Translate

27 สิงหาคม 2567

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๒ [ว่าด้วย ว่ายาก] เตรสกัณฑ์. พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

เรื่องพระฉันนะ 
         [๖๐๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารโฆสิตาราม เขต พระนครโกสัมพี ครั้งนั้น ท่านพระฉันนะ ประพฤติมารยาทอันไม่สมควร ภิกษุทั้งหลาย
กล่าว ตักเตือนอย่างนี้ว่า ดูกรฉันนะ
 ท่านอย่าได้กระทำอย่างนี้ ประพฤติดังนี้ไม่ควร พระฉันนะกล่าวตอบว่า ดูกรท่านทั้งหลาย พวกท่านสำคัญว่าเราเป็นผู้ที่ท่านควรว่ากล่าวกระนั้นหรือ เราต่างหากควรว่ากล่าวพวกท่าน
เพราะพระพุทธเจ้าก็ของเรา พระธรรมก็ของเรา พระลูกเจ้าของเราตรัสรู้ธรรม
แล้ว พวกท่านต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ต่างสกุลกัน บวชรวมกันอยู่ ดุจลมกล้าพัดหญ้าไม้ และใบไม้แห้ง
ให้อยู่ร่วมกัน หรือดุจแม่น้ำที่ไหลมาจาก ภูเขา พัดจอกสาหร่ายและแหนให้อยู่รวมกันฉะนั้น ดูกรท่านทั้งหลาย พวก
ท่านสำคัญว่าเราเป็น ผู้ที่ท่านควรว่ากล่าวกระนั้นหรือ เราต่างหากควรว่ากล่าวพวกท่าน เพราะพระพุทธเจ้าก็ของ
เรา พระธรรมก็ของเรา พระลูกเจ้าของเราตรัสรู้ธรรมแล้ว บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มี
ความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลาย ว่า
กล่าวอยู่ ถูกทางธรรม จึงได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มี พระภาค.
  ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า ดูกรฉันนะ ข่าวว่า เธออันภิกษุทั้งหลาย ว่ากล่าวอยู่ถูกทางธรรม
 ได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้จริงหรือ? 
              พระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของ
สมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธออันภิกษุ ทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถูกทางธรรม จึงได้ทำตนให้เป็นผู้อัน
ใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ดูกรโมฆบุรุษ การ กระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
 หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใส
ของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ครั้นพระผู้มีพระภาคทรง
ติเตียนท่านพระฉันนะโดยอเนกปริยาดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่ง ความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความ
เป็น         คนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้านตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย 
ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม
 การปรารภ ความเพียร โดยอเนกปริยาย แล้วทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่
     เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
สิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
 เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑                     เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑                       เพื่อข่มบุคคล ผู้เก้อยาก ๑
          เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑                       เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ 
            เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑              เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ 
เพื่อ ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระ วินัย ๑
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ 
        ๑๖. ๑๒. อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีสัญชาติแห่งคนว่ายาก อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ ถูกทางธรรม ในสิกขาบท
ทั้งหลายอันเนื่องในอุเทศ ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าว ไม่ได้ ด้วยกล่าวโต้ว่า พวกท่านอย่าได้กล่าวอะไรต่อเรา
เป็นคำดีก็ตาม เป็นคำชั่ว ก็ตาม แม้เราก็จักไม่กล่าวอะไรๆ ต่อพวกท่านเหมือนกัน เป็นคำดีก็ตาม เป็นคำชั่วก็ตาม
ขอพวกท่านจงเว้นจากการว่ากล่าวเราเสีย ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ ว่า ท่านอย่าได้ทำตนให้
เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ขอท่านจงทำตนให้เขาว่ากล่าว ได้แล แม้ท่านก็จงว่ากล่าวภิกษุทั้งหลายโดยชอบธรรม
 แม้ภิกษุทั้งหลายก็จักว่ากล่าว ท่านโดยชอบธรรม เพราะว่าบริษัทของพระผู้มีพระภาคนั้น เจริญแล้วด้วยอาการ 
อย่างนี้ คือด้วยว่ากล่าวซึ่งกันและกัน ด้วยเตือนกันและกันให้ออกจากอาบัติ แลภิกษุ นั้น อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าว
อยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียว ภิกษุนั้น อันภิกษุ ทั้งหลายพึงสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละ
กรรมนั้นเสีย หากเธอถูกสวด สมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั้นเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี
              หากเธอไม่สละเสีย เป็นสังฆาทิเสส.  เรื่องพระฉันนะ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๖๐๘] คำว่า อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีสัญชาติแห่งคนว่ายาก ความว่า เป็นผู้ว่าได้โดยยาก ประกอบด้วยธรรม
ทั้งหลายอันเป็นเครื่องกระทำความเป็นผู้ว่ายาก ไม่อดทน ไม่รับอนุสาสนี โดยเบื้องขวา คำว่า ในสิกขาบททั้งหลาย
       อันเนื่องในอุเทศ ได้แก่สิกขาบทอันนับเนื่องใน พระปาติโมกข์
        บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ภิกษุเหล่าอื่น ที่ชื่อว่า ถูกทางธรรม คือสิกขาบทใดอันพระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติแล้ว สิกขาบทนั้น ชื่อว่าถูกทางธรรม ภิกษุนั้นผู้อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ โดยถูกทางธรรมนั้น ย่อมทำ
ตนให้เป็น ผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ด้วยกล่าวโต้ว่าพวกท่านอย่าได้กล่าวอะไรๆ ต่อเรา เป็นคำดีก็ตาม เป็นคำชั่ว
           ก็ตาม แม้เราก็จักไม่กล่าวคำอะไรๆ ต่อพวกท่าน เป็นคำดีก็ตาม 
เป็นคำชั่วก็ตาม ขอพวกท่านจงเว้นจากการว่ากล่าวเราเสีย 
         [๖๐๙] บทว่า ภิกษุนั้น ได้แก่ภิกษุผู้มีสัญชาติแห่งคนว่ายากนั้น บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ภิกษุเหล่าอื่น
 อธิบายว่าภิกษุเหล่าใดเห็นอยู่ ได้ยินอยู่ ภิกษุเหล่านั้นควรว่ากล่าวภิกษุผู้มีสัญชาติแห่งคนว่ายากนั้นว่า ท่านอย่า
ได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ขอท่านจงทำตนให้เขาว่าได้แล แม้ท่านก็จงว่ากล่าวภิกษุทั้งหลายโดย
ชอบธรรม แม้ภิกษุทั้งหลายก็จักว่ากล่าวท่านโดยชอบธรรม เพราะว่าบริษัทของพระผู้มีพระภาคนั้นเจริญ
แล้ว ด้วยอาการอย่างนี้คือ ด้วยว่ากล่าวซึ่งกันและกัน ด้วยเตือนกันและกันให้ออกจากอาบัติ ควรว่า กล่าวแม้ครั้งที่
สอง ควรว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม หากเธอสละเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากเธอไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ
 ภิกษุทั้งหลายได้ยินแล้วไม่ว่ากล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุ นั้นอันภิกษุทั้งหลาย พึงคุมตัวมาแม้สู่ท่ามกลางสงฆ์
แล้วพึงว่ากล่าวว่า ท่านอย่าได้ทำตนให้เป็นผู้ อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ขอท่านจงทำตนให้เขาว่ากล่าวได้แล แม้ท่านก็
จงว่ากล่าวภิกษุทั้งหลาย โดยชอบธรรม แม้ภิกษุทั้งหลายก็จักว่ากล่าวท่านโดยชอบธรรม เพราะว่าบริษัทของ
พระผู้มีพระภาค นั้นเจริญแล้วด้วยอาการอย่างนี้ คือ ด้วยว่ากล่าวซึ่งกันและกัน ด้วยเตือนกันและกันให้
ออกจาก อาบัติ ควรว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง ควรว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม หากเธอสละเสีย สละได้อย่างนี้ นั่น
เป็นการดี หากเธอไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
วิธีสวดสมนุภาสน์
               [๖๑๐] ภิกษุนั้น อันสงฆ์พึงสวดสมนุภาสน์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสวด สมนุภาสน์อย่างนี้ 
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
กรรมวาจาสวดสมนุภาสน์           
    ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าว อยู่ถูกทางธรรม 
ย่อมทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ภิกษุนั้นไม่สละเรื่องนั้น ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว 
สงฆ์พึงสวดสมนุภาสน์ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อให้สละ เรื่องนั้น นี่เป็นญัตติ. 
        ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าว อยู่ถูกทางธรรม ย่อมทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ภิกษุนั้นไม่สละเรื่องนั้น สงฆ์สวดสมนุภาสน์ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย การ
สวดสมนุภาสน์ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
ผู้นั้นพึงพูด.               ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุ ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถูกทางธรรม ย่อมทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ภิกษุนั้นไม่สละเรื่องนั้น
 สงฆ์สวดสมนุภาสน์ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อให้ สละเรื่องนั้น การสวดสมนุภาสน์ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย 
         ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง                 ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด                    ท่านผู้นั้นพึงพูด
              ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟัง    ข้าพเจ้า ภิกษุ มีชื่อนี้ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถูกทางธรรม ย่อมทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าว ไม่ได้ ภิกษุนั้นไม่สละเรื่องนั้น สงฆ์สวดสมนุภาสน์
ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้น การสวดสมนุภาสน์ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น
 พึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด 
              ภิกษุมีชื่อนี้อันสงฆ์สวดสมนุภาสน์แล้ว เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย 
         ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
      [๖๑๑] จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ 
              จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย              จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส 
            เมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏเพราะญัตติ อาบัติถุลลัจจัยเพราะกรรมวาจาสองครั้ง ย่อมระงับ 
              บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น ชักเข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต เรียกเข้าหมู่
 ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกันมากมาย ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส คำว่า 
สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือเป็นชื่อของอาบัตินิกาย นั้นแล แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส. 
บทภาชนีย์ 
              [๖๑๒] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ไม่สละเสีย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส 
              กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย ไม่สละเสีย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส 
              กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่สละเสีย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส 
              กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ 
              กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ 
           กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร [๖๑๓]
 ภิกษุผู้ยังไม่ถูกสวดสมนุภาสน์ ๑ ภิกษุผู้สละเสียได้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๒ จบ.
        อรรถกถา เตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๒                                    ทุพพจสิกขาบทวรรณนา         
              ทุพพจสิกขาบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น
               ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในทุพพจสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               [แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระฉันนะ]               
        สองบทว่า อนาจารํ อาจรติ มีความว่า ย่อมกระทำการล่วงละเมิดทางกายทวารและวจีทวารมีอเนกประการ.
        คำว่า กึ นุ โข นาม นี้ เป็นการกล่าวข่ม (ผู้อื่น).    คำว่า อหํ โข นาม เป็นคำยก (ตน).    ด้วยคำว่า ตุมฺเห วเทยฺย 
        ท่านแสดงว่า เราควรจะว่ากล่าวพวกท่านว่า พวกท่าน จงกระทำอย่างนี้ อย่ากระทำอย่างนี้.
               หากผู้ถามจะถามว่า เพราะเหตุไร?           ตอบว่า เพราะพระฉันนะกล่าวหมายเอาความประสงค์เป็นต้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงม้ากัณฐกะเสด็จออกพร้อมกับเรา ทรงผนวชแล้ว. ครั้นกล่าวว่า พระธรรม
ของเราแล้ว เมื่อจะแสดงยุติในความเป็นของๆ ตนอีก จึงกล่าวว่า พระธรรมนี้ พระลูกเจ้าของเรา ได้ตรัสรู้แล้ว ดังนี้.
มีคำอธิบายว่า เพราะว่า สัจจธรรม ๔ อันพระลูกเจ้าของเราแทงตลอดแล้ว ฉะนั้น แม้พระธรรมก็เป็นของเรา.
 แต่สำคัญพระสงฆ์ว่า ตั้งอยู่ในฝักฝ่ายแห่งคนคู่เวรของตน จึงไม่กล่าวว่า พระสงฆ์ของเรา. แต่ใคร่จะกล่าวเปรียบ
      เปรย รุกรานสงฆ์ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า              เสยฺยถาปิ นาม ดังนี้.
           บทว่า ติณกฏฺฐปณฺณสฏํ ได้แก่ หญ้า ไม้ และใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นตกไป         ในสถานที่นั้นๆ. อีกอย่างหนึ่ง
         หญ้าด้วย ไม้เบาไม่มีแก่นด้วย เหตุนั้นจึงชื่อว่า หญ้าและไม้.         ใบไม้แห้ง          ชื่อว่า ปัณณสฏะ.
               บทว่า อุสฺสาเทยฺย ได้แก่ พัดไปกองรวมไว้.
               บทว่า ปพฺพเตยฺย ได้แก่ เกิดจากภูเขา. จริงอยู่ แม่น้ำนั้นมีกระแสอันเชี่ยว 
             เพราะฉะนั้น ท่านจึงระบุเอาแต่แม่น้ำนั้นเท่านั้น.
               ในคำว่า สงฺขเสวาลปณกํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สาหร่ายที่มีใบ มีรากยาว เรียกว่า จอก. สาหร่ายสีเขียว 
           เรียกว่าสาหร่าย. สาหร่ายที่เหลือ มีตะไคร้น้ำและแหนเป็นต้น แม้ทั้งหมดถึงการนับว่า แหน.
               ด้วยคำว่า เอกโต อุสฺสาทิตา ท่านแสดงว่า แม้อันใครๆ ประมวลมาแล้ว คือทำเป็นกองไว้ในที่เดียวกัน.
               บทว่า ทุพฺพจชาติโก ได้แก่ มีภาวะแห่งบุคคลผู้ว่ายาก.
               อธิบายว่า ผู้อันใครๆ ไม่อาจว่ากล่าวได้.
   แม้ในบทภาชนะแห่งบทว่า ทุพฺพจชาติโก นั้น 
บทว่า ทุพฺพโจ ได้แก่ ผู้อันเขากล่าวสอนได้โดยยาก คือโดยลำบาก.
               มีคำอธิบายว่า อันใครๆ ไม่อาจว่ากล่าวได้โดยง่าย.
               บทว่า โทวจสฺสกรเณหิ คือ (ด้วยธรรม) อันกระทำความเป็นผู้ว่ายาก.
               อธิบายว่า ก็ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ย่อมทำบุคคลให้เป็นผู้ว่ายาก, เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านั้น.
               ก็บัณฑิตพึงทราบธรรมเหล่านั้นมี ๑๙ อย่าง๑- คือ
ความเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ๑                  ความยกตนข่มผู้อื่น ๑                                ความเป็นคนมักโกรธ ๑ 
ความผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ ๑                         ความเป็นผู้มักระแวงเพราะความโกรธเป็นเหตุ ๑ 
ความเป็นผู้เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธเพราะความโกรธเป็นเหตุ ๑                      ความกลับเป็นผู้โต้เถียงโจทก์ ๑ 
ความเป็นผู้กลับรุกรานโจทก์ ๑                     ความเป็นผู้กลับปรักปรำโจทก์ ๑ ความกลบเรื่องอื่นด้วยเรื่องอื่น ๑ 
ความเป็นผู้ไม่พอใจตอบด้วยความประพฤติ ๑ ความเป็นผู้ลบหลู่ตีเสมอ ๑ ความเป็นคนริษยาเป็นคนตระหนี่ ๑
 ความเป็นคนโอ้อวดเจ้ามายา ๑      ความเป็นคนกระด้างดูหมิ่นผู้อื่น ๑ ความเป็นคนถือแต่ความเห็นของตน ๑ 
ความเป็นคนถือรั้น ๑     ความเป็นผู้ถอนได้ยาก ๑         อันมาแล้วในอนุมานสูตรตามลำดับ โดยนัยมีว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันทำความเป็นคนว่ายากเหล่าไหน? 
              ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ดังนี้ เป็นต้น.
               ผู้ใดไม่อด ไม่ทนโอวาท, เพราะเหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า อักขมะ. ผู้ใด เมื่อไม่ปฏิบัติตามที่ท่านพร่ำสอน 
              ไม่รับอนุสาสนีโดยเบื้องขวา เพราะเหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่ามีปกติไม่รับโดยเบื้องขวาซึ่งอนุสาสนี.
๑- มีเพียง ๑๘ แม้ในอนุมานสูตร ก็มีเพียง ๑๖. ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๒๑.
              บทว่า อุทฺเทสปริยาปนฺเนสุ ได้แก่ นับเนื่องในอุเทศ คือรวมลงในภายใน. ความว่า เป็นไปภายใน
ปาฏิโมกขุทเทส เพราะท่านสงเคราะห์อย่างนี้ว่า อาบัติมีแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเปิดเผย.
               สองบทว่า สหธมฺมิกํ วุจฺจมาโน ได้แก่ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบสหธรรม.
 นี้เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.
               อธิบายว่า อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ ด้วยสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อันได้นามว่า 
สหธรรมิก เพราะเป็นสิกขาอันสหธรรมิก ๕ พึงศึกษา หรือเพราะเป็นของสหธรรมิก ๕ เหล่านั้น.
               คำว่า วิรมถายสฺมนฺโต มม วจนาย มีความว่า พวกท่านว่ากล่าวข้าพเจ้าด้วยคำใด, 
จงเลิกจากคำนั้น ตามคำของข้าพเจ้า. มีคำอธิบายว่า พวกท่านจงอย่ากล่าวคำนั้นกะข้าพเจ้า.
               คำว่า วเทตุ สหธมฺเมน มีความว่า ท่านผู้มีอายุจงว่ากล่าวด้วยสิกขาบทอันเป็นสหธรรม 
หรือด้วยคำแม้อื่นอันเป็นสหธรรม คือเป็นไปเพื่อความเลื่อมใส.
             ศัพท์ว่า ยทิทํ เป็นนิบาต ลงในอรรถ คือแสดงเหตุแห่งความเจริญ.
             ด้วยคำว่า ยทิทํ นั้น ย่อมเป็นอันท่านแสดงเหตุแห่งความเจริญของบริษัทอย่างนี้ว่า การพูดแนะประโยชน์
แก่กันและกัน และการยังกันและกันให้ออกจากอาบัตินี้ใด, 
บริษัทเจริญแล้ว ด้วยการว่ากล่าวกันและด้วยการยังกันและกันให้ออกจากอาบัตินั้น.
               คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น.
               แม้สมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นกับปฐมสังฆเภทสิกขาบทนั้นแล.
               ทุพพจสิกขาบทวรรณนา จบ.  

ไม่มีความคิดเห็น: