
อนาปตฺติเภทกถา
[อรรถาธิบายในอนาปัตตุวาร]
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความ ต่างแห่งอาบัติ ด้วยอำนาจแห่ง
วัตถุและด้วยอำนาจแห่งจิต อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงอนาบัติ จึงตรัส
คำว่า อนาปตฺติสกสญฺญิสฺส ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกสญฺญิสฺส
ได้แก่ ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของตน คือผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า ภัณฑะนี้เป็นของเรา เมื่อถือเอาแม้ซึ่งภัณฑะของผู้อื่น ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือ
เอา, ควรให้ทรัพย์ที่ตนถือเอาแล้วนั้นคืน ถ้าถูกพวกเจ้าของทวงว่า จงให้.
เธอไม่ยอมคืนให้เป็นปาราชิก ในเมื่อเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นทอดธุระ.
บทว่า วิสฺสาสคฺคาเห ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอาด้วยวิสาสะ. แต่ควรรู้ลักษณะแห่งการถือเอาด้วยความวิสาสะ โดยสูตรนี้ว่า๑-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอาอนุญาตให้ถือวิสาสะ แก่บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ เคยเห็นกันมา ๑ เคยคบกันมา ๑
เคยบอกอนุญาตกันไว้ ๑ ยังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๕๙.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺทิฏฺโฐ ได้แก่ เพื่อนเพียงเคยเห็นกัน.
บทว่า สมฺภตฺโต ได้แก่ เพื่อนสนิท.
บทว่า อาลปิโต
ได้แก่ ผู้อันเพื่อนสั่งไว้ว่า ท่านต้องการสิ่งใดซึ่งเป็นของผม ท่านพึงถือเอาสิ่งนั้นเถิด, ไม่มีเหตุในการที่ท่านจะขออนุญาตก่อน
จึงถือเอา. แม้เพื่อนผู้นอนด้วยการนอนที่ไม่ลุกขึ้น ยังไม่ถึงความขาดเด็ดแห่งชีวิตินทรีย์เพียงใด ชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่เพียงนั้น.
หลายบทว่า คหิเต จ อตฺตมโน
ความว่า เมื่อเราถือเอาแล้วเขาจะพอใจ.
การที่ภิกษุเมื่อรู้ว่า ครั้นเราถือเอาสิ่งของของผู้อื่นเห็นปานนี้แล้วเขาจักพอใจ จึงถือเอา ย่อมสมควร. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสองค์ ๕ เหล่านี้ไว้ ด้วยอำนาจแห่งการรวบรวมไว้โดยไม่มีส่วนเหลือ.๑- แต่การถือเอาด้วยวิสาสะ ย่อมขึ้นด้วยองค์ ๓ คือ
เคยเห็นกันมายังมีชีวิตอยู่ รู้ว่าเมื่อเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑
เคยคบกันมา ยังมีชีวิตอยู่ รู้ว่าเมื่อเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑
เคยบอกอนุญาตกันไว้ ยังมีชีวิตอยู่ รู้ว่าเมื่อเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑.
ส่วนเพื่อนคนใดยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อถือเอาแล้วเขาไม่พอใจ, สิ่งของๆ เพื่อนคนนั้น แม้ภิกษุถือเอาแล้วด้วยการถือวิสาสะ
ก็ควรคืนให้แก่เจ้าของเดิม, และเมื่อจะคืนให้ทรัพย์มรดก ควรคืนให้แก่เหล่า
ชนผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ของผู้นั้นก่อน จะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม,
ทรัพย์ของเพื่อนผู้ไม่พอใจ ก็ควรคืนให้ผู้นั้นนั่นเอง.
๑- ศัพท์นี้น่าจะถูกตามอรรถโยชนาว่า อเสส... จึงได้แปลไว้อย่างนั้น.
ส่วนภิกษุใดพลอยยินดีตั้งแรกทีเดียวด้วยการเปล่งวาจาว่า ท่านเมื่อถือเอา
ของๆ ผมชื่อว่าทำชอบแล้ว หรือเพียงจิตตุปบาทเท่านั้น ภายหลังโกรธด้วย
เหตุบางอย่าง. ภิกษุนั้นย่อมไม่ได้เพื่อจะให้นำมาคืน. แม้เธอรูปใดไม่ประสงค์จะให้แต่รับคำไว้ด้วยจิตไม่พูดอะไรๆ แม้เธอรูปนั้นก็ย่อมไม่ได้เพื่อ
จะให้นำมาคืน. ส่วนภิกษุใด เมื่อเพื่อนภิกษุพูดว่า สิ่งของของท่าน ผม
ถือเอาแล้ว หรือผมใช้สอยแล้ว จึงพูดว่า สิ่งของนั้น ท่านจะถือเอาหรือใช้สอย
แล้วก็ตาม, แต่ว่าสิ่งของนั้น ผมเก็บไว้ด้วยกรณีบางอย่างจริงๆ ท่านควรทำสิ่งของนั้นให้เป็นปกติเดิม ดังนี้ ภิกษุนี้ย่อมได้เพื่อให้นำมาคืน.
บทว่า ตาวกาลิเก
ความว่า สำหรับภิกษุผู้ถือเอาด้วยคิดอย่างนี้ว่า เราจักให้คืน จักทำคืน ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอาแม้เป็นของยืม. แต่สิ่งของที่
ภิกษุถือเอาแล้ว ถ้าบุคคลหรือคณะผู้เป็นเจ้าของๆ สิ่งของอนุญาตให้ว่า
ของสิ่งนั่นจงเป็นของท่านเหมือนกัน ข้อนี้เป็นการดี ถ้าไม่อนุญาตไซร้,
เมื่อให้นำมาคืน ควรคืนให้. ส่วนของๆ สงฆ์ ควรให้คืนทีเดียว.
ก็บุคคลผู้เกิดในเปรตวิสัยก็ดี เปรตผู้ที่ทำกาละแล้ว เกิดในอัตภาพ
นั้นนั่นเองก็ดี เทวดาทั้งหลายมีเทวดาชั้นจาตุม
มหาราชิกเป็นต้นก็ดี, ทั้งหมดถึงความนับว่า เปรต เหมือนกันในคำว่า
เปตปริคฺคเห นี้ไม่เป็นอาบัติในทรัพย์อันเปรตเหล่านั้นหวงแหน.
จริงอยู่ ถ้าแม้ท้าวสักกเทวราชออกร้านตลาดประทับนั่งอยู่,
และภิกษุผู้ได้ทิพยจักษุรู้ว่าเป็นท้าวสักกะ แม้เมื่อท้าวสักกะนั้นร้องห้ามอยู่ว่า อย่าถือเอาๆ ก็ถือเอาผ้าสาฎกแม้มีราคาตั้งแสน เพื่อประโยชน์แก่จีวรของ
ตนไป, การถือเอานั้น ย่อมควร. ส่วนในผ้าสาฎกที่เหล่าชนผู้ทำพลีกรรมอุทิศพวกเทวดา คล้องไว้ที่ต้นไม้เป็นต้น ไม่มีคำที่ควรจะกล่าวเลย.
บทว่า ติรจฺฉานคตปริคฺคเห ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติ เพราะทรัพย์แม้พวกสัตว์ดิรัจฉานหวงแหน.
จริงอยู่ แม้พวกพญานาคหรือสุบรรณมาณพแปลงรูปเป็นมนุษย์ ออก
ร้านตลาดอยู่, และมีภิกษุบางรูปมาถือเอาสิ่งของๆ พญานาคหรือของสุบรรณ
มาณพนั้นจากร้านตลาดนั้นไปโดยนัยก่อนนั่นเอง, การถือเอานั้น ย่อมควร.
ราชสีห์หรือเสือโคร่งฆ่าสัตว์มีเนื้อและกระบือเป็นต้นแล้ว แต่ยังไม่เคี้ยวกิน ถูกความหิวเบียดเบียน ไม่พึงห้ามในตอนต้นทีเดียว เพราะว่ามันจะ
พึงทำแม้ความฉิบหายให้. แต่ถ้าเมื่อราชสีห์เป็นต้นเคี้ยวกินเนื้อเป็นอาทิไป
หน่อยหนึ่งแล้ว สามารถห้ามได้ จะห้ามแล้วถือเอาก็ควร. แม้จำพวกนกมีเหยี่ยว
เป็นต้นคาบเอาเหยื่อบินไปอยู่ จะไล่ให้มันทิ้งเหยื่อให้ตกไป แล้วถือเอาก็ควร.
บทว่า ปํสุกูลสญฺญิสฺส
ความว่า แม้สำหรับภิกษุผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า สิ่งของนี้ไม่มีเจ้าของ เกลือกกลั้วไปด้วยฝุ่น ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอา.
แต่ถ้าสิ่งของนั้นมีเจ้าของไซร้, เมื่อเขาให้นำมาคืน ก็ควรคืนให้.
บทว่า อุมฺมตฺตกสฺส
ความว่า ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุผู้เป็นบ้าซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น.
บทว่า อาทิกมฺมิกสฺส
ความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่พระธนิยะผู้เป็นอาทิกัมมิกะ (ผู้เป็นต้นบัญญัติ) ในสิกขาบทนี้. แต่สำหรับภิกษุฉัพพัคคีย์เป็นต้น
ผู้เป็นโจรลักห่อผ้าของช่างย้อมเป็นอาทิที่เหลือ เป็นอาบัติทีเดียวฉะนี้แล.
จบการพรรณนาบทภาชนีย์
[ปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น]
ก็ในปกิณกะนี้ คือ
สมุฏฐาน ๑ กิริยา ๑ สัญญา ๑
สจิตตกะ ๑ โลกวัชชะ ๑ กรรมและกุศล
พร้อมด้วยเวทนา ๑
บัณฑิตพึงทราบคำทั้งหมด โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในปฐมสิกขาบทนั่นเองว่า สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ คือ
เป็นสาหัตถิกะเกิดทางกายและทางจิต,
เป็นอาณัตติกะ เกิดทางวาจาและทางจิต,
เป็นสาหัตถิกะและอาณัตติกะ เกิดทางกาย ทางวาจาและทางจิต
และเกิดเพราะทำ. จริงอยู่ เมื่อทำเท่านั้นจึงต้องอาบัตินั้น เมื่อไม่ทำก็ไม่
ต้อง. เป็นสัญญาวิโมกข์ เพราะพ้นด้วยไม่มีสำคัญว่า เราจะถือเอาสิ่งของที่
เจ้าของเขาไม่ได้ให้, เป็นสจิตตกะ เป็นโลกวัชชะ เป็นกายกรรม เป็นวจีกรรม เป็นอกุศลจิต, ภิกษุยินดี หรือกลัว หรือวางตนเป็นกลาง
จึงต้องอาบัตินั้น เพราะเหตุนั้น สิกขาบทนี้จึงชื่อว่ามีเวทนา ๓.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น