พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๗. ชาลิยสูตร ว่าด้วยปริพาชกชื่อชาลิยะ เรื่องนักบวช ๒ รูป
[๓๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี มีนักบวช ๒ รูป คือ มัณฑิยปริพาชกและชาลิยปริพาชก ซึ่งเป็นศิษย์ของพวกทารุปัตติกะ(นักบวชผู้นิยมใช้บาตรไม้) เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค สนทนากับพระผู้มีพระภาคพอคุ้นเคยแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ท่านพระโคดม ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน”
[๓๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ผู้มีอายุ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจะบอก”
นักบวชทั้ง ๒ รูปนั้นทูลรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ผู้มีอายุ ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ ฯลฯ๑- (พึงนำข้อความเต็มในสามัญญผลสูตรมาใส่ไว้ในที่นี้) ผู้มีอายุ ภิกษุชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอย่างนี้แล ฯลฯ บรรลุปฐมฌานอยู่ ผู้มีอายุ
ภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ ควรละหรือที่จะกล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน” นักบวชทั้ง ๒ รูปนั้นทูลตอบว่า “ภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ยังควรที่จะกล่าวว่าชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ผู้มีอายุ เรารู้เราเห็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่กล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน @เชิงอรรถ :
@๑ ความเต็มเหมือนในสามัญญผลสูตร ข้อ ๑๙๔-๒๑๒ อนึ่ง ชาลิยสูตรนี้มีเนื้อความเกี่ยวเนื่องกับมหาลิ @สูตรตอนปลาย (ข้อ ๓๗๖-๓๗๗) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๕๙}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๗. ชาลิยสูตร] เรื่องนักบวช ๒ รูป
ฯลฯ บรรลุทุติยฌานอยู่ บรรลุตติยฌานอยู่ บรรลุจตุตถฌานอยู่ ผู้มีอายุภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ ควรละหรือที่จะกล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน” นักบวชทั้ง ๒ รูปนั้นทูลตอบว่า “ภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ยังควรที่จะกล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะ
กับสรีระเป็นคนละอย่างกัน” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ผู้มีอายุ เรารู้เราเห็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่กล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน ฯลฯ น้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ ผู้มีอายุ ภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ ควรละหรือที่จะกล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็น
คนละอย่างกัน” นักบวชทั้ง ๒ รูปนั้นทูลตอบว่า “ภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ยังควรที่จะกล่าวว่าชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน”พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ผู้มีอายุ เรารู้เราเห็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่กล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน”
[๓๘๐] ฯลฯ รู้ชัดว่า ... ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป ผู้มีอายุภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ ควรละหรือที่จะกล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน”
นักบวชทั้ง ๒ รูปนั้นทูลตอบว่า “ภิกษุผู้รู้ผู้เห็นอย่างนี้ไม่ควรที่จะกล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ผู้มีอายุ เรารู้เราเห็นอย่างนี้ จึงไม่กล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ นักบวชทั้ง ๒ รูปนั้น มีใจยินดีต่างชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล
ชาลิยสูตรที่ ๗ จบ
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๐}
อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ชาลิยสูตร (เดิมไม่ได้แปลไว้) ชาลิยสูตรว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ฯลฯ. ในกรุงโกสัมพีเป็นต้น ในชาลิยสูตรนั้น มีการพรรณนาตามลำดับบทดังต่อไปนี้.
บทว่า โฆสิตาราเม
ความว่า ในอารามที่โฆษิตเศรษฐีสร้างถวาย.
ได้ยินว่า ในกาลก่อนได้มีนครแห่งหนึ่งชื่อทมิฬรัฐ.
จากนครนั้น บุรุษเข็ญใจชื่อโกตูหลิก พร้อมกับบุตรและภรรยาหนีไปสู่อวันตีรัฐ เพราะฉาตกภัย เมื่อไม่อาจนำบุตรไปได้จึงทิ้งบุตรเสียแล้วเดินทางต่อไป.
มารดากลับไปรับเอาบุตรนั้น.
เขาจึงพากันไปยังบ้านนายโคบาลแห่งหนึ่ง.
ก็ในกาลนั้น นายโคบาลได้ตระเตรียมข้าวปายาสไว้มาก.
เขาได้กินข้าวปายาสนั้น.
ลำดับนั้นแล บุรุษนั้นกินข้าวปายาสมาก ไม่อาจจะให้ย่อยได้ ตกกลางคืนได้ตายไป ถือปฏิสนธิในท้องแม่สุนัข เกิดเป็นลูกสุนัขน้อยในบ้านนายโคบาลนั้นเทียว. ลูกสุนัขน้อยนั้นเป็นที่รักของนายโคบาล. และนายโคบาลบำรุงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า.
ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้ก้อนข้าวก้อนหนึ่งๆ แก่ลูกสุนัขน้อยในกาลเสร็จภัตกิจ. ลูกสุนัขน้อยนั้นเกิดความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงไปยังบรรณศาลา พร้อมกับนายโคบาล. ครั้นนายโคบาลไม่ใช้ไปก็ไปเอง ในเวลาภัตเฝ้าอยู่ที่ประตูบรรณศาลา เพื่อรอเวลา และเฝ้าดูสัตว์ร้ายในระหว่างทางให้สัตว์ร้ายหนีไป.
สุนัขน้อยนั้นตายไปเกิดในเทวโลกด้วยจิตอ่อนน้อมในพระปัจเจกพุทธะ. ในเทวโลกนั้น เขาจึงมีชื่อว่าโฆสกเทวบุตร.
โฆสกเทวบุตรนั้นจุติจากเทวโลกแล้วไปเกิดในเรือนตระกูลหนึ่งในกรุงโกสัมพี. เศรษฐีไม่มีบุตรได้ให้ทรัพย์แก่บิดามารดาของทารกนั้น ได้รับเขาเป็นบุตร. ต่อมา ครั้นบุตรของตนเกิด เศรษฐีก็พยายามให้ฆ่าเขาถึงเจ็ดครั้ง. เขาไม่ถึงความตายในที่เจ็ดแห่ง เพราะค่าที่ตนเป็นผู้มีบุญ ในที่สุดก็ได้ชีวิตรอดมา
เพราะความช่วยเหลือของธิดาเศรษฐีคนหนึ่ง.
ในกาลต่อมา เมื่อบิดาล่วงลับไป เขาจึงได้รับตำแหน่งเศรษฐีชื่อว่า โฆษิตเศรษฐี.
ก็ในกรุงโกสัมพียังมีเศรษฐีอีกสองคน คือ กุกกุฏเศรษฐีและปาวาริกเศรษฐี รวมเป็น ๓ คนกับโฆษิตเศรษฐีนี้.
ก็โดยสมัยนั้น ดาบส ๕๐๐ คนจากป่าหิมพานต์ พากันไปยังกรุงโกสัมพี เพื่อตากอากาศอบอุ่น. เศรษฐีสามคนนั้นได้สร้างบรรณกุฏิในอุทยานของตนๆ ทำการบำรุงแก่ดาบสเหล่านั้น. อยู่มาวันหนึ่ง ดาบสเหล่านั้นมาจากป่าหิมพานต์ ได้รับหนาวจัด ลำบากในทางกันดารมาก ถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง พากันนั่งรอรับการสงเคราะห์จากสำนักของเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในต้นไทรนั้น.
เทวดาได้เหยียดแขนซึ่งประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้วัตถุมีน้ำดื่มน้ำใช้เป็นต้นแก่ดาบสเหล่านั้นบรรเทาความลำบาก.
ดาบสเหล่านั้นยิ้มแย้มด้วยอานุภาพแห่งเทวดา จึงถามว่า ข้าแต่เทพ ท่านทำกรรมอะไรหนอแล จึงได้สมบัตินี้. เทวดากล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า พุทธ ได้เกิดแล้วในโลก บัดนี้พระองค์ประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี. ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ในวันอุโบสถทั้งหลาย ท่านอนาถบิณฑิกะให้ภัตและค่าจ้างตามปกติแก่ลูกจ้างของตน แล้วให้รักษาอุโบสถศีล อยู่มาวันหนึ่งในเวลาเที่ยงวัน ข้าพเจ้ามาเพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้า ได้เห็นท่านอนาถบิณฑิกะไม่ทำการงานเกี่ยวกับลูกจ้างอะไรเลย จึงถามว่า ในวันนี้ มนุษย์ทั้งหลายไม่ทำการงาน เพราะเหตุอะไร เขาเหล่านั้นได้บอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า.
ลำดับนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวคำนี้ว่า บัดนี้ได้ล่วงไปครึ่งวันแล้ว ข้าพเจ้าอาจเพื่อรักษาอุโบสถครึ่งหนึ่ง หรือหนอแล แต่นั้นท่านเศรษฐีให้ดีใจแล้วพูดว่าอาจรักษาได้ ข้าพเจ้านั้นจึงได้สมาทานอุโบสถครึ่ง ในครึ่งวัน ได้ทำกาลกิริยาในวันนั้นเทียว จึงได้รับสมบัตินี้.
ลำดับนั้น ดาบสเหล่านั้นเกิดปิติปราโมทย์ว่า ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วประสงค์จะไปสู่กรุงสาวัตถี จากนั้นพากันไปสู่กรุงโกสัมพีด้วยคิดว่า เศรษฐีผู้บำรุงมีอุปการะมากแก่พวกเรา พวกเราจักบอกเนื้อความนี้แก่เศรษฐีแม้เหล่านั้น ผู้อันเศรษฐีทั้งหลายกระทำสักการะมากมาย จึงกล่าวว่า พวกเรา
จะไปในเวลานั้นเทียว. ผู้อันเศรษฐีทั้งหลายกล่าวว่า ท่านรีบร้อนอะไรหนอ ในกาลก่อนพวกท่านจะอยู่ตลอดสี่เดือนจึงไป. ได้บอกประวัตินั้น และครั้นเศรษฐีทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะไปพร้อมกัน จึงกล่าวว่า พวกเราจะไป ขอให้พวกท่านคอยตามมา แล้วไปสู่กรุงสาวัตถี บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้บรรลุพระอรหัต.
ฝ่ายเศรษฐีเหล่านั้นมีเกวียนคนละ ๕๐๐ เล่มเป็นบริวารไปสู่กรุงสาวัตถี ได้ทำกิจมีทานเป็นต้น ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อประโยชน์เสด็จมาสู่กรุงโกสัมพี กลับมาสร้างวัดสามแห่ง.
ในเศรษฐีเหล่านั้น กุกกุฏเศรษฐีสร้างวัดชื่อว่ากุกกุฏาราม ปาวาริกเศรษฐีสร้างวัดชื่อปาวาริกัมพวัน ท่านโฆษิตเศรษฐีสร้างวัดชื่อโฆษิตาราม. ท่านหมายถึงโฆษิตารามนั้น จึงกล่าวว่า โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเม ดังนี้.
บทว่า มณฺฑิโย นี้เป็นชื่อของบรรพชิตนั้น.
บทว่า ชาลิโย แม้นี้เป็นชื่อของบรรพชิตอีกรูปหนึ่งเหมือนกัน. ก็เพราะพระอุปัชฌาย์ของชาลิยะนั้น เที่ยวบิณฑบาตด้วยบาตรทำด้วยไม้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ทารุปตฺติกนฺเตวาสี.
บทว่า เอตทโวจุ ความว่า บรรพชิตทั้งสองประสงค์จะทูลบอกวาทะโดยประสงค์จะโต้ตอบ จึงทูลเนื้อความนั่น.
ได้ยินว่า บรรพชิตสองรูปนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ถ้าพระสมณโคดมตรัสว่า ชีวะอันนั้น สรีระอันนั้น.
ลำดับนั้น พวกเราก็จักยกวาทะนั่นของพระสมณโคดมนั้นว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ตามลัทธิของท่าน สัตว์ในโลกนี้เทียว จะดับสูญ ด้วยเหตุนั้น วาทะของพระองค์ท่าน ย่อมเป็นอุจเฉทวาทะ แต่ถ้าตรัสว่า ชีวะอันอื่น สรีระอันอื่น ลำดับนั้น พวกเราจักยกวาทะของพระสมณโคดมนั้นว่า ในวาทะของท่านรูปย่อมดับสูญ สัตว์ย่อมไม่ดับสูญ เพราะเหตุนั้น วาทะของพระองค์ท่าน สัตว์ก็จะเที่ยง ดังนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า บรรพชิตเหล่านี้ย่อมถามปัญหาเพื่อประโยชน์แก่การยกวาทะ แต่บรรพชิตเหล่านี้ไม่อ้างอิงที่สุดสองอย่างในศาสนาของเรา จึงไม่รู้ว่ามัชฌิมาปฏิปทามีอยู่ เอาละ เราจะไม่แก้ปัญหาของบรรพชิตเหล่านั้น จะแสดงธรรมเพื่อความแจ่มแจ้งแห่งปฏิปทาเห็นปานนี้แม้นั้น จึงตรัสว่า เตนหาวุโส ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กลฺลํ นุโข ตสฺเสตํ วจนาย ความว่า บรรพชิตผู้บวชด้วยศรัทธาบำเพ็ญศีล ๓ อย่างบรรลุปฐมฌานนั้น สมควรกล่าวคำนั้นหรือหนอ.
อธิบายว่า คำนั้นควรเพื่อกล่าวด้วยคำพูด.
ปริพาชกทั้งหลายได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว สำคัญอยู่ว่า ธรรมดาปุถุชนย่อมไม่สิ้นความสงสัย เพราะฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนั้นในบางคราว จึงกล่าวว่า กลฺลํ ตสฺเสตํ วจนาย ดังนี้.
บทว่า อถ จ ปนาหํ น วทามิ ความว่า เราตั้งสัญญาว่า ความข้อนั้นเรารู้อย่างนี้ จึงไม่กล่าวอย่างนั้น ถ้าและเมื่อภิกษุกระทำกสิณบริกรรมเจริญอยู่ มหัคคตจิตนั้นก็เกิดขึ้นด้วยกำลังปัญญา.
บทว่า น กลฺลํ ตสฺเสตํ ความว่า ปริพาชกเหล่านั้นสำคัญความข้อนี้กล่าวว่า พระขีณาสพปราศจากความงมงาย ปราศจากความสงสัย เพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น พระขีณาสพนั้นจึงไม่ควรกล่าวความข้อนั้น.
บทที่เหลือในชาลิยสูตรนั้นมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
อรรถกถาชาลิยสูตร ในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินี จบเพียงเท่านี้.
จบอรรถกถาชาลิยสูตรที่ ๗
![]() |
เรื่องย่อ - Ultraman Blazar The Movie: Tokyo Kaiju Showdown (2024) อุลตร้าแมนเบลซาร์ มหันตภัยเดือดถล่มโตเกียว
เรื่องราวเกิดขึ้นที่กรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น อุลตร้าแมนเบลซาร์และเอสเคอาร์ดีปะทะกันในการเผชิญหน้ากับไคจูยักษ์! เมื่อคลื่นไคจูโผล่ออกมาจากเขตอุตสาหกรรม กระตุ้นให้กัปตันเจนโตและหน่วยปฏิบัติการพิเศษไคจู (SKaRD) เข้าร่วมในการต่อสู้ที่
ไม่หยุดหย่อน แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ การโจมตีของไคจูที่ไม่รู้จบก็ยังคงดำเนินต่อไป ด้วยความสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับบริษัทเนโครแมส บริษัทเคมีขั้นสูงที่วิจัยซากไคจูและเป็นเจ้าของโรงงานในเขตอุตสาหกรรม SKaRD จึงรีบไปหาซีอีโอและนักเคมีชื่อดังของบริษัท ดร. มาบูเซะ ที่ศูนย์วิจัยของบริษัทเนโครแมส ดร. มาบูเซะอธิบายถึงการพัฒนาของดามู
ดอกซิน ซึ่งเป็นสารที่เกือบจะบรรลุความเป็นอมตะ ในขณะเดียวกัน เอเลี่ยนดามูโน่ที่อ้างตัวว่าเป็น "ผู้ปกครองจักรวาล" ก็ปรากฏตัวขึ้น ความโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อดามูดอกซินรั่วไหลจากถังที่ถูกทำลาย ส่งผลให้ตัวอย่างซากไคจูถูกกินและก่อให้เกิดกงกิลกันยักษ์ หรือซากปีศาจ
Main results
ความต่อเนื่อง ต่อไป อุลตร้าแมนเบลซาร์ เดอะมูฟวี่ ตอน การประลองไคจูที่โตเกียว
การผลิต/วางจำหน่าย
กองกำลังผู้พิทักษ์โลก (GGF) ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2509 โดยประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อรับมือกับภัยพิบัติไคจูที่เกิดขึ้นทั่วโลก กองกำลังผู้พิทักษ์โลก (GGF) มีหน้าที่จัดการกับการโจมตีของไคจูและสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่มีต่อโลก ปัจจุบัน โลกต้องเผชิญกับการทำลายธรรมชาติอย่างต่อเนื่องและภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในคืนหนึ่ง สัตว์เปลือกแข็งใน
อวกาศชื่อไคจู บาซังก้าปรากฏตัวขึ้น ปฏิบัติการกวาดล้างของ GGF ไม่ประสบผลสำเร็จ และหน่วยรบพิเศษที่นำโดยเก็นโต ฮิรุมะ พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ตอนนั้นเองที่ยักษ์ลึกลับปรากฏตัวขึ้นจากแสงสว่าง มันคือมนุษย์ต่างดาวรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ไม่มีใครรู้จักซึ่งมีข่าวลือในหมู่นักบินอวกาศมานานหลายทศวรรษ โดยมีชื่อรหัสว่า "อุลตร้าแมน"
ต่อมา เก็นโตถูกเรียกตัวไปที่ศูนย์บัญชาการ ซึ่งเขาได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้เป็นผู้บัญชาการของ SKaRD ซึ่งย่อมาจาก Special Kaiju Reaction Detachment ซึ่งเป็นทีมที่จัดตั้งขึ้นอย่างลับๆ โดยเป็นผู้นำหน่วยพิเศษที่ควบคุมปืนใหญ่หุ่นยนต์ขนาดยักษ์ประเภทไคจูที่เรียกว่าเอิร์ธการอน เพื่อตอบโต้ด้วยภัยพิบัติจากไคจู ในขณะที่เก็นโตได้รับคำสั่งให้สืบสวนอุลตร้าแมนจากสมรภูมิบาซันก้า เพื่อพิจารณาว่าเป็นภัยคุกคามที่ต้องกำจัดหรือไม่ เขาก็หวนคิดถึงกาแล็กซีอันไกลโพ้น—เศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับเบลซาร์
“ฉันจะไป”
กัปตันเก็นโตะ ผู้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงของอุลตร้าแมนเบลซาร์ พร้อมด้วยสมาชิกพิเศษของกลุ่ม SKaRD ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ได้เข้าร่วมต่อสู้กับไคจูด้วยความกล้าหาญที่ไม่ย่อท้อและความยุติธรรมที่ไม่สั่นคลอน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น