Translate

03 กรกฎาคม 2568

Hellboy: The Crooked Man (2024) เฮลล์บอย: นรกปราบนรก

Hellboy: The Crooked Man is a 2024 American superhero horror film, based on the Dark Horse Comics character Hellboy created by Mike Mignola. Produced by Millennium Media, Dark Horse Entertainment, Nu Boyana Film Studios, and Campbell Grobman Films, it is the second reboot of the Hellboy film series and is the fourth live-action entry in the franchise. Wikipedia  
Hellboy: The Crooked Man (2024) เฮลล์บอย ฮีโร่พันธุ์นรก 4
4.5
  • ปีที่ฉาย : 2024
  • ความยาว : 1 ชั่วโมง 31 นาที
Hellboy: The Crooked Man (2024) เฮลล์บอย ฮีโร่พันธุ์นรก 4: นรกปราบนรก ภาพยนตร์แอ็คชั่นสยองขวัญซูเปอร์ฮีโร่อเมริกัน เรื่องราวของ Hellboy และเจ้าหน้าที่ B.P.R.D. มือใหม่ในปี 1950 ถูกส่งไปยังเทือกเขาแอปพาเลเชียน ซึ่งพวกเขาค้นพบชุมชนห่างไกลที่มีแม่มดครอบงำและนำโดยปีศาจท้องถิ่นผู้ชั่วร้ายที่ชื่อว่า Crooked Man
แหล่งที่มา
เปลี่ยน
             ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการ รีบูตครั้งที่สอง ใน ซีรีส์ภาพยนตร์Hellboyและเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นเรื่องที่สี่ในซีรีส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Brian Taylorจากบทภาพยนตร์ที่เขาร่วมเขียนกับ Mignola และ Christopher Golden
             สำนักพิมพ์ ดาร์กฮอร์สคอมิกส์ การปรากฏตัวครั้งแรก งาน San Diego Comic-Conครั้งที่ 2 ปี 1993 ผู้สร้าง ไมค์ มิญโญล่า ข้อมูลในเรื่องราว ชื่อจริง อานุง อุน รามา ชื่อเล่นที่สำคัญ สัตว์ร้ายผู้ยิ่งใหญ่ สัตว์ร้ายแห่งวันสิ้นโลก
             อำนาจของพวกเขา ความรู้และประสบการณ์ของเขาในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ พละกำลังและความทนทานของปีศาจ ภูมิคุ้มกันต่อไฟ การรักษาที่รวดเร็ว สามารถพูดภาษาต่างๆ ได้ มือขวาแห่งความหายนะที่อยู่ยงคงกระพันคือกุญแจสำคัญสู่การสิ้นสุดของโลก และจะได้สวมมงกุฎแห่งไฟแห่งความหายนะในนรก
             Hellboy เป็น ปีศาจ ที่ถูก นักเล่นไสยศาสตร์ นาซี ชื่อAnung Un Rama นำมาสู่โลกเมื่อตอนที่เขายัง เป็นเด็ก เขาได้รับการช่วยเหลือจาก กองกำลังพันธมิตรและ ได้รับการเลี้ยงดูโดย สำนักงานวิจัยและป้องกันปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติแห่งสหรัฐอเมริกา (PASB) เมื่อเขา เติบโตขึ้น เขาก็กลายร่างเป็นปีศาจตัวใหญ่สีแดง มี หางเขาและมือขวาเป็นหินขนาดใหญ่ แม้ว่า Hellboy จะเป็นตัวละครที่ค่อนข้างหงุดหงิด แต่เขาก็ไม่ได้มีความชั่วร้ายโดยธรรมชาติอย่างที่เชื่อกันว่าปีศาจมี และทำงานร่วมกับสิ่งมีชีวิตประหลาดอื่นๆ ใน PASB เขาเป็นที่รู้จักในนาม "นักสืบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"
             Hellboy ปรากฏในหนังสือการ์ตูนมินิซีรีส์ที่ตีพิมพ์โดย Dark Horse Comics ซึ่งได้รับอิทธิพลจากนิยายผจญภัยและนิยายสยองขวัญ ซีรีส์นี้ กลายเป็นหนังสือการ์ตูนซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดที่ไม่ได้ตีพิมพ์โดยMarvel Comics , DC ComicsหรือFile Comics
             ภาพยนตร์ Hellboyปี 2004 นำแสดงโดย Ron Perlman ในบท Hellboy ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ ภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องHellboy 2: The Golden Armyออกฉายในปี 2008 Hellboy: Sword of Storms เป็นอนิเมะ 1 ใน 2 เรื่อง ที่ออกฉายโดยตรงใน รูป แบบดีวีดีออกฉายเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2007
Hellboy ถูกนำมายังโลกโดยสายฟ้าจากประตูมิติที่เปิดออกสู่นรกโดยGrigori Rasputinซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม (โครงการ Ragnarok) ที่ดำเนินการโดยทีมนาซีคอมมานโดเพื่อชนะสงครามโลกครั้งที่สอง (East Bromwich, อังกฤษ , 24 ธันวาคม 1944) เมื่อ Hellboy มาถึงโลก เขาถูกหน่วยลาดตระเวน ของอเมริกา พบ โดยได้รับมอบหมายให้ค้นหาว่าทีมนาซีคอมมานโดกำลังทำอะไรอยู่ และ ได้รับชื่อ "Hellboy" โดยTrevor Bruttenholmซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีม
 หลังจากที่พบ Hellboy เขาก็ถูกนำตัวไปยังอเมริกา และเติบโตขึ้นใน สำนักงานวิจัยและป้องกันปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติจนกลายเป็นนักสืบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ โดยเขาได้พบกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง ลิซ เชอร์แมน โยฮันน์ ครอส และอับราฮัม เซเปียน ในการผจญภัยของเขา เขาจะต้องต่อสู้กับแวมไพร์ มนุษย์หมาป่าพวกนาซีผีและศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา รวมถึงสาเหตุที่เขาถูกนำมาสู่โลกนี้ นั่นก็คืออ็อกดรู จาฮัด และคนรับใช้ของเขา จอมเวทย์เกรกอร์ ราสปูติน
 พ่อของ Hellboy ปรากฏตัวต่อหน้าผู้อ่านในเรื่อง Hellboy: Chained Coffinเขาเป็นปีศาจที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Hellboy มาก เขามีม้าปีศาจขนาดยักษ์และตะขอหลายอันห้อยอยู่กับมัน เขาพาผู้ที่เชื่อในตัวเขาและต้องการพลังของเขาเมื่อพวกเขาตายและพาพวกเขาติดตัวไปด้วยบนตะขอของเขา เขามีขนาดใหญ่กว่า Hellboy อย่างน้อย 30 เท่าและมีเขา แม่ของเขาเป็นมนุษย์ ( แม่มด ) และเมื่อเธออายุ 16 ปี เธอต้องการพลังของปีศาจตัวนี้และพลังนั้นก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตภายในตัวเธอ เมื่อผู้หญิงคนนั้นตาย Hellboy ก็เกิดในนรก
         อับราฮัม อาเบะ เซเปียน:   ชายเงือกและคู่หูของเฮลล์บอย เขาถูกพบในห้องใต้ดินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในวอชิงตัน ดี.ซี. ไม่มีข้อมูลว่าเขาเกิดมาได้อย่างไร แต่ชื่อของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากข้อความบนแคปซูลที่เขาอยู่ในนั้น อิคทิโอ เซเปียน 14 เมษายน ค.ศ. 1865 (วันที่เขาเสียชีวิต อับราฮัม "อาเบะ" ลินคอล์น)
         ลิซ เชอร์แมน:   เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 1962 ที่รัฐแคนซัส มีพลังในการควบคุมและสร้างไฟ เธอเผาคนตายไป 32 คนโดยไม่ได้ตั้งใจ รวมถึงครอบครัวของเธอด้วย เมื่อเธออายุได้ 11 ปี เธอเป็นหุ้นส่วนกับอาเบะและเฮลล์บอย เธอช่วยเหลือพวกเขาในภารกิจอย่างน้อยบางส่วน เธอยังรับบทเป็นโรเจอร์ด้วย
         Roger:   โฮมุนคูลัส (มนุษย์เทียม ผู้ที่ถูกทดลองให้ฟื้นคืนชีพด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ) เขาถูกลิซ เชอร์แมนปลุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จากการฟื้นคืนชีพครั้งนี้ เขายังเอาพลังของลิซไปด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อลิซกำลังจะตาย เขาก็คืนพลังให้กับเธอและทำให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เฮลล์บอยเข้ากับเธอได้ดี แม้ว่าเขาจะไปทำภารกิจเพียงครั้งเดียว เขาเสียชีวิตในฉบับพิเศษที่ชื่อว่า BPRD
         โยฮันน์ เคราส์:   เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีพลังจิต
         เคท คอร์ริแกน:   เธอทำงานที่สำนักงานสืบสวนและป้องกันปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เธอเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเฮลล์บอย
         เทรเวอร์ บรัตเทนโฮล์ม:   ศาสตราจารย์ผู้รับเลี้ยงเฮลล์บอยและทำงานที่สำนักงาน เขาเปรียบเสมือนพ่อของเฮลล์บอย เขาถูกฆ่าโดยสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนกบในตอน Spawn of Destruction
         กริกอรี ราสปูติน:   พระภิกษุที่บ้าคลั่งซึ่งฟื้นคืนจากความตายด้วยความช่วยเหลือจากอ็อกดรู จาฮัด และกลายเป็นทาสของเขา เขาคือคนที่นำเฮลล์บอยมายังโลกนี้ด้วยการร่วมมือกับพวกนาซี และด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องการให้เฮลล์บอยยอมรับการครอบครองของเขา เขาสนับสนุนให้เฮลล์บอยทำตามโชคชะตาของเขา เขาถูกทำลายเมื่อเผชิญหน้ากับเฮลล์บอยครั้งแรก แต่จิตวิญญาณของเขากลับคืนมา เขาพ่ายแพ้ต่อเฮลล์บอยอีกสองครั้ง และจิตวิญญาณของเขาถูกทำลายในที่สุดโดยเทพีเฮคาตี ชิ้นส่วนเดียวที่เหลืออยู่ของเขาถูกใส่ไว้ในเฮเซลนัทโดยบาบา ยากา
         เฮคาตี:   เทพธิดาชั่วร้ายที่เฮลล์บอยพบในนอร์เวย์ เช่นเดียวกับราสปูติน เธอต้องการให้เฮลล์บอยเดินตามโชคชะตาของเธอ เธอพ่ายแพ้ในการเผชิญหน้าครั้งแรกกับเฮลล์บอย แต่ภายหลังกลับมาพร้อมกับร่างของหญิงสาวเหล็กขนาดยักษ์ เธอคือคนที่ทำลายราสปูติน ตอนนี้เธอยังคงรออยู่
         อิลซา ฮอพสเตน:   สาวกนาซีของราสปูตินผู้ให้กำเนิดเฮลล์บอย เธอเสียชีวิตในสงครามกลางเมืองใน "ปลุกปีศาจ" ร่างบริสุทธิ์นี้ถูกเฮคาตีใช้ในภายหลัง
         คาร์ล รูเพรชท์ โครเนน:   สาวกนาซีของราสปูติน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเกราะเหล็ก เขาเป็นหมอ เขาเสียชีวิตในเหตุระเบิดที่ป้อมปราการของนาซีในภาพยนตร์เรื่อง "Wake the Devil"
         ลีโอโปลด์ เคิร์ตซ์:   สาวกนาซีของราสปูติน ถูกโครเนนแทงขณะพยายามฆ่าฟอน เคล็มต์ใน "ปลุกปีศาจ"
         เฮอร์แมน ฟอน เคล็มพท์:   ศาสตราจารย์นาซี เขาเป็นหัวที่อยู่ในชาม เขามีกอริลลาที่พูดได้ซึ่งสวมเกราะโลหะที่เรียกว่าครีกาฟเฟ่ กอริลลาตัวที่เก้าและสิบถูกฆ่าโดยเฮลล์บอย เขาฟื้นคืนชีพโดยโครเนนใน "ปลุกปีศาจ" เขารอดชีวิตจากการระเบิดของป้อมปราการของนาซี และต่อมาก็ถูกโรเจอร์โยนลงหน้าผาใน "เวิร์มผู้พิชิต"
         บาบา ยากา:   แม่มดที่ช่วยให้ราสปูตินมีชีวิตรอด เธอถูกเฮลล์บอยยิงที่ตา และต่อมาก็ซ่อนชิ้นส่วนสุดท้ายของราสปูตินไว้ในเฮเซลนัท อย่างไรก็ตาม บาบา ยากาเป็นตัวละครที่อาศัยอยู่ในตำนานของรัสเซีย
 ความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของ Hellboy เป็นผลมาจากธรรมชาติของปีศาจ เขาแข็งแกร่งและทนทานกว่ามนุษย์ทั่วไปไฟไม่สามารถทำอันตรายต่อ Hellboy ได้ และบาดแผลของ Hellboy ก็หายเร็ว เขาสามารถพูดภาษาต่างๆ ได้ มือขวาของเขา เป็นที่รู้จักในชื่อ มือขวาแห่งความหายนะและไม่มีวันถูกทำลาย มือขวาของ Hellboy คือกุญแจสู่จุดจบของโลก (เป็นกุญแจที่สามารถปลดปล่อย Ogdru Jahad จากมิติที่พวกเขาถูกจองจำไว้) ก่อนหน้านี้ เขา เคยสวมมงกุฎ แห่งความหายนะ อันร้อนแรงใน นรก

02 กรกฎาคม 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 60 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
