Translate

04 เมษายน 2568

บทสวดมนต์ปัจจยวิภังค์ ดูหนังฝรั่ง - A Working Man (2025) นรกหยุดนรก

บทสวดมนต์ปัจจยวิภังค์ หรือ ปัจจยวิภังควาโร
(กดฟังได้ตรงนี้ หรือดูบทสวดกด อ่านเพิ่มเติม)
 

พระอภิธรรมปิฎก เล่ม ๗ เล่มที่ ๔๐

ปัจจยวิภังควาร  วาระว่าด้วยการแจก คือการอธิบายปัจัยทีละข้อ

(หันทะ มะยัง ปัจจะยะวิภังคะวาระปาฐัง ภะณามะ เส)
๑. เหตุปัจจะโยติ เหตุ เหตุ สัมปะยุตตะกานัง ธัมมานัง ตัง สะมุฏฐานานัญจะ รูปานัง เหตุ ปัจจะเยนะ ปัจจะโยติ ฯ
๒. อารัมมะณะปัจจะโยติ รูปายะตะนัง จักขุวิญญาณะธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ ปัจจะโย, สัททายะตะนัง โสตาวิญญาณะธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
คันธายะตะนัง ฆานะวิญญาณะธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ ปัจจะโย, ระสายะตะนัง ชิวหาวิญญาณะธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ ปัจจะโย, โผฏฐัพพายะตะนัง
กายะวิญญาณะธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ ปัจจะโย, รูปายะตะนัง สัททายะตะนัง คันธายะตะนัง ระสายะตะนัง โผฏฐัพพายะตะนัง มะโนธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ
ปัจจะโย, สัพเพ ธัมมา มะโนวิญญาณะธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ ปัจจะโย, ยัง ยัง ธัมมา อารัพภะ เย เย ธัมมา อุปปัชชันติ จิตตะเจตะสิกา ธัมมา เต เต ธัมมา เตสัง เตสัง ธัมมานัง อารัมมะณะปัจจะเยนะ ปัจจะโยติ ฯ
๓. อะธิปะติปัจจะโยติ ฉันทาธิปะติ ฉันทาสัมปะยุตตะกานัง ธัมมานัง ตัง สมุฏฐานานัญจะ รูปานัง อะธิปะติปัจจะเยนะ ปัจจะโย, วิริยาธิปะติ วิริยาสัมปะยุตตะกานัง ธัมมานัง ตัง สะมุฏฐานานัญจะ รูปานัง อะธิปะติปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
จิตตาธิปะติ จิตตาสัมปะยุตตะกานัง ธัมมานัง ตัง สะมุฏฐานานัญจะ รูปานัง อะธิปะติปัจจะเยนะ ปัจจะโย, วิมังสาธิปะติ วิมังสาสัมปะยุตตะกานัง ธัมมานัง ตัง สะมุฏฐานานัญจะ รูปานัง อะธิปะติปัจจะเยนะ ปัจจะโย, ยัง ยัง ธัมมัง คะรุง กัต๎วา เย เย ธัมมา อุปปัชชันติ จิตตะเจตะสิกา ธัมมา เต เต ธัมมา เตสัง เตสัง ธัมมานัง อะธิปะติปัจจะ เยนะ ปัจจะโย ฯ
๔. อะนันตะระปัจจะโยติ จักขุวิญญาณะธาตุ ตัง สัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย, มะโนธาตุ ตัง สัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนวิญญาณะธาตุยา ตัง สัมปะยุต
ตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย, โสตะวิญญาณะธาตุ ตัง สัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนธาตุยา ตัง สัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย, มะโนธาตุ ตังสัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนวิญญาณะธาตุยา ตังสัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๕. ฆานะวิญญาณะธาตุ ตังสัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนธาตุยา ตังสัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๖. มะโนธาตุ ตังสัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนวิญญาณะธาตุยา ตังสัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๗. ชิว๎หาวิญญาณะธาตุตัง สัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนธาตุยา ตังสัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๘. มะโนธาตุ ตังสัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนวิญญาณะธาตุยา ตังสัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๙. กายะวิญญาณะธาตุ ตังสัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนธาตุยา ตังสัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๑๐. มะโนธาตุ ตังสัมปะยุตตะกา จะ ธัมมา มะโนวิญญาณะธาตุยา ตังสัมปะยุตตะกานัญจะ ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๑๑. ปุริมา ปุริมา กุสะลา ธัมมา ปัจฉิมานัง ปัจฉิมานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๑๒. ปุริมา ปุริมา กุสะลา ธัมมา ปัจฉิมานัง ปัจฉิมานัง อัพ๎ยากะตานัง ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๑๓. ปุริมา ปุริมา อะกุสะลา ธัมมา ปัจฉิมานัง ปัจฉิมานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๑๔. ปุริมา ปุริมา อะกุสะลา ธัมมา ปัจฉิมานัง ปัจฉิมานัง อัพ๎ยากะตานัง ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะปัจจะโย,
๑๕. ปุริมา ปุริมา อัพ๎ยากะตาธัมมาปัจฉิมานัง ปัจฉิมานัง อัพ๎ยากะตานัง ธัมมานังอะนันตะระปัจจะเยนะปัจจะโย,
๑๖. ปุริมา ปุริมา อัพ๎ยากะตา ธัมมา ปัจฉิมานัง ปัจฉิมานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย,
๑๗. ปุริมา ปุริมา อัพ๎ยากะตา ธัมมา ปัจฉิมานัง ปัจฉิมานัง อะกุสะลานังธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะปัจจะโย,
๑๘. เยสัง เยสัง ธัมมานัง อะนันตะรา เย เย ธัมมา อุปปัชชันติ จิตตะเจตะสิกา ธัมมา, เต เต ธัมมา เตสัง เตสัง ธัมมานัง อะนันตะระปัจจะเยนะ ปัจจะโย(ติ)

๑.เหตุปัจจัย คือเหตุที่เป็นปัจจัยแห่งธรรมที่ประกอบกับเหตุ และแห่งรูปที่มีธรรมอันประกอบกับเหตุนั้นเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะ เป็นฐานะเป็นเหตุปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นเหตุ ( เหตุเทียบด้วยรากไม้ต้นไม้จะมีผลเจริญงอกงามก็เพราะได้อาศัยรากดูดน้ำและโอชะอื่น ๆ มาหล่อเลี้ยง ). ๒.อารัมมณปัจจัยอายตนะหรืออารมณ์ คือ รูป , เสียง , กลิ่น , รส , โผฏฐัพพะ ( สิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย ) , ธัมมะ ( สิ่งที่รู้ด้วยใจ ) เป็นปัจจัยแห่งวิญญาณธาตุ คือความรู้แจ้งอารมณ์ทาง ตา หู เป็นต้น และแห่งธรรมที่ประกอบกับวิญญาณธาตุนั้น ๆ โดยฐานะเป็นอารัมณปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นอารมณ์ ( อารมณ์คือสิ่งที่จิตเจตสิกยึดถือเหมือนยึดเกาะท่อนไม้ ).
๓.อธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นใหญ่ คือ ฉันทะ ( ความพอใจ ) วิริยะ ( ความเพียร ) จิตตะ ( ความเอาใจฝักใฝ่ ) วิมังสา ( ความพิจารณาสอบสวน ) เป็นปัจจัยแห่งธรรมที่ประกอบกับฉันทะ เป็นต้นแต่ละข้อ และแห่งรูปที่มีธรรมที่ประกอบกับฉันทะ เป็นต้น เป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นอธิปติปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นใหญ่. อนันตรปัจจัย ๔. อนันตรปัจจัย จักขุวิญญาณธาตุ และธรรมที่ประกอบกับจักขุวิญญาณธาตุนั้น เป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุ และแห่งธรรมที่ประกอบกับมโนวิญญาณธาตุนั้น โดยฐานะเป็นอนันตรปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น. โดยนัยนี้ โสตวิญญาณธาตุ จนถึง มโนวิญญาณธาตุ และธรรมที่ประกอบกับโสตวิญญาณธาตุ เป็นต้น เป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุ และแห่งธรรมที่ประกอบกับมโนธาตุนั้น โดยฐานะเป็นปัจจัย คือเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั้น. ธรรมที่เป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นปัจจัย คือเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น . ธรรมที่เป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นอัพาหฤตหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอนันตรปัจจัย คือ เป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น. ธรรมที่เป็นอกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นอกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอันตรปัจจัย คืเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น. ธรรมที่เป็นอกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นอัพยากฤตหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอนันตรปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น. ธรรมที่เป็นอัพยากฤตก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นอัพยากฤตหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอนันตรปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น. ธรรมที่เป็นอัพยากฤตก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอนันตรปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น. ธรรมที่เป็นอัพยากฤตก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นอกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอนันตรปัจจัยคือเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มีระหว่างคั่น. ๕. สมนันตรปัจจัย มีอธิบายอย่างเดียวกับข้อ ๔ คืออนันตรปัจจัย ต่างแต่สิ่งที่เป็นปัจจัยในข้อนี้เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นสมนันตรปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนอย่างกระชั้นชิด. ( มติของอาจารย์ในชั้นหลังมีอยู่ต่าง ๆ กัน บางท่านว่า อนันตรปัจจัย ( ปัจจัยโดยความเป็นของไม่มีอะไรคั้นในระหว่าง ) กับ สมนันตรปัจจัย ( ปัจจัยโดยความเป็ของกระชั้นชิด ) ต่างมีพยัญชนะ แต่เนื้อความเป็นอันเดียวกัน . บางอาจารย์กล่าวว่าต่างกัน คือ อนันตรปัจจัย เป็นของไม่มีอรรถะ คือเนื้อความอย่างอื่นคั่น . ส่วน สมนันตรปัจจัย เป็นของไม่กาละคั่น ๖. สหชาตปัจจัย ธรรม ๔ อย่างที่ไม่มีรูป ( คือรูป เวทนา , สังขาร , และ วิญญาณ ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน . มหาภูตรูป ๔ ( ดิน , น้ำ , ไฟ , ลม ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน . ในขณะที่ก้าวลง ( สู่ครรภ์มารดา คือขณะปฏิสนธิ ) นามและรูปเป็นปัจจัยของกันแลกัน โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน. ธรรมที่เป็น จิต และ เจสิก เป็นปัจจัยแห่งรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน. มหาภูตรูป ( รูปใหญ่คือ ดิน , น้ำ , ไฟ , ลม ) เป็นปัจจัยแห่ง อุปาทารูป ( รูปอาศัย คือรูปที่ปรากฏเพราะอาศัยมหาภูตรูป เช่น ความเป็นหญิง ความเป็นชาย ) โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน. ธรรมที่มีรูปเป็นปัจจัยของธรรมที่ไม่มีรูปในกาลบางครั้ง โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือมิใช่เป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน. แต่ในกาลบางครั้งก็เป็นปัจจัย มิใช่โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือมิใช่เป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน. ๗. อัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๔ ที่ไม่มีรูป ( ได้แก่ เวทนา , สัญญา , สังขาร , และ วิญญาณ ) เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอัญญมัญญปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่อิงอาศัยกันและกัน . มหาภูตรูป ๔ ( ดิน , น้ำ , ไฟ , ลม ) เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอัญญมัญญปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่อิงอาศัยกันและกัน ในขณะก้าวลง ( ขณะปฏิสนธิ ) นามและรูปเป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอัญญมัญญปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่อิงอาศัยกันและกัน . ๘. นิสสยปัจจัย ขันธ์ ๔ ที่ไม่มีรูป ( ได้แก่ เวทนา , สัญญา , สังขาร , และ วิญญาณ ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนเป็นที่อาศัย . มหาภูตรูป ๔ ( ดิน , น้ำ , ไฟ , ลม ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัย. ในขณะที่ก้าวลง ( ขณะปฏิสนธิ ) นามและรูปเป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัย . ธรรมคือจิตและเจตสิกเป็นปัจจัยของรูปที่มีจิตเป็น สมุฏฐาน โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัย อายตนะ คือ ตา , หู , ลิ้น , กาย เป็นปัจจัยแห่ง ธาตุ คือ ความรู้แจ้ง ( วิญญาณธาตุ ) ทางตา , หู , ลิ้น , กาย และธรรมที่ประกอบวิญญาณธาตุชนิดนั้น ๆ. มโนธาตุ ( ธาตุคือใจ ) มโนสิญญาณธาตุ ( ธาตุคือความรู้แจ้งทางใจ ) อาศัยรูปใดเป็นไป รูปนั้นเป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุและแห่งธรรมที่ประกอบกับมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุนั้น โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัย. ๙. อุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัยโดยสืบต่อกันมา. ต่อจากนี้มีข้อความคล้ายกับข้อ ๔ ต่างแต่เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย . แม้บุคคลก็เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัยสืบต่อกันมา . แม้เสนาสนะก็เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัยสืบต่อกันมา . คำว่า นิสสยปัจจัย กับ อุปนิสสยปัจจัย มีคำใกล้กัน นิสสย แปลว่า เป็นที่อาศัย อุปนิสสยะ แปลว่า ใกล้จะเป็นที่อาศัย แต่แปลหักตามเนื้อหาว่า เป็นที่อาศัยสืบต่อกันมา คืออาศัยพอเป็นเค้า เป็นเชื้อ มีความหนักแน่นน้อยกว่า นิสสยะ ). ๑๐. ปเรชาตปัจจัย อานตนะคือ ตา , หู , ลิ้น , กาย เป็นปัจจัยแห่งวิญญาณธาตุทางตา , หู , ลิ้น , กาย ตามประภทของตน และแห่งธรรมที่ประกอบด้วยวิญญาณธาตุนั้น ๆ โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดก่อน . อายตนะคือ รูป , เสียง , กลิ่น , รส , โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยแห่งวิญญาณธาตุนั้น โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดก่อน. อายตนะคือ รูป , เสียง , กลิ่น , รส , โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุ และธรรมะที่ประกอบด้วยมโนธาตุ โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัยคือเครื่องสนับสนุนเกิดก่อน. มโนธรรมและมโนซิญญาณธาตุอาศัย รูปใดเป็นไป รูปนั้นเป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุและแห่งธรรมที่ประกอบด้วยมโนธาตุ โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดก่อน. รูปนั้นเป็นปัจจัยแห่งมโนวิญญาณธาตุในกาลบางครั้ง โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดก่อนในกาลบางครั้งก็เป็นปัจจัย โดยมิใช่ฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือมิใช่เป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดก่อน. ๑๑.ปัจฉาชาตปัจจัยธรรมที่เป็นจิตและเจตสิก ย่อมเป็นปัจจัยแห่งกายนี้ซึ่งเกิดก่อน โดยฐานะเป็นปัจฉาชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดภายหลัง. ๑๒. อาเสวนปัจจัยธรรมที่เป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอาเสวนปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนโดยการส้องเสพ. ธรรมที่เป็นอกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นอกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอาเสวนปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนโดยการส้องเสพ . ธรรมที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายกิริยาก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นอัพยากฤตฝ่ายกิริยาหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอาเสวนปัจจัย เป็นเครืองสนับสนุนโดยการส้องเสพ. ( ธรรมประเภทเดียวกันเมื่อส้องเสพหรือประพฤติบ่อย ๆ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดธรรมประเภทเดียวกันนั้นต่อไปอีก ). ๑๓. กัมมปัจจัย กรรมที่เป็นกุศลและอกุศลย่อมเป็นปัจจัยแห่งขันธ์ที่เป็นวิบาก และแห่ง กฏัตตารูป ( รูปที่เกิดเพราะทำกรรมไว้ เรียกว่า กัมมชรูป ก็ได้ ) โดยฐานะเป็นกัมมปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นกรรมคือการกระทำ. กรรมที่เป็นกุศลและอกุศลนั้น ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่ประกอบด้วยเจตนา และแห่งรูปที่มีธรรมอันประกอบด้วยเจตนานั้นเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นกัมมปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นกรรมคือการกระทำ. ๑๔. วิปากปัจจัย ขันธ์ ๔ ที่ไม่มีรูปซึ่งเป็นผลของกรรมย่อมเป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นวิปากปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นผลของกรรม. ๑๕. อาหารปัจจัยอาหารเป็นคำ ๆ ( อาหารที่กลืนกิน ) เป็นปัจจัยของกายนี้ โดยฐานะเป็นอาหารปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นอาหาร อาหารที่ไม่มีรูป เป็นปัจจัยแห่งธรรมที่ประกอบกัน ( สัมปยุตตธรรม ) . และแห่งรูปที่มีสัมปยุตตธรรมนั้นเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นอาหารปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นอาหาร. ๑๖. อินทริยปัจจัยอินทรีย์คือ ตา , หู , ลิ้น , กาย เป็นปัจจัยแห่ง วิญญาณธาตุ ทางตา , หู , จมูก , ลิ้น , กาย และธรรมที่สัมปยุตด้วยวิญญาณธาตุชนิดนั้น ๆ โดยฐานะเป็นอินทรีย์ปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นอินทรีย์ ( คือธรรมที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ). อินทรีย์คือรูปชีวิต เป็นปัจจัยแห่ง กฏัตตารูป รูปซึ่งเกิดแต่กรรม ) โดยฐานะเป็นอินทรีย์ปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นอินทรีย์. อินทรีย์ที่ไม่มีรูป เป็นปัจจัยแห่งสัมปยุตตธรรม และรูปที่มีสัมปยุตตธรรมนั้นเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นอินทริยปัจจัยคือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นอินทีรย์. ๑๗. ฌาณปัจจัย องค์แห่งฌานย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่สัมปยุต ( ประกอบ ) ด้วยฌาน และรูปที่มีธรรมที่สัมปยุตด้วยฌานนั้นเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นฌานปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นฌาน. ๑๘. มัคคปัจจัย องค์แห่งมรรคย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่สัมปยุตด้วยมรรค และแห่งรูปที่มีธรรมอันสัมปยุตด้วยมรรคนั้นเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นมัคคปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นมรรค. ๑๙. สัมปยุตตปัจจัยขันธ์ ๔ ที่ไม่มีรูป ( ได้แก่ เวทนา , สัญญา , สังขาร, และ วิญญาณ ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นสัมปยุตตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นของประกอบกัน ( คือเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ). ๒๐. วิปปยุตตปัจจัยธรรมที่เป็นรูปย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่ไม่มีรูป. ธรรมที่ไม่มีรูปย่อมย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่มีรูป โดยฐานะเป็นวิปปยุตตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่ประกอบกัน ( ไม่เกิดพร้อมกันไม่ดับพร้อมกัน ). ๒๑. อัตถิปัจจัย ขันธ์ ๔ ที่ไม่มีรูป เป็นปัจจัยของกันและกัน. มหาภูตรูป ๔ ( ดิน , น้ำ , ไฟ , ลม ) เป็นปัจจัยของกันและกัน , ธรรมที่เป็น จิต และ เจตสิก เป็นปัจจัยแห่งรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน , อายตนะคือตา , หู , จมูก , ลิ้น , กาย เป็นปัจจัยแห่ง จักขุวิญญาณธาตุ เป็นต้น และแห่งธรรมที่สัมปยุตด้วย จักขุวิญญาณธาตุ เป็นต้นนั้น ๆ , อายตนะคือรูป , เสียง , กลิ่น , รส , โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยแห่ง จักขุวิญญาณธาตุ เป็นต้น และแห่งธรรมที่สัมปยุตด้วย จักขุวิญญาณธาตุ นั้น ๆ, โดยความเป็นอัตถิปัจจัยคือความเป็นเครื่องสนับสนุนที่มีอยู่. มโนธาตุ , และ มโนวิญญาณ ธาตุ อาศัยรูปใดเป็นไป รูปนั้นย่อมเป็นปัจจัยแห่ง มโนธาตุ แห่ง มโนวิญญาณธาตุ และแห่งธรรมที่สัมปยุตด้วย มโนธาตุ , และ มโนวิญญาณธาตุ นั้น โดยฐานะเป็น อัตถิปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่มีอยู่. ๒๒. นัตถิปัจจัย ธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกที่ดับไปในขณะกระชั้นชิด ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า โดยฐานะเป็น นัตถิปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่ไม่มี ๒๓. วิตตปัจจัย ธรรมที่เป็น จิต และ เจตสิก ที่ไปปราศ คือพ้นไป หมดไปในขณะกระชั้นชิด ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า โดยฐานะเป็น วิตตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นไปปราศ คือพ้นไป หมดไป ๒๔. อวิตตปัจจัย มีคำอธิบายเหมือน อัตตถิปัจจัย. (หมายเหตุ? ปัจจัยข้อที่ ๒ – ๓- ๔- ๕ มีข้อความตอนท้ายพ้องกันมิได้กล่าวไว้ ขอถือโอกาสนำมากล่าวรวมไว้ ในหมายเหตุนี้ คือกล่าวถึงธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น เพราะปรารภธรรมใด ๆ หรือเกี่ยวเนื่องกับธรรมใด ๆ ธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกนั้น ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมนั้น ๆ โดยฐานะเป็นอารัมมณปัจจัยบ้าง , อธิปติปัจจัยบ้าง , อนันตรปัจจัยบ้าง , สมนะนตรปัจจัยบ้าง ). เล่มที่ ๔๐ ชื่อยมก ภาคที่ ๑ เป็นอภิธัมมปิฎก

03 เมษายน 2568

Joy of Life 2 (2024) หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร 2 The Emperor's New Groove: เมื่อนักวิทยาศาสตร์บ้าปกครองจีน (และพยายามออกแบบความเป็นจริงใหม่)

อ่าน 3 นาที-
   Emperor of the Han dynastyReign 28 February 202  – 1 June 195 BCSuccessorEmperor HuiKing of HanReignc. March 206  – 28 February 202 BC
Born256 BC Feng, Pei, state of Chu Died1 June 195 BC (aged 61) Chang'an, Han dynastyBurialConsorts Empress Lü Empress Gao Consort Qi Issue Names Family name: Liu () Given name: Bang ()Courtesy name: Ji ()
Posthumous name Emperor Gao (高皇帝Temple name Taizu (太祖)HouseLiuDynastyHanFatherLiu TuanMotherWang Hanshi Emperor Gaozu of HanTraditional Chinese漢高祖Simplified Chinese汉高祖劉邦show
TranscriptionsTraditional ChineseSimplified Chinese刘邦
ประวัติศาสตร์สนุกๆ
ประวัติศาสตร์สนุกติดตาม  ภาพประวัติศาสตร์ของหวางหมั่ง จักรพรรดิจีนในศตวรรษที่ 1 (สร้างด้วย DALL·E)
       การปฏิรูประบบค่าเงิน มีการออกเหรียญตรากว่า 28 แบบ ซึ่งทำให้ตลาดล่ม ผู้คนหันมาใช้ “ข้าว” ในการแลกเปลี่ยนสินค้า สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น นั่นคือภัยธรรมชาติต่างๆ ทั้งน้ำท่วม ความอดอยาก ตั๊กแตนทำลายพืชผล
หากแต่แทนที่จักรพรรดิซินเกาจู่จะออกมาขอโทษประชาชน พระองค์กลับโทษว่านี่เป็นผลจาก “พลังจักรวาลที่ไม่มีความภักดี” ชาวนาชาวไร่ ซึ่งในเวลานั้นต่างอดอยากและโกรธเกรี้ยว ได้ลุกฮือขึ้นก่อจลาจล เกิดการกบฏ กลุ่มกบฏได้บุกเมืองหลวง ปลงพระชนม์จักรพรรดิซินเกาจู่
จากนั้น พระวรกายของอดีตองค์จักรพรรดิก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ พระเศียรถูกนำไปเสียบประจานบนกำแพงเมือง ก่อนที่ภายหลัง ประชาชนที่ยังโมโหไม่หายจะเอาพระเศียรลงมา เอาไปเตะเล่น ของจักรพรรดิซินเกาจู่ทำให้ราชวงศ์ฮั่นกลับมาได้อีกครั้ง และปกครองแผ่นดินต่อไปอีก 200 ปี
ไมค์ แดช
จักรพรรดิหวางหมั่ง: สังคมนิยมคนแรกของจีน?
7 ตุลาคม ค.ศ. 23 กองทัพของจักรพรรดิจีนซึ่งมีกำลังพล 420,000 นาย ได้รับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ นายพลเสือเก้านาย ซึ่งถูกส่งไปนำกองทหารชั้นยอด 10,000 นาย ถูกกวาดล้างในขณะที่กองกำลังกบฏกำลังรุกคืบเข้ามา กองกำลังที่เหลืออยู่เพียงกลุ่มเดียวซึ่งได้แก่ นักโทษที่ได้รับการปล่อย ตัวจากคุกในท้องถิ่น ได้หลบหนีไป เมื่อสามวันก่อน กบฏได้ฝ่าแนวป้องกันของเมืองหลวงใหญ่ของจีนอย่างเมืองฉางอาน ได้สำเร็จ และตอนนี้ หลังจากการสู้รบอันนองเลือด พวกเขากำลังปีนกำแพงของที่พำนักส่วนตัวของจักรพรรดิ ภายในวังอันไร้ขอบเขต ของพระองค์ จักรพรรดิหวางมังรอคอยความตาย เป็นเวลา 20 ปี นับตั้งแต่ที่พระองค์เริ่มไตร่ตรองถึงการโค่นล้มเศษซากที่เสื่อมทรามของราชวงศ์ฮั่น จักรพรรดิหวางผู้แย่งชิงอำนาจได้บังคับตัวเองให้ทำงานตามตารางงานที่ไร้มนุษยธรรม โดยทำงานตลอดคืนและนอนที่โต๊ะ ทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศจีน แต่เมื่อการกบฏต่อต้านพระองค์ทวีความรุนแรงขึ้น พระองค์ก็ดูเหมือนจะยอมแพ้ พระองค์ถอยกลับไปที่วังและเรียกนักมายากลมาช่วยเขาใช้เวลาทดสอบคาถา พระองค์เริ่มมอบตำแหน่งที่แปลกประหลาดและลึกลับแก่ผู้บัญชาการกองทัพของพระองค์ “พันเอกถือขวานใหญ่โค่นไม้เหี่ยวเฉา” เป็นหนึ่งในนั้น ความเกินพอดีดังกล่าวดูไม่เข้ากับบุคลิกของหวาง นักวิชาการ ขงจื๊อและนักพรตที่มีชื่อเสียง นักสะสมเหรียญกษาปณ์อย่างร็อบ ไท ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการครองราชย์ของจักรพรรดิ เชื่อว่าเขาต้องสิ้นหวัง “พูดตรงๆ การประเมินของฉันเองก็คือ เขาเสพยาตลอดเวลาส่วนใหญ่” ไทเขียน “เมื่อรู้ว่าทุกอย่างสูญเปล่า เขาจึงเลือกที่จะหนีจากความเป็นจริงและแสวงหาความสุขในช่วงสัปดาห์สุดท้าย”
เมื่อพวกกบฏบุกเข้าไปในพระราชวังของเขา หวังก็อยู่ในฮาเร็มของจักรพรรดิ โดยมีสตรีผู้กลมเกลียวสามคน ภรรยาของทางการเก้าคน “หญิงงาม” 27 คน และบริวารอีก 81 คนรายล้อมอยู่ เขาย้อมผมสีขาวเพื่อให้ดูสงบและดูอ่อนเยาว์ เจ้าหน้าที่ที่สิ้นหวังเกลี้ยกล่อมให้เขาถอยทัพไปที่หอคอยสูงที่ล้อมรอบด้วยน้ำ
ในใจกลางเมืองหลวง ที่นั่น ผู้ภักดีนับพันคนยืนหยัดเป็นครั้งสุดท้ายต่อหน้ากองทัพของชาวฮั่นที่ฟื้นคืนชีพ โดยถอยทัพขึ้นบันไดที่คดเคี้ยวทีละขั้นจนกระทั่งจักรพรรดิถูกล้อมจนมุมที่ชั้นบนสุด หวังถูกสังหารในช่วงบ่ายแก่ๆ หัวของเขาถูกตัดขาด ร่างกายของเขาถูกฉีกเป็นชิ้นๆ โดยทหารที่ต้องการของที่ระลึก
ลิ้นของเขาถูกตัดออกและถูกศัตรูกิน เขาเคยสงสัยหรือไม่ว่าเมื่อเสียชีวิตแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ความพยายามปฏิรูปของเขาได้จุดไฟเผาทั้งประเทศได้อย่างไร และเขารู้สึกแปลกใจหรือไม่ที่ชาวนาที่เขาพยายามช่วยเหลือด้วยโครงการที่ดูเหมือนจะสุดโต่งจนนักวิชาการบางคนบรรยายว่าเป็นโครงการสังคมนิยมหรือแม้กระทั่ง “คอมมิวนิสต์” กลับเป็นกลุ่มแรกที่หันหลังให้เขา?
หวังหมั่งอาจเป็นจักรพรรดิที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดในบรรดาจักรพรรดิจีนกว่าร้อยพระองค์ พระองค์ประสูติในตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเมื่อประมาณ 45 ปีก่อนคริสตกาล โดยได้รับการยกย่องให้เป็นนักวิชาการก่อน จากนั้นเป็นนักพรต และในที่สุดก็เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้
กับจักรพรรดิหนุ่มที่อายุสั้นหลายพระองค์ ในที่สุดในปี ค.ศ. 9 เมื่อจักรพรรดิหนุ่มคนสุดท้ายสิ้นพระชนม์ (หลายคนเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรม) หวังจึงยึดบัลลังก์เป็นของตนเอง การแย่งชิงอำนาจของพระองค์ถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ฮั่นในอดีต ซึ่งครองราชย์มาตั้งแต่ 206 ปีก่อนคริสตกาลไม่นานหลังจากการสิ้นพระชนม์
ของจักรพรรดิองค์แรก ที่มีชื่อเสียงของจีน ผู้สร้างกำแพงเมืองจีนและกองทัพทหารดินเผาที่มีชื่อเสียง หวังประกาศให้ราชวงศ์ซินหรือ “ราชวงศ์ใหม่” เป็นของราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเขาถูกกำหนดให้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิเพียงลำพังต่อไป
      ความพยายามใดๆ ที่จะประเมินการครองราชย์ของหวางนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ผู้แย่งชิงอำนาจมักไม่ค่อยได้รับการเสนอข่าวที่ดี แต่จีนก็ปฏิบัติต่อผู้ปกครองกบฏในลักษณะที่แตกต่างออกไปเสมอ ในสมัยจักรพรรดิ เชื่อกันว่าจักรพรรดิทุกพระองค์ปกครองโดยอาศัย "อาณัติของสวรรค์" และด้วยเหตุนี้
      พระองค์เองจึงเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ซึ่งแทบจะเป็นเทพเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การสูญเสียอาณัตินี้เป็นไปได้อย่างแน่นอน ลางบอกเหตุเช่นดาวหางและภัยธรรมชาติอาจตีความได้ว่าเป็นการเตือนของสวรรค์ให้ผู้ปกครองแก้ไขแนวทางของตน
      จักรพรรดิองค์ใดก็ตามที่สูญเสียบัลลังก์ในเวลาต่อมาจากการลุกฮือก็ถือว่าสูญเสียการรับรองจากสวรรค์ไปแล้ว เมื่อถึงจุดนั้น พระองค์ก็กลายเป็นบุตรนอกสมรส และผู้สืบทอดตำแหน่งของพระองค์ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดที่ต่ำต้อยเพียงใดก็ตาม ก็รับตำแหน่งโอรสแห่งสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ หวังหมั่งได้ผ่านการประเมินใหม่ที่น่าตกใจ กระบวนการนี้สามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี 1928 และการตีพิมพ์ผลการศึกษาวิจัยของหูซื่อนักวิชาการที่มีชื่อเสียงซึ่งขณะนั้นเป็นเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกา ในมุมมองของหู ราชวงศ์ฮั่นสมควรได้รับการประณามมากที่สุด
เนื่องจากได้ผลิต “ลูกหลานที่เสื่อมทรามมาช้านาน” ในทางกลับกัน หวังหมั่งใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย คิดอย่างลึกซึ้ง และเป็น “คนแรกที่ได้รับชัยชนะในจักรวรรดิโดยไม่ต้องปฏิวัติด้วยอาวุธ” ยิ่งไปกว่านั้น หวังยังยึดครองดินแดนของจักรวรรดิ แจกจ่ายให้ราษฎรอย่างเท่าเทียมกัน ลดภาษีที่ดินจาก 50 เปอร์เซ็นต์เหลือ
      10 เปอร์เซ็นต์ และโดยรวมแล้วเป็น “คอมมิวนิสต์อย่างตรงไปตรงมา” ซึ่งเป็นคำพูดที่หูตั้งใจจะชมเชย
      การพรรณนาถึงหวางมั่งของหูซื่อเป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดตั้งแต่เขาเขียนมัน และการทำความเข้าใจว่าจักรพรรดิคิดหรือตั้งใจอย่างไรในรัชสมัยของเขานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด ยกเว้นเหรียญไม่กี่เหรียญและซากโบราณวัตถุจำนวนหนึ่ง สิ่งที่ทราบเกี่ยวกับหวางทั้งหมด
มีอยู่ในชีวประวัติอย่างเป็นทางการของเขา ซึ่งปรากฏเป็นบทที่ 99 ของประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นซึ่งรวบรวมขึ้นไม่นานก่อนคริสตศักราช 100 นี่เป็นเอกสารที่ค่อนข้างยาว ยาวที่สุดในบรรดาชีวประวัติของจักรพรรดิทั้งหมดที่หลงเหลือมาจากช่วงเวลานี้ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เอกสารนี้ต่อต้านจักรพรรดิผู้แย่งชิงอำนาจ
อย่างเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าประวัติศาสตร์จะ กล่าวถึง สิ่งที่ หวางทำไว้ ค่อนข้างมากแต่กลับบอกเราเพียงเล็กน้อยว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้แสดงความสนใจอย่างแท้จริงในนโยบายเศรษฐกิจของเขา
ข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่ทราบเกี่ยวกับการปฏิรูปของหวางหมั่งสามารถสรุปได้ดังนี้ กล่าวกันว่าเขาได้คิดค้น
รูปแบบการชำระเงินประกันสังคมในช่วงแรก โดยเก็บภาษีจากคนรวยเพื่อปล่อยกู้ให้กับคนจนซึ่งโดยปกติแล้ว
ไม่มีเครดิตดี เขาเป็นผู้ริเริ่ม "การควบคุมหกประการ" ซึ่งเป็นการผูกขาดของรัฐบาลในผลิตภัณฑ์สำคัญ
เช่น เหล็กและเกลือ ซึ่งหูซื่อมองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของ "สังคมนิยมของรัฐ" และเป็นผู้รับผิดชอบต่อนโยบาย
ที่เรียกว่าการปรับสมดุลห้าประการ ซึ่งเป็นความพยายามที่ซับซ้อนเพื่อลดความผันผวนของราคา แม้แต่ผู้วิจารณ์
หวางที่เข้มงวดที่สุดในยุคปัจจุบันก็เห็นด้วยว่าการห้ามขายที่ดินเพาะปลูกของเขาเป็นความพยายามที่จะช่วยเหลือ
เกษตรกรที่สิ้นหวังจากการล่อลวงให้ขายที่ดินในช่วงที่เกิดความอดอยาก แต่รัฐบาลของเขากลับให้
ความช่วยเหลือด้านภัยพิบัติแทน ต่อมาจักรพรรดิได้จัดเก็บภาษีที่ทำลายล้างต่อเจ้าของทาส เป็นไปได้เช่นกัน
ที่จะตีความภาษีนี้ว่าเป็นความพยายามที่จะทำให้การเป็นเจ้าของทาสเป็นไปไม่ได้หรือเป็นการโกยเงินเปล่าๆ
      อย่างไรก็ตาม ในนโยบายทั้งหมดของหวางหมั่ง มีอยู่สองนโยบายที่โดดเด่น นั่นคือการปฏิรูปที่ดิน
      และการเปลี่ยนแปลงที่เขาทำกับเงินของจีน ในช่วงต้นปี ค.ศ. 6 เมื่อเขายังเป็นเพียงผู้สำเร็จ
      ราชการแทนพระองค์ของทารกชื่อหลิวอิง หวังได้สั่งถอนเหรียญทองของจักรวรรดิและแทนที่ด้วย
      เหรียญทองแดงสี่ชนิดที่มีมูลค่าตามชื่อเท่านั้น ได้แก่ เหรียญกลมที่มีมูลค่า 1 เหรียญและ 50 เหรียญ
      เงินสดและเหรียญที่มีมูลค่ามากกว่านั้น เช่น เหรียญรูปมีดที่มีมูลค่า 500 เหรียญและ 5,000 เหรียญ
      เงินสด เนื่องจากเหรียญ 50 เหรียญเงินสดของหวังมีทองแดงเพียง 1/20 ต่อเหรียญเงินสด
      เมื่อเทียบกับเหรียญที่มีมูลค่าน้อยที่สุดของเขา และเหรียญ 5,000 เหรียญเงินสดของเขาถูกผลิตด้วย
      เงินน้อยกว่าตามสัดส่วน ผลที่ได้คือสกุลเงินที่ไว้วางใจได้ถูกแทนที่ด้วยมาตรฐานทองคำของราชวงศ์ฮั่น
ในเวลาเดียวกัน หวังได้สั่งเรียกคืนทองคำทั้งหมดในจักรวรรดิ โลหะมีค่าจำนวนหลายพันตันถูกยึดและเก็บไว้ในคลัง
ของจักรวรรดิ และโลหะมีค่าที่หาได้ลดน้อยลงอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบไปไกลถึงกรุงโรม ซึ่งจักรพรรดิออกัสตัส
ทรงถูกบังคับให้ห้ามการซื้อผ้าไหมนำเข้าราคาแพงซึ่งกลายเป็นเหรียญทองที่ไม่อาจทดแทนได้ ซึ่งเป็นเรื่องลึกลับ
ในมุมมองของชาวโรมัน ในจีน เหรียญทองแดงแบบใหม่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรวดเร็วและมีการปลอม
แปลงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
      ในขณะเดียวกัน การปฏิรูปที่ดินของหวางหมั่งก็ดูเหมือนจะปฏิวัติอย่างมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นไปอีก
      "ผู้แข็งแกร่ง" หวางเขียนว่า "ครอบครองที่ดินเป็นจำนวนหลายพันมู่ในขณะที่ผู้ที่อ่อนแอไม่มีที่ปักเข็ม"
      วิธีแก้ปัญหาของเขาคือการยึดที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐ ยึดที่ดินของผู้ที่ครอบครองมากกว่า
      100 เอเคอร์ และแจกจ่ายให้กับผู้ที่ทำการเกษตรจริงๆ ภายใต้ระบบที่เรียกว่าชิง นี้ แต่ละครอบครัว
      จะได้รับที่ดินประมาณห้าเอเคอร์และจ่ายภาษีของรัฐในรูปแบบของอาหารทั้งหมดที่พวกเขาปลูก

Joy of Life 2 (2024) หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร 2

Joy of Life 2 (2024) หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร 2
7.8
  • ปีที่ฉาย : 2024
  • ความยาว : 0 ชั่วโมง 45 นาที
  • คุณภาพ : HD
  • เสียง : พากย์ไทย

เรื่องย่อ - Joy of Life 2 (2024) หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร 2

ซีรีย์จีนย้อนยุคแฟนตาซี เรื่องราวภาคต่อของ "ฟ่านเสียน" หลังจากที่ถูกคนขององค์ชายรองล้อมรอบเอาไว้ ตัวเขากลับถูกแทง และถูกเผาไปทั้งอย่างนั้น ไม่นานข่าวการเสียชีวิตของเขาก็ถูกส่งมาให้ผู้คนในเมืองหลวง ไม่ว่าจะฮ่องเต้ หน่วยผู้ตรวจสอบ และสกุลฟ่าน ทุกคนต่างร้อนลน แต่เมื่อได้รับจดหมายอีกฉบับที่บอกว่าถูกแทงโดยคนของฝ่ายตรวจการเอง กลับทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเป็นแผนการของ "ฟ่านเสียน" ทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้มีการจัดเตรียมงานศพอย่างยิ่งใหญ่ ทำเอาทั่วทั้งเมืองหลวงต่างวุ่นวาย ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นตามที่คาดการเอาไว้ ข่าวการตายทั้งหมดเป็นแผนการของ "ฟ่านเสียน" เพื่อเอาตัวรอดกลับเข้ามาเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงอย่างนั้นภารกิจที่เขาก็ยังคงไม่สิ้นสุด การตัดสินใจกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ เขาต้องเผชิญกับแผนการร้ายกาจ และเผชิญหน้ากับผู้บงการเรื่องราวทั้งหมด ท่ามกลางเส้นทางที่อันตราย เขาจะสามารถฝ่าวงล้อมอุปสรรค และเปิดโปงแผนการ รวมไปถึงผู้วางแผนได้หรือไม่

02 เมษายน 2568

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร เรื่องพราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปา

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
👉 โดย :  mount.lyell.shrew    🙏 Be successful. A Prayer for Generosity พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เรื่องพราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปา
      ๔. โสณทัณฑสูตร ว่าด้วยพราหมณ์ชื่อโสณทัณฑะ
      [๓๐๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
      สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นอังคะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จถึงกรุงจัมปา ประทับอยู่ใกล้สระโบกขรณีคัคครา
      สมัยนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะปกครองกรุงจัมปา ซึ่งมีประชากรและสัตว์เลี้ยงมากมาย มีพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำหญ้าอุดมสมบูรณ์ เป็นพระราชทรัพย์ที่พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธพระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นพรหมไทย (ส่วนพิเศษ)
 [๓๐๑] พราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปาได้ฟังข่าวว่า “ท่านพระสมณโคดม เป็นศากยบุตรเสด็จออกผนวชจากศากยตระกูล เสด็จจาริกอยู่ในแคว้นอังคะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จถึงกรุงจัมปาโดยลำดับประทับอยู่ใกล้สระโบกขรณีคัคคราในกรุงจัมปา ท่านพระโคดมนั้นมีกิตติศัพท์อันงาม
ขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้ง
เทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้วทรงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม ทรงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน การได้พบพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นนี้ เป็นความดีอย่างแท้จริง”
      ต่อมา พราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปา ออกจากกรุงจัมปาเดินรวมกันเป็นหมู่ไปยังสระโบกขรณีคัคครา
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๑}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร]

ความเป็นผู้ดีของพราหมณ์โสณทัณฑะ

 [๓๐๒] สมัยนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะพักผ่อนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้นบน มองเห็นพราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปาซึ่งล้วนออกจากกรุงจัมปาเดินรวมกันเป็นหมู่ไปยังสระโบกขรณีคัคครา จึงเรียกอำมาตย์ที่ปรึกษามาถามว่า “พ่ออำมาตย์ พราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปา ออกจากกรุงจัมปาเดินรวมกันเป็นหมู่ ไปยังสระโบกขรณีคัคคราทำไมกัน”
 อำมาตย์ที่ปรึกษาตอบว่า “ท่านขอรับ พระสมณโคดมเป็นศากยบุตรเสด็จออกผนวชจากศากยตระกูล เสด็จจาริกอยู่ในแคว้นอังคะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จถึงกรุงจัมปาโดยลำดับ ประทับอยู่ใกล้สระโบกขรณีคัคคราในกรุงจัมปา ท่านพระโคดมนั้นมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปอย่างนี้ว่า ‘แม้
เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค’ คนเหล่านั้นพากันไปเข้าเฝ้าท่านพระโคดมนั้น”
 พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวว่า “พ่ออำมาตย์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงไปหาพวกพราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปา ครั้นแล้วจงบอกอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ พราหมณ์โสณทัณฑะพูดว่า ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายจงรอก่อน พราหมณ์โสณทัณฑะจะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วย”
 อำมาตย์ที่ปรึกษารับคำของพราหมณ์โสณทัณฑะแล้ว เข้าไปหาพวกพราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปา ครั้นแล้วก็บอกว่า “ท่านขอรับ พราหมณ์โสณทัณฑะพูดว่า ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายจงรอก่อน พราหมณ์โสณทัณฑะจะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วย”
ความเป็นผู้ดีของพราหมณ์โสณทัณฑะ
 [๓๐๓] เวลานั้น พราหมณ์ต่างถิ่น ๕๐๐ คน มีธุระเดินทางมาพักอยู่ในกรุงจัมปา พอได้ฟังว่า ‘พราหมณ์โสณทัณฑะจักไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วย’ จึงพากันเข้าไปหาพราหมณ์โสณทัณฑะแล้วถามว่า “ท่านโสณทัณฑะจักไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมจริงหรือ” พราหมณ์โสณทัณฑะตอบว่า “ใช่ เราคิดจะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม”
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๒} 

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร]

พวกพราหมณ์ห้ามว่า “ท่านโสณทัณฑะอย่าได้ไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมเลย ท่านโสณทัณฑะไม่ควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม ถ้าไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม เกียรติยศของท่านโสณทัณฑะจะเสื่อมเสีย เกียรติยศของพระสมณโคดมจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ท่านโสณทัณฑะจึงไม่ควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม พระ
สมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่านโสณทัณฑะ เพราะว่า ท่านโสณทัณฑะ เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ๑- ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล ด้วยเหตุนี้ ท่านโสณทัณฑะจึงไม่ควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่านโสณทัณฑะ
      อนึ่ง ท่านโสณทัณฑะเป็นคนมั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก ฯลฯ เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนตร์ รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ รู้ตัวบทและไวยากรณ์ ชำนาญโลกายตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ ฯลฯ เป็นผู้มีรูปงามน่าดูน่าเลื่อมใส มีผิวพรรณผุดผ่อง
      ยิ่งนักดุจพรหม มีกายดุจพรหม โอกาสที่จะได้พบเห็นยากนัก ฯลฯ เป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญประกอบด้วยศีลที่เจริญ ฯลฯ เป็นผู้มีวาจาไพเราะสุภาพ ประกอบด้วยถ้อยคำอ่อนหวานอย่างชาวเมือง นุ่มนวล เข้าใจง่าย ฯลฯ เป็นอาจารย์และปาจารย์ของหมู่ชน สอนมนตร์แก่มาณพ ๓๐๐ คน เหล่ามาณพผู้ต้อง
      การมนตร์จำนวนมาก จากทิศทางต่างชนบทพากันมาเรียนมนตร์ในสำนักของท่านโสณทัณฑะ ฯลฯ
 ท่านโสณทัณฑะเป็นคนแก่คนเฒ่าเป็นผู้ใหญ่ มีชีวิตอยู่หลายรัชสมัย ล่วงกาลผ่านวัยมามาก ส่วนพระสมณโคดมเป็นคนหนุ่ม บวชแต่ยังหนุ่ม ฯลฯ ท่านโสณทัณฑะ เป็นผู้ที่พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธและพราหมณ์โปกขรสาติสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ฯลฯ
 ท่านโสณทัณฑะปกครองกรุงจัมปา ซึ่งมีประชากรและสัตว์เลี้ยงมากมาย มี พืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำหญ้าอุดมสมบูรณ์ เป็นพระราชทรัพย์ที่พระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธพระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นพรหมไทย ด้วยเหตุนี้ ท่านโสณทัณฑะจึงไม่ควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่านโสณทัณฑะ”
@เชิงอรรถ : @ วิธีนับลำดับบรรพบุรุษแบบหนึ่ง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของวงศ์สกุล โดยนับจากปัจจุบันขึ้นไป
๗ ชั้น @(ที.สี.อ. ๓๐๓/๒๕๒-๒๕๓) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๓}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร] 

พราหมณ์โสณทัณฑะแสดงพระพุทธคุณ
พราหมณ์โสณทัณฑะแสดงพระพุทธคุณ
 [๓๐๔] เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้ พราหมณ์โสณทัณฑะได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านโปรดฟังเราบ้าง เรานี่แหละควรไปเข้าเฝ้าท่านพระโคดม ท่านพระโคดมไม่ควรเสด็จมาหาเรา ได้ทราบว่า พระสมณโคดมทรงเป็นผู้มีพระชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายพระชนกและฝ่ายพระชนนี ทรงถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดี
      ตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล ด้วยเหตุนี้ ท่านพระโคดมจึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา เราต่างหากควรไปเข้าเฝ้าท่านพระโคดม
      ท่านทั้งหลาย ข่าวว่า พระสมณโคดมทรงละพระประยูรญาติผนวชแล้ว ฯลฯ ทรงสละทรัพย์สินเงินทองมากมายทั้งที่ฝังอยู่ในพื้นดินและในอากาศผนวชแล้ว ฯลฯ
      พระสมณโคดมกำลังหนุ่มแน่นมีพระเกศาดำสนิท ทรงพระเจริญอยู่ในปฐมวัยเสด็จออกจากพระราชวังไปผนวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ เมื่อพระชนกพระชนนีไม่ทรงปรารถนา(จะให้เสด็จออกผนวช) มีน้ำพระเนตรชุ่มพระพักตร์ทรงกันแสงอยู่ พระสมณโคดมทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุแล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์
 เสด็จออกจากพระราชวังไปผนวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ พระสมณโคดมมีพระรูปงดงามน่าดูน่าเลื่อมใส มีพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนักดุจพรหม มีพระวรกายดุจพรหม โอกาสที่จะได้พบเห็นยากนัก ฯลฯ พระสมณโคดมทรงมีอริยศีล มีศีลที่เป็นกุศล ประกอบด้วยศีลที่เป็นกุศล ฯลฯ มีพระวาจาไพเราะสุภาพ ประกอบด้วยถ้อยคำ
อ่อนหวาน อย่างชาวเมือง นุ่มนวล เข้าใจง่าย ฯลฯ ทรงเป็นอาจารย์และปาจารย์ของหมู่ชนมากมาย ฯลฯ ทรงสิ้นกามราคะไม่ประดับตกแต่ง ฯลฯ ทรงเป็นกรรมวาที กิริยวาที ไม่ทรงมุ่งร้ายต่อพราหมณ์ ฯลฯ ผนวชแล้วจากตระกูลสูงคือขัตติยตระกูลอันบริสุทธิ์ ฯลฯ ผนวชแล้วจากตระกูลมั่งคั่งมีทรัพย์มากมีโภคะมาก
ฯลฯ ประชาชนต่างบ้านต่างเมืองพากันมาทูลถามปัญหาพระสมณโคดม ฯลฯ ทวยเทพหลายพันองค์ถวายชีวิตขอถึงพระสมณโคดมเป็นที่พึ่ง ฯลฯ พระสมณโคดมทรงมีพระกิตติศัพท์อันงามขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อม
ด้วย วิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค ฯลฯ พระสมณโคดมทรงประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ ฯลฯ ทรงมีปกติตรัสเชื้อเชิญ ตรัสผูกมิตรไมตรี
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๔}พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร] พราหมณ์โสณทัณฑะแสดงพระพุทธคุณ
อ่อนหวาน ไม่ทรงสยิ้วพระพักตร์ ทรงเบิกบาน มักตรัสทักทายก่อน ฯลฯ ทรงเป็นผู้ที่บริษัท ๔ ๑- สักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ฯลฯ เทวดาและมนุษย์มากมายเลื่อมใสพระสมณโคดม ฯลฯ พวกอมนุษย์ย่อมไม่เบียดเบียนมนุษย์ในหมู่บ้านหรือนิคมที่พระสมณโคดมทรงพำนักอยู่ ฯลฯ
 พระสมณโคดมทรงเป็นหัวหน้า ทรงเป็นคณาจารย์ ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าเจ้าลัทธิอื่นๆ ไม่ทรงรุ่งเรืองพระยศเหมือนพวกสมณพราหมณ์ที่รุ่งเรืองยศ ที่แท้ทรงรุ่งเรืองพระยศ เพราะทรงมีวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยม ฯลฯ พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธ พร้อมทั้งพระราชโอรส พระมเหสี ข้าราช
บริพารและหมู่อำมาตย์ต่างมอบชีวิตถึงพระสมณโคดมเป็นสรณะ ฯลฯ พระเจ้าปเสนทิโกศล พร้อมทั้งพระราชโอรส พระมเหสี ข้าราชบริพารและหมู่อำมาตย์ต่างมอบชีวิตถึงพระสมณโคดมเป็นสรณะ ฯลฯ พราหมณ์โปกขรสาติ พร้อมทั้งบุตร ภรรยา ข้าราชการ และหมู่อำมาตย์ต่างมอบชีวิตถึงพระสมณโคดม
เป็นสรณะ พระสมณโคดมทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ฯลฯ ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ฯลฯ ทรงเป็นผู้ที่พราหมณ์โปกขรสาติสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ฯลฯ
 พระสมณโคดมเสด็จถึงกรุงจัมปาโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ ริมสระโบกขรณีคัคครา ในกรุงจัมปา ท่านทั้งหลาย สมณพราหมณ์ที่มาสู่เขตหมู่บ้านของเราจัดว่าเป็นแขกของเรา ซึ่งพวกเราควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา และนอบน้อม พระสมณโคดมเสด็จมาถึงกรุงจัมปาโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ ริมสระโบก
ขรณีคัคคราในกรุงจัมปา พระสมณโคดมจึงจัดเป็นแขกของเราที่พวกเราควรสักการะ เคารพนับถือ บูชา และนอบน้อม ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ พระสมณโคดมจึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา เราต่างหากควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม เราทราบพระคุณของพระสมณโคดม เพียงเท่านี้ แต่พระสมณโคดมไม่ใช่ว่าจะมีพระคุณเพียงเท่านี้ แท้จริงแล้ว พระสมณโคดมมีพระคุณนับประมาณมิได้”
@เชิงอรรถ : @ ในที่นี้หมายถึง ผู้เข้าเฝ้าโดยทั่วไป มีอยู่ ๔ จำพวก คือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัทและ @สมณบริษัท {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๕}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร]

ความคำนึงของพราหมณ์โสณทัณฑะ

      [๓๐๕] เมื่อพราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวอย่างนี้ พราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า “ท่านโสณทัณฑะกล่าวยกย่องพระสมณโคดมถึงเพียงนี้ ถึงหากท่านพระโคดมพระองค์นั้นจะประทับอยู่ไกลจากที่นี่ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ก็สมควรอยู่ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาจะไปเข้าเฝ้า แม้จะต้องขนเสบียงไปก็ควร”
      พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกเราทั้งหมดจักไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วยกัน”
ความคิดคำนึงของพราหมณ์โสณทัณฑะ
 [๓๐๖] ต่อมา พราหมณ์โสณทัณฑะพร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่เข้าไปถึงสระโบกขรณีคัคครา เมื่อผ่านราวป่าไป เขาเกิดความคิดคำนึงว่า ‘ถ้าเราจะถามปัญหากับพระสมณโคดม หากพระสมณโคดมตรัสอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรถามอย่างนี้ ที่ถูก ควรจะถามอย่างนี้ บริษัทก็จะดูหมิ่นเรา
เพราะเหตุนั้น ว่า พราหมณ์โสณทัณฑะโง่เขลา ไม่อาจแยกแยะตั้งคำถามกับพระสมณโคดมได้ ผู้ถูกบริษัทดูหมิ่นจะพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็จะเสื่อมโภคสมบัติ เพราะมียศเราจึงมีโภคสมบัติ ถ้าพระสมณโคดมจะถามปัญหากับเรา และเราตอบไม่ถูกพระทัยของพระสมณโคดม หากพระสมณโคดมจะตรัสอย่างนี้ว่า
พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรตอบอย่างนี้ ที่ถูก ควรตอบอย่างนี้ บริษัทก็จะดูหมิ่นเราเพราะเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะโง่เขลา ไม่อาจตอบปัญหาให้ถูกพระทัยของพระสมณโคดมได้ ผู้ถูกบริษัทดูหมิ่นจะพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็จะเสื่อมโภคสมบัติ เพราะมียศเราจึงมีโภคสมบัติ อนึ่ง เราเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้ว
ยังไม่ทันได้เฝ้าเลย แต่คิดจะกลับบริษัทก็จะดูหมิ่นเราเพราะเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะโง่เขลา ถือตัวมาก ขลาดกลัว ไม่อาจเข้าเฝ้าพระสมณโคดมได้ เข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่ทันได้เฝ้าเลย ไฉนจึงกลับเสียเล่า ผู้ถูกบริษัทดูหมิ่นจะพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็จะเสื่อมโภคสมบัติ เพราะมียศ เราจึงมีโภคสมบัติ’
 [๓๐๗] ลำดับนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนากับพระผู้มีพระภาค ครั้นสนทนาพอคุ้นเคยกันดีแล้วจึงนั่งลง ณ ที่สมควร
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๖}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร]

ข้อบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์

 ฝ่ายพราหมณ์และคหบดีชาวกรุงจัมปา บางพวกกราบพระผู้มีพระภาค บางพวกสนทนา บางพวกไหว้ไปทางพระผู้มีพระภาค บางพวกประกาศชื่อและตระกูล บางพวกนิ่งเฉยแล้วนั่ง ณ ที่สมควร
 [๓๐๘] ขณะนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะนั่งวิตกถึงแต่เรื่องนี้ว่า ‘ถ้าเราจะถามปัญหากับพระสมณโคดม หากพระสมณโคดมตรัสอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรถามอย่างนี้ ที่ถูก ควรจะถามอย่างนี้ บริษัทก็จะดูหมิ่นเราเพราะเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะโง่เขลา ไม่อาจแยกแยะตั้งคำถามกับพระสมณโคดมได้
ผู้ถูกบริษัทดูหมิ่นจะพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็จะเสื่อมโภคสมบัติ เพราะมียศเราจึงมีโภคสมบัติ ถ้าพระสมณโคดมจะถามปัญหากับเรา และเราตอบไม่ถูกพระทัยของพระสมณโคดม หากพระสมณโคดมจะตรัสอย่างนี้ว่า พราหมณ์ ปัญหาข้อนี้ท่านไม่ควรตอบอย่างนี้ ที่ถูก ควรตอบอย่างนี้ บริษัทก็จะดูหมิ่นเราเพราะเหตุ
นั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะโง่เขลา ไม่อาจตอบปัญหาให้ถูกพระทัยของพระสมณโคดมได้ ผู้ถูกบริษัทดูหมิ่นจะพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็จะเสื่อมโภคสมบัติ เพราะมียศเราจึงมีโภคสมบัติ โอหนอ ขอให้พระสมณโคดมตรัสถามปัญหากับเราเรื่องไตรเพทอันเป็นความรู้ของอาจารย์เรา เราจะตอบให้ถูกพระทัยของพระสมณโคดมได้’
ข้อบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์
 [๓๐๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดคำนึงของเขาด้วยพระทัยทรงพระดำริว่า ‘พราหมณ์โสณทัณฑะนี้กำลังอึดอัดใจ เราควรถามปัญหากับเขาในเรื่องไตรเพทอันเป็นความรู้ของอาจารย์เขา’ จึงได้ตรัสถามเขาว่า “พราหมณ์ พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเท่าไรว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย”
 [๓๑๐] พราหมณ์โสณทัณฑะคิดว่า ‘เราปรารถนา มุ่งหวัง ตั้งใจ ต้องการว่าโอหนอ ขอให้พระสมณโคดมตรัสถามปัญหากับเราในเรื่องไตรเพทอันเป็นความรู้ของอาจารย์เรา เราจะตอบให้ถูกพระทัยของพระสมณโคดมได้ เผอิญที่พระสมณโคดมตรัสถามปัญหากับเราในเรื่องไตรเพท อันเป็นความรู้ของอาจารย์เรา เราจะตอบให้ถูกพระทัยของพระสมณโคดมได้แน่’
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๗}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร]

คุณสมบัติของผู้เป็นพราหมณ์

คุณสมบัติของผู้เป็นพราหมณ์
 [๓๑๑] ทันใดนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะยืดกายขึ้นเหลียวดูบริษัทแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ท่านพระโคดม พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่างว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย คุณสมบัติ ๕ อย่าง อะไรบ้าง คือ
      ๑. เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล
      ๒. เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนตร์ รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์ ชำนาญโลกายตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ๑-
      ๓. เป็นผู้มีรูปงามน่าดูน่าเลื่อมใส มีผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนักดุจพรหมมีกายดุจพรหม โอกาสที่จะได้พบเห็นยากนัก
      ๔. เป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญ ประกอบด้วยศีลที่เจริญ
      ๕. เป็นบัณฑิตมีปัญญาลำดับที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้รับการบูชา
 พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่างนี้แลว่าเป็นพราหมณ์และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พราหมณ์ บรรดาคุณสมบัติ ๕ อย่างนี้ (หาก)เว้นเสีย ๑ อย่าง พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเพียง ๔ อย่างว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย”
      พราหมณ์โสณทัณฑะกราบทูลว่า “ได้ ท่านพระโคดม บรรดาคุณสมบัติ ๕ อย่าง เว้นผิวพรรณเสียอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะผิวพรรณจักทำอะไรได้ บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะ
@เชิงอรรถ : @ ดูเชิงอรรถ ๒ และ ๓ ในหน้า ๘๘ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๘}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร]

คุณสมบัติของผู้เป็นพราหมณ์

      ๑. เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล
      ๒. เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนตร์ รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์ ชำนาญโลกายตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ
      ๓. เป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญ ประกอบด้วยศีลที่เจริญ
      ๔. เป็นบัณฑิตมีปัญญาลำดับที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้รับการบูชา
      พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๔ อย่างนี้แลว่าเป็นพราหมณ์และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย”
             [๓๑๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พราหมณ์ บรรดาคุณสมบัติ ๔ อย่างนี้
(หาก)เว้นเสีย ๑ อย่าง พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเพียง ๓
อย่างว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดย
ชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย”
             พราหมณ์โสณทัณฑะกราบทูลว่า “ได้ ท่านพระโคดม บรรดาคุณสมบัติ ๔
อย่าง เว้นมนตร์เสียอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะมนตร์จักทำอะไรได้ บุคคลชื่อว่าเป็น
พราหมณ์เพราะ
             ๑. เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ถือปฏิสนธิ
บริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้
เพราะอ้างถึงชาติตระกูล
             ๒. เป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญ ประกอบด้วยศีลที่เจริญ
             ๓. เป็นบัณฑิตมีปัญญาลำดับที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้
รับการบูชา
             พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๓ อย่างนี้แลว่าเป็นพราหมณ์
และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย”
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑๙}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร] คุณสมบัติของผู้เป็นพราหมณ์

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พราหมณ์ บรรดาคุณสมบัติ ๓ อย่างนี้ (หาก) เว้นเสีย ๑ อย่าง พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเพียง ๒ อย่างว่า เป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย ” พราหมณ์โสณทัณฑะกราบทูลว่า “ได้ ท่านพระโคดม บรรดาคุณสมบัติ ๓ อย่าง เว้นชาติกำเนิดเสียอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะชาติกำเนิดจักทำอะไรได้ บุคคลชื่อว่า เป็นพราหมณ์เพราะ ๑. เป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญ ประกอบด้วยศีลที่เจริญ ๒. เป็นบัณฑิตมีปัญญาลำดับที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้ รับการบูชา พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๒ อย่างนี้แลว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย” [๓๑๓] เมื่อพราหมณ์โสณทัณฑะกราบทูลอย่างนี้ พวกพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวว่า “ท่านโสณทัณฑะอย่าพูดอย่างนั้นเลย ท่านโสณทัณฑะอย่าพูดอย่างนั้น เลย ท่านโสณทัณฑะลบหลู่ผิวพรรณ ลบหลู่มนตร์ ลบหลู่ชาติกำเนิด พูดคล้อย ตามวาทะของพระสมณโคดมถ่ายเดียวเท่านั้น” [๓๑๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถ้าพวกท่านคิดว่า ‘พราหมณ์ โสณทัณฑะศึกษามาน้อย พูดไม่เพราะ โง่เขลา และไม่สามารถเจรจาโต้ตอบกับพระ สมณโคดมได้’ พราหมณ์โสณทัณฑะจงหยุด พวกท่านจงเจรจาโต้ตอบกับเราแทน แต่หากพวกท่านคิดว่า ‘พราหมณ์โสณทัณฑะศึกษามามาก พูดเพราะ ฉลาด และ สามารถเจรจาโต้ตอบกับพระสมณโคดมได้’ พวกท่านก็จงหยุด พราหมณ์ โสณทัณฑะจงเจรจาโต้ตอบกับเรา (ต่อไป)” [๓๑๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พราหมณ์โสณทัณฑะได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า “ขอท่านพระโคดมทรงหยุดทรงนิ่งเถิด ข้าพระองค์เองจักตอบ พวกเขาโดยชอบแก่เหตุ” แล้วกล่าวกะพวกพราหมณ์เหล่านั้นว่า “ท่านผู้เจริญ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๒๐}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร] เรื่องศีลและปัญญา

ทั้งหลายอย่าได้พูดอย่าได้กล่าวอย่างนี้เลยว่า ‘ท่านโสณทัณฑะลบหลู่ผิวพรรณ ลบหลู่มนตร์ ลบหลู่ชาติกำเนิด พูดคล้อยตามวาทะของพระสมณโคดมถ่ายเดียว เท่านั้น’ แท้จริง เราไม่ได้ลบหลู่ผิวพรรณ มนตร์ หรือชาติกำเนิดเลย” [๓๑๖] เวลานั้น อังคกมาณพผู้เป็นหลานของพราหมณ์โสณทัณฑะนั่งอยู่ใน บริษัทนั้นด้วย ทีนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะได้กล่าวกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า “ท่าน ผู้เจริญทั้งหลายเห็นอังคกมาณพหลานของเรานี้หรือไม่” “เห็น ขอรับ” “อังคกมาณพ เป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส มีผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนักดุจพรหม มีกายดุจพรหม โอกาสที่จะได้เห็นยากนัก ในที่ประชุมนี้นอกจากพระสมณโคดมแล้วไม่มีใครมี ผิวพรรณเสมอกับอังคกมาณพเลย อังคกมาณพเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนตร์ รู้ จบไตรเพท พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์ ชำนาญโลกายตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ เราเป็นผู้ บอกมนตร์แก่เขา อังคกมาณพเป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ถือ ปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึง ชาติตระกูล เรารู้จักบิดามารดาของเขา แต่อังคกมาณพยังฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่ เจ้าของเขาไม่ให้ ล่วงละเมิดภรรยาของผู้อื่น กล่าวเท็จ ดื่มน้ำเมา ในกรณีอย่างนี้ ผิวพรรณ มนตร์ และชาติกำเนิดจักทำอะไรได้เล่า เพราะบุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะเป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญ ประกอบด้วยศีลที่เจริญ และเป็นบัณฑิต มีปัญญา ลำดับที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้รับการบูชา พวกพราหมณ์เรียกผู้ ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๒ อย่างนี้แลว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เรา เป็นพราหมณ์’ ก็พูดได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย”
เรื่องศีลและปัญญา
[๓๑๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พราหมณ์ บรรดาคุณสมบัติ ๒ อย่างนี้ (หาก) เว้นเสีย ๑ อย่าง พวกพราหมณ์จะเรียกผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเพียง อย่างเดียวว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะพูดว่า ‘เราเป็นพราหมณ์’ ก็พูด ได้โดยชอบ ทั้งไม่เป็นผู้พูดเท็จด้วย” {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๒๑}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร] รื่องศีลและปัญญา

พราหมณ์โสณทัณฑะกราบทูลว่า “ข้อนี้ไม่ได้ ท่านพระโคดม เพราะปัญญา ต้องมีศีลช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ศีลก็ต้องมีปัญญาช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ปัญญาย่อมมีใน ที่ที่มีศีล ศีลย่อมมีในที่ที่มีปัญญา ปัญญาย่อมมีแก่ผู้มีศีล ศีลย่อมมีแก่ผู้มีปัญญา นักปราชญ์ยกย่องศีลและปัญญาว่า เป็นสิ่งล้ำเลิศในโลก เปรียบเหมือนบุคคลใช้มือ ล้างมือ หรือใช้เท้าล้างเท้า ฉันใด ปัญญาต้องมีศีลช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ศีลก็ต้องมี ปัญญาช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ปัญญาย่อมมีในที่ที่มีศีล ศีลย่อมมีในที่ที่มีปัญญา ปัญญาย่อมมีแก่ผู้มีศีล ศีลย่อมมีแก่ผู้มีปัญญา นักปราชญ์ยกย่องศีลและปัญญาว่า เป็นสิ่งล้ำเลิศในโลก ฉันนั้น” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่างนั้นแล พราหมณ์ อย่างนั้นแล พราหมณ์ ปัญญาต้องมีศีลช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ศีลก็ต้องมีปัญญาช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ปัญญา ย่อมมีในที่ที่มีศีล ศีลย่อมมีในที่ที่มีปัญญา ปัญญาย่อมมีแก่ผู้มีศีล ศีลย่อมมีแก่ผู้มี ปัญญา นักปราชญ์ยกย่องศีลและปัญญาว่า เป็นสิ่งล้ำเลิศในโลก เปรียบเหมือน บุคคลใช้มือล้างมือ หรือใช้เท้าล้างเท้า ฉันใด ปัญญาต้องมีศีลช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ศีลก็ต้องมีปัญญาช่วยชำระให้บริสุทธิ์ ปัญญาย่อมมีในที่ที่มีศีล ศีลย่อมมีในที่ที่มี ปัญญา ปัญญาย่อมมีแก่ผู้มีศีล ศีลย่อมมีแก่ผู้มีปัญญา นักปราชญ์ยกย่องศีลและ ปัญญาว่า เป็นสิ่งล้ำเลิศในโลก ฉันนั้น” [๓๑๘] พระผู้มีพระภาคตรัสถามต่อไปว่า “พราหมณ์ ศีลนั้นเป็นอย่างไร ปัญญานั้นเป็นอย่างไร” พราหมณ์โสณทัณฑะทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม ในเรื่องนี้พวกข้าพระองค์ มีความรู้เพียงเท่านี้ ขอประทานวโรกาส ขอท่านพระโคดมโปรดขยายความให้ชัดเจน ด้วย” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจักบอก” เขาทูลรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พราหมณ์ ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นพระ อรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ ฯลฯ (พึงนำข้อความเต็มในสามัญญผลสูตรมา {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๒๒}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร] พราหมณ์โสณทัณฑะประกาศตนเป็นอุบาสก

ใส่ไว้ในที่นี้) ภิกษุชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอย่างนี้แล ฯลฯ บรรลุปฐมฌานอยู่ บรรลุทุติยฌานอยู่ บรรลุตติยฌานอยู่ บรรลุจตุตถฌานอยู่ ฯลฯ น้อมจิตไปเพื่อ ญาณทัสสนะ ฯลฯ นี้เป็นปัญญาของภิกษุนั้น ฯลฯ รู้ชัดว่า‘ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบ พรหมจรรย์ แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป’ นี้เป็นปัญญาของภิกษุนั้น พราหมณ์ ปัญญานั้นเป็นอย่างนี้แล๑-
พราหมณ์โสณทัณฑะประกาศตนเป็นอุบาสก
[๓๑๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พราหมณ์โสณทัณฑะได้กราบทูลว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่ท่านพระ โคดม ภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศ ธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดโดยตั้งใจว่า คนมีตาดีจักเห็นรูปได้ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่าน พระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจน ตลอดชีวิต ขอท่านพระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของข้าพระองค์ ในวันพรุ่งนี้เถิด” พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยพระอาการดุษณี [๓๒๐] ทีนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะทราบอาการที่พระผู้มีพระภาคทรงรับ นิมนต์แล้ว จึงได้ลุกจากอาสนะ กราบพระผู้มีพระภาคแล้วกระทำประทักษิณจากไป ครั้นผ่านคืนนั้นไป พราหมณ์โสณทัณฑะสั่งให้จัดของขบฉันอย่างประณีตไว้ ในนิเวศน์ของตน แล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาลว่า “ท่านพระโคดม ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารเสร็จแล้ว” ตอนเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและ จีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์โสณทัณฑะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง บนอาสนะที่ปูไว้ พราหมณ์โสณทัณฑะได้นำของขบฉันอันประณีตประเคนภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานให้อิ่มหนำด้วยตนเอง @เชิงอรรถ :@ ดูความเต็มในสามัญญผลสูตร ข้อ ๑๙๐-๒๔๘ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๒๓}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๔. โสณทัณฑสูตร] พราหมณ์โสณทัณฑะประกาศตนเป็นอุบาสก

[๓๒๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จทรงวางพระหัตถ์แล้ว พราหมณ์ โสณทัณฑะจึงเลือกนั่ง ณ ที่สมควรที่ใดที่หนึ่งซึ่งต่ำกว่า แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่ ท่านพระโคดม ถ้าข้าพระองค์อยู่ในท่ามกลางบริษัทจะลุกจากที่นั่งไปกราบท่านพระ โคดม ก็จะถูกบริษัทดูหมิ่นเพราะเหตุนั้นได้ ผู้ถูกบริษัทดูหมิ่นจะเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศ จะเสื่อมโภคสมบัติ เพราะมียศข้าพระองค์จึงมีโภคสมบัติ ถ้าข้าพระองค์อยู่ใน ท่ามกลางบริษัทจะประนมมือ ขอท่านพระโคดมทรงทราบว่านั่นแทนการลุกจาก ที่นั่ง(ไปต้อนรับ) ถ้าข้าพระองค์อยู่ในท่ามกลางบริษัทจะแก้ผ้าโพกศีรษะออก ขอ ท่านพระโคดมทรงทราบว่านั่นแทนการกราบด้วยเศียรเกล้า ถ้าข้าพระองค์อยู่ใน ยานพาหนะจะลงไปกราบท่านพระโคดม บริษัทก็จะดูหมิ่นเพราะเหตุนั้นได้ ผู้ถูก บริษัทดูหมิ่นจะเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศจะเสื่อมโภคสมบัติ เพราะมียศข้าพระองค์จึงมี โภคสมบัติ ถ้าข้าพระองค์อยู่ในยานพาหนะจะยกปฏักขึ้น ขอท่านพระโคดมทรง ทราบว่านั่นแทนการลงจากยานพาหนะ(ไปต้อนรับ) ถ้าข้าพระองค์อยู่ในยานพาหนะ จะลดร่มลง ขอท่านพระโคดมทรงทราบว่านั่นแทนการกราบด้วยเศียรเกล้า” [๓๒๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้พราหมณ์โสณทัณฑะเห็น ชัด ชักชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้ สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จจากไป
โสณทัณฑสูตรที่ ๔ จบ
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๒๔}