Translate

22 สิงหาคม 2567

พระปฐมบัญญัติ พระอนุบัญญัติ จตุตถปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย อุตตริมนุสสธรรม] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

ทรงบัญญัติปฐมบัญญัติ  
             [๒๓๑] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา โดยอเนกปริยาย แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคน
เลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความ เป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความ เป็น
คนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำ
ธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้ว
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
สิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลายอาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ
รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑
 เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน
 ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของ       ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑                เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
                 ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
                               พระปฐมบัญญัติ ๔. 
อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ ความเห็น
อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้า
เห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอา ตาม
ก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน
 ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น                      ได้พูดพล่อยๆ เป็นเท็จเปล่าๆ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
               สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่
ภิกษุทั้งหลายด้วยประการ ฉะนี้ ฯ เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา จบ.
                   เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ 
              [๒๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมาก สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้เห็นว่าได้เห็น สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้ถึงว่าได้ถึง สำคัญมรรคผลอัน
ตนยังมิได้บรรลุว่าได้บรรลุ สำคัญ มรรคผลอันตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ ครั้น ต่อมา จิตของพวกเธอ
น้อมไปเพื่อความกำหนัดก็มี น้อมไปเพื่อความขัดเคืองก็มี น้อมไปเพื่อความ
หลงก็มี จึงมีความรังเกียจว่า สิกขาบทอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้ว
 แต่พวกเรา สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้เห็นว่าได้เห็น สำคัญมรรคผลที่ตนยัง
มิได้ถึงว่าได้ถึง สำคัญมรรคผล ที่ตนยังมิได้บรรลุว่าได้บรรลุ สำคัญมรรคผล
ที่ตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง จึงอวดอ้าง มรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ ท่านพระ
อานนท์ๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีอยู่
เหมือนกัน อานนท์ ข้อที่ภิกษุทั้งหลายสำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้เห็นว่าได้
เห็น สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ ถึงว่าได้ถึง สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้บรรลุ
ว่าได้บรรลุ สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ ทำให้แจ้ง จึงอวดอ้าง
มรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ แต่ข้อนั้นนั่นแล เป็นอัพโพหาริก ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ 
เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้                                    ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ 
              ๔. อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็น
ความรู ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้า
รู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตาม
ก็ตาม ไม่ถือ เอาตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้
กล่าวว่าเห็น ได้ พูดพล่อยๆ เป็นเท็จเปล่าๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้
ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้. เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ จบ.
อรรถกถา จตุตถปาราชิกสิกขาบท
พระปฐมบัญญัติและพระอนุบัญญัติ
               [ปฐมบัญญัติจตุตถปาราชิก]  
           ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงโทษแก่
พวกภิกษุผู้ไม่เห็นโทษในการกระทำความชั่วอย่างนั้นแล้ว จึงทรงติเตียน
พวกภิกษุผู้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา โดยอเนกปริยาย แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นผู้เลี้ยงยาก ความเป็นผู้บำรุงยาก ฯลฯ แล้วทรงรับสั่งว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทนี้ขึ้นอย่างนี้... ดังนี้แล้ว.
               เมื่อจะทรงบัญญัติจตุตถปาราชิก จึงตรัสว่า โย ปน ภิกฺขุ อนภิชานํ เป็นอาทิ แปลว่า อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะ ดังนี้เป็นต้น.
               [อนุบัญญัติจตุตถปาราชิก]    
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ
จตุตถปาราชิก    ทำให้หนักแน่นขึ้นด้วยอำนาจความขาดมูลอย่างนั้นแล้ว
 เรื่องสำคัญว่าได้บรรลุแม้อื่นอีกก็เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์แก่อนุบัญญัติ.
 เพื่อแสดงความเกิดขึ้นแห่งเรื่องสำคัญว่าได้บรรลุนั้น พระธรรมสังคาหกเถระ
ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้อย่างนี้ว่า ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาค
เจ้า ทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการอย่างนี้.
               [อธิมานวตฺถุวณฺณนา]         
      บรรดาบทเหล่านั้น 
             สองบทว่า อทิฏฺเฐ ทิฏฺสญฺญิโน 
ความว่า (ภิกษุทั้งหลาย) เป็นผู้มีความสำคัญในพระอรหัตผล อันตนยังมิได้
เห็นด้วยญาณจักษุเลยว่าได้เห็น ด้วยคำว่า พระอรหัตผลอันเราทั้งหลาย
เห็นแล้ว. ในพระอรหัตผลที่ตนยังมิได้ถึงเป็นต้นก็นัยนี้.
               แต่มีความแปลกกันดังต่อไปนี้ :-               บทว่า อปฺปตฺเต ความว่า ที่ตนยังมิได้ถึง ด้วยอำนาจความเกิดขึ้นในสันดานของตน.
                                    บทว่า อนธิคเต 
ได้แก่ ที่ตนยังมิได้บรรลุ ด้วยมรรคภาวนา. ความว่า อันตนยังไม่ได้บ้าง.
                                 บทว่า อสจฺฉิกเต         ได้แก่ ที่ตนยังมิได้แทงตลอดหรือยังมิได้ทำให้ประจักษ์ ด้วยอำนาจการพิจารณา.
                                   บทว่า อธิมาเนน 
ได้แก่ ด้วยความสำคัญว่าตนได้บรรลุ. อธิบายว่า ด้วยความสำคัญที่เกิดขึ้น
อย่างนี้ว่า                เราได้บรรลุแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง            ความว่า ด้วยความถือตัวยิ่ง คือด้วยมานะที่แข็งกระด้าง
                   สองบทว่า อญฺญํ พฺยากรึสุ 
ความว่า ได้พยากรณ์พระอรหัตผล คือได้บอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโส 
พวกเราได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว กิจที่ควรทำ พวกเราได้ทำเสร็จแล้ว.
 เพราะยังละกิเลสไม่ได้ด้วยมรรค จิตของเธอเหล่านั้นผู้ข่มกิเลสไว้ได้ ด้วย
อำนาจสมถะและวิปัสสนาอย่างเดียว โดยสมัยต่อมา คือในเวลาประกอบ
พร้อมด้วยปัจจัยเห็นปานนั้น ย่อมน้อมไปเพื่อความกำหนัดบ้าง. 
                     อธิบายว่า ย่อมน้อมไปเพื่อต้องการความกำหนัด.
               ในบททั้งหลายนอกนี้ ก็นัยนี้.
          ข้อว่า ตญฺจ โข เอตํ อพฺโพหาริกํ 
   มี             ความว่า ก็แล การพยากรณ์พระอรหัตนี้นั้นของเธอเหล่านั้น เป็นอัพโพหาริกยังไม่ถึงโวหาร ในการเป็นเหตุให้บัญญัติอาบัติ, 
                  อธิบายว่า ยังไม่เป็นองค์แห่งอาบัติ.
               ถามว่า ก็ความสำคัญว่าได้บรรลุนี้ ย่อมเกิดขึ้นแก่ใคร? ไม่เกิดขึ้นแก่ใคร?               แก้ว่า ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกก่อน.
         จริงอยู่ พระอริยสาวกนั้นมีโสมนัสเกิดขึ้นแล้วด้วยญาณเป็นเครื่อง
พิจารณามรรค ผล นิพพาน กิเลสที่ละได้แล้วและกิเลสที่ยังเหลือ เป็นผู้ไม่มี
ความสงสัยในการแทงตลอดอริยคุณ; เพราะเหตุนั้น มานะ (ความถือตัว) จึงไม่
เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้น ด้วยอำนาจความถือว่า
 เราเป็นพระสกทาคามีเป็นต้น. และไม่เกิดขึ้นแม้แก่บุคคลผู้ทุศีล. เพราะว่า
บุคคลผู้ทุศีลนั้นเป็นผู้หมดความหวังในการบรรลุอริยคุณทีเดียว. ทั้งไม่เกิดขึ้น
แม้แก่ผู้มีศีล ซึ่งสละกรรมฐานเสีย แล้วตามประกอบเหตุแห่งความเกียจคร้าน มีความเป็นผู้ยินดีในความหลับนอนเป็นต้น. แต่จะเกิดขึ้นแก่ท่านผู้เริ่มเจริญ
วิปัสสนา มีศีลบริสุทธิ์ดี ไม่ประมาทในกรรมฐาน ข้ามพ้นความสงสัยแล้ว
เพราะกำหนดนามรูปจับปัจจัยได้ยกไตรลักษณ์ขึ้นพิจารณาสังขารทั้งหลาย
อยู่. และความสำคัญว่าได้บรรลุเกิดขึ้นแล้วย่อมพักบุคคลผู้ได้สมถะล้วนๆ 
หรือผู้ได้วิปัสสนาล้วนๆ เสียในกลางคัน.    จริงอยู่ บุคคลนั้น เมื่อไม่เห็น
ความฟุ้งขึ้นแห่งกิเลสตลอด ๑๐ ปีบ้าง
 ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ย่อมเข้าใจว่า เราเป็นพระโสดาบัน หรือว่า เราเป็น
พระสกทาคามี หรือว่า เราเป็นพระอนาคามี. แต่ความสำคัญว่าได้บรรลุ
นั้น ย่อมตั้งบุคคลผู้ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาไว้ ในพระอรหัตผลทีเดียว.
    จริงอยู่ บุคคลนั้นข่มกิเลสทั้งหลายได้ด้วยกำลังสมาธิ กำหนดสังขารทั้งหลายได้ดีด้วยกำลังวิปัสสนา; เพราะฉะนั้น กิเลสทั้งหลายจึงไม่ฟุ้งขึ้น
ตลอด ๖๐ ปีบ้าง ๘๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง, ความเที่ยวไปแห่งจิต เป็นเหมือน
ของพระขีณาสพฉะนั้น. บุคคลนั้น เมื่อไม่เห็นความฟุ้งขึ้นแห่งกิเลส
ตลอดราตรีนานด้วยอาการอย่างนั้น   ไม่หยุดในกลางคันเลย จึงสำคัญว่า เรา                         เป็นพระอรหันต์ ฉะนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: