวรรค ๗ สิกขาบท ตั้งแต่ต้น ในกุมารีภูตวรรค ๕ สิกขาบท ตั้งแต่ต้น 
   ปุริสสังสัฏฐสิกขาบท ๑ ปาริวาสิยฉันททานสิกขาบท ๑ อนุวัสสวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ เอกันตริกวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ เป็นสจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ ที่เหลือเป็นสจิตตกะ โลกวัชชะ ทั้งนั้นแล.
ขุททกกัณฑวรรณนาในภิกขุนีวิภังค์
ในอรรถกถาพระวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๑,๑๒ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

     [๔๗๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะเบื้องหน้าภิกษุ. ภิกษุทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะเบื้องหน้าภิกษุเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีทั้งหลายไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะเบื้องหน้าภิกษุ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะเบื้องหน้าภิกษุเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๙. ๑๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะเบื้องหน้าภิกษุ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๗๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   คำว่า เบื้องหน้าภิกษุ คือ ตรงหน้าอุปสัมบันภิกษุ.
   บทว่า ไม่ขอโอกาส คือ ไม่บอกกล่าวก่อน.
   คำว่า นั่งบนอาสนะ คือ โดยที่สุด แม้นั่งบนพื้นดิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

   [๔๗๔] ยังไม่ได้ขอโอกาส ภิกษุณีสำคัญว่า ยังไม่ได้ขอโอกาส นั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ยังไม่ได้ขอโอกาส ภิกษุณีมีความสงสัย นั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ยังไม่ได้ขอโอกาส ภิกษุณีสำคัญว่าขอโอกาสแล้ว นั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกะทุกกฎ

   ขอโอกาสแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ยังไม่ได้ขอโอกาส ต้องอาบัติทุกกฏ.   ขอโอกาสแล้ว ภิกษุณีมีความสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

   ขอโอกาสแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ขอโอกาสแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

   [๔๗๕] ขอโอกาส นั่งบนอาสนะ ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๑ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ฉัตตุปาหนวรรคสิกขาบทที่ ๑๑

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๑ พึงทราบดังนี้ :- 
   สองบทว่า ภิกฺขุสฺส ปุรโต คือ ตรงหน้าจังๆ. 
   ก็คำนี้บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายเอาอุปจาร (ที่ใกล้โดยรอบ ๑๒ ศอก). 
คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น.    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล. อรรถกถาฉัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๑ จบ.

ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๒ เรื่อง ภิกษุณีหลายรูป

   [๔๗๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังไม่ได้ขอโอกาส ภิกษุทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาสเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังไม่ได้ขอโอกาส จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ถามปัญหากะภิกษุที่ตนยังมิได้ขอโอกาสเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๕๐. ๑๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๗๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   บทว่า ผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส คือ ตนยังมิได้บอกกล่าว.
   บทว่า ภิกษุ ได้แก่ อุปสัมบันภิกษุ.
   คำว่า ถามปัญหา คือ ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระสูตรแล้วถามพระวินัย หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระวินัย แล้วถามพระสูตร หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระอภิธรรม แล้วถามพระสูตร หรือพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

   [๔๗๘] ยังมิได้ขอโอกาส ภิกษุณีสำคัญว่า ยังมิได้ขอโอกาส ถามปัญหา ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ยังมิได้ขอโอกาส ภิกษุณีมีความสงสัย ถามปัญหา ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ยังมิได้ขอโอกาส ภิกษุณีสำคัญว่าขอโอกาสแล้ว ถามปัญหา ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกะทุกกฎ

   ขอโอกาสแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ยังมิได้ขอโอกาส ต้องอาบัติทุกกฏ.   ขอโอกาสแล้ว ภิกษุณีมีความสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

   ขอโอกาสแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าขอโอกาสแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

   [๔๗๙] ยังภิกษุให้ทำโอกาสแล้วถาม ๑ ยังภิกษุให้ทำโอกาสไม่เจาะจงแล้วถามปัญหาในปิฎกใดปิฎกหนึ่ง ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ฉัตตุปาหนวรรคสิกขาบทที่ ๑๒

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๒ พึงทราบดังนี้ :- 
   บทว่า อโนกาสกตํ ได้แก่ ผู้ที่ตนยังมิได้ทำการขอโอกาสอย่างนี้ว่า ดิฉันจักถามในสถานที่โน้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บทว่า ผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส คือ ตนยังไม่ได้บอกกล่าว. 
   บทว่า อนุทฺทิสฺส มีความว่า ไม่กำหนดอย่างนี้ว่า ดิฉันจักถามในฐานะชื่อโน้น กล่าวอย่างนี้อย่างเดียวว่า ดิฉันจะถามข้อที่ควรถาม ซึ่งมีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า! 
คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น. 
   สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปทโสธรรมสิกขาบท เกิดขึ้นทางวาจา ๑ ทางวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๗,๘,๙,๑๐ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

     [๔๖๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายใช้ภิกษุณีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง.
   คนทั้งหลายเที่ยวไปในวิหารพบเห็นแล้ว พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้ภิกษุณีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้ภิกษุณีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีใช้ภิกษุณีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ใช้ภิกษุณีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๕. ๗. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังภิกษุณีให้นวดก็ดี ให้ฟั้นก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๖๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   บทว่า ยังภิกษุณี ได้แก่ ภิกษุณีรูปอื่น.
   บทว่า ให้นวด คือ ให้บีบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   บทว่า ให้ฟั้น คือ ให้ขยำ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   [๔๖๘] อาพาธ ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.

ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่  ๘ เรื่อง ภิกษุณีหลายรูป

   [๔๖๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายใช้สิกขมานาให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง
   คนทั้งหลายเที่ยวไปในวิหารพบเห็นแล้ว พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้สิกขมานาให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้สิกขมานาให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้างเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีใช้สิกขมานาให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ใช้สิกขมานาให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๖. ๘. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังสิกขมานาให้นวดก็ดี ให้ฟั้นก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๗๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า สิกขมานา ได้แก่ สตรีผู้ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ ปีแล้ว.
   บทว่า ให้นวด คือ ให้บีบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   บทว่า ให้ฟั้น คือ ให้ขยำ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   [๔๗๑] เหตุอาพาธ ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.

ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

   โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายใช้สามเณรีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง.
   คนทั้งหลายเที่ยวไปในวิหารพบเห็นแล้ว พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้สามเณรีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้สามเณรีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง
เล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีใช้สามเณรีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ใช้สามเณรีให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๗. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังสามเณรีให้นวดก็ดี ให้ฟั้นก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า สามเณรี ได้แก่สตรีผู้สมาทานสิกขาบท ๑๐.
   บทว่า ให้นวด คือ ให้บีบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   บทว่า ให้ฟั้น คือ ให้ขยำ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   เหตุอาพาธ ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.

ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่อง ภิกษุณี หลายรูป

   โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายใช้สตรีคฤหัสถ์ให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง.
   คนทั้งหลายเที่ยวไปในวิหารพบเห็นแล้ว พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้สตรีคฤหัสถ์ให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้สตรีคฤหัสถ์ให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้างเล่า.

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีใช้สตรีคฤหัสถ์ให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ใช้สตรีคฤหัสถ์ให้นวดบ้าง ให้ฟั้นบ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๘. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังสตรีคฤหัสถ์ให้นวดก็ดี ให้ฟั้นก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า สตรีคฤหัสถ์ ได้แก่สตรีที่เรียกว่าผู้ครองเรือน.
   บทว่า ให้นวด คือ ให้บีบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   บทว่า ให้ฟั้น คือ ให้ขยำ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   เหตุอาพาธ ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๗-๘-๙-๑๐
ใน ๓ สิกขาบทมีสิกขาบทที่ ๘ เป็นต้น. 
   คำว่า สิกฺขมานาย สามเณริยา คิหินิยา นี้เท่านั้นทำให้ต่างกัน. 
   คำที่เหลือเหมือนกันกับคำที่กล่าวแล้วในสิกขาบทที่ ๗ นั้นแล.

20 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๔๖๓]  โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์สนานกายด้วยน้ำกำยานที่อบ คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้อาบน้ำกำยานที่อบ เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้อาบน้ำกำยานที่อบเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์
อาบน้ำกำยานที่อบ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้อาบน้ำกำยานที่อบเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๔. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด อาบน้ำด้วยกำยานที่อบ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๖๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า อบ ได้แก่ วัตถุที่อบด้วยของหอมชนิดใดชนิดหนึ่ง.
   ที่ชื่อว่า กำยาน ได้แก่ วัตถุที่เรียกว่า แป้งงา.
   บทว่า อาบน้ำ คือ ทำให้สะอาด เป็นทุกกฏในประโยค อาบเสร็จต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   [๔๖๕] เหตุอาพาธ ๑ อาบน้ำกำยานธรรมดา ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๔๖๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์สนานกายด้วยน้ำเครื่องประทิ่นมีกลิ่นหอม.
   คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลาย จึงได้สนานกายด้วยน้ำเครื่องประทิ่นมีกลิ่นหอม เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้สนานกายด้วยน้ำเครื่องประทิ่นที่มีกลิ่นหอมเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ อาบน้ำด้วยเครื่องประทิ่นมีกลิ่นหอม จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้อาบน้ำด้วยเครื่องประทิ่นมีกลิ่นหอมเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๓. ๕. อนึ่ง ภิกษุณีใด อาบน้ำด้วยเครื่องประทิ่นมีกลิ่นหอม เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๖๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า มีกลิ่นหอม ได้แก่ กลิ่นหอมชนิดใดชนิดหนึ่ง.
   ที่ชื่อว่า เครื่องประทิ่น ได้แก่ เครื่องหอมชนิดใดชนิดหนึ่ง.
   บทว่า อาบน้ำ คือ ทำให้สะอาด เป็นทุกกฏในประโยค อาบเสร็จต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   [๔๖๒] เหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๕
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :- 
 บทว่า คนฺธวณฺณเกน คือด้วยเครื่องหอมและเครื่องประเทืองผิว. 
คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น. 
   สมุฏฐานเป็นต้นก็เป็นเช่นเดียวกับสิกขาบทที่ ๓ ทั้งนั้นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๔๕๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี.
   คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี เหมือนพวกสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ใช้เครื่องประดับสำหรับสตรีเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี จริงหรือ?

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จึงได้ใช้เครื่องประดับสำหรับสตรีเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๒. ๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด ใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี เป็นปาจิตตีย์
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๕๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า เครื่องประดับสำหรับสตรี ได้แก่ เครื่องประดับศีรษะ เครื่องประดับศอ เครื่อง
ประดับมือ เครื่องประดับเท้า เครื่องประดับสะเอว.
   บทว่า ใช้ คือ ใช้แม้ครั้งเดียว ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   [๔๕๙] เหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๔
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :- 
   บรรดาเครื่องประดับมีเครื่องประดับศีรษะเป็นต้น ภิกษุณีใช้เครื่องประดับชนิดใดๆ พึงทราบว่า เป็นอาบัติมากตัว โดยนับวัตถุด้วยอำนาจแห่งเครื่องประดับนั้นๆ. 
   คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในสิกขาบทที่ ๓ นั่นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง

     [๔๕๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
   ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่ง เป็นกุลุปิกาของสตรีคนหนึ่ง ซึ่งสตรีนั้นได้กล่าวขอร้องภิกษุณีรูปนั้นว่า ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านได้โปรดนำเครื่องประดับเอวนี้ไปให้แก่หญิงชื่อโน้น
   จึงภิกษุณีนั้นคิดเห็นว่า ถ้าเราจะนำไปด้วยบาตร เสียงดังจักมีแก่เรา แล้วได้สวมไป เมื่อด้ายขาด เครื่องประดับเอวตกเรี่ยรายลงบนถนน. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ  ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้เครื่องประดับเอวเหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ใช้เครื่องประดับเอวเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีใช้เครื่องประดับเอว จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ใช้เครื่องประดับเอวเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

   ๑๔๑. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด ใช้เครื่องประดับเอว เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๕๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า เครื่องประดับเอว ได้แก่ เครื่องประดับเอวชนิดใดชนิดหนึ่ง
   บทว่า ใช้ คือ ใช้แม้ครั้งเดียว ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร

   [๔๕๖] ใช้ด้ายรัดเอวเพราะเหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๓
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้:- 
   บทว่า วิปฺปกิรึสุ คือ พวงแก้วมณีเครื่องประดับเอว ตกเรี่ยรายลง.    แม้ในสิกขาบทนี้ ก็พึงทราบว่า เป็นอาบัติมากตัว ด้วยการนับประโยคของภิกษุณีผู้ถอดแล้วใช้. 
   สมุฏฐานเป็นต้นมีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน. 
   ในสิกขาบทนี้เป็นอกุศลจิตอย่างเดียวแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๔๔๙] โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
   ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ไปโดยยาน. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ไปโดยยาน เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเหล่าภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้ไปโดยยานเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ไปโดยยาน จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ไปโดยยานเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

      ๑๔๐. ๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไปโดยยาน เป็นปาจิตตีย์.
   ก็แลสิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.

เรื่องภิกษุณีอาพาธ

   [๔๕๐] ต่อจากสมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งอาพาธ ไม่สามารถจะเดินไปด้วยเท้าได้ ภิกษุณีทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

ทรงอนุญาตยาน

   พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยานแก่ภิกษุณีผู้อาพาธ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระอนุบัญญัติ

   ๑๔๐. ๒. ก. อนึ่ง ภิกษุณีใด มิใช่ผู้อาพาธ ไปโดยยาน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีอาพาธ จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๕๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า มิใช่ผู้อาพาธ คือ ผู้สามารถเดินไปได้ด้วยเท้า.
   ที่ชื่อว่า ผู้อาพาธ คือ ผู้ไม่สามารถเดินไปได้ด้วยเท้า.
   ที่ชื่อว่า ยาน ได้แก่ วอ รถ เกวียน คานหาม แคร่ เก้าอี้.
   บทว่า ไป คือ ไปแม้ครั้งเดียว ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

   [๔๕๒] ภิกษุณีมิใช่ผู้อาพาธ สำคัญว่ามิได้อาพาธ ไปโดยยาน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ภิกษุณีมิใช่ผู้อาพาธ มีความสงสัย ไปโดยยาน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.   ภิกษุณีมิใช่ผู้อาพาธ สำคัญว่าอาพาธ ไปโดยยาน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกะทุกกฎ

   ภิกษุณีผู้อาพาธ สำคัญว่ามิได้อาพาธ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ภิกษุณีผู้อาพาธ มีความสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

   ภิกษุณีผู้อาพาธ สำคัญว่าอาพาธ ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

   [๔๕๓] อาพาธ ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ฉัตตุปาหนวรรคสิกขาบทที่ ๒

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :- 
   แม้ในคำว่า ยาเนน ยายติ นี้ ก็พึ่งทราบว่า เป็นอาบัติหลายตัวด้วยประการนับประโยคของภิกษุณีผู้ลงๆ ขึ้นๆ (ผู้ขึ้นลงบ่อยๆ). 
   บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในสิกขาบทที่ ๑ ทั้งนั้นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๙ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๔๔๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
   ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ กั้นร่มและสวมรองเท้า คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ใช้ร่มและรองเท้าเหมือนพวกสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
   ภิกษุณีทั้งหลาย ได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...  ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้ใช้ร่มและรองเท้าเล่า

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ใช้ร่มและรองเท้า จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จึงได้ใช้ร่มและรองเท้าเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

       ๑๓๙. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด ใช้ร่มและรองเท้า เป็นปาจิตตีย์.
    ก็แลสิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.

เรื่องภิกษุณีอาพาธ

   [๔๔๕] ต่อจากสมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งอาพาธ นางเว้นร่มและรองเท้าแล้วไม่สบาย
   ภิกษุณีทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

ทรงอนุญาตร่มและรองเท้า

   พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตร่มและรองเท้าแก่ภิกษุณีผู้อาพาธ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระอนุบัญญัติ

   ๑๓๙. ๑. ก. อนึ่ง ภิกษุณีใด มิใช่ผู้อาพาธ ใช้ร่มและรองเท้า เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีอาพาธ จบ.

สิกขาบทวิภังค์

   [๔๔๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   ที่ชื่อว่า มิใช่ผู้อาพาธ คือ ผู้ที่เว้นร่มและรองเท้าแล้วไม่สบาย.
   ที่ชื่อว่า ผู้อาพาธ คือ ผู้ที่เว้นร่มและรองเท้าแล้วไม่สบาย.
   ที่ชื่อว่า ร่ม มี ๓ ชนิด คือ ร่มผ้าขาว ๑ ร่มลำแพน ๑ ร่มใบไม้ ๑ ที่เขาเย็บเป็นวงกลม.
   บทว่า ใช้ คือ ใช้แม้ครั้งเดียว ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

   [๔๔๗] ภิกษุณีมิใช่ผู้อาพาธ สำคัญว่ามิใช่ผู้อาพาธ ใช้ร่มและรองเท้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ภิกษุณีมิใช่ผู้อาพาธ มีความสงสัย ใช้ร่มและรองเท้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์.   ภิกษุณีมิใช่ผู้อาพาธ สำคัญว่าอาพาธ ใช้ร่มและรองเท้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

จตุกกะทุกกฎ

   ภิกษุณีใช้ร่ม ไม่ใช้รองเท้า ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ภิกษุณีใช้รองเท้า ไม่ใช้ร่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ภิกษุณีผู้อาพาธ สำคัญว่ามิได้อาพาธ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ภิกษุณีผู้อาพาธ มีความสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

 ภิกษุณีผู้อาพาธ สำคัญว่าอาพาธ ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

   [๔๔๘] อาพาธ ๑ ใช้ร่มอยู่ในอาราม ในอุปจารแห่งอาราม ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ฉัตตุปาหนวรรคสิกขาบทที่ ๑

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งฉัตตุปาหนวรรค
พึงทราบดังนี้ :- 
   ข้อว่า สกึปิ ธาเรติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส มีความว่า ในการเดินทาง ภิกษุณีกั้นร่มและสวมรองเท้า แม้ตลอดวันโดยประโยคเดียวเท่านั้น ก็เป็นอาบัติเพียงตัวเดียว. 
   ถ้าไปถึงที่มีเปือกตมเป็นต้น ถอดรองเท้าแล้ว กั้นแต่ร่มอย่างเดียวเดินไป เป็นทุกกฏ. ถ้าแม้ว่า เห็นกอไม้เป็นต้น หุบร่มเสียแล้ว สวมแต่รองเท้าเดินไป เป็นทุกกฏเหมือนกัน.
   ถ้าหุบร่มแล้วก็ดี ถอดรองเท้าแล้วก็ดี กลับกั้นร่มและสวมรองเท้าอีกเป็นปาจิตตีย์. พึงทราบอาบัติมากตัวด้วยการนับประโยคอย่างนี้. 
คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น. 
   สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.
บาลีเป็นฉัตตปาหนวรรค.