ภุมฺมฏฺฐกถา
วินิจฉัยกถาพร้อมด้วยวรรณนาบทที่ไม่ตื้น
[อรรถาธิบายภิกษุลักดูดเอาเนยใสเป็นต้นเป็นปาราชิก]
ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า
เมื่อภิกษุดื่มของที่เป็นน้ำอย่างใดอย่างหนึ่งมีเนยใสเป็นต้น เมื่อเนยใสเป็นต้น
นั้น มาตรว่าเธอดื่มแล้วด้วยประโยคอันเดียวก็เป็นปาราชิก. แต่ในอรรถกถาทั้ง
หลายมีมหาปัจจรีเป็นต้น ท่านแสดงวิภาคนี้ไว้ว่า เมื่อภิกษุดื่มไม่ชักปากออก และเนยใสเป็นต้นที่เข้าไปในลำคอยังไม่ได้บาท รวมกับที่อยู่ในปากจึงได้บาท
ยังรักษาอยู่ก่อน. แต่ในเวลาที่เนยใสเป็นต้นขาดตอนเพียงคอนั่นเอง ย่อม
เป็นปาราชิก. ถ้าแม้ภิกษุกำหนดตัดด้วยริมฝีปากทั้งสองข้างหุบปาก ก็ต้อง
ปาราชิกเหมือนกัน. แม้เมื่อดื่มด้วยก้านอุบลหลอดไม้ไผ่และหลอดอ้อเป็นต้น และถ้าที่อยู่ในลำคอนั่นแลได้ราคาบาทหนึ่ง เป็นปาราชิก. ถ้ารวมกับที่
อยู่ในปากจึงได้บาทหนึ่ง. เมื่อเนยใสเป็นต้นนั้นสักว่าภิกษุกำหนดตัดด้วยริม
ฝีปากทั้งสองข้าง ให้ความเนื่องเป็นอันเดียวกันกับที่อยู่ในก้านอุบลเป็นต้น
ขาดตอนกัน เป็นปาราชิก. ถ้ารวมกับที่อยู่ในก้านอุบลเป็นต้นจึงได้ราคาบาทหนึ่ง เป็นปาราชิก ในเมื่อมาตรว่าภิกษุเอานิ้วมืออุดก้นแห่งก้านอุบลเป็นต้นเสีย. แต่เมื่อเนยใสเป็นต้น
ซึ่งมีราคาได้บาทหนึ่ง ยังไม่ไหลเข้าไปในลำคอ
ทั้งในก้านอุบลเป็นต้น ทั้งในปาก แม้มีค่าเกินกว่าบาทหนึ่ง แต่เป็นของเนื่องเป็นอันเดียวกันตั้งอยู่ ยังรักษาอยู่ก่อนแล.
คำแม้ทั้งหมดที่กล่าวในมหาปัจจรีเป็นต้นนั้น ย่อมสมนัยนี้ว่า ภิกษุทำให้ทรัพย์เข้าในภาชนะของตนก็ดี ตัดกำเอาก็ดี ดังนี้ เพราะเหตุนั้น (คำที่
ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามีมหาปัจจรีเป็นต้นนั้น) เป็นอันท่านแสดงไว้ชอบแล้วแล.
ในภัณฑะที่ติดเนื่องเป็นอันเดียวกันได้มีนัยเท่านี้ก่อน.
ก็ถ้าภิกษุเอามือก็ดี บาตรก็ดี ภาชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีถาดเป็นต้นก็ดี ตักดื่ม, เนยใสเป็นต้นจะครบราคาบาทหนึ่งในประโยคใด เมื่อทำประโยค
นั้นแล้ว ต้องปาราชิก. ถ้าเนยใสเป็นต้นเป็นของมีราคามาก ทั้งเป็นของที่เอา
ถือเอาได้ราคาบาทหนึ่ง ด้วยเพียงประโยคเดียวแล แม้
ด้วยช้อนในเมื่อยกขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น เป็นปาราชิก.
อนึ่ง เมื่อภิกษุกดภาชนะให้จมลงแล้วตักเอา, เนยใสเป็นต้นนั้นยังเนื่อง
เป็นอันเดียวกันเพียงใด ยังรักษาอยู่เพียงนั้น. เป็นปาราชิกด้วยการขาด
เด็ดแห่งขอบปาก หรือด้วยการยกขึ้น. ก็เนยใสหรือน้ำม้น หรือน้ำผึ้งและน้ำอ้อยที่ใส เช่นกับน้ำนั่นแล ภิกษุเอียงหม้อให้ไหลเข้าภาชนะของตนเมื่อใด.
เมื่อนั้น ความเนื่องเป็นอันเดียวกันย่อมไม่มี เพราะเหตุที่สิ่งเหล่านั้นเป็นของใส เพราะฉะนั้น เมื่อเนยใสเป็นต้นซึ่งได้ราคา
บาทหนึ่ง สักว่าไหลออกจากขอบปาก เป็นปาราชิก.
ส่วนน้ำผึ้งและน้ำอ้อยที่เขาเคี่ยวตั้งไว้ เหนียวคล้ายยาง เป็นของควรชักไปมาได้. เมื่อความรังเกียจเกิดขึ้น ภิกษุอาจนำกลับคืนมาได้ เพราะเป็น
ของติดกันเป็นอันเดียวนั่นเอง. น้ำผึ้งและน้ำอ้อยชนิดนั้น แม้ออกจากขอบ
ปากเข้าไปในภาชนะแล้ว ก็ชื่อว่ายังรักษาอยู่ เพราะเป็นของติดเนื่องเป็นอัน
เดียวกันกับส่วนข้างนอก แต่พอเมื่อสักว่าขาด จากขอบปากแล้ว จึงเป็นปาราชิก.
แม้ภิกษุใดใส่ผ้าเนื้อหนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะดื่มเนยใสหรือน้ำมันได้ราคาบาทหนึ่งอย่างแน่นอน ลงในหม้อของผู้อื่น
ด้วยไถยจิต พอหลุดจากมือ ภิกษุนั้นก็ต้องปาราชิก.
ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุรู้ว่า บัดนี้ เขาจักใส่นํ้ามัน มีไถยจิตใส่ภัณฑะอย่างใดอย่างหนึ่งลงในหม้อเปล่า.
ถ้าภัณฑะนั้นจะดื่มได้ราคา ๕ มาสก ในเมื่อนํ้ามันเขาใส่หม้อนั้นแล้ว เมื่อภัณฑะนั้นสักว่าดื่มนํ้ามันนั้นแล้ว เป็นปาราชิก.
แต่คำนั้นย่อมแย้งกับคำวินิจฉัยว่าด้วยการทำรางแห้งให้ตรงในบึงที่แห้ง
ในมหาอรรถกถานั้นนั่นเอง. จริงอยู่ ลักษณะแห่งอวหารในคำนี้ไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรเชื่อถือ. ส่วนในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น
ท่านปรับเป็นปาราชิกในเมื่อยกภัณฑะนั้นขึ้น. คำนั้นใช้ได้.
ภิกษุวางภัณฑะมีหนังเป็นต้น ในหม้อเปล่าของผู้อื่น เพื่อต้องการจะ
เก็บซ่อนไว้ เมื่อเขาใส่นํ้ามันลงในหม้อนั้นแล้ว (เธอ) กลัวว่า ถ้าผู้นี้จักทราบ
เขาจักจับเรา จึงยกภัณฑะที่ดื่มนํ้ามันไว้แล้วได้ราคาบาทหนึ่งขึ้นด้วยไถยจิต ต้องปาราชิก. ยกขึ้นด้วยจิตบริสุทธิ์ เมื่อผู้อื่นเอาไปเสีย เป็นภัณฑไทย.
อธิบายว่า สิ่งของใดของผู้อื่นหายไป ต้องใช้ราคาสิ่งของนั้น หรือใช้สิ่งของนั้นนั่นเอง ชื่อว่าภัณฑไทย. ถ้าไม่ใช่ให้ ต้องปาราชิกในเมื่อเจ้าของ
ทอดธุระ. แต่ถ้าผู้อื่นใส่เนยใสหรือนํ้ามันลงในหม้อของภิกษุนั้น ภิกษุผู้เจ้าของ
หม้อนี้ก็ใส่ภัณฑะที่จะดื่มนํ้ามันได้ลงแม้ในหม้อนั้น ด้วยไถยจิต เป็นปาราชิกตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
ภิกษุรู้ว่าเนยใสหรือนํ้ามันที่ผู้อื่นใส่ไว้ในหม้อเปล่าของตน จึงใส่
ภัณฑะลงไปด้วยไถยจิต เป็นปาราชิกในขณะที่ยกขึ้น ตามนัยก่อนเหมือนกัน.
มีจิตบริสุทธิ์ใส่ลงไป ภายหลังจึงยกขึ้นด้วยไถยจิต เป็นปาราชิกเหมือนกัน. มี
จิตบริสุทธิ์แท้ ยกขึ้นไม่เป็นอวหาร ไม่เป็นสินใช้. แต่ในมหาปัจจรีกล่าวไว้แต่
เพียงอนาบัติเท่านั้น. ในกุรุนที ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุเคืองขัดใจว่า ท่านใส่นํ้ามันลงในหม้อของเราทำไม ดังนี้แล้วยกภัณฑะขึ้นเททิ้งเสีย ไม่เป็นภัณฑไทย.
ภิกษุใคร่จะให้นํ้ามันไหล จึงจับที่ขอบปากเอียงหม้อด้วยไถยจิต เมื่อนํ้ามันไหลไปได้ราคาถึงบาท ต้องปาราชิก. ภิกษุมีไถยจิตแท้ ทำหม้อให้ร้าวด้วย
คิดว่า นํ้ามันจะไหลไปเสีย เมื่อนํ้ามันไหลไปได้ราคาถึงบาท ต้องปาราชิก.
ภิกษุมีไถยจิตนั้นแล กระทำหม้อให้เป็นช่องทะลุ ควํ่าหงายหรือตะแคง.
ก็แลคำนี้เป็นฐานะแห่งความฉงน เพราะฉะนั้น ควรสังเกตให้ดี.
ก็ในคำว่า ควํ่า เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ช่องปากลงข้างล่าง ชื่อว่าควํ่า. ช่องปากขึ้นข้างบน
ชื่อว่าหงาย. ช่องปากไปตรงๆ เหมือนกระบวย
ชื่อว่าตะแคง. บรรดาการทำควํ่าเป็นต้นนั้น เมื่อนํ้ามันได้ราคาถึงบาทไหลออกจากภายในช่องที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งตนทำไว้จำเดิม
แต่ภายนอก ถึงจะไม่ไหลออกไปภายนอก ก็เป็นปาราชิก.
เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่า นํ้ามันพอไหลออกไปจากภายในนั้นเท่านั้น ก็ชื่อว่าไหลออกไปภายนอก จะนับว่าอยู่ภายในหม้อไม่ได้ คือไม่ตั้งอยู่ในหม้อ. เมื่อนํ้ามัน
ได้ราคาถึงบาท ไหลออกไปจากภายนอกช่อง ที่ตนทำไว้จำเดิมแต่ภายใน เป็นปาราชิก. เมื่อนํ้ามันได้ราคาถึงบาทไหลออกไปจากภายนอกช่องข้างบน
ที่ตนทำไว้โดยอาการใดๆ ก็ตาม เป็นปาราชิก.
ในอรรถกถาทั้งหลาย ท่านกล่าวไว้ว่า แท้จริง นํ้ามันนั้นยังไม่ไหล
จากภายในไปภายนอกเพียงใด ก็ชื่อว่ายังอยู่ภายในหม้อเพียงนั้นนั่นแล.
พระวินัยธรพึงปรับ (อาบัติปาราชิก) ด้วยอำนาจนํ้ามันที่ไหลออกจากตรงกลางกระเบื้องแห่งช่องที่อยู่ตรงกลาง.
ก็คำที่กล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายนั้น ย่อมสมกับการทำลายคันคู
ของสระ ในเมื่อภิกษุกระทำช่องตั้งแต่ภายในและภายนอก เว้นตรงกลางไว้.
แต่เมื่อภิกษุกระทำช่องจำเดิมแต่ภายในแล้ว พระวินัยธรควรปรับอาบัติด้วยช่องภายนอก, เมื่อทำช่องจำเดิมแต่ภายนอกแล้ว ควรปรับด้วยช่องภายใน. คำ
ที่ท่านกล่าวไว้ในช่องที่กำหนดด้วยตรงกลางนี้ ดังพรรณนามานี้ ใช้ได้.
ก็ภิกษุใดนำออกซึ่งเชิงรองหรือก้อนเส้าแห่งหม้อ ด้วยไถยจิตว่า หม้อจักกลิ้งไป เมื่อหม้อกลิ้งไป เป็นปาราชิก. อนึ่ง เมื่อภิกษุรู้ความที่เขาจะริน
นํ้ามันใส่ ทำความร้าวหรือช่องแห่งหม้อเปล่าไว้เป็นภัณฑไทย โดยประมาณแห่งนํ้ามันที่รั่วออกในภายหลัง. แต่ในอรรถกถาทั้งหลาย บางแห่งท่านเขียนไว้
ว่า เป็นปาราชิก ดังนี้ก็มี. นั่นเขียนไว้ด้วยความพลั้งพลาด.
ภิกษุทำไม้หรือหินให้เป็นอันตนผูกไว้ไม่ดี หรือตั้งไม้หรือหินให้เป็น
ของอันตนตั้งไว้ไม่ดี ในเบื้องบนแห่งหม้อเต็ม ด้วยไถยจิตว่า มันจักตกไป
ทำลาย นํ้ามันจักไหลออกจากหม้อนั้น. ไม้หรือหินนั้นจะต้องตกอย่างแน่นอน เมื่อภิกษุทำอย่างนั้น เป็นปาราชิกในขณะทำเสร็จ. ทำอย่างนั้นในเบื้องบนแห่ง
หม้อเปล่า ไม้หรือหินนั้นตกไปทำลายในกาลที่หม้อนั้นเต็ม ในภายหลังเป็นภัณฑไทย.
จริงอยู่ ในฐานะเช่นนี้ยังไม่เป็นปาราชิกในเบื้องต้นทีเดียว เพราะประโยคอันภิกษุทำแล้วในกาลที่ของไม่มี. แต่เป็นภัณฑไทย เพราะทำของให้
เสีย. เมื่อเขาให้นำมาให้ ไม่ให้เขาเป็นปาราชิก เพราะการทอดธุระแห่งเจ้าของทั้งหลาย.
ภิกษุทำเหมืองให้ตรงด้วยไถยจิตว่า หม้อจักกลิ้งไป หรือนํ้าจักยังนํ้ามันให้
ล้นขึ้น หม้อกลิ้งไปก็ตาม นํ้ามันล้นขึ้นก็ตาม เป็นปาราชิกในเวลาที่ทำให้ตรง.
จริงอยู่ ประโยคเช่นนี้ๆ ถึงความสงเคราะห์ได้ในบุพประโยคาวหาร. เมื่อเหมืองแห้งอันภิกษุทำให้ตรงไว้แล้ว นํ้าไหลมาทีหลัง
หม้อกลิ้งไปก็ตาม นํ้ามันล้นขึ้นก็ตาม เป็นภัณฑไทย. เพราะเหตุไร? เพราะไม่มีประโยค คือการให้เคลื่อนจากฐาน. ลักษณะแห่งประโยค คือ
การให้เคลื่อนจากฐานนั้น จักมีแจ้งในของที่ตั้งอยู่ในเรือ.
[อรรถาธิบายคำว่า ภินฺทิตฺวา เป็นต้น]
พึงทราบวินิจฉัยในบททั้งหลายมีบทว่า ตตฺเถว ภินฺทติ วา เป็นต้น ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาดังนี้ก่อน.
บทว่า ทำลายก็ดี นั้น โดยอรรถว่า ทุบทำลายด้วยไม้ค้อน.
บทว่า เทก็ดี นั้น โดยอรรถว่า เทนํ้าหรือทรายลงในนํ้ามันล้นขึ้น.
บทว่า ยังไฟให้ไหม้ก็ดี นั้น โดยอรรถว่า นำฟืนมาแล้วยังไฟให้ไหม้.
บทว่า ให้เป็นของบริโภคไม่ได้ นั้น โดยอรรถว่า ทำให้เป็นของพึงเคี้ยวไม่ได้ หรือพึงดื่มไม่ได้ คือยังอุจจาระ หรือ
ปัสสาวะ หรือยาพิษ หรือของเป็นเดน หรือซากศพให้ตกลงไป.
บทว่า ต้องอาบัติทุกกฏ นั้น โดยอรรถว่า เป็นทุกกฏเพราะไม่มีการให้เคลื่อนจากฐาน. ญาณพิเศษนี้
ชื่อว่าพุทธวิสัย. แม้จะเป็นทุกกฏก็จริง แต่เมื่อเจ้าของให้นำมาให้เป็นภัณฑไทย.
ใน ๔ บทนั้น สองบทเบื้องต้นไม่สม. เพราะสองบทนั้น เป็นลักษณะ
อันเดียวกันกับการทำความร้าวของหม้อและการทำเหมืองให้ตรง. ส่วนสองบท
เบื้องหลัง แม้ยังวัตถุให้เคลื่อนจากฐาน ก็อาจทำได้. เพราะฉะนั้น อาจารย์พวกหนึ่งจึงกล่าววินิจฉัยในคำนี้ไว้อย่างนี้.
ได้ยินว่า ในอรรถกถา คำว่า เป็นทุกกฏ เพราะไม่มีการให้เคลื่อนจาก
ฐาน นี้ ท่านกล่าวหมายเอาสองบทเบื้องหลัง. จริงอยู่ ภิกษุไม่ทำการให้เคลื่อน
จากฐานเลย พึงเผาเสียก็ดี พึงทำให้เป็นของใช้สอยไม่ได้ก็ดี ด้วยไถยจิตหรือเพราะต้องการจะให้การเสียหาย, แต่ในสองบทเบื้องต้น เมื่อภิกษุทำลายหรือ
เทโดยนัยที่กล่าวแล้ว การให้เคลื่อนจากฐานย่อมมีได้ เพราะฉะนั้น เมื่อทำอย่างนั้น เป็นภัณฑไทยเพราะใคร่จะให้เสียหาย เป็นปาราชิกด้วยไถยจิต ดังนี้แล.
หากมีผู้แย้งว่า คำนั้นไม่ชอบ เพราะท่านกล่าวไว้ในพระบาลีว่า เป็นทุกกฏ.
พึงเฉลยว่า จะเป็นคำไม่ชอบหามิได้ เพราะมีอรรถที่จะพึงถือเอาโดยประการอื่น. จริงอยู่ ในฝักฝ่ายแห่งไถยจิตในพระบาลี อาจารย์พวกหนึ่ง
กล่าวอย่างนี้ว่า บทว่า ทำลายก็ดี นั้น โดยอรรถว่า เจือด้วยนํ้า
บทว่า เท ก็ดีนั้น โดยอรรถว่า เททรายหรือ อุจจาระ หรือ ปัสสาวะ ลงในเภสัชมีนํ้ามันเป็นต้นนั้น ดังนี้.
ส่วนสาระในคำนี้ ดังต่อไปนี้ :-
ภิกษุไม่ประสงค์จะให้เคลื่อนจากฐานเลย ทำลายอย่างเดียว ดุจภิกษุเผาหญ้าในวินีตวัตถุ.
แต่เภสัชมีนํ้ามันเป็นต้นย่อมไหลออกได้ เพราะหม้อทำลายแล้ว. ก็หรือว่า
ในเภสัชเหล่านั้น เภสัชใดเป็นของแห้ง เภสัชนั้นยังยึดกันตั้งอยู่ได้เทียว.
อนึ่ง ภิกษุไม่ประสงค์จะเทนํ้ามันเลย เทนํ้าหรือทรายเป็นต้นลงในหม้อนั้นอย่างเดียว. แต่นํ้ามันก็เป็นอันภิกษุนั้นเท เพราะได้เทนํ้าหรือทรายเป็นต้นนั้น
ลงไป เพราะฉะนั้น ด้วยอำนาจโวหาร ท่านจึงเรียกว่า ทำลายก็ดี เทก็ดี.
ผู้ศึกษาพึงถือเอาใจความแห่งบทเหล่านี้ดังกล่าวมาฉะนี้.
ส่วนในฝ่ายแห่งความเป็นผู้ใคร่จะให้ฉิบหาย เป็นทุกกฏ ถูกต้องแม้โดยประการนอกนี้. จริงอยู่ เมื่อท่านกล่าวอธิบายความอยู่อย่างนี้ บาลี
และอรรถกถาย่อมเป็นอันท่านสอบสวน กล่าวดีแล้วโดยเบื้องต้นและเบื้องปลาย. แต่ไม่ควรทำความพอใจแม้ด้วยคำอธิบายเพียงเท่านี้
พึงเข้าไปนั่งใกล้อาจารย์ทั้งหลายแล้วทราบข้อวินิจฉัยแล.
จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในแผ่นดิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น