[๕๐๘] ตอนเช้า
พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังหมู่บ้านสาลวติกาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
โรสิกกัลบกตามเสด็จไปเบื้องพระปฤษฎางค์ กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์มีความคิดเห็นชั่วร้ายเกิดขึ้นว่า
‘สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้จะพึงบรรลุกุศลธรรม เมื่อบรรลุแล้ว
ไม่ควรสอนคนอื่น เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้
เปรียบเหมือนบุคคลผู้ตัดเครื่องจองจำเก่าออกแล้ว
สร้างเครื่องจองจำใหม่ขึ้นมาแทน เราเรียกข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า
เป็นความโลภอันชั่วร้าย เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้’
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาสเถิด
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงปลดเปลื้องโลหิจจพราหมณ์ออกจากความคิดเห็นอันชั่วร้ายนั้นด้วยเถิด
พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “โรสิกะ นั่นเป็นหน้าที่
ของเรา” ทีนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของโลหิจจพราหมณ์แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้
โลหิจจพราหมณ์ประเคนของขบฉันอย่างดีแด่ภิกษุสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานด้วยตนเองจนอิ่มหนำ
ความขวนขวายของโลหิจจพราหมณ์
[๕๐๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จทรงวางพระหัตถ์
โลหิจจพราหมณ์จึงนั่ง ณ ที่สมควรที่ใดที่หนึ่งซึ่งต่ำกว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสถามโลหิจจพราหมณ์ว่า “โลหิจจะ ทราบว่า
ท่านมีความคิดเห็นชั่วร้ายเกิดขึ้นว่า
‘สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้จะพึงบรรลุกุศลธรรม
เมื่อบรรลุแล้วไม่ควรสอนคนอื่น เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้
เปรียบเหมือนบุคคลผู้ตัดเครื่องจองจำเก่าออกแล้ว
สร้างเครื่องจองจำใหม่ขึ้นมาแทน เราเรียกข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า
เป็นความโลภอันชั่วร้าย เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้’ ดังนี้
เป็นความจริงหรือ”
เขาทูลตอบว่า “จริงอย่างนั้น ท่านพระโคดม”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “โลหิจจะ
ท่านเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร ท่านปกครองหมู่บ้านสาลวติกามิใช่หรือ”
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เล่ม : ๙ หน้า : ๒๒๓} พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๒. โลหิจจสูตร] ความขวนขวายของโลหิจจพราหมณ์
เขาทูลตอบว่า “เป็นอย่างนั้น ท่านพระโคดม”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “โลหิจจะ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า
‘โลหิจจพราหมณ์ปกครองหมู่บ้านสาลวติกาก็ควรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดในหมู่บ้านสาลวติกาแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ควรแบ่งให้ผู้อื่น’
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้จะชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้แก่คนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพใช่หรือไม่”
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้
ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “เมื่อทำความเดือดร้อนให้
จะชื่อว่าหวังประโยชน์หรือไม่หวังประโยชน์ต่อคนเหล่านั้น”
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์
ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “ผู้ไม่หวังประโยชน์
จะชื่อว่ามีเมตตาจิตหรือชื่อว่าคิดเป็นศัตรูกับคนเหล่านั้นเล่า”
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าคิดเป็นศัตรู ท่าน
พระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “เมื่อคิดเป็นศัตรู
จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิเล่า”
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่าน
พระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่า
มีคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน”
[๕๑๐] พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “โลหิจจะ
ท่านเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปกครองแคว้นกาสีกับแคว้นโกศลมิใช่หรือ”
เขาทูลตอบว่า “เป็นอย่างนั้น ท่านพระ
โคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “โลหิจจะ ผู้ที่กล่าวว่า
‘พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสีกับแคว้นโกศล
พระองค์ก็ควรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดในแคว้นทั้งสองแต่เพียงลำพัง
ไม่ควรพระราชทานให้แก่ผู้อื่น’
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้จะชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้แก่ท่านและแก่คนอื่นซึ่งอาศัยพระบรมโพธิสมภารของพระองค์เลี้ยงชีพใช่หรือไม่”
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เล่ม : ๙ หน้า : ๒๒๔} พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๒.
โลหิจจสูตร] ความขวนขวายของโลหิจจพราหมณ์
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้
ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “เมื่อทำความเดือดร้อนให้
จะชื่อว่า หวังประโยชน์หรือไม่หวังประโยชน์ต่อคนเหล่านั้น”
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ ท่าน
พระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “ผู้ไม่หวังประโยชน์
จะชื่อว่ามีเมตตาจิตหรือชื่อว่าคิดเป็นศัตรูกับคนเหล่านั้นเล่า”
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าคิดเป็นศัตรู ท่านพระ
โคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “เมื่อคิดเป็นศัตรู
จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิเล่า”
เขาทูลตอบว่า “ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่าน
พระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่า
มีคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน
[๕๑๑] โลหิจจะ ที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า ผู้กล่าวว่า
‘โลหิจจพราหมณ์ปกครองหมู่บ้านสาลวติกาก็ควรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดในหมู่บ้านสาลวติกาแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ควรแบ่งให้ผู้อื่น’
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้แก่คนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพ
เมื่อทำความเดือดร้อนให้ก็ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์
ผู้ไม่หวังประโยชน์ก็ชื่อว่าคิดเป็นศัตรู
เมื่อคิดเป็นศัตรูก็ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ข้ออุปไมยนี้ก็เช่นกัน
ผู้ที่กล่าวว่า ‘สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้จะพึงบรรลุกุศลธรรม
เมื่อบรรลุแล้วไม่ควรสอนคนผู้อื่น
เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้
เปรียบเหมือนบุคคลผู้ตัดเครื่องจองจำเก่าออกแล้ว
สร้างเครื่องจองจำใหม่ขึ้น
มาแทน เราเรียกข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าเป็นความโลภอันชั่วร้าย
เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้’ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ชื่อว่า
ทำความเดือดร้อนให้แก่เหล่ากุลบุตรผู้อาศัยธรรมวินัยที่เราแสดงแล้วบรรลุคุณวิเศษ
คือ ทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง ทำให้แจ้งสกทาคามิผลบ้าง
ทำให้แจ้งอนาคามิผลบ้าง ทำให้แจ้งอรหัตตผลบ้าง
และชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้แก่เหล่ากุลบุตรผู้อบรมคุณธรรมให้แก่กล้าเพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ยิ่งขึ้นไป
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เล่ม : ๙ หน้า : ๒๒๔} พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๒. โลหิจจสูตร] ศาสดาที่สมควรถูกทักท้วง ๓ ประเภท
เมื่อทำความเดือดร้อนให้ก็ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์
ผู้ไม่หวังประโยชน์ก็ชื่อว่าคิดเป็นศัตรู
เมื่อคิดเป็นศัตรูก็ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
เรากล่าวว่า มีคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน
[๕๑๒] โลหิจจะ คนที่กล่าวว่า
‘พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปกครองแคว้นกาสีกับแคว้นโกศล
พระองค์ก็ควรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดในแคว้นทั้งสองแต่เพียงลำพัง
ไม่ควรพระราชทานให้แก่ผู้อื่น’ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ชื่อว่า
ทำความเดือดร้อนให้แก่ท่านและแก่คนอื่นซึ่งอาศัยพระบรมโพธิสมภารของพระองค์เลี้ยงชีพ
เมื่อทำความเดือดร้อนให้ก็ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์
ผู้ไม่หวังประโยชน์ก็ชื่อว่าคิดเป็นศัตรู
เมื่อคิดเป็นศัตรูก็ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ข้ออุปไมยนี้ก็เช่นกัน
ผู้ที่กล่าวว่า ‘สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้จะพึงบรรลุกุศลธรรม
เมื่อบรรลุแล้วไม่ควรสอนคนอื่น
เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้ เปรียบเหมือนบุคคลผู้ตัด
เครื่องจองจำเก่าออกแล้วสร้างเครื่องจองจำใหม่ขึ้นมาแทน
เราเรียกข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า เป็นความโลภอันชั่วร้าย
เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้’
ผู้กล่าวอย่างนี้ชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้แก่เหล่ากุลบุตรผู้อาศัยธรรมวินัยที่เราแสดงแล้วบรรลุคุณวิเศษ
คือ ทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง ทำให้แจ้งสกทาคามิผล
บ้าง ทำให้แจ้งอนาคามิผลบ้าง ทำให้แจ้งอรหัตตผลบ้าง
และชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้แก่เหล่ากุลบุตรผู้อบรมคุณธรรมให้แก่กล้าเพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ยิ่งขึ้นไป
เมื่อทำความเดือดร้อนให้ ก็ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์
ผู้ไม่หวังประโยชน์ก็ชื่อว่าคิดเป็นศัตรู
เมื่อคิดเป็นศัตรูก็ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเรากล่าวว่า มีคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ
นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน
ศาสดาที่สมควรถูกทักท้วง ๓ ประเภท
[๕๑๓] โลหิจจะ ศาสดา ๓ ประเภทต่อไปนี้ สมควรถูกทักท้วง
ทั้งการทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาเห็นปานนั้นก็จัดว่าจริง แท้
เป็นธรรม ไม่มีโทษ ศาสดา ๓ ประเภทเป็นเช่นไร คือ
(๑) โลหิจจะ
ศาสดาบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิตยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะ
ทั้งที่ยังไม่ได้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่ง
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า :
๒๒๔} พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๒. โลหิจจสูตร] ศาสดาที่สมควรถูกทักท้วง ๓ ประเภท
ความเป็นสมณะแต่กลับแสดงธรรมสอนสาวก
ว่า ‘เรื่องนี้มีเพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขแก่พวกท่าน’
สาวกของเขาจึงไม่ตั้งใจฟัง ไม่ตั้งใจเพื่อจะรู้
และหลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสั่งสอน
เขาสมควรถูกทักท้วงว่า
‘ท่านออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิตยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะ
ทั้งที่ยังไม่ได้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะ
แต่กลับแสดงธรรมสอนสาวกว่า
เรื่องนี้มีเพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขแก่พวกท่าน
สาวกของท่านจึงไม่ตั้งใจฟัง ไม่ตั้งใจเพื่อจะรู้
และหลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสั่งสอน
เปรียบเหมือนบุรุษที่ประชิดตัวสตรีผู้กำลังถอยหนี หรือ
เปรียบเหมือนบุรุษสวมกอดสตรีที่หันหลังให้
ข้ออุปไมยนี้ก็เช่นกัน เราเรียกข้อเปรียบ
เทียบอย่างนี้ว่า เป็นความโลภอันชั่วร้าย
เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้’
นี้คือศาสดาประเภทที่ ๑ ซึ่งสมควรถูกทักท้วง
ทั้งการทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาประเภทนี้ก็จัดว่าจริง แท้
เป็นธรรม ไม่มีโทษ
[๕๑๔] (๒) ยังมีอีก โลหิจจะ
ศาสดาบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิตยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะ
ทั้งที่ยังไม่ได้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะแต่กลับแสดงธรรมสอนสาวกว่า
‘เรื่องนี้มีเพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขแก่พวกท่าน’
สาวกของเขาก็ตั้งใจฟัง ตั้งใจเพื่อจะรู้
และไม่หลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสั่งสอน
เขาสมควรถูกทักท้วงว่า
‘ท่านออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิตยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะ
ทั้งที่ยังไม่ได้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะแต่กลับแสดงธรรมสอนสาวกว่า
เรื่องนี้มีเพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขแก่พวกท่าน
สาวกของท่านก็ตั้งใจฟัง
ตั้งใจเพื่อจะรู้ และไม่หลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสั่งสอน
เปรียบเหมือนคนผู้ละเลยนาของตน
เข้าใจนาของผู้อื่นว่าเป็นที่อันตนควรบำรุง
ข้ออุปไมยนี้ก็เช่นเดียวกัน
เราเรียกข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าเป็นความโลภอันชั่วร้าย
เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้’ นี้คือศาสดาประเภท
ที่ ๒ ซึ่งสมควรถูกทักท้วง
ทั้งการทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาประเภทนี้ก็จัดว่าจริงแท้
เป็นธรรม ไม่มีโทษ
[๕๑๕] (๓) ยังมีอีก โลหิจจะ
ศาสดาบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิตได้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะ
ครั้นบรรลุจุดมุ่งหมายแห่ง
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า :
๒๒๔} พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๒.
โลหิจจสูตร] ศาสดาที่ไม่สมควรถูกทักท้วง
ความเป็นสมณะแล้วก็แสดงธรรมสอนสาวกว่า
‘เรื่องนี้มีเพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขแก่พวกท่าน’
แต่สาวกของเขากลับไม่ตั้งใจฟัง ไม่ตั้งใจเพื่อจะรู้
และยังหลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสั่งสอน
เขาสมควรถูกทักท้วงว่า
‘ท่านออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิตได้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะ
ครั้นบรรลุจุด
มุ่งหมายแห่งความเป็นสมณะแล้วก็แสดงธรรมสอนสาวกว่า
เรื่องนี้มีเพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขแก่พวกท่าน
แต่สาวกของท่านกลับไม่ตั้งใจฟัง ไม่ตั้งใจเพื่อจะรู้
และยังหลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสั่งสอน
เปรียบเหมือนบุคคลผู้ตัดเครื่องจองจำเก่าออกแล้ว
สร้างเครื่องจองจำใหม่ขึ้นมาแทน
เราเรียกข้อเปรียบเทียบ
อย่างนี้ว่า เป็นความโลภอันชั่วร้าย
เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้’
นี้คือศาสดาประเภทที่ ๓ ซึ่งสมควรถูกทักท้วง
ทั้งการทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาประเภทนี้ก็จัดว่าจริง
แท้เป็นธรรม ไม่มีโทษ
โลหิจจะ ศาสดา ๓
ประเภทเหล่านี้แล สมควรถูกทักท้วง
ทั้งการทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้ก็จัดว่าจริง
แท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ”
ศาสดาที่ไม่สมควรถูกทักท้วง
[๕๑๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้
โลหิจจพราหมณ์ทูลถามว่า “ท่านพระโคดม
ศาสดาซึ่งไม่สมควรถูกทักท้วงมีบ้างไหม”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “โลหิจจะ
ศาสดาซึ่งไม่สมควรถูกทักท้วงมีอยู่”
เขาทูลถามว่า “ศาสดาประเภทนี้เป็นเช่นไร
ท่านพระโคดม”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “โลหิจจะ
ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ ฯลฯ
๑-
(พึงนำข้อความเต็มในสามัญญผลสูตรมาใส่ไว้ในที่นี้)
ภิกษุชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอย่างนี้แล ฯลฯ
บรรลุปฐมฌานอยู่ โลหิจจะ
ศาสดาที่สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเห็นปานนี้ไม่สมควรถูกทักท้วง
การทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้ก็จัดว่าไม่จริง
ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม
@เชิงอรรถ : @๑ ความเต็มเหมือนในสามัญญผลสูตร ข้อ ๑๙๔-๒๑๒ และควรดูเทียบจนถึงข้อ ๒๔๘
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า :
๒๒๘} พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย
สีลขันธวรรค [๑๒. โลหิจจสูตร]
โลหิจจพราหมณ์ประกาศตนเป็นอุบาสก
มีโทษ ฯลฯ
บรรลุทุติยฌานอยู่ บรรลุตติยฌานอยู่
บรรลุจตุตถฌานอยู่
โลหิจจะศาสดาที่สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเห็นปานนี้ไม่สมควรถูกทักท้วง
การทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้ก็จัดว่าไม่จริง
ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม
มีโทษ ฯลฯ
น้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ โลหิจจะ
ศาสดาที่สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเห็นปานนี้ไม่สมควรถูกทักท้วง
การทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้ก็จัดว่าไม่จริง
ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม
มีโทษ ฯลฯ รู้ชัดว่า ...
ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป
โลหิจจะ
ศาสดาที่สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเห็นปานนี้ไม่สมควรถูกทักท้วง
การทักท้วงของผู้ทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้ก็จัดว่าไม่จริง
ไม่แท้ไม่เป็นธรรม มีโทษ”
โลหิจจพราหมณ์ประกาศตนเป็นอุบาสก
[๕๑๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้
โลหิจจพราหมณ์ได้กราบทูลว่า“ข้าแต่ท่านพระโคดม
ข้า
พระองค์กำลังจะตกเหวคือนรก แต่ท่านพระโคดมช่วยฉุดให้กลับขึ้นมายืนอยู่บนที่มั่น เปรียบเหมือนคนผู้หนึ่ง
คว้าผมของอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังจะตกเหวแล้วฉุดให้กลับขึ้นมายืนอยู่บนที่มั่น ข้าแต่ท่านพระโคดม
ภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม
ทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดย
ประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิด ของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลง
ทาง หรือตามประทีปในที่มืด โดยตั้งใจว่า คนมีตาดีจักเห็นรูปได้
ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระ
องค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต”
โลหิจจสูตรที่ ๑๒ จบ
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๒๙}
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น