[๑๕๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุณี ๒ รูปอันความกระสันบีบคั้นแล้วเข้าห้องน้อยแล้วทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกัน. ภิกษุณีทั้งหลายพรูกันเข้ามาตามเสียงสัมผัสนั้นแล้วได้ถามสองภิกษุณีนั้นดังนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย เหตุไฉนพวกท่านจึงทำมิดีมิร้ายกับบุรุษ.
ภิกษุณีสองรูปนั้นตอบว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกดิฉันมิได้ทำมิดีมิร้ายกับบุรุษ ภิกษุณีสองรูปนั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกันเล่า
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกัน จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกันเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ ๕๘. ๓. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะสัมผัสบริเวณองค์รหัส.
เรื่องภิกษุณี ๒ รูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๑๕๘] ที่ชื่อว่า สัมผัสบริเวณองค์รหัส คือ ภิกษุณียินดีสัมผัสให้ตบที่องค์รหัส โดยที่สุดแม้ด้วยกลีบบัว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปัตติวาร
[๑๕๙] มีเหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า ตลฆาฏเก คือ ในเพราะสัมผัสบริเวณองค์รหัส (ในเพราะสัมผัสบริเวณทวารเบา).
ในคำว่า อนฺตมโส อุปฺปลปตฺเตนปิ นี้ มีวินิจฉัยว่า กลีบบัวค่อนข้างจะโตไป. เมื่อให้ตบแม้ด้วยเกสรบัว ก็เป็นอาบัติเหมือนกัน.
บทว่า อาพาธปจฺจยา มีความว่า จะตบฝี หรือแผล ควรอยู่.
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ฉะนี้แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น