เวลากำลังเดินอยู่นั้น แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาสูงเทียมเมฆขวางหน้าอยู่ พระถังซัมจั๋งยอม้าให้หยุด ชี้บอกว่าสานุศิษย์จงดูข้างหน้านั้น มีภูเขาสูงพวกเราจงระวังให้ดี เห้งเจียได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้น จึงพูดว่าพระอาจารย์จงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะป้องกันรักษามิให้เป็นอันตราย
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าท่านอย่าว่าไม่เป็นไร อาตมาคิดดูที่ยอดเขาสูงนั้นมีหมอกฟุ้งขึ้นสำแดงอาการว่าเป็นไอร้าย ใจคออาตมภาพไม่สบายให้หวาดหวั่น เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระอาจารย์เห็นจะลืมพระคาถาของพระโอเซ้าเสียแล้วหรือ พระถังซัมจั๋งว่ายังจำได้ไม่ลืม ​เห้งเจียว่าถึงจำได้ก็จริงแต่คำอรรถ คาถาสี่บทนั้นเห็นจะจำไม่ได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าคาถาสี่บทนั้นอย่างไร เห้งเจียจึงอ่านคำอรรถขึ้นว่า ฮุดตัวเล่งซัวบ๊อกอ้วนคิ้ว เล่งซัวจี๊ตัวนี้ซิบเท้า นั้ง ๆ อู่ไก๋เล่งซัวถะเอ้ซิว บทที่หนึ่งแปลว่าพุทธอยู่ยังเขาเล่งซัวอย่าหาไกล บทสองว่าเขาเล่งซัวอยู่ที่หัวใจท่าน บทที่สามว่าทุกๆคนก็มีเจดีย์เล่งซัว บทที่สี่ว่าหากได้ดีก็บวชให้เจดีย์เล่งซัว พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่ามิใช่จะไม่รู้เมื่อไร แม้ว่าเราทั้งหลายอาศัยคาถาสี่บทนี้ รักษาธรรมร้อยหมื่นคัมภีร์ก็จะต้องรักษาจิตเป็นต้น
   เห้งเจียพูดว่าการทั้งนั้นไม่ต้องแสดง จิตบริสุทธิ์สว่างใส จิตสำรวมลงเป็นหนึ่ง สารพัดจะใสสะอาดทั้งสิ้น ถ้าปล่อยให้เคลื่อนคลาดเพราะความเกียจคร้าน ร้อยพันหมื่นปีก็จะไม่สำเร็จได้ จะต้องอาศัยความตั้งจิตตรงอย่างเดียว วัดลุ่ยอิมยี่ก็อยู่ต่อจักษุนั้นเอง ทำจิตครั่นคร้ามหวั่นหวาดสะทกสะท้านอยู่เหมือนอาจารย์ดังนั้น มรรคผลก็ไกลวัดลุ่มอิมยี่ก็ไกล อาจารย์อย่ามีความสงสัยเคลือบแคลง จงตั้งจิตตามข้าพเจ้าไปเถิด พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงให้ฟังดังนั้น จิตใจก็ค่อยสว่างหายความวิตกวิจารณ์ทุกข์ร้อน อาจารย์กับศิษย์สี่คนก็ตั้งหน้าพากันเดินไป มาประเดี๋ยวก็ขึ้นเขา เวลากำลังเดินอยู่ก็ได้ยินเสียงลมพัดมาดังอู้ ๆ พระถังซัมจั๋งตกใจร้องว่าลมเกิดแล้ว
   เห้งเจียพูดว่าลมก็มีต่าง ๆ กันทั้งสี่ฤดูจะวิตกหวั่นหวาดกลัวอะไรแก่ลมเล่า พูดยังไม่ทันจะขาดคำลง แลไปก็เห็นหมอกที่ยอดเขาฟุ้งขึ้นออกกลุ้ม เห้งเจียร้องว่าอย่าวุ่นวายนิมนต์​อาจารย์ลงจากม้าก่อน น้องทั้งสองคอยรักษาอาจารย์ไว้ให้ดีพี่จะไปดูก่อนจะมีเหตุร้ายดีประการใด เห้งเจียเหาะขึ้นไปกลางอากาศเอามือป้องหน้าเหนือคิ้ว สอดตาพิเคราะห์ดูลงไปที่เนินเขา ก็เห็นที่ข้างเพิงเขาที่ลาดมีปีศาจยักษ์ใหญ่นั่งอยู่ท่ามกลาง ปีศาจน้อย ๆ ห้าหกสิบตน ปีศาจยักษ์กำลังเป่ามนต์แผลงฤทธิ์พ่นเป็นหมอก เห้งเจียคิดว่าถ้าเราจะเอาตะบองกระทุ้งถูกมันตายก็จะได้ แต่หากจะเป็นที่ครหาติเตียนได้ว่าเราลอบทำร้ายเขา ไม่กล้าสู้ตรงหน้า อย่าเลยเราจะกลับไปให้โป๊ยก่ายมาต่อสู้แก่มันดูก่อน แม้ว่าโป๊ยก่ายจะไม่พอใจมารบสู้แก่ปีศาจ เราก็จะหาอุบายให้มาจงได้
   คิดดังนั้นแล้วก็ลดลงยังพื้นเดินมาหาอาจารย์ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียกลับมา จึงถามว่าท่านไปดูที่เกิดหมอกนั้น ได้เห็นว่ามีเหตุดีหรือร้ายประการใด เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าไปดูโดยละเอียดแล้วไม่มีเหตุร้ายอะไรที่ไหน พระถังซัมจั๋งพูดว่าเห็นจะเป็นดังนั้นจริง ดูความหวาดหวั่นได้ค่อยคลายลงแล้ว เห้งเจียหัวเราะพูดว่าข้าพเจ้าเคยพิจารณาเหตุการณ์เนือง ๆ ก็ไม่ใคร่จะผิด มาครั้งนี้ดูก็ผิดไปมาก ที่หมอกลมเกิดนั้น หากจะมีปีศาจร้ายอะไรสักอย่างหนึ่ง อันที่จริงก็หาใช่ไม่ พระถังซัมจั๋งถามว่าไม่ใช่ยักษ์ร้ายก็จะเป็นอะไรเล่า เห้งเจียตอบว่าที่ข้างหน้านั้นไม่สู้ไกลมีหมู่บ้านคนใจบุญให้ทาน ที่หมอกขึ้นขาวนั้นคือเขาหุงข้าวนึ่งขนมต้มแกงถวายพระสงฆ์ จึงมีไอควันฟุ้งขึ้นดังนั้น
   ​โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงมาจับมือเห้งเจียกระซิบถามว่า พี่ไปกินมาอิ่มแล้วหรือ เห้งเจียบอกว่าได้กินบ้างแต่ยังไม่อิ่มเพราะกับข้าวเขาทำมันเค็มมากไปจึงกินไม่ได้มาก โป๊ยก่ายพูดว่าตามทีเถิดถึงจะเค็มก็ไม่ว่า ขอให้ข้าพเจ้ากินให้อิ่มท้องก็แล้วกัน เห้งเจียถามว่าเจ้าอยากจะกินหรือ โป๊ยก่ายตอบว่าอย่างนั้นซิ ท้องข้าพเจ้าออกจะหิวอยากจะไปกินได้หรือไม่ เห้งเจียพูดว่าโบราณท่านย่อมว่า บิดายังอยู่ไม่ควรจะทำล่วงเกิน อธิบายว่าพระอาจารย์ยังอยู่นี่เราจะล่วงไปก่อนได้หรือ โป๊ยก่ายหัวเราะว่าหากพี่ไม่พูดขึ้นข้าพเจ้าก็จะไปได้ เห้งเจียว่าเอาเถอะพี่จะไม่พูดเจ้าจะทำอย่างไรไปให้ได้
   โป๊ยก่ายเข้าใจมีอุบายมาก จึงเดินมาที่ตรงหน้าอาจารย์แล้วพูดว่า พระอาจารย์พี่เห้งเจียแกบอกว่าที่ข้างหน้านั้น มีบ้านคนใจบุญสุนทานเลี้ยงพระ พระอาจารย์จงดูม้าไว้ข้าพเจ้าจะไปดูบางทีจะมีหญ้า ถ้ามีข้าพเจ้าก็จะเกี่ยวมาให้ม้ากินจะไม่เสียเวลา ๆ นี้หมอกนั้นก็สงบแล้ว อาจารย์รอนั่งสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้ากลับมาแล้วพระอาจารย์จึงเข้าไปบิณฑบาตฉันต่อทีหลัง พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าไปมาเร็ว ๆ จงระไวระวังไห้มาก ๆ อย่าประมาท โป๊ยก่ายดีใจหัวเราะแล้วก็ออกเดิน เห้งเจียเดินตามไปสั่งว่า ที่บ้านเลี้ยงพระสงฆ์นั้น ล้วนแต่รูปร่างงาม ๆ รูปร่างไม่หยาบช้าเช่นรูปเจ้า น้องจงแปลงกายให้สวยงามไปจึงจะดี โป๊ยก่ายก็เชื่อเห้งเจียจึงเดินเข้าแอบที่ชวากเขา ร่าย​พระเวทคาถาแปลงกายเป็นพระสงฆ์องค์หนึ่ง รูปร่างต่ำเตี้ยท้องโตมือถือประคำเดินมาปากก็ภาวนาพลาง แต่หาใช่พระธรรมไม่ บ่นว่าบ้านคนใจบุญเลี้ยงพระสงฆ์เท่านั้น
รูปภาพ ; 隐雾 山
   ฝ่ายปีศาจ เรียกลมเรียกหมอกกลับแล้วก็สั่งบริวารให้ไปตั้งกองสกัดปากทางใหญ่ คอยคนเดินทางมาถึงที่นั่นจะได้จับเอาตัวไว้
   ฝ่ายโป๊ยก่ายรื่นเริงในใจเดินมาประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงที่พวกปีศาจตั้งกองสกัดอยู่ พวกปีศาจแลเห็นก็กรูกันเข้าล้อมจับโป๊ยก่าย ๆ ร้องว่าไว้ให้เรากินของเลี้ยงพระสงฆ์ก่อน พวกปีศาจถามว่าจะไปกินเลี้ยงที่ไหน โป๊ยก่ายพูดว่าพวกบ้านแกเลี้ยงพระสงฆ์มิใช่หรือ พวกปีศาจว่าเจ้ายังไม่รู้สึกพวกเราจะมาคอยกินเนื้อพระสงฆ์ ใครจะเลี้ยงพระสงฆ์ที่ไหน พวกปีศาจสำแดงเหตุต่อไปว่า พวกเราสำเร็จภาคเป็นเซียนอยู่ในที่นี้ ตั้งใจคอยจับพระสงฆ์เอาไปถึงที่อยู่แล้วล้างใส่กะทะต้มให้สุกจะได้สู่กันกิน เจ้ากลับจะมากินเครื่องเลี้ยงอีกหรือ
   โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจพูดดังนั้นก็ให้คิดแค้นเห้งเจียว่า อ้ายเป๊กเบ๊อุนคนนี้ไม่มีดีจริง ๆ มันหลอกเราว่าที่ตรงนี้เขาเลี้ยงพระสงฆ์ อันความจริงก็คือที่รังปีศาจนั้นเอง พวกปีศาจก็รีบจับดึงไป โป๊ยก่ายทนไม่ได้ก็กลับเป็นรูปเดิม ชักคราดเหล็กออกสับฟาดถูกพวกปีศาจแตกกระจัดกระจายไปทั้งสิ้น พวกปีศาจบริวารก็วิ่งไปบอกแก่นายของตนว่า บัดนี้มีพวกพระสงฆ์องค์หนึ่งเดินมา พวกข้าพเจ้าเข้าจับไว้แล้ว จะเอามาต้มแกงกินเนื้อมัน ไม่รู้เลยว่ามันแปลงกายได้ มันมีอาวุธไล่สับฟันพวกข้าพเจ้าต้านทานไม่ไหวต้องหลบหนี
   ​ฝ่ายปีศาจใหญ่ได้ฟังข่าวบอกดังนั้นจึงถามว่า มันเปลี่ยนแปลงกายได้อย่างไร พวกบริวารบอกว่าแปลงเป็นรูปคนมีปากยาวใบหูใหญ่มีขนที่ท้ายทอยรุงรัง สองมือถือคราดเหล็ก พวกข้าพเจ้าเห็นมีกำลังวังชาเชี่ยวชาญมาก ก็พากันวิ่งหนีกลับมาบอกใต้อ๋องให้ทราบ ปีศาจใหญ่ได้ฟังก็จับเครื่องมือถือสากเหล็กอันหนึ่งเดินออกไป เห็นโป๊ยก่ายรูปร่างหยาบคายน่าเกลียด จึงร้องตวาดถามว่าเจ้ามาจากไหน ชื่อเรียงเสียงไรบ้านช่องอยู่ที่ไหนจงรีบบอกมาโดยเร็ว เราจะยกชีวิตให้เจ้า โป๊ยก่ายได้ฟังก็หัวเราะแล้วตอบว่า อ้ายลูกแก้วเองจำปู่ตาไม่ได้แล้วหรือ เราคือเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง พระอนุชาของพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ นามเราชื่อว่าตือโป๊ยก่ายเจ้าไม่รู้หรือ
   ปีศาจว่าอ่อเจ้าเข้าเป็นสานุศิษย์ถังซัมจั๋งหรือข้าเข้าใจแล้ว เราได้ยินว่าเนื้อถังซัมจั๋งกินอร่อยนัก เจ้าอย่าหนีไปจงดูสากเหล็กนี้ก่อน โป๊ยกายได้ยินดังนั้นก็เตรียมตัวเข้มแข็งแล้ว ก็เฃ้ารบกับปีศาจ ๆ ก็ร้องให้บริวารล้อมจับโป๊ยก่าย พวกบริวารปีศาจได้ยินนายสั่งดังนั้น ก็เข้ากลุ้มรุมกันอยู่
   ฝ่ายเห้งเจียยืนอยู่ข้างหลังพระอาจารย์นึกถึงโป๊ยก่ายเผลอไปก็หัวเราะขึ้น ซัวเจ๋งถามว่าพี่หัวเราะอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่าอ้ายโป๊ยก่ายอ้ายชาติตะกละ ได้ยินพูดถึงของกินมันก็อยาก พี่จึงหลอกให้มันไป ๆ ก็นานแล้วยังไม่เห็นกลับมา หากว่ามันรบกับปีศาจได้ชัยชนะก็คงกลับมาก็จะมีความชอบว่ารบชนะปีศาจ ถ้าหาก​มันแพ้แก่ปีศาจ ๆ จับไปได้ไม่รู้ว่ามันจะบ่นด่าพี่สักกี่กระบุง เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วจึงกำชับซัวเจ๋งว่าน้องอย่าพูดให้อาจารย์รู้เหตุ พี่จะไปตามดูโป๊ยก่ายจะเป็นประการใด เห้งเจียสั่งซัวเจ๋งแล้ว ก็ถอนขนที่ท้ายทอยออกหนึ่งเส้น เสกให้เป็นรูปเห้งเจียปลอมนั่งอยู่ข้างหลังอาจารย์ แล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศแลไปดูเห็นพวกปีศาจกำลังล้อมโป๊ยก่ายอยู่ท่ามกลาง เพลงอาวุธดูถ้าจะเกะกะไม่ได้การ
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ลดลงกับพื้นร้องบอกโป๊ยก่ายว่าพี่มาแล้วอย่าวิตก โป๊ยก่ายได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเห้งเจีย ก็เกิดกำลังขึ้นทันทีตรงเข้าฟาดฟันโดยความกล้าหาญ ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องเห็นโป๊ยก่ายรบรุกกระชั้นเข้ามารอรับไม่อยู่ก็พาพวกบริวารถอยหนีไปยังสำนัก เห้งเจียเห็นปีศาจพ่ายแพ้ไปแล้วก็มิให้โป๊ยก่ายเห็นตัวเลยเหาะกลับยังที่ โป๊ยก่ายมีชัยชนะปีศาจแล้วก็กลับมาหาอาจารย์ ปากจมูกน้ำมูกน้ำลายไหลยืดยาดเป็นฟอง เหงื่อก็ไหลออกโซมตัว หายใจกระหืดกระหอบวิ่งกลับมาถึงร้องเรียกอาจารย์
   พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า โป๊ยก่ายไปเกี่ยวหญ้าม้าทำไมจึงมีกิริยาวุ่นวายกลับมาดังนี้ โป๊ยก่ายทิ้งคราดลงกับพื้นแล้วทุบอกกระทืบเท้าพูดว่า พระอาจารย์จะพูดออกมาก็อายตาย พี่เห้งเจียแกทำหลอกข้าพเจ้าว่า ข้างหน้านั้นมีบ้านคนใจบุญ ที่มีหมอกขึ้นขาวนั้นคือเขาต้มหุงนึ่งขนมถวายพระสงฆ์ ในท้องข้าพเจ้ามีความหิวโหยคิดจะได้กินก่อนจึงได้เอาเหตุหญ้านั้นเป็นประธาน ไม่รู้เลยว่าเป็นที่ปิศาจ มันพากันล้อม​ข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าบุกบั่นสู้รบกับปีศาจพักหนึ่ง หากไม่มีพี่เห้งเจียตามไปร้องเรียกให้เกิดกำลัง ที่ไหนเลยข้าพเจ้าจะลอดพ้นแหอวนมาได้ เห้งเจียยืนอยู่ข้างหลังหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายชาติหมูพูดเลอะเทอะ หากเจ้าไปเที่ยวทำหัวขโมยเอาความร้ายมาใส่ให้ผู้อื่นดังนั้นหรือ ข้านั่งเฝ้ารักษาพระอาจารย์อยู่ยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างไหน
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าเห้งเจียนั่งอยู่กับอาตมาที่นี่ ทำไมจึงว่าเขาไปข้างไหน โป๊ยก่ายกระโดดมาพูดว่าพระอาจารย์ไม่เข้าใจ พี่เห้งเจียแกมีตัวแทนได้ พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่ามีตัวแทนได้จริงดังนั้นหรือ เห้งเจียไม่กล้าจะปดจึงว่าจริง ข้าพเจ้าเห็นว่าปีศาจไม่สู้รุนแรงมันไม่สามารถจะทำร้ายพวกเราได้ จึงหลอกให้โป๊ยก่ายไปก่อน เห้งเจียพูดแล้วจึงเรียกโป๊ยก่ายสั่งว่า จะมอบให้น้องเป็นคนตรวจดู พวกเราจะรักษาป้องกันอาจารย์ ข้ามที่ดุร้ายฉุกเฉินดังคุมพลทหารฉะนั้น
   โป๊ยก่ายถามว่าคุมพลทหารอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่สู้เข้าใจแน่ขอพี่ชี้แจงให้เข้าใจก่อน เห้งเจียพูดว่าน้องต้องออกหน้าเช่นทหารทัพหน้านำทางและนำพล บางทีจะมี ผี และยักษ์ร้ายมากั้นกางน้องเข้ารบปะทะหน้า ชนะปีศาจได้จะคิดความชอบให้น้องเป็นที่หนึ่ง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ตรึกตรองอยู่ในใจว่า ปีศาจนั้นฝีมือก็ไม่เกินเราไปได้ จึงรับแก่เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะขอรับนำทางเอง เห้งเจียจึงนิมนต์อาจารย์ขึ้นม้า ซัวเจ๋งหาบของตามหลังโป๊ยก่ายออกนำหน้าเดินขึ้นเขา ​ฝ่ายปีศาจรบแพ้โป๊ยก่ายแล้วก็หนีกลับไปยังที่ ขึ้นนั่งบนแท่นหินไม่พูดจาว่ากระไร พวกบริวารจึงเข้ามาถามว่า ทุก ๆ ครั้งออกไปกลับเข้ามาย่อมมีความรื่นเริง วันนี้กลับเข้ามาทำไมจึงมีแต่ความโศกเศร้าดังนี้ ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดแก่บริวารว่า เราเคยทุก ๆ ครั้งออกไปเที่ยวตามภูมิเขาไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ คงได้กินเนื้อเล่นตามสบายใจ วันนี้เราออกไปบังเอิญไปพบคนซึ่งคู่ต่อสู้กัน
   พวกบริวารถามว่า คู่ต่อสู้แก่ใต้อ๋องนั้นคือใครที่ไหน ปีศาจใต้อ๋องบอกว่าคือสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง อยู่เมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ณ ประเทศไซที คนนั้นชื่อว่าตือโป๊ยก่าย ถือคราดเหล็กเป็นอาวุธ เราต่อสู้ไม่ไหวจึงได้หนีมา เรายังมีความร้อนใจด้วยได้ยินว่าพระถังซัมจั๋งบวชเรียนบริสุทธิ์มาสิบชาติแล้ว หากผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่ง อายุจะยืนยาวไปได้ช้านาน เข้าใจว่าถ้าเธอมาถึงเขานี้ก็จะได้จับต้มกิน ไม่รู้ว่าเธอมีสานุศิษย์มีฝีมือเชี่ยวชาญดังนี้ พูดยังไม่ทันจะขาดคำลงในหมู่บริวารนั้นมีปีศาจตนหนึ่งพูดขึ้นว่า ใต้อ๋องพูดว่าจะใคร่กินเนื้อถังซัมจั๋งนั้นเห็นจะไม่สำเร็จ
   ปีศาจใต้อ๋องถามว่าทำไมจะไม่สำเร็จ ปีศาจน้อยตอบว่าหากสำเร็จได้พระถังซัมจั๋งก็จะมิได้มาถึงนี่ พวกปีศาจยักษ์ร้ายทั้งหลายในที่อื่น ๆ ก็คงจะกินเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งเธอมีศิษย์สามคน คนที่หนึ่งชื่อซึงหงอคง คนที่สามชื่อซัวเจ๋ง คนที่สองซึ่งมารบแก่ใต้อ๋องนั้นชื่อตือโป๊ยก่าย ใต้อ๋องถามว่าฝีมือซัวเจ๋งกับตือโป๊ยก่าย​ใครจะดีกว่ากัน พวกปีศาจบริวารบอกว่าแพ้กันไม่ไกล ใต้อ๋องถามว่าสองคนนี้กับเห้งเจียใครจะดีกว่ากัน ปีศาจบอกว่าข้าพเจ้าไม่อาจจะบอกได้ ซึ่งเห้งเจียนั้นมีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญเปลื่ยนแปลงกายได้ต่างๆ เมื่อห้าร้อยปีก่อนเคยขึ้นไปบนสวรรค์ทำสงครามแก่เทพบุตรทั้งหลาย หมู่เทพยดาไม่มีผู้ใดจะต่อต้าน ทำไมใต้อ๋องจะอาจกินเนื้อถังซัมจั๋งได้
รูปภาพ ; ปีศาจไต้อ๋องปาโฮ้วเจีย กำเนิดเดิมเป็นเสือลายตลับ สำรวมจิตภาวนามาช้านานได้สำเร็จฌานสมาบัติ มีฤทธานุภาพเปลี่ยนแปลงกายได้ตามประสงค์ อาศัยอยู่บนยอดเขาสูง เมื่อเวลาพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้ง ๓ ข้ามมาทางนั้น ปีศาจไต้อ๋องปาโฮ้วเจียพาพวกบริวารออกสกัดจับเอาไปไว้ในถ้ำ เห้งเจียเที่ยวค้นหาที่อยู่แห่งปีศาจ ครั้นพบเข้าแล้วก็ตีปีศาจตาย จึงได้พาพระถังซัมจั๋งออกพ้นไปได้
   ปีศาจไต้อ๋องถามว่าเหตุใดเจ้าจึงรู้ได้โดยละเอียดดังนี้เล่า ปีศาจน้อยตอบว่า เดิมข้าพเจ้าเคยอยู่ที่เขาชื่อท่อซัวถ้ำซือท่อต๋อง ใต้อ๋องซือท่อคือพระยาสิงห์โตเธอไม่รู้ร้ายดีอยากจะกินเนื้อถังซัมจั๋ง ถูกมือเห้งเจียเอาตะบองเหล็กตีรุกเฃ้ามาในถ้ำ ประตูและหลังหอหน้าต่างหักพังทลายละเอียดไปทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจึงได้หนีออกทางประตูข้างหลัง จึงได้รอดชีวิตมาอาศัยอยู่กับใต้อ๋องจนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ทราบเรื่องโดยละเอียดดังนื้ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังบริวารชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็มีจิตหวาดหวั่นครั่นคร้าม
   ในขณะนั้นมีปีศาจน้อยตนหนึ่งพูดขึ้นว่า ใต้อ๋องอย่ามีความวิตกเลย แม้ว่าใต้อ๋องอยากกินเนื้อถังซัมจั๋งแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดจับตัวให้จงได้ ใต้อ๋องถามว่าเจ้ามีสติปัญญาความคิดอย่างไรจึงจะสามารถจับพระถังซัมจั๋งได้ ปีศาจน้อยตนนั้นจึงชี้แจงว่า ข้าพเจ้ามีกลอุบายอยู่ประการหนึ่งเรียกว่า ปุนเปียนบ้วนฮวยเก๋ย ปีศาจใต้อ๋องถามว่าแปลว่าอะไรจึงเรียกปุนเปียนบ้วยฮวยเก๋ย ปีศาจไต้อ๋องถามว่าแปลว่าอะไรจึงเรียก ปุนเปียนบ้วยฮวยเก๋ย ปีศาจน้อยตอบว่า ในหมู่บริวารของเรานี้ เรียกมาให้พร้อมกันแล้ว​เลือกคัดเอาสักสามคน ให้เข้าใจในการแปลงกายได้ แปลงปลอมให้เหมือนรูปใต้อ๋องทั้งสามคนแล้ว ถือสากเหล็กทั้งสามคน ไปคอยดักอยู่ตามทางให้คอยเข้ารบกับเห้งเจียคนหนึ่ง รบกับโป๊ยก่ายคนหนึ่ง รบกับซัวเจ๋งคนหนึ่ง สามคนแยกกันรบกับพี่น้องให้ออกคนละต่างหากกันแล้ว ฝ่ายใต้อ๋องอยู่กลางอากาศเอื้อมมือลงมาจับเอาถังซัมจั๋งไปจะยากอะไร เปรียบเหมือนล้วงของในถุงฉะนั้น 
   ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี พูดว่าความคิดอันนี้ดีจริง ถ้าจับถังซัมจั๋งได้เราจะตั้งให้เป็นเซียนฮ่องแม่ทัพหน้า จึงสั่งให้ประชุมพวกบริวารในถ้ำมาพร้อมกัน คัดเลือกได้สามคนในการที่เปลี่ยนแปลงกายได้ จึงให้แปลงเป็นใต้อ๋องถือสากเหล็กทั้งสามคน ให้ไปคอยดักซุ่มอยู่ตามทางเสร็จแล้ว ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจิตใจก็ใสบริสุทธิ์เดินตามหลังโป๊ยก่ายขึ้นเขามา เดินมาได้สักครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังตรงเข้ามาจะจับตัวพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียแลไปที่ข้างทางเขาแลเห็นจึงร้องว่า ปีศาจยักษ์มาแล้วเหตุใดไม่รีบลงมือเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ชักคราดออกฟาดฟันปีศาจ ๆ ก็ถือสากเหล็กเข้าต่อสู้แก่โป๊ยก่าย ต่างรบกันชุลมุนอยู่ที่ข้างเนินเขา แลเห็นปีศาจอีกตนหนึ่งอยู่ในพุ่มไม้ กระโดดออกมาร้องตวาดด้วยเสียงอันดังตรงเข้าไล่จับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียแลเห็นจึงร้องว่าโป๊ยก่ายทำไมจึงปล่อยให้ปีศาจมาจับอาจารย์ดังนี้เล่า
   เห้งเจียจึงชักตะบองออกจากหูสกัดตีปีศาจ ๆ ก็ไม่พูดจาว่ากะไร ถือ​สากเหล็กเข้ารบกับเห้งเจียอยู่ที่ข้างทาง เห้งเจียกำลังรบอยู่ข้างนี้ก็ได้ยินเสียงข้างหลังเขามีปีศาจออกมาสกัดจับพระถังซัมจั๋งอีกตนหนึ่ง ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จับพลองเหล็กออกไปสกัดไว้ ปีศาจปลอมก็เข้ารบกับซัวเจ๋งตามอุบายที่คิดกันไว้ รบกันชุลมุนวุ่นวายทั้งสามคน ปีศาจรบพลางล่อพลาง ซัวเจ๋งไล่ออกห่างพระถังซัมจั๋ง
   ฝ่ายปีศาจไต้อ๋องอยู่บนอากาศ เห็นพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่บนหลังม้าแต่ผู้เดียว จึงยื่นมือลงมาจับรวบเอาพระถังซัมจั๋งไปได้ แล้วก็รีบเหาะกลับไปยังถ้ำ แล้วก็เรียกปีศาจน้อยที่คิดอุบายให้นั้น ให้เป็นเซียนฮองในทันใดนั้น ฝ่ายปีศาจน้อยพูดถ่อมตัวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเป็นเซียนฮองได้ ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่า เราได้ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าจะตั้งให้ท่านเป็นเซียนฮอง ดุจดังผ้าขาวย้อมสีดำจะกลับได้ที่ไหน พวกเจ้าจงไปจัดแจงล้างหม้อและกะทะให้สะอาด แล้วจงต้มถังซัมจั๋งให้สุกเราจะได้สู่กันกินคนละก้อน อายุพวกเราจะได้ยืนอยู่ตั้งหมื่นปีมิได้รู้จักแก่เฒ่า ปีศาจเซียนฮองจึงห้ามว่า อันพระถังซัมจั๋งนั้น ใต้อ๋องไม่ควรกิน ปีศาจใต้อ๋องพูดว่า ก็จับมาได้แล้วเหตุไฉนจะไม่ควรกินอิกเล่า
   ปีศาจเซียนฮองพูดว่า ถ้าใต้อ๋องจะกินเนื้อถังซัมจั๋งแล้วต้องระวัง คือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไม่สู้กะไรนัก สำคัญที่สุดเพียงเห้งเจียนั้นร้ายแรงเหลือเกิน เธอรู้เข้าแล้วก็จะมารบแก่พวกเรา จะเอาตะบองเหล็กกะทุ้งยอดเขาให้ทะลุ ภูเขาก็จะแยกทลายออกไปพวกเรา​ก็จะไม่มีที่อาศัย ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเราจะทำประการใดดี เซียนฮองจึงพูดว่า ถ้าหากตามความคิดของข้าพเจ้านั้น ต้องเอาถังซัมจั๋งไปมัดไว้กับต้นไม้ที่ลับหลังสวน รอสักสามวันถ้าสานุศิษย์เธอไม่มาตามแล้ว เวลานั้นเราจึงค่อยเอาถังซัมจั๋งมาต้มแกงกินให้สบายใจ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังเซียนฮองแนะนำดังนั้นก็พลอยเห็นชอบไปด้วย จึงสั่งให้พวกบริวารเอาตัวถังซัมจั๋งไปไว้ที่หลังสวนตามความคิดของเซียนฮอง
รูปภาพ ; 铁背苍狼 หมาป่าหลังเหล็ก  ปีศาจที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของราชาแห่งหนานซานในถ้ำเจ๋อเยว่เหลียนฮวนแห่ง ภูเขาหมอกซ่อนเร้นเขาเสนอแผนการอย่างชาญฉลาดเพื่อหลอกซุนหงอคงและลูกศิษย์คนอื่นๆ ด้วย "หัวปลอม" แต่กลอุบายของเขาถูกซุนซิงเจ๋อค้นพบ ในการต่อสู้ที่ตามมา แม้ว่าราชาแห่งหนานซานจะหลบหนีได้ด้วยความช่วยเหลือของสายลมและหมอก แต่สุดท้ายหมาป่าหลังเหล็กก็พ่ายแพ้ต่อซุนหงอคงเนื่องจากเขาขาดความสามารถในการแปลงร่าง เขาถูกล้มลงด้วยไม้และร่างที่แท้จริงของเขาก็ถูกเปิดเผย หลานฟาชิงรับบทเป็นหมาป่าหลังเหล็กในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Journey to the West : The Sequel 
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งต้องมัดทรมานอยู่กับต้นไม้ คิดขึ้นมาถึงตนก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า สานุศิษย์เอ๋ยเจ้าทั้งสามมัวรบอยู่กับปีศาจข้างโน้น เรามาต้องรับทุกข์เวทนาอยู่ข้างนี้ วันใดจะได้พบกันอีก คิดไปดูเห็นเราจะสิ้นชีวิตเสียในครั้งนี้เป็นแน่ กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ดังนั้น ได้ยินเสียงคนร้องเรียกถามอยู่บนต้นไม้ว่า ท่านพระสงฆ์ท่านมาแล้วหรือ พระถังซัมจั๋งร้องถามไปว่า ท่านที่มาเรียกถามนั้นอยู่ที่ไหนคือใคร คนนั้นจึงตอบว่าข้าพเจ้าคนตัดฟืนขาย ปีศาจมันจับมามัดไว้ได้สามวันแล้ว มันจะต้มกินเนื้อข้าพเจ้าวันใดก็ยังไม่รู้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถึงท่านจะตายในวันนี้ก็ไม่มีห่วง เพราะจะตายไปแก่ผู้เดียวไม่เป็นห่วงอะไร แต่อาตมาจะตายไม่สะดวก คนตัดฟืนถามว่าท่านเป็นคนบวชเรียน และเป็นสงฆ์ทำไมจะตายไม่สะดวกเล่า พระถังซัมจั๋งว่า อาตมาจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม เพราะได้รับคำสั่งของพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ ให้ไปนมัสการพระพุทธเจ้ารับพระ​ไตรปิฎกไปทำพิธีสวดแผ่กุศล ช่วยโปรดสัตว์ในเมืองนรกที่ไม่มีญาติให้พ้นทุกข์ อาตมภาพจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียดังนี้ จะมิไม่สำเร็จประโยชน์อันใหญ่หรือ
   พวกผีที่ตายในการข้าศึกยังมิได้ผุดเกิดนั้น จะไม่ตั้งใจคอยหรือ จะเสียการไปทั้งสิ้นจะตายสะดวกที่ไหนได้เล่า คนตัดฟืนจึงพูดว่า ท่านเป็นสงฆ์ก็ห่วงถึงการดังนั้นก็จริงแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็แสนจะช้ำใจ ด้วยตั้งแต่เล็กมาบิดาก็ตาย อยู่กับมารดาก็ขัดสนจนยาก ต้องตัดฟืนขายเลี้ยงชีวิตตัวกับมารดาเท่านั้น ปีนี้มารดาอายุก็แปดสิบสามแล้ว มีแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวหาเลี้ยงมารดาอยู่ แม้ข้าพเจ้าตายเสียแล้วใครจะหาเลี้ยงต่อไปเล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังคนตัดฟืนก็ยิ่งมีความเศร้าโศกทวีมากขึ้นอีก จึงพูดแก่คนตัดฟืนว่า เมื่อคิดไปแล้วก็ยิ่งแสนเวทนา ท่านห่วงถึงมารดา ข้าพเจ้าห่วงถึงเจ้านายที่มีพระคุณอันยิ่ง พูดดังนั้นแล้วก็พากันร้องไห้ไม่หยุดทั้งสองคน
(บทที่ ๘๖)
 ฝ่ายเห้งเจียรบกับปีศาจที่เนินเขา ปีศาจแพ้แล้วก็หลบหนีไป เห้งเจียหันกลับมาหาพระอาจารย์ก็ไม่เห็นอาจารย์ ยังเหลือแต่ม้ากับถุงย่าม เห้งเจียตกใจก็ยกหาบจูงม้าไปเที่ยวหาอาจารย์ออกรอบเขาก็มิได้พบปะอาจารย์ แลไปเห็นโป๊ยก่ายกะหืดกะหอบมาถามว่า พี่ร้องเรียกข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียบอกว่าอาจารย์หายไปข้างไหนก็ไม่รู้ น้องได้พบปะบ้างหรือไม่ โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าตั้งใจเป็นสานุศิษย์พระถังซัมจั๋งมา พี่หลอกตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นนายทหารหน้า ใต้เจียงกุน​อะไรก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าก็ตั้งใจออกกำลังไม่คิดแก่ชีวิตรบแก่ปีศาจจนมันพ่ายแพ้ไปแล้วจึงได้กลับมานี่ อาจารย์นั้นพี่กับซัวเจ๋งเฝ้ารักษาอยู่ บัดนี้หายไปจะกลับมาถามข้าพเจ้า ๆ จะรู้ว่ากระไร
   พูดยังไม่ทันขาดคำก็แลเห็นซัวเจ๋งกลับมา เห้งเจียจึงถามซัวเจ๋งว่าพระอาจารย์ไปข้างไหน ซัวเจ๋งพูดว่าพี่ทั้งสองเซ่อปล่อยให้ปีศาจมาจับอาจารย์ ข้าพเจ้าออกต้านทานรบแก่ปีศาจ พระอาจารย์ก็นั่งอยู่บนหลังม้า เห้งเจียได้ฟังกระทืบเท้าแล้วพูดว่า พวกเราถูกอุบายของปีศาจเสียแล้ว ซัวเจ๋งถามว่ากลอุบายอะไร เห้งเจียพูดว่า กลอย่างนี้เรียกว่าแบ่งแยกดอกสารพี มันทำอุบายล่อเราพี่น้องให้รบแยกกันออกพ้นไปแล้ว มันจึงเข้าจับพระอาจารย์เราไป แต่คงจะอยู่ในภูเขานื้เอง เราพากันไปเที่ยวค้นหาอย่าให้ช้า พูดดังนั้นแล้วทั้งสามคนก็พากันเที่ยวค้นหา เดินมาก็เห็นที่ตีนเขามีประตูถ้ำ บนประตูมีศิลาจารึกอักษรใหญ่แปดอักษรคือเขาอิ้มบู้ซัว ถ้ำจี๊ขี้เลียนฮ่วนต๋อง เห้งเจียจึงบอกให้โป๊ยก่ายลงมือ ที่ในถ้ำนี้เป็นที่ปีศาจอาศัยอยู่เป็นแน่แล้ว อาจารย์ก็คงจะถูกมันขังอยู่ในนี้ด้วย
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็เอาคราดเหล็กสับเข้าที่ประตูถ้ำ กระชากทลายออกเป็นรูใหญ่แล้ว จึงตะโกนเรียกว่าอ้ายพวกมารร้าย มึงจงรีบเอาอาจารย์กูออกมาส่งโดยเร็ว หาไม่ชีวิตมึงจะเป็นอันตราย ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตู ก็ตกใจวิ่งเข้าไปบอกปีศาจใต้อ๋อง ๆ ตกใจพูดว่าไม่รู้ว่าคนไหนมาพังประตูถ้ำ ปีศาจเซียนฮองพูดว่า ไว้​ข้าพเจ้าจะออกไปดูจะเป็นประการใดแน่ ปีศาจเซียนฮองก็วิ่งออกมาถึงประตู แลไปดูก็เห็นโป๊ยก่ายกำลังแผลงอิทธิฤทธิ์อยู่ จึงร้องบอกแก่ปีศาจใต้อ๋องว่าไม่ต้องวิตก คืออ้ายตือโป๊ยก่ายไม่สู้กระไรนัก วิตกกลัวอยู่แต่ซึงเห้งเจียเท่านั้น โป๊ยก่ายยืนอยู่ริมนั้น ได้ยินปีศาจพูดจึงบอกแก่เห้งเจียว่า พี่มันไม่กลัวข้าพเจ้ามันกลัวแต่พี่เท่านั้น พี่จงมาแผลงฤทธิ์ให้มันเห็นเถิด อาจารย์เราคงจะอยู่ในนี้เป็นแน่แล้ว
   เห้งเจียเข้ามาใกล้ร้องด่าว่าอ้ายพวกสัตว์เดรัจฉานมารร้าย ปู่มึงคือซึงเห้งเจียอยู่นี่มึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็วเถิด จะได้ยกโทษที่มึงทำผิดให้แก่พวกมึง ฝ่ายปีศาจเซียนฮอง เมื่อได้ยินและได้เห็นเห้งเจียดังนั้นก็ตกใจบอกว่าใต้อ๋องเห็นจะไม่เป็นการแล้ว เห้งเจียนั้นมาถึงอีกคนหนึ่งแล้ว ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังปีศาจเซียนฮองบอกดังนั้น จึงพูดแก่ปีศาจเซียนฮองว่า เหตุนี้ก็เพราะเจ้าคิดกลอุบายจึงได้เกิดภัยร้ายเกี่ยวมาถึงบ้านเรือนดังนี้ ปีศาจเซียนฮองพูดว่าใต้อ๋องอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าซึงหงอคงนั้น เป็นคนใจโอบอ้อมอารีกว้างขวางมีอัธยาสัยอารีมีฤทธิ์อานุภาพกว้างขวางก็จริง แต่เป็นคนเสีย ยอ ไม่ได้คงจะผ่อนผันได้ เราทำศรีษะปลอมเอาออกไปหลอกว่า อาจารย์นั้นเรากินเสียแล้ว ขอความกรุณาพูดยกยอให้อ่อนหวานก็คงจะเชื่อ ถ้าเธอกลับไปแล้วพวกเราจึงค่อยกินเล่นให้สบาย ถ้าหากหลอกไม่ได้เราจึงค่อยคิดต่อไป
ปีศาจใต้อ๋องถามว่าเราจะได้ศรีษะคนเก๊ที่​ไหนมาหลอกเขาเล่า เซียนฮองตอบว่าข้าพเจ้าจะทำเอาเอง พูดแล้วจึงไปเอาโคนไม้สนมาถากทำเป็นศรีษะคน แล้วเอาโลหิตสด ๆ มาใส่ไว้ในถาดแล้วให้ปีศาจบริวารยกออกไปที่ประตูถ้ำ ร้องเรียกว่าท่านเห้งเจียใต้เซี้ยขอท่านจงได้ระงับโทสะก่อน ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบ เห้งเจียได้ยินพวกปีศาจเรียกยกยอว่าเป็นใต้เซี้ยดังนั้นก็มีความยินดี จึงร้องห้ามโป๊ยก่ายว่าอย่าเพิ่งวุ่นวายก่อน คอยฟังมันจะพูดจาว่ากระไร ปีศาจจึงบอกว่าขอท่านใต้เซี้ยได้ทราบ อาจารย์ของท่านนั้นใต้อ๋องนายข้าพเจ้าจับมาไว้ในถ้ำ พวกบริวารมิได้รู้ว่าดีชั่วประการใด พากันมากัดกินเนื้อเสียแล้ว ยังเหลือแต่ศรีษะเท่านั้น เห้งเจียพูดว่าหากกินเสียแล้วก็ชั่งเถิด จงรีบเอาศรีษะนั้นมาให้เราพิจารณาดูจึงจะเชื่อได้
   ปีศาจบริวารก็นำศรีษะเก๊นั้นขว้างออกมาตามรูทะลุนั่น โป๊ยก่ายแลเห็นก็ร้องไห้โฮ เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติหมูไม่ดูแลให้แน่นอนก่อน ยังไม่ทันไรก็ร้องไห้ไปก่อน นี่คือศรีษะปลอมมิใช่ศรีษะพระอาจารย์ มันปาออกมาดังเหมือนไม้ ถ้าศรีษะคนจริง ๆ จะดังเสียงอย่างนี้หรือ ถ้าน้องไม่เชื่อพี่จะทำให้ดู จึงยกขึ้นขว้างลงกับศิลาเสียงดังเหมือนเสียงไม้ เห้งเจียยกตะบองกะทุ้งลงไปทีหนึ่ง หัวนั้นก็แตกแยกออกเป็นไม้สน โป๊ยก่ายเห็นแก่ตาดังนั้น ก็ร้องด่าว่าเฮ้ยอ้ายหมู่มารร้ายเดรัจฉาน มึงเอาอาจารย์กูซ่อนไว้ในถ้ำเอาไม้สนมาหลอก ตือโป๊ยก่ายปู่ของเองอย่างนี้ได้หรือ ศรีษะอาจารย์ของกูทำไมจึงกลายเป็นท่อนไม้ดังนี้เล่า
   ปีศาจบริวาร​ได้ยินดังนั้น ก็ตัวสั่นขนลุกขนพองวิ่งกลับเข้าไปบอกใต้อ๋องว่ายาก ๆ เสียแล้ว ปีศาจใต้อ๋องถามว่าทำไมจึงยากนักดังนั้นเล่า ปีศาจน้อยบอกว่าตือโป๊ยก่ายซัวเจ๋งนั้นพอจะหลอกได้ แต่เห้งเจียนั้นเป็นคนฉลาดเฉลียวมากนัก เห็นจะหลอกไม่ได้เธอทุบออกดูจึงรู้ว่าศรีษะปลอมนั้นเป็นไม้ ถ้าได้ศรีษะคนจริง ๆ ออกไปให้ดูหากจะเชื่อบ้าง เพื่อจะถอยไปเป็นแน่ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้เลือกตัดเอาศรีษะคนสด ๆ ส่งออกไป พวกบริวารได้ศรีษะแล้วก็เอาใส่ถาดออกไป จึงร้องว่าท่านใต้เซี้ย ที่เอามาก่อนนั้นมิใช่หัวจริง ศรีษะนี้แลเป็นศรีษะพระถังซัมจั๋งจริงแล้ว ใต้อ๋องหมายว่าเอาไว้ดูเพื่อกระทำสักการะบูชา บัดนี้ขัดไม่ได้ต้องเอาออกมาให้ท่าน ปีศาจน้อยจึงเอาศรีษะคนที่เปื้อนเลือดขว้างออกมา เห้งเจียเห็นแล้วก็ร้องไห้โฮ
   โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันร้องไห้สะอึกสะอื้น โป๊ยก่ายพูดว่าเรากลั้นน้ำตาไว้ก่อน รอข้าพเจ้าเอาศรีษะไปฝังแล้วจึงค่อยร้องไห้อีกเถิด เห้งเจียพูดว่าน้องว่าดังนั้นถูกต้องแล้ว โป๊ยก่ายก็เข้าอุ้มศรีษะนั้นไว้กับอก แล้วเดินไปที่เนินเขาวางศรีษะลงแล้ว เอาคราดขุดลงรูหนึ่งเอาศรีษะนั้นวางลงในรูแล้วเอาดินกลบ ครั้นฝังเสร็จแล้วก็เดินลงที่ริมห้วยหักกิ่งไม้สนสองสามกิ่ง แล้วเก็บเลือกเอากรวดขาวห้าหกเม็ดเดินกลับมาที่ฝังศพ เอากิ่งสนปักลงข้างริมที่ฝังนั้น แล้วเอาเม็ดกรวดขาววางที่หน้าหลุมฝังศพนั้น เห้งเจ้ยเห็นดังนั้นจึงถามว่ากิ่งสนกับกรวดขาวนั้นจะแปลว่ากระไร โป๊ยก่ายบอกว่ากิ่งสนนั้น สมมุติ​ว่าเป็นไม้ช่งปั๊ก เพื่อบังร่มฮวงซุ้ยที่ฝัง กรวดขาวนั้นสมมุติว่าเป็นเครื่องเซ่น เพื่อว่าพี่น้องเรามีความกตัญญู
   เห้งเจียว่าอย่าทำเล่นให้ช้าการ เห้งเจียสั่งซัวเจ๋งว่าน้องจงเฝ้าม้าแลข้าวของอยู่ที่นี่ พี่จะไปกับโป๊ยก่ายไล่จับอ้ายบวกปีศาจไม่ว่าเล็กใหญ่ฆ่าเสียให้หมด แก้แค้นให้พระอาจารย์เรา เห้งเจียพูดแล้วก็จับตะบองออกหน้า โป๊ยก่ายถือคราดตามหลังมา ครั้นเดินมาถึงประตูถ้ำก็มิได้พูดจาว่ากระไร ตรงเข้าตีขนาบเข้าไปพร้อมกับโป๊ยก่ายช่วยกันสับฟันประตูถ้ำก็พังทลายลงหมดสิ้น แล้วร้องประกาศว่าให้เอาชีวิตอาจารย์กูกลับคืนมาให้โดยเร็ว ฝ่ายพวกปีศาจที่อยู่ในถ้ำก็พากันบ่นด่าเซียนฮองว่า เพราะมันหาเหตุมาจึงได้เกิดความเร่าร้อนมาถึงพวกเราทั้งสิ้นดังนี้ ปีศาจใต้อ๋องถามเซียนฮองว่า บัดนี้จะคิดอ่านแก้ไขประการใด เซียนฮองตอบว่าค่าโบราณท่านย่อมว่า อยากจับปลาในตะกร้าจะหนีคาวที่ไหนได้ ซึ่งการล่วงเกินมาถึงเพียงนี้แล้ว อย่างหนึ่งไม่สู้ อย่างหนึ่งต้องสู้ ต้องเลือกเอาอย่างหนึ่ง
   ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังเซียนฮองว่าดังนั้น ก็ยังไม่ตกลงในใจ จึงพาพวกบริวารน้อยใหญ่ออกไปดูท่าทางแข็งแรง เห้งเจียโป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ก็ถอยออกมาหาที่กว้าง ยืนคอยท่ารับปีศาจอยู่ ครั้นเห็นปีศาจมาใกล้เห้งเจียจึงร้องตวาดถามว่า อ้ายคนไหนจับอาจารย์กูไป ปีศาจใต้อ๋องมือถือสากเหล็กร้องตอบว่า เฮ้ยอ้ายพวกสานุศิษย์สงฆ์ เองอย่า​มาวุ่นวายแก่เรา เราคือน่ำซัวใต้อ๋อง เราอยู่ผาสุขมาในที่ตำบลนี้ช้านานหลายร้อยปีแล้ว อาจารย์ของเจ้าเราจับมากินเนื้อเสียแล้ว เจ้ายังจะว่ากะไรต่อไปหรือ เห้งเจียได้ฟังปีศาจพูดดังนั้น ก็บันดาโทสะด่าว่าอ้ายมารร้าย จะมีบุญฤทธิ์อย่างไรจึงได้มาพูดอวดอ้างวางโตดังนี้ พระยูไลท่านท้ายเสียงท่านขงจู๊เซี้ยหยิน ท่านเหล่านี้เป็นที่สุดแห่งโลกควรนิยมนับถือบุญฤทธิ์ของท่าน ๆ ยังไม่อวดอ้างถึงอย่างนี้ ทำไมกับมึงอ้ายเดรัจฉานมาอวดอ้างว่าน่ำซัวใต้อ๋อง ถ้ามึงเก่งจริงมึงอย่าวิ่งหนี จงมาลองกินตะบองของกูดูสักทีหนึ่ง จะได้รู้สึกว่ารสชาติจะเป็นประการใด
   พูดแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นตี ปีศาจยกสากเหล็กขึ้นรับรบกัน โป๊ยก่ายก็จับคราดตรงเข้าฟาดฟันโดยสามารถเต็มกำลัง ปีศาจเซียนฮองก็ขับพลปีศาจบริวารเข้าล้อมรบ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร่ายพระคาถาถอนขนที่บ่าซ้ายมากำมือหนึ่งเป่าไป แปลงเปน็รูปเห้งเจียหลายร้อยหลายพันตน มือถือตะบองเหล็กทุกรูปตรงเข้าทุบตีพวกปีศาจตายลงนับไม่ถ้วน เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ไล่รุกปีศาจเข้าไปในถ้ำ พวกปีศาจทั้งหลายถูกตะบองเห้งเจียบ้าง ถูกคราดโป๊ยก่ายบ้างล้มตายเป็นจุนไปทั้งสิ้น ปีศาจใหญ่ใต้อ๋องเห็นดังนั้น ก็ตกใจไม่คิดที่จะสู้รบ จึงบันดาลเป็นหมอกมืดแล้วก็หนีเข้าถ้ำปิดประตูเสียมิได้ออกมาสู้รบ ปีศาจเซียนฮองเปลี่ยนแปลงกายไม่ได้ ถูกเห้งเจียตีด้วยตะบองก็ตายอยู่กับที่ ร่างกายกลายเป็นพังพอนไป เห้งเจียเห็นได้ชัยชนะแล้ว ก็เรียกขน​กลับเข้าตัว บอกแก่โป๊ยก่ายว่าอย่าช้ารีบไล่เข้าไปในถ้ำ ทวงเอาอาจารย์ของเราให้จงได้ เห้งเจียโป๊ยก่ายพร้อมกันบุกรุกเข้าไปในถ้ำ
   ฝ่ายปีศาจครั้นหนีเข้าถ้ำแล้ว สั่งพวกบริวารที่ยังเหลือตายให้เอาศิลาถมอุดปากถ้ำให้แน่นหนา แล้วก็ไม่โผล่หัวออกมาสู้รบ โป๊ยก่ายเข้ามาถึงประตูร้องตวาดเสียงอึกทึกก็ไม่มีผู้ใดโต้ตอบ โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับเข้าที่ประตูทีหนึ่งก็ไม่หวั่นไหว เห้งเจียจึงร้องห้ามว่าชั่งมันเถิด มันไม่ออกมาแล้วเรากลับไปที่ฮองซุ้ยก่อนแล้วจึงค่อยคิดอ่านต่อไป พูดดังนั้นแล้วก็พากันกลับไปที่ฝังศรีษะอาจารย์ แลเห็นซัวเจ๋งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ โป๊ยก่ายคิดขึ้นมาก็ร้องไห้นอนลงกับที่ฝังศรีษะเอามือตบดินแล้วร้องไห้โฮ ๆ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงห้ามว่าน้องอย่าร้องไห้ไปเลย พวกปีศาจมันปิดประตูแน่นดังนี้ คงจะมีทางเข้าออกข้างหลังถ้ำได้เป็นแน่ น้องทั้งสองจงรอคอยพี่อยู่ที่นี่พี่จะไปเที่ยวค้นดู โป๊ยก่ายเช็ดน้ำตาแล้วจึงกำชับเห้งเจียว่าพี่ไปจงระวังให้ดี อย่าให้มันจับเอาพี่ไปได้อีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งสองจะไม่มีน้ำตาร้องไห้ เห้งเจียว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป พูดแล้วก็เดินข้ามเนินเขาไป กำลังเดินมาก็ได้ยินเสียงน้ำไหลสู้ ๆ เห้งเจียหันหน้าไปดู เห็นน้ำในชะวากหินไหลพุ่งลงในลำห้วย แลไปข้างริมลำห้วยมีช่องน้ำไหลออกมามีสีแดง
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกแน่ใจว่า ที่ตรงนี้เองเป็นทางเข้าออกหลังถ้ำ เห้งเจียจึงแปลงกาย​เป็นหนูน้ำ ดำตามช่องน้ำเข้าไป ครั้นดำเข้าไปถึงชั้นในได้แล้วก็โผล่ขึ้นดูแลเห็นปีศาจน้อยเอาเนื้อแห้งออกผึ่ง เห้งเจียคิดในใจว่าอ้ายพวกนี้เห็นจะกินเนื้ออาจารย์เรายังไม่หมด จึงได้เอามาตากดังนี้ จำเราจะแปลงกายเข้าไปดู อ้ายปีศาจใต้อ๋องมันจะทำประการใด คิดแล้วก็ขึ้นจากน้ำแปลงกาย เป็นแมลงหวี่บินเข้าไปในที่ปีศาจอยู่ เห็นปีศาจใต้อ๋องนั่งอยู่ท่ามกลางกำลังกระสับกระส่ายไม่สบาย มีปีศาจน้อยตนหนึ่งเดินเข้าไปบอกปีศาจใต้อ๋องว่า เราได้ร้อยพันหมื่นในความรื่นเริง ใต้อ๋องถามว่าความรื่นเริงอยู่ที่ไหน
   ปีศาจน้อยบอกว่าเมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้าออกไปที่หลังถ้ำเที่ยวเดินตรวจดู ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ข้าพเจ้าจึงปีนต้นไม้ขึ้นไปดู เห็นเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั่งร้องไห้โฮ ๆ อยู่ที่ฝังศรีษะคน ท่วงทีเธอจะเข้าใจว่าเป็นศรีษะของอาจารย์เธอจริง ๆ จึงได้เอาไปฝังทำฮองซุ้ยนั่งร้องไห้กันอยู่ดังนั้น เห้งเจียฟังได้ความชัดเจนดังนั้นแล้ว ก็คิดดีใจว่าอาจารย์ของเราคงจะยังไม่ตาย มันจับซ่อนขังไว้ในนี้เป็นแน่ จำเราจะเที่ยวค้นหาดูจึงจะได้รู้แน่ คิดแล้วก็บินไปข้างทิศตะวันออก แลเห็นที่ตรงนั้นมีประตูเล็กลั่นกุญแจ เห้งเจียจึงบินลอดเข้าไปที่ในสวนก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ แล้วเลยบินเข้าไปที่กลางสวนเห็นที่โคนไม้ใหญ่ผูกมัดคนไว้สองคน จึงบินเข้าไปใกล้ก็จำได้ว่าพระอาจารย์
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ดีใจ แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมเดินเข้าไปใกล้ ยกมือ​ขึ้นคำนับเรียกว่าพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียมา จึงพูดว่าเห้งเจียมาแล้วจงช่วยอาตมาด้วยเถิด เห้งเจียห้ามว่าพระอาจารย์อย่าพูดเสียงดังคนมีอยู่ข้างนั้น มันได้ยินเข้าความจะแตกฉาว พระอาจารย์ยังไม่สิ้นชีวิต ข้าพเจ้าคงจะช่วยอย่าได้มีความวิตกเลย พูดแล้วเห้งเจียก็บินกลับไปที่หอใหญ่จับอยู่ที่ขื่อ เห็นพวกปีศาจกำลังชุลมุนวุ่นวาย มีปีศาจผู้หนึ่งพูดขึ้นว่าวันนี้เราถมประตูถ้ำให้แน่นพวกนั้นทำลายไม่ไหว เอาหัวคนกลับไปฝังไว้และทำเป็นฮองซุ้ยแล้วก็ร้องไห้กัน เราคอยระวังอยู่คือวันนี้พรุ่งนี้มะรืนนี้ ครบสามวันแล้วเราจึงออกตรวจดู หากพวกมันไปแล้วเราจับพระถังซัมจั๋งออกมาสับให้ละเอียดใส่เครื่องแกงให้อร่อย แจกกันกินคนละคำให้สนุกจะได้มีอายุยืนยาว
   ปีศาจอีกคนหนึ่งพูดว่า ถ้าฉู่ฉี่กินเห็นจะมีรส อีกคนหนึ่งพูดว่าเธอเป็นคนแปลกประหลาด ดองไว้กินนาน ๆ เห็นจะดีกว่านั้น เห้งเจียจับอยู่บนขื่อได้ยินดังนั้น ก็โกรธด่าว่าอ้ายพวกเดรัจฉาน อาจารย์กูทำอะไรแก่พวกมึง จึงจะได้กินเลือดเนื้อแลทำต่าง ๆ ดังนี้ เห้งเจียถอนขนที่บ่าซ้ายเสกเป่าไปให้เป็นหนอนหาวนอน จับคนละตัว เข้าในรูจมูกปีศาจใต้อ๋องจามทีหนึ่งแล้ว ก็ล้มลงหลับกรนครอก ๆ ทั้งนายและบ่าวก็หลับไปหมดทั้งสิ้น เห้งเจียเห็นปีศาจหลับสนิทแล้วก็ลงมายังพื้นกลายกลับเป็นรูปเดิม ชักตะบองออกจากหูแล้วก็ตีประตูสวนหักพังทลายลง วิ่งเข้าไปเรียกอาจารย์แล้วเข้าแก้มัดให้แล้วก็พยุงให้เดินหนี ได้ยินคนที่ต้องมัดนั้นร้องเรียกว่าท่านอาจารย์ช่วย​บอกให้สานุศิษย์ของท่านช่วยข้าพเจ้าด้วย
   พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่เห้งเจียว่าจงช่วยแก้ให้แก่คนนั้นด้วยเถิด เห้งเจียถามว่าเขาเป็นอะไร พระถังซัมจั๋งบอกว่าเธอเป็นคนตัดฟืนขาย เธอมีความกตัญญูมากมีแม่ลูกสองคนเท่านั้น จงช่วยด้วยอีกสักคนหนึ่งเถิด เห้งเจียจึงเข้าไปแก้มัดให้ พามาพร้อมกันออกทางประตูหลังข้ามพ้นห้วยมาแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่าโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งอยู่ที่ไหน เห้งเจียบอกว่าเธอนั่งร้องไห้ถึงอาจารย์อยู่ข้างนั้น อาจารย์เรียกเธอสักคำหนึ่งก็จะขานรับ พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกว่าโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งอยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายมัวร้องไห้ถึงอาจารย์จิตใจให้มัวหมองพลั้งเผลอ ได้ยินเสียงเรียกออกชื่อจึงเช็ดน้ำตาบอกแก่ซัวเจ่งว่า พระอาจารย์สิ้นชีวิตแล้ว กลับมาเรียกเราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เห้งเจียรีบเดินมาถึงก่อนร้องตวาดว่า อ้ายชาติหมูเอ็งว่าวิญญาณสิงอยู่ที่ไหน นี่ไม่ใช่อาจารย์กลับมาหรือ
   ซัวเจ๋งแลเห็นก็วิ่งมาคุกเข่าคำนับนมัสการถามว่า พระอาจารย์ไปทนทุกข์ธรมานอยู่ที่ไหน พี่เห้งเจียแกจึงไปช่วยมาได้ เห้งเจียจึงเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังทุกประการ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นเอาคราดฟันขุดเอาหัวนั้นขึ้นสับฟันเสียจนป่น แล้วพูดแก่พระอาจารย์ว่าข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่า มันเอาศรีษะคนตายที่ไหนมาหลอกให้เราร้องไห้จนเสียงแห้งเสียงเหี่ยวดังนี้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าได้พึ่งเธอแทนชีวิตให้อาตม าเพราะฉะนั้นให้โป๊ยก่ายเอาศรีษะนั้นฝังลงเสียอย่างเดิม เพื่อให้เห็นว่าพวกเรามีเมตาจิต โป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์ว่าดังนั้น ก็เอาศรีษะ​ฝังลงไว้อย่างเดิม เห้งเจียว่าขออาจารย์นั่งพักรอข้าพเจ้าสักประเดี๋ยว จะไปกำจัดเสียให้สิ้นมารร้ายแล้วจึงค่อยไป พูดแล้วก็ถือตะบองรีบเดินข้ามห้วยตรงเข้าไปในถ้ำ ไปเก็บเอาเชือกที่มัดพระอาจารย์กับคนตัดฟืนนั้นมา แล้วเข้าไปที่น่าหอปีศาจใต้อ๋องกำลังนอนหลับอยู่ไม่รู้สึกตัว เห้งเจียก็เข้ารวบมือและเท้ามัดหมูไว้ เอาตะบองค่อย ๆ สอดยกขึ้นใส่บ่าหามออกมานอกถ้ำ ไปวางลงตรงหน้าพระอาจารย์
   โป๊ยก่ายเห็นยกคราดขึ้นจะสับ เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่า ๆ เพิ่งก่อน ปีศาจน้อยบริวารในถ้ำยังมีอยู่มากมายนัก จะตีมันให้ตายเสียก็เสียดายมือ สู้หาไม้ฟืนแห้งเผามันเสียให้สิ้นจึงจะดี คนตัดฟืนได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้น จึงนำโป๊ยก่ายไปขนเอาฟืนแห้ง ๆ มาใส่ในประตูหลังถ้ำเต็มแล้ว เห้งเจียจึงเอาไฟจุดโป๊ยก่ายก็เอาใบหูพัดลมให้ไฟลุก เห้งเจียก็ร่ายคาถาเรียกหนอนหาวนอนกลับคืนเข้าตัวไปตามเดิม พวกปีศาจตกใจตื่นเห็นไฟกำลังลุกแรงอย่านึกเลยว่าจะรอดสักคนหนึ่ง ไฟไหม้เป็นจุณไปหมดแล้วจึงพากันมาหาอาจารย์
   ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องใหญ่พึ่งรู้สึก โป๊ยก่ายกระโดดมายกคราดขึ้นสับถูกปีศาจก็ตายอยู่กับที่ ร่างกายกลายเป็นเสือลายตลับไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ขอบใจโป๊ยก่ายเห้งเจียเป็นอันมาก จึงจับบังเหียนขึ้นบนหลังม้า ฝ่ายคนตัดฟืนพูดแก่พระถังซัมจั๋งว่า ขอนิมนต์ท่านไปที่บ้าน​ข้าพเจ้าอยู่ตรงทิศทักษิณไปนั้น ให้มารดาข้าพเจ้าพบกับท่านแล้วขอบพระคุณท่าน ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดชีวิตแล้วจะส่งท่านขึ้นทางใหญ่ไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงลงจากม้าพร้อมด้วยคนตัดฟืนกับเห้งเจียและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งพากันเดินไป ลัดเลี้ยวมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง แลไปในบ้านเห็นยายเฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนร้านมีน้ำตาไหลอยู่อาบหน้า นั่งคอยมองดูตามทางมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเรียกฟ้าเรียกดิน
   ฝ่ายคนตัดฟืนเห็นมารดา ก็รีบวิ่งมาที่ร้านคุกเข่าลงกับพื้นบอกว่าแม่จ๋าลูกกลับมาแล้ว ยายเฒ่าเห็นลูกมาก็เข้าจับยึดลูกพูดว่าแม่คอยอยู่สองวันไม่เห็นมา คิดว่าเจ้าของภูเขาจับลูกไปฆ่าเสียแล้ว ทำให้แม่อกใจเร่าร้อนทุกข์โทมนัสร้องไห้ ก็ลูกไม่ถูกจับทำไมสองวันจึงไม่กลับมาเล่า คนตัดฟืนจึงบอกแก่มารดาว่า ลูกถูกปีศาจใต้อ๋องมันจับไปมัดไว้กับต้นไม้ ลูกก็นึกว่าคงไม่รอดชีวิต ผ่ายหลังได้พึ่งสานุศิษย์ของพระอาจารย์ มีฤทธาอานุภาพเธอจับปีศาจใต้อ๋องมาฆ่าเสีย จึงได้ช่วยลูกกับท่านอาจารย์รอดมาได้ อันพระคุณของท่านเท่าฟ้าเท่าดิน ตั้งแต่นี้ต่อไปบนเขานั้น แม้กลางคืนลูกจะเดินเที่ยวเล่นก็ได้ไม่มีอันตราย
   ฝ่ายยายเฒ่าได้ฟังบุตรเล่าดังนั้น ก็เดินออกมานมัสการนิมนต์พระอาจารย์กับศิษย์ทั้งสามเข้าไปนั่งพักกลางบ้าน แม่ลูกสองคนกราบไหว้แล้ว ก็รีบเข้าไปข้างในจัดแจงตามมีตามเกิด ยกกับ​ข้าวเครื่องแจออกมาถวาย ฝ่ายอาจารย์กับศิษย์ก็ฉัน ครั้นอิ่มแล้วก็จัดแจงข้าวของจะลาไป คนตัดฟืนก็ออกเดินนำหน้าส่งขึ้นทางใหญ่แล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ตั้งแต่นี้ตรงไปทิศไซทีไม่ต้องเป็นทุกข์แล้ว ไม่ถึงพันโยชน์ก็เข้าเขตเมืองไซที พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ลงจากม้าคำนับขอบคุณคนตัดฟืนแล้วต่างคนต่างก็ลากันไป
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 8-24 พากย์ไทย

01 กรกฎาคม 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 59 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๘๔)
 เวลานั้นเป็นฤดูเดือนหกเดือนเจ็ดลมและฝนก็มีต้นผลไม้ชุ่มชื้นกำลังผลิดอกออกผล อาจารย์กับศิษย์พิศดูมาตามทาง เหลือบเห็นยายเฒ่าผู้หนึ่งจูงทารกเดินออกมา ร้องบอกว่าสงฆ์องค์นั้น ข้างหน้าไม่ควรไป ๆ ไม่ได้มีแต่ทางตาย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ตกใจให้เต้นหวาดเสียวขนลุกขนชันจึงลงจากหลังม้าเดินเข้าไปปราศรัยด้วยยายเฒ่า คำโบราณท่านย่อมว่า ทะเลกว้างตามแต่ปลาจะผุดว่าย ฟ้าสูงตามแต่นกจะบิน เหตุใดทางไซทีได้สิ้นทางเสียดังนี้เล่า ยายเฒ่าจึงชี้ไปทางทิศไซทีแล้วพูดว่า ทางข้างหน้าไปประมาณหกโยชน์ มีเมือง ๆ หนึ่งชื่อเมืองเบี๊ยดฮวยก๊ก คือเมืองทำลายธรรม ไม่ทราบว่าเจ้าเมืองนั้น ผูกเวรพยาบาทแต่ชาติใด มาในชาตินี้จึงได้สร้างแต่การบาปอกุศลเช่นนี้ เมื่อสองปีก่อนตั้งอธิษฐานว่าขอฆ่าพระสงฆ์ให้ได้หมื่นรูป ในสองปีก่อนนั้น ฆ่าพระสงฆ์ที่ไม่มีชื่อเสียงได้เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบหกรูปแล้ว ยังคอยพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงอีกสี่รูป จึงจะครบจำนวนหมื่นหนึ่ง แม้ว่าท่านเดินเข้าไปถึงเมืองก็นึกว่าเอาชีวิตเข้าไปส่ง
   พระถังซัมจั๋งเมื่อได้ฟังยายเฒ่า​บอกเล่าชี้แจงดังนั้น สิ้นสติสมปฤดีร่างกายสั่นระริกระรัวไป จึงพูดว่าขอบคุณท่านยาย มีความกรุณาข้าพเจ้าช่วยบอกเล่าให้รูสึกดังนี้ จะขอถามท่านยายว่าหากเราจะไม่ไปทางนั้น จะมีทางอื่นเล็ดลอดไปได้บ้างหรือไม่ ยายเฒ่าได้ฟังถามจึงบอกว่าทางอื่นก็ไม่มีจะลัดหลีกไปนั้นไม่ได้ เว้นแต่มีปีกบินได้นั่นและจะไปให้พ้นได้ โป๊ยก่ายได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้น จึงห้ามว่าท่านยายอย่าพูดดังนั้น พวกข้าพเจ้าเหาะไปได้ทุก ๆ คน เห้งเจียยืนพิจารณาดูยายเฒ่าก็จำได้ว่า คือพระโพธิสัตว์กวนอิม เด็กนั้นคือเสียนไจ๊ท่งจื๊อ เห้งเจียเห็นแน่แล้วก็คุกเข่าลงนมัสการร้องเรียกว่าพระโพธิสัตว์ สานุศิษย์ไม่ทันเคารพรับ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ลอยขึ้นบนอากาศ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจคุกเข่าลงกับพื้นนมัสการ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งต่างนมัสการ
   บัดเดี๋ยวก็เห็นเมฆลอยสว่างไปทางน่ำไฮ้ เห้งเจียก็ลุกขึ้นมาพยุงพระอาจารย์ให้ลุกขึ้นแล้วก็พูดว่า พระโพธิสัตว์กลับไปเขาน่ำไฮ้แล้ว พระถังซัมจั๋งลุกขึ้นแล้วพูดว่า เห้งเจียนี่พระโพธิสัตว์บอกข่าวให้รู้ว่า ข้างหนานั้นมีเมืองทำลายธรรมและฆ่าพระสงฆ์ด้วย เราจะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าอาจารย์อย่ามีความวิตก เราก็เคยพบปะภูตผี ปีศาจยักษ์มารที่ร้ายแรงมามากแล้ว ก็ไม่สามารถจะทำร้ายเราได้ นี่เป็นมนุษย์เหมือนกัน จะไปวิตกเกรงกลัวไปทำไมไม่เข้าการ แต่ขัดด้วยที่เหล่านี้ ไม่เป็นที่พักที่อาศัยได้ แลทั้งเวลาก็จวนค่ำ วิตกว่าชาวป่า​เข้าไปในเมือง เวลากลับออกมาจะมาพบปะเราเข้า จะพูดอื้ออึงมี่ฉาวขึ้นเราจะซ่อนเร้นลำบาก เราพากันลงจากทางใหญ่หาที่ลับอาศัยก่อนแล้วจึงค่อยคิดอ่านต่อไป
   ปรึกษากันตกลงแล้ว ก็พร้อมกันเดินหลีกออกจากทางใหญ่ มาถึงที่ราบคาบก็พากันหยุดพัก เห้งเจียจึงสั่งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งว่า น้องทั้งสองจงเอาใจใส่ระวังอาจารย์ให้จงดีพี่จะลอดแปลงกายเข้าไปสอดแนมตรวจตราดู บางทีจะมีทางพอที่จะเล็ดลอดหลีกไปได้ เราจะได้รีบพากันข้ามให้พ้นไปเสียแต่ในคืนวันนี้ สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศ ยืนหยุดอยู่บนเมฆพิจารณาดูเห็นในกำแพงเมืองมีรัศมีฟุ้งขึ้นเป็นสาย ๆ เห้งเจียมีความพิศวงอัศจรรย์ใจ ทำไมจึงมีรัศมีผุดผ่องเป็นมงคลฉะนี้ เหตุใดจึงเป็นเมืองทำลายธรรมไปได้น่าประหลาดจริง ๆ พิเคราะห์อยู่สักครู่หนึ่งก็พอพลบค่ำ จึงคิดว่าอย่าเลยเราจะลองไปเที่ยวดูที่พื้นตามทาง ก็กลัวคนจะเห็นเข้าจำจะต้องแปลงกายลงไป คิดแล้วก็ร่ายพระเวทแปลงกายเป็นแมลงเม่าตัวหนึ่ง บินไปตามชายคาบ้านเรือนเร่ร่อนไปตามถนนตลาดในเมือง พอบินมาถึงหัวเลี้ยวถนน มีแถวบ้านคนอยู่ในวงเวียน มีโคมตามไฟทุก ๆ บ้าน
   เห้งเจียก็บินแอบใกล้เข้าไปพิจารณาดูโดยละเอียด เห็นบ้านหนึ่งอยู่กลางมีโคมไฟสี่เหลี่ยมแขวนอยู่หน้าบ้าน ๆ เขียนหนังสือตัวใหญ่ว่า ที่พักรับแขก ข้างล่างเขียนว่าโรงเตี้ยมนี้ของอ๋องเซี้ยยี่เป็นเจ้าของ เห้งเจียก็รู้ได้ว่าเป็นโรงขายเข้าแกง แลเข้าไปข้างในเห็นมีคนมาพักนอนแปดเก้าคน ถอดหมวกเสื้อผ้าโพกศรีษะ​นอนอยู่บนเตียง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงนึกดีใจ ว่าอาจารย์เราคงจะข้ามไปพ้นได้ คือเห้งเจียคิดจะลักเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนแปลงเป็นฆราวาสจะได้ข้ามหนีไป สักประเดี๋ยวเห็นอ๋องเซี้ยยี่เจ้าของเตี้ยมเดินออกมาพูดว่า ท่านทั้งหลายที่มานอนพักในเตี้ยมคนดีคนร้ายปนกัน เสื้อผ้าข้าวของจงอุตส่าห์ระวังระไวไว้ให้ดี ถ้าหายหกตกหล่นจะเอาผิดแก่เจ้าของเตี้ยมไม่ได้
   คนเหล่านั้น ครั้นได้ยินเจ้าของเตี้ยมสั่งก็พากันเก็บผ้าและหมวกเสื้อสิ่งของไว้กับตัวทุกคน ในพวกที่มานอนพักนั้น มีคนหนึ่งพูดว่า ผู้เจ้าของเตี้ยมเขาสั่งถูกต้อง เราทั้งหลายเป็นผู้เดินทางพักอาศัยต้องลำบาก เหน็ดเหนื่อยมานอนหลับไหลไม่ได้สติ ถ้าของหายจะทำอย่างไร จึงพูดแก่เจ้าของเตี้ยมว่าอย่ากระนั้นเลย ข้าวของเสื้อผ้าเหล่านี้ขอฝากไว้แก่ท่านผู้เจ้าของเตี้ยม เวลาเช้าข้าพเจ้าทั้งหลายจึงจะคืนเอา อ๋องเซี้ยยี่เจ้าของเตี้ยมจึงเก็บผ้าข้าวของเหล่านั้นเข้าไปไว้ในบ้านทั้งสิ้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็โผบินตามเข้าไปข้างในลงจับอยู่ที่ชายผ้าโพกศรีษะ ฝ่ายอ๋องเซี้ยยี่เห็นสิ้นเวลาก็ออกไปเก็บโคมไฟ ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าห้องแก้เสื้อพาดบนราว ขึ้นนอนบนเตียงก็เลยหลับไป ที่ในเรือนของอ๋องเซี้ยยี่นั้น หญิงผู้หนึ่งลูกอ่อนสองคนบุตรร้องไห้รบกวนนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นให้บุตรกินนมตามไฟไว้ เต่าจึงเอาเสื้อขาดออกปะเย็บอยู่มิได้นอน
   เห้งเจียคิดว่า ถ้าจะคอยให้หญิงนอนก่อนจึงจะลงมือ ประตูเมืองก็จะปิด​เสียจะไปมิได้ คิดไปคิดมาก็ลงเนื้อเห็นว่าจะช้าการไปอดทนอยู่ไม่ได้ก็โผบินลงทำให้ไฟดับ แล้วแปลงตัวเป็นแม่หนูตัวหนึ่งร้องจี๊ด ๆ กัดฝา กระโดดลงคาบเอาเสื้อผ้าโพกศรีศะดึงลากออกไปข้างนอก ฝ่ายผู้หญิงแม่ลูกอ่อนก็ตกใจ จึงร้องเรียกอ๋องเซี้ยยี่ว่าไม่ได้การแล้วเวลาก็ดึกแล้วทำไมจึงเกิดมีปีศาจขึ้นดังนี้เล่า เห้งเจียได้ยินเสียงร้องก็เข้าแอบประตูห้องร้องบอกอ๋องเซี้ยยี่ว่า อย่าเชื่อหญิงนั้นพูดไม่จริงข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจดอก ข้าพเจ้าเป็นคนแจ่มแจ้งไม่ทำซึ่งการมืดมัวดังนั้น เราคือซีเทียนใต้เซี้ยลงมาใต้หล้าในเวลานี้!โดยเหตุรักษาพระถังซัมจั๋งจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงเมืองนี้ จะขอยืมเสื้อผ้าโพกศรีษะข้ามเมืองไปแล้ว จะนำกลับมาคืนให้
   ฝ่ายอ๋องเซี้ยยี่กำลังนอนตกใจตื่น ได้ยินเสียงคนพูดดังนั้นก็ตกใจ มืดและก็ไม่เห็นอะไรคว้าเอาเสื้อผ้ามาใส่ สวมผิดสวมถูกไม่เข้าได้ เห้งเจียก็รีบออกจากบ้านเหาะไป บัดเดี๋ยวก็มาถึงที่อาจารย์พักอยู่ ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เห็นเดือนสว่างก็นั่งคอยชะแง้ดูเห้งเจีย แลไปก็เห็นเห้งเจียกลับมา จึงถามว่าเห้งเจียไปดูท่าทางได้เห็นทางใดที่จะข้ามลัดพ้นเมืองไปได้บ้างมีหรือเปล่า เห้งเจียก็วางเสื้อผ้านั้นลงแล้วคำนับพูดว่า ที่จะข้ามผ่านเมืองไปรูปเป็นพระสงฆ์นั้นไม่ได้ โป๊ยก่ายพูดว่าถ้าหากจะไม่ให้เป็นสงฆ์จะยากอะไร รอสักหกเดือนให้ผมยาวแล้วก็แปรได้ เห้งเจียว่าจะรออยู่ถึงหกเดือน​จะทันที่ไหน จะแปลงเป็นฆราวาสเดี๋ยวนี้ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียพูดอะไร เห้งเจียตอบว่าพระอาจารย์ ที่ในเมืองนี้ข้าพเจ้าได้ไปพิเคราะห์ดู เจ้าเมืองนั้นจิตเป็นอกุศล ฆ่าพระสงฆ์ก็จริง แต่ที่บนกำแพงเมืองนั้นมีรัศมีโชติช่วงรุ่งเรืองประหลาด
   เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้าไปยืมเสื้อผ้าที่เตี้ยมมา พวกเราแปลงเป็นคฤหัสถ์แล้วเข้าไปไนเมืองพักที่โรงเตี้ยมข้าวแกง รอให้เจ้าของโรงเตี้ยมจัดหาเข้าแจฉันแล้วพอจวนแจ้งประตูเมืองเปิดเราพากันรีบออกจากเมืองอย่าให้ทันชาวเมืองรู้เหตุ หากพบปะคนกั้นกางเราบอกว่ามีรับสั่ง คนเหล่านั้นก็จะไม่อาจห้ามไว้ได้คงจะต้องปล่อยไปโดยสะดวก ซัวเจ๋งพูดว่าพี่คิดดังนี้ดีแล้วจะต้องกระทำตาม
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง ไม่รู้ว่าจะทำประการใดก็ต้องจำใจแปลงจึงถอดเครื่องพระสงฆ์ออกแล้ว เสื้อผ้าสวมใส่เข้าเหมือนคฤหัสถ์ ซัวเจ๋งก็แปลง โป๊ยก่ายศรีษะใหญ่ผ้าโพกไม่ได้ เห้งเจียถอนเอาขนออกแปลงเป็นด้ายแลเข็ม เอาผ้าโป๊ยก่ายคลี่ออกแล้วสองชายเย็บติดกันใส่ให้โป๊ยก่ายเสร็จแล้ว เห้งเจียก็จัดแจงแต่งตัวเอง ครั้นแต่งตัวเสร็จทุกคนแล้ว เห้งเจียจึงสั่งว่าชื่อเดิมของอาจารย์จงอย่าได้เรียก เรียกกันเป็นฉันพี่น้อง ให้เรียกชื่ออาจารย์ว่า ถังอิดกัว ถ้าไปถึงเตี้ยมอาจารย์กับน้องพูดโต้ตอบแก่เจ้าของเตี้ยม ให้ข้าพเจ้าพูดคนเดียว บางทีเขาจะถามถึงสินค้าจะบอกว่าเอาม้ามาขาย เอาม้าของเราให้ดูเป็นตัวอย่าง และยังมีพี่น้องเฝ้าม้าอยู่ข้างนอก เราสี่คนมาหาที่ห้องพักและที่พักม้าก่อน แล้วจึงจะเข้ามาพร้อม​กันดังนี้ เจ้าของเตี้ยมก็จะต้องเกรงใจเรา และจะต้องเลี้ยงดูพวกเรา เวลาเราจะไปไว้ข้าพเจ้ามีคำขอบคุณเขาแล้วจึงออกเดิน
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจีย จำใจจำต้องยอมให้เห้งเจียจัดแจงตามชอบใจ เห้งเจียครั้นจัดแจงสั่งเสียเสร็จแล้วก็พากันยกของจูงม้ารีบเดินเข้าเมือง เวลานั้นประมาณยามเศษโคมไฟยังไม่ดับ เพราะเป็นบ้านเมืองอันเจริญสุข ประตูบ้านของชาวเมืองก็ยังไม่ปิด อาจารย์กับศิษย์ก็พากันรีบเดินตรงมายังเตี้ยมอ๋องเซี้ยยี่ ครั้นมาถึงประตูเตี้ยมก็ได้ยินคนในนั้นบ่นว่า คนนั้นเสื้อหายคนนี้ผ้าโพกหาย เห้งเจียได้ยินแล้วก็ทำเป็นไขหูไม่รู้ไม่เห็นเสีย เข้าไปที่หน้าประตูร้องเรียกเจ้าของเตี้ยม ว่าห้องยังว่างเปล่าอยู่บ้างหรือไม่ พวกข้าพเจ้าจะมาอาศัยพัก ในนั้นมีผู้หญิงร้องตอบออกมาว่า มีค่ะ เชิญท่านขึ้นพักบนเล่าเต๊งชั้นบน พูดยังไม่ทันขาดคำแลเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมารับม้า เห้งเจียจึงจูงม้ามามอบให้แก่คนนั้นเอาไปเลี้ยง เห้งเจียนำหน้าพากันขึ้นไปบนเล่าเต๊งชั้นบน ข้างบนเล่าเต๊งมีเก้าอี้โต๊ะตั้งสำรองพรักพร้อม เห้งเจียก็เปิดหน้าต่างมีแสงเดือนส่องสว่างต่างก็พากันนั่งพักบนเก้าอี้ แลเห็นข้างล่างจุดโคมไฟเอาขึ้นมา เห้งเจียออกยืนขวางประตูดับไฟเสีย บอกว่าแสงเดือนสว่างไม่ต้องตามไฟ
   คนนั้นก็ถือโคมกลับลงบันไดไป ประเดี๋ยวอีกคนหนึ่งเอาถาดน้ำชาขึ้นมาสี่ถ้วย เห้งเจียก็เดินออกมารับ ยังมีหญิงสองคนอายุประมาณสิบเจ็ดปีเดินขึ้นมายืนแอบอยู่ข้างหนึ่ง ถามว่าทั้งสี่คนอยู่ที่ไหน​มานี่มีสินค้าอะไรมาบ้างหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาจากทิศเหนือเอาม้ามาขาย หญิงนั้นจึงถามแซ่และชื่อ เห้งเจียตอบว่าท่านที่หนึ่งชื่อถังใต้กัว ที่สามนั้นชื่อจูซัมกัว ที่สี่นั้นชื่อซังซี้กัว ข้าพเจ้าชื่อยี่กัว หญิงทั้งสองได้ฟังก็หัวเราะว่าชื่อแซ่แปลกๆกัน เห้งเจียว่าจริงดังนั้นชื่อแซ่แปลกกันแต่ว่าอยู่รวมกัน พวกข้ารวมกันสิบคนพี่น้อง แต่ข้าพเจ้าเข้ามาสี่คนก่อน จะได้หาห้องเช่าและเช่าพักม้า ยังอยู่นอกเมืองอีกหกคน หยุดคอยเฝ้าม้าเพราะเวลาค่ำมืดยังไม่ควรจะเอาเข้ามา รอข้าพเจ้าเช่าที่พักได้แล้วรุ่งเช้าก็จะเอาเข้ามาขาย ๆ ได้แล้วก็จะพากันกลับ
   หญิงนั้นถามว่าม้าฝูงนั้นจะมีสักกี่ม้า เห้งเจียตอบว่ามีสักร้อยเศษ รูปร่างก็คล้ายคลึงแก่ตัวที่ข้าพเจ้าเอามานี้ แต่สีขนแปลกๆกัน หญิงนั้นจึงพูดว่าท่านยี่กัวถ้าขายมีหลักฐานจริงๆ ท่านมาถึงเตี้ยมข้าพเจ้าเป็นเตี้ยมที่สอง ที่จะไว้ม้าก็มีพรักพร้อม จะไว้สักเท่าใดก็ได้ถมไป อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าตั้งเตี้ยมที่นี่ก็นานแล้ว เดิมสามีข้าพเจ้าแซ่เตียวก็บังเอิญถึงแก่กรรมเสียแล้ว นามข้าพเจ้าเรียกว่าเตี้ยวกัวหู ในเตี้ยมของข้าพเจ้ามีการเลี้ยงแขกสามอย่าง ห้องพักค่าเช่าก็มีกำหนดราคา เห้งเจียถามว่าในเตี้ยมของนางทำไมจึงมีอะไรเลี้ยงแขกสามอย่าง โปรดแสดงให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง นางเตี้ยวกัวหูตอบว่ามีสามอย่างดังนี้ คือที่หนึ่งนั้นเลี้ยงมีขนมและผลไม้ต่าง ๆ และของกินโต๊ะหนึ่งเฉพาะสองคน มีหญิงสาวขับร้อง คนหนึ่งคิดเอาค่าป่วยการ​ห้าสลึงทั้งค่าห้องรวมอยู่ด้วยกัน
   เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะว่าสมควรแล้ว ข้าพเจ้ายอมออกเงินห้าสลึงแต่ไม่ต้องมีหญิงสาวขับร้อง จึงถามอีกว่าที่สองนั้นเป็นอย่างไร นางเตี้ยวกัวหูตอบว่าที่สองนั้นมีสุราอุ่นร้อน และเครื่องกินต่างๆตั้งบนโต๊ะตามแต่ท่านผู้บริโภคจะพอใจ แต่ไม่มีหญิงสาวขับร้อง คิดคนละสองสลึง เห้งเจียว่าสองสลึงก็สมควรแล้วยังอีกอย่างที่สามนั้นอย่างไร นางเตี้ยวกัวหูพูดว่า ข้าพเจ้าไม่อาจพูดต่อหน้าท่านไม่ควรแสดง เห้งเจียว่าจงแสดงเถิดอย่าเกรงใจข้าพเจ้าอนุญาต บางทีพวกข้าพเจ้าเรียกเอาตามความพอใจแล้วแต่อย่างใดจะดี นางเตี้ยวกัวหูพูดว่าอย่างที่สาม ไม่มีคนเฝ้าประคับประคอง มีข้าวมีกับตามประสงค์อิ่มแล้วนอนอาศัยตามชายคาจนสว่างคิดเอาเฟื้องสองไพตามราคาดังนี้ คิดขึ้นคิดลงไม่ได้
   โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นพูดว่า ข้าพเจ้าจะเลือกเอาอย่างที่สาม จะกินให้อิ่มแล้วออกไปนอนหน้าบ้านดีกว่า เห้งเจียพูดว่าน้องพูดอะไรอย่างนั้น เราเป็นคนเที่ยวทุก ๆ หัวเมืองจะมาเสียดายเงินสองสามตำลึงทำไม เห้งเจียจึงบอกเจ้าของเตี้ยมให้จัดแจงโต๊ะที่หนึ่งมาเถิด นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังดังนั้นก็มีความดีใจ จึงเรียกคนใช้ให้ยกน้ำชาดีขึ้นมา แล้วให้คนทำโต๊ะรีบจัดหา นางก็ลงจากเต๊งเรียกคนให้ทำเป็ดไก่หมูและแพะ แกะ แล้วจัดสุราอย่างดีออกสำรอง แลให้คนช่างขนมจัดทำขนมโอชารสต่าง ๆ พระถังซัมจั๋งได้ยินจึงพูดแก่ซึงยี่กัวว่าเขาไปฆ่าสัตว์ดังนี้จะไม่ดี เห้งเจียก็นึกได้จึงไปเรียกว่า แม่เจ้าของเตี้ยม​เชิญขึ้นมานี่ก่อนนางก็ขึ้นมาถามว่าท่านยี่กัวจะประสงค์สิ่งใดหรือ เห้งเจียบอกว่าอย่าให้เขาฆ่าสัตว์เลย วันนี้ข้าพเจ้าถือศีลกินแจ นางได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ถามว่าท่านกินแจตลอดอายุหรือมีกำหนดเดือน เห้งเจียตอบว่าไม่ใช่ทั้งนั้น พวกข้าพเจ้ากินแจเปนวันๆ หากวันแกซินจึงกินแจ วันนี้เป็นวันแกซินพรุ่งนี้ก็เลิก วันนี้ขอให้จัดเครื่องแจมาเถิด ข้าพเจ้าจะคิดให้ตามราคาที่หนึ่ง
   นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงลงไปร้องสั่งพวกทำเครื่อง ว่าของมีเนื้อถึก เลิกไม่ต้องทำ จัดทำแต่เครื่องแจเท่านั้น พวกทำครัวได้ฟังคำสั่งดังนั้นก็รีบทำเครื่องแจบัดเดี๋ยวก็แล้ว ยกขึ้นจัดบนโต๊ะพร้อมแล้ว ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นเครื่องโต๊ะจัดเสร็จแล้ว ก็พากันนั่งรับประทานตามสบายใจ เวลานั่งกำลังกินได้ยินเสียงครืนๆ ตึงตังอยู่ข้างหน้าบ้าน เห้งเจียจึงถามนางเจ้าของบ้านว่าที่ข้างล่างทำอะไรกัน นางเจ้าของเตี้ยมบอกว่า คนที่มาเช่าเขาเรียกคนที่หามเกี้ยวให้มารับเขาจะไป คนหามเกี้ยวมาโดนกระดานเสียงก็ตึงตังไม่ใช่ทำอะไรดอก เห้งเจียจึงพูดว่า เมื่อแรกท่านก็ไม่บอกจะได้เชิญแขกนั้นไว้ยังมิให้ไป เพราะวันนี้เป็นวันศีลกินแจ และทั้งพี่น้องก็ยังมาไม่พร้อมกัน พรุ่งนี้ถ้ามาพร้อมกันจะกินเล่นในเตี้ยมนี้
   นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็พูดว่าท่านพูดดีแล้วขอบใจท่านมากๆ เห้งเจียโป๊ยก่ายและซัวเจ๋งครั้นกินอิ่มแล้วคนเตี้ยมก็เก็บถ้วยชาม พระถังซัมจั๋งจึงเดินมาถามเห้งเจียว่า เราจะพัก​นอนที่ไหน เห้งเจียบอกว่าเราจะต้องนอนบนนี้ พระถังซัมจั๋งเห็นว่าจะไม่ชอบกล เพราะพวกเราเป็นคนเดินทางธุระมาลำบาก บางทีจะนอนหลับไหลไม่รู้สึกตัวผ้าโพกศรีษะจะหลุดออก บางทีคนขึ้นลงจะเห็นเฃ้าเขาจะรู้ว่าเป็นพระสงฆ์ จะเล่าลือต่อๆ ไปจะทำอย่างไร เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ว่าดังนั้นก็ชอบอยู่ เห้งเจียจึงเรียกเจ้าของเตี้ยม นางก็ขึ้นมาถามว่าท่านยี่กัวจะสั่งว่ากระไรหรือ เห้งเจียถามว่าจะให้พวกข้าพเจ้านอนที่ไหน นางบอกว่าต้องนอนบนเล่าเต๊งนี้จึงจะดี ยุงริ้นไม่มีและฤดูนี้ลมว่าวพัดกล้า เปิดหน้าต่างนอนเล่นเย็นสบาย
   เห้งเจียพูดว่าเห็นจะนอนไม่หลับ เพราะท่านจูซัมกัวเป็นโรคเหน็บชา ซูซี้กัวเป็นโรคกระสาย ท่านถังใต้กัวชอบนอนที่มืดเพราะกระดากไฟนอนไม่หลับ ที่บนนี้ไม่เป็นที่ผาสุขได้ นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังก็ลงจากบันไดมายืนพิงข้างประตูครัวถอนหายใจบ่นว่าลำบากใจจริง ๆ ขณะนั้นบุตรนางเตี้ยวกัวหูอุ้มบุตรเดินมาได้ยินมารดาบ่นดังนั้นจึงพูดว่า มารดาจะบ่นไปทำไม ฤดูนี้ขายไม่ดีฤดูหน้าก็จะขายดีแม่จะบ่นไปทำไม นางแม่พูดว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ แม่ไม่ได้ร้อนด้วยเรื่องจะขายได้ไม่ได้ วันนี้เมื่อจวนจะพลบค่ำเก็บร้าน มีสี่คนพ่อค้าม้ามาร้องเรียกเช่าห้องนอน เธอเข้ามาจะกินโต๊ะอย่างที่หนึ่ง แม่ปรารถนาอยากได้เงินเขา เธอไม่กินโชจะกินแจ ก็ตามใจจัดหาให้เธอกินอิ่มแล้ว จะคิดราคาก็ยังไม่ได้เงินเขา นางลูกสาวพูดว่าเราได้ให้กินที่นี่แล้วต้องไม่ยอมให้ไปนอนที่อื่น พอรุ่งเช้าเราจัดเครื่องโต๊ะ เหล้ายาให้พร้อมให้เขากิน​แล้วจะวิตกอะไรว่าจะไม่ได้เงินเล่า นางแม่พูดว่าเธอสองสามคนมีโรคกะสายบ้างเหน็บชาบ้างและกระดากแสงไฟบ้าง จะอยากนอนที่มืด ๆ เจ้าคิดดูหรือ ที่บ้านกว้างขวางดังนี้จะหาที่มืด ๆ บังลมที่ไหนมีบ้างเล่า สู้เรายกค่าเช่าให้เธอไปหาที่อื่นดีกว่า
   นางลูกสาวได้ฟังแม่พูดดังนั้น จึงพูดแก่มารดาว่า จะหาที่มืดที่บังนั้นดีแล้ว แม่ถามว่าอยู่ที่ไหน ลูกสาวบอกว่าเมื่อบิดายังอยู่ ได้ต่อทำตู้ใหญ่ไว้ตู้หนึ่ง กว้างสี่ศอกยาวเจ็ดศอกสูงสามศอก ในตู้นั้นจุนอนได้หกเจ็ดคน ให้เธอพากันไปนอนในตู้นั้นก็ได้ นางแม่ได้ฟังลูกสาวก็นึกขึ้นได้จึงพูดว่าจะลองถามเธอดูก่อน นางจึงขึ้นไปบนเล่าเต๊งถามว่า ท่านยี่กัวข้าพเจ้าหาทั้งบ้านก็ไม่มีที่ มีแต่ตู้ใหญ่อยู่ตู้หนึ่งบังลมได้ดีและมืดด้วยท่านจะเห็นควรหรือไม่ เห้งเจียบอกว่าดีแล้ว นางเตี้ยวกัวหูลงมาเรียกคนหามตู้ออกมาวางไว้แล้วก็เปิดบานออกเชิญคนทั้งสี่ไปนอน เห้งเจียนำหน้าพระถังซัมจั๋งลงมาจากเต๊ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ยกถุงย่ามเข้าของตามลงมา ครั้นเดินมาถึงตู้โป๊ยก่ายก็ไม่ว่าดีชั่วมุดเข้าไปก่อน ซัวเจ๋งเอาข้าวของส่งไปแล้วก็พยุงอาจารย์เข้าไป ซัวเจ๋งก็เข้าไป เห้งเจียจึงเรียกให้เอาม้ามาผูกดีแล้ว จึงบอกให้นางเตี้ยวกัวหูปิดประตูตู้เอากุญแจมาลั่นพอรุ่งเช้าค่อยมาเปิด นางก็ทำตามเห้งเจียสั่ง
   เวลานั้นเป็นฤดูร้อน เข้าอยู่ในตู้ทั้งสี่คนลมก็เข้าไม่ได้ พากันได้ความร้อนทุรนทุรายปราศจากความสุข พากันถอดผ้าโพกศรีษะและเสื้อออก ในนั้นก็ไม่มีพัดพากันเอาผ้าปัดไปปัด​มานอนก็ไม่หลับจนเข้ายามสองจึงได้หลับ แต่เห้งเจียนอนหลับๆ ตื่นๆ จึงยื่นมือไปหยิกขาโป๊ยก่าย ๆ ตาก็หลับปากก็บ่นพึมพำ ว่านอนก็นอนไปเดินมาลำบากทุกข์ยากจะเอาใจที่ไหนมาหยอกกันเล่นอีกเล่า เห้งเจียจึงแกล้งพูดว่าพวกเรา ต้นทุนเดิมห้าพันตำลึงที่ซื้อม้าไปแล้ว ยังคงอยู่สี่พันตำลึงยังฝูงม้านี้อีกสามพันตำลึง หากขายลงแล้วจะได้กำไรเท่าทุน พูดไปพูดมาโป๊ยก่ายเป็นคนนิสัยขี้เซาก็มิได้โต้ตอบ หารู้ว่าคนใช้ในเตี้ยมลุกขึ้นหาบน้ำหุงข้าวไม่ ด้วยมันเป็นพวกเดียวกันกับขโมยเมื่อเวลามันตื่นนั้นมันแอบเข้าไปฟัง ได้ยินเห้งเจียพูดเรื่องเงินว่ามีมากดังนั้น มันจึงใช้ให้พวกของมันออกไปบอกพวกขโมยเข้ามาอีกสิบคน จุดคบไฟจะเข้ามาปล้นเอาผู้พ่อค้าม้า ในบ้านนางเตี้ยวกัวหู พวกผู้หญิงก็ตกใจกลัวตัวสั่นไปทุกคน ก็ช่วยกันปิดประตูเสีย ตามแต่มันจะทำกันข้างนอก
   ฝ่ายพวกขโมยก็หาได้คิดจะปล้นเตี้ยมนั้นไม่จะใคร่ปล้นแต่พ่อค้าม้า ก็พากันกรูขึ้นบนเล่าเต๊งค้นหาก็ไม่พบ จึงจุดไฟสว่างขึ้นเที่ยวค้นหารอบเตี้ยมก็ไม่เห็น แลไปกลางบ้านเห็นมีตู้ใหญ่ตั้งอยู่จึงพากันเข้ามาจับม้าออกมาแล้ว เห็นตู้ลั่นกุญแจแน่นหนาจะคัดง้างออกยากจึงปรึกษากันว่าพวกพ่อค้านี้มันมีปัญญา ชะรอยเงินทองเข้าของจะอยู่ในตู้นี้เอง อย่าเลยพวกเราช่วยกันหามเอาตู้นี้ไปนอกเมืองผ่าออกแบ่งกันจะมิดีหรือ คิดเห็นตกลงกันดังนั้นแล้ว ก็เอาเชือกมาคล้องตู้ช่วยกันหามออกมานอกเมือง เวลาที่พวกโจรหามตู้ไปนั้น โป๊ยก่าย​กำลังนอนผุดลุกขึ้น ถามว่าพี่เห้งเจียทำไมยังไม่นอนนั่งโคลงตู้เล่นทำไม เห้งเจียกระซิบบอกว่าอย่าเอ็ดไป ไม่มีใครโคลงเล่นดอก
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับซัวเจ๋งก็ตกใจผุดลุกขึ้นถามว่า ใครมาหามพวกเราไปข้างไหน เห้งเจียห้ามว่าอย่าพูดรอให้มันหามไปทางทิศไซทีและไปข้างตะวันตกเราไม่ต้องเดิน ฝ่ายพวกขโมยครั้นหามออกไปแล้ว ก็หาหามไปข้างทิศไซทีไม่ กลับหามย้อนไปข้างทิศตะวันออก ถึงประตูเมืองก็ช่วยกันตีพวกเฝ้าประตูแตกหนีไปหมด แล้วจึงเปิดประตูเมืองหามตู้ออกไป เวลานั้นอึกทึกโกลาหลรู้ถึงนายทหาร จึงเรียกพลทหารมาพร้อมถือเครื่องอาวุธครบมือกันแล้ว ก็ไล่จับพวกโจร พวกโจรเห็นทหารมามากก็ทิ้งตู้ไว้รีบหนีเอาตัวรอดไปทั้งสิ้น พวกทหารจึงจับม้าหามตู้พากันกลับ นายทหารเห็นม้าตัวนั้นดีก็ไม่ขี่ม้าของตัวจับม้าที่ได้มานั้นขี่เข้าเมือง ครั้นถึงที่พักแล้วจึงให้พลทหารยกตู้นั้นเข้ามาตั้งในตึก จึงทำรายงานฉบับหนึ่งใส่ซองผนึกมอบให้ขุนนางกองตระเวนนำขึ้นถวายพระเจ้าแผ่นดินตามแต่จะโปรด
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ในตู้บ่นด่าเห้งเจียว่า มึงอ้ายชาติลิงมาแกล้งฆ่าเราเสียดังนี้ได้ หากอยู่นอกเขาจับได้ไปส่งให้เจ้าเมืองก็ยังจะมีคำโต้ตอบได้บ้าง นี่มาอยู่ในตู้ลั่นกุญแจดังนี้ อ้ายพวกขโมยลักหามมา พวกทหารแย่งเอามาได้ดังนี้ พรุ่งนี้เช้าเห็นเจ้าจะสำเร็จแล้ว เขาคงลงดาบฆ่าเสียดังนี้จะไม่เสียการใหญ่ไปหรือ เห้งเจียได้ฟังอาจารย์บ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่า นิมนต์อาจารย์นอนให้สบาย​เถิด พรุ่งนื้ถ้าเจ้าเมืองมิจฉาทิฐิแล้ว ข้าพเจ้าจะมีคำโต้ตอบเอง และจะรับประกันมิให้พระอาจารย์เปลืองสักเท่าเส้นขนหนึ่ง รอเข้ายามสี่เห้งเจียก็แผลงฤทธิ์เอาตะบองเหล็กออกจากหู เสกด้วยพระคาถาเป่าไป ตะบองก็กลายเป็นสว่านอันหนึ่ง เห้งเจียจึงเอาเจาะใต้พื้นตู้ทะลุออกรูหนึ่งแล้ว เห้งเจียก็แปลงกายเป็นมดตานอยตัวหนึ่งลอดออกมาจากตู้แล้วก็แปลงเป็นรูปเดิม เหาะขึ้นบนกลีบเมฆไปยังประตูพระราชวัง
   เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินยังกำลังประทมหลับสนิท เห้งเจียก็แผลงฤทธิ์แบ่งภาคถอนขนเสกเป่า ให้แปลงเป็นหนอนหาวนอนหลายร้อยหลายพันตัว แล้วอ่านคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่ซึ่งรักษาเมืองนั้น สั่งให้เอาหนอนหาวนอนไปใส่ให้พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายในฝ่ายหน้าหลับให้หมด อย่าให้รู้สึกได้ ครั้นให้หนอนไปแก่พระภูมิเจ้าที่แล้ว เห้งเจียก็ถอนขนที่บ่าขวาออกเสกให้เป็นเห้งเจียน้อยตั้งร้อยตั้งพัน ทุกๆรูปให้ถือตะบองแกว่งกวัดแปลงเป็นมีดโกนคนละเล่มทุกคน ตัวเห้งเจียเองก็ถือมีดโกนเล่มหนึ่งแล้วก็สั่งทุกรูปที่แปลงนั้น ให้ถือมีดโกนเข้าไปในพระราชวัง จับขุนนางใหญ่น้อยทั้งพระมเหสี นางสนมโกนผมให้โล้นเสียทุกคน บัดเดี๋ยวก็สำเร็จตามสั่งทุกประการ จึงไล่พระภูมิเจ้าที่ให้กลับไปยังที่อยู่ของตนแล้ว
   เห้งเจียก็เรียกขนกลับเข้าตัวเหาะกลับมาแปลงเป็นมดตานอยมุดเข้าตู้ แล้วก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมคอยรักษาอาจารย์
   ฝ่ายนางในใหญ่น้อยครั้นจวนจะแจ้งยังไม่ทันสว่าง ก็พากัน​ลุกขึ้นสะสางล้างหน้าแต่งตัวทุก ๆ คน ไม่มีผมพากันหัวโล้นทั้งสิ้น จึงพากันไปที่ตำหนักต่างคนก็ทำดนตรีตามเคย ทุกคนต่างมีความโศกเศร้าโทมนัสไม่กล้าจะออกเสียงขับขาน สักประเดี๋ยวหนึ่งพระมเหสีก็ตกพระไทยตื่นนางรู้สึกว่าผมไม่มี จึงลุกเดินมายังข้างที่บรรทมแห่งพระเจ้าแผ่นดิน เห็นพระเจ้าแผ่นดินคลุมบรรทมหลับอยู่จึงแกล้งให้เสียงขึ้น พระเจ้าแผ่นดินตกพระทัยตื่นแลเห็นพระมเหสีไม่มีผม จึงลุกขึ้นตรัสถามว่าเหตุไฉนผมจึงไม่มีดังนี้เล่า พระมเหสีกราบทูลว่าใช่จะเป็นแต่ข้าพเจ้า แม้พระองค์ก็เป็นดังข้าพเจ้าเหมือนกัน จึงพระเจ้าแผ่นดินยกพระหัตถ์ขึ้นลูบบนพระเศียรก็มิได้พบพระเกศา ตกพระทัยไม่เป็นสมประดี จึงตรัสว่าเหตุไฉนจึงมาเป็นเช่นนี้ได้
รูปภาพ ; เจ้าเมืองเปียดฮวดก๊กนี้ พระองค์ได้ครองราชสมบัติมาช้านาน ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระทัยเกิดเป็นมิจฉาทิฐิขึ้น ให้เห็นผิดเป็นถูกไป ไม่ดำรงทรงพระทัยอยู่ในทางทศพิธราชธรรม รับสั่งให้ข้าราชการจับพระภิกษุสงฆ์ฆ่าเสียมากกว่ามากแล้ว ครั้นเมื่อพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มาถึงเมืองเปียดฮวดก๊กเข้า เห้งเจียแผลงฤทธิ์อานุภาพทรมานพระองค์ให้ทรงกลับพระทัย จึงกลับได้พระสติเห็นชอบ เกิดศรีทธารักษาศีลภาวนาตามพระพุทธศาสนาเช่นแต่ก่อนมา
   ในขณะนั้นทอดพระเนตรไป เห็นสาวสนมกรมในศรีษะโล้นไม่มีผมเลยแต่สักคนเดียว พระเจ้าแผ่นดินทรงพระกรรแสงเสียพระทัยตรัสว่า ชะรอยจะเป็นด้วยเวรกรรมที่เราฆ่าพระสงฆ์มากมายนัก บาปนั้นมาตามทัน จึงบันดาลให้เป็นไปดังนี้ จึงมีรับสั่งกำชับห้ามปรามว่าอย่าให้ฝ่ายในพูดจาถึงเรื่องโกนผมให้ขุนนางฝ่ายหน้ารู้เหตุ ข้าราชการใหญ่น้อยจะพากันกำเริบร้าวราน แล้วหาเหตุว่าเพราะเรามิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม จึงบันดาลอุบัติเหตุให้เป็นปรากฎดังนี้ แล้วพระองค์ก็เสด็จออกยังที่ว่าราชการ ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการใหญ่น้อยฝ่ายหน้าตามเคยถึงเวลาเข้าเฝ้าพากันไม่มีผมศรีษะโล้นไปทุกคน ต่างคนก็ทำหนังสือขึ้นถวายพระเจ้าแผ่นดินตามมูลเหตุที่เป็นการประหลาดนั้น
(บทที่ ๘๕)
 ​ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้เห็นขุนนางทั้งหลายไม่มีผมก็ทรงนิ่งอยู่ พวกขุนนางจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบเป็นที่อัศจรรย์ ใจที่สุดอยู่ดี ๆ เมื่อคืนนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายผมหายไปหมดสิ้นด้วยกันดังนี้ ไม่ทราบว่าจะเป็นด้วยเหตุใด พระเจ้าแผ่นดินทรงรับหนังสือที่ขุนนางถวายแล้ว ลงจากพระที่นั่งเสด็จมาทอดพระเนตรดูพวกขุนนาง เห็นแล้วจึงตรัสว่าเราและพระมเหสีนางในทุกคนก็เป็นดังนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่จะเป็นด้วยเหตุผลประการใดก็รู้ไม่ได้ ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงพระกรรแสง พวกขุนนางข้าราชการใหญ่น้อยทั้งปวงก็พากันร้องไห้ทุกคน พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งว่าตั้งแต่นี้ต่อไปเบื้องหน้าเป็นอันขาด อย่าได้ฆ่าพระสงฆ์อีกเลย ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่ง พวกข้าราชการใหญ่น้อยซ้ายขวาก็เฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง
   ฝ่ายขุนนางองครักษ์พนักงาน จึงประกาศว่าท่านผู้ใดมีธุระด้วยกิจราชการอันใดจงกราบทูลเถิด ถ้าไม่มีราชการแล้วจะได้เสด็จกลับฝ่ายใน จึงขุนนางฝ่ายทหารกรมม้ากราบทูลขึ้นว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ พวกข้าพระพุทธเจ้าได้เที่ยวลาดตระเวนรอบกำแพงพระนคร เมื่อคืนนี้มีผู้ร้ายลักสิ่งของ ๆ ราษฎรหามตู้มาทิ้งไว้พวกผู้ร้ายหลบหนีจับหาได้ไม่ ได้แต่ม้าขาวกับตู้ ๆ หนึ่งที่พวกอ้ายผู้ร้ายทิ้งไว้ จึงพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ยกตู้เข้ามาถวายเพื่อจะทอดพระเนตร พวกขุนนางนายทหารก็ให้ทหารไปยกตู้เข้ามาในพระราชวัง
   ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ในตู้จิตใจไม่เป็นสมประดีตัวสั่นขวัญหนีดีฝ่อ พูดว่าเราไปถึงพระเจ้าแผ่นดินจะพูดว่ากระไร เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระอาจารย์อย่าบ่นไปเลย ข้าพเจ้าจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว หากเปิดตู้ออกเห็นพวกเราจะต้องคำนับยกพวกเราว่าเป็นครู ครั้นแล้วพวกขุนนางนายทหารจึงกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่าตู้นั้นยกเข้ามาแล้ว จึงพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้เปิดตู้ พวกขุนนางก็ช่วยกันงัดกุญแจเปิดออก โป๊ยก่ายทะลึ่งออกมาก่อน พวกขุนนางทั้งหลายเห็นโป๊ยก่ายก็พากันตกตะลึงพูดไม่ออก แลเห็นเห้งเจียพยุงพระถังซัมจั๋งออกจากตู้ ซัวเจ๋งก็เก็บถุงย่ามและข้าวของตามกันออกมา โป๊ยก่ายแลเห็นขุนนางนายทหารถือม้าขาวอยู่ ก็ตรงเข้ามาร้องตวาดว่าม้าของเราเองจงเอามาให้เราโดยเร็ว
   พวกขุนนางตกใจล้มคว่ำลงกับพื้น อาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนก็ยืนอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเห็นคนทั้งสี่เป็นพระสงฆ์ก็ลงจากพระที่นั่ง พร้อมด้วยพระมเหสีและนางกำนันฝ่ายใน ทั้งพวกขุนนางข้าราชการฝ่ายหน้า ก็คุกเข่าลงนมัสการกราบไหว้ทุก ๆ คนแล้ว จึงสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งถามว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสี่มาจากประเทศใดเมืองใดจึงได้มาถึงนี่ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังทิศตะวันออก สมเด็จพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้อาตมภาพไปไซทีนมัสการพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งถาม​ว่าท่านมาแต่เมืองไกลเหตุใดจึงได้เข้าไปอยู่ในตู้ดังนี้เล่า พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อาตมภาพได้ทราบว่ามหาบพิตรทรงอธิษฐานไว้ว่า ถ้าพบปะพระสงฆ์ก็จะให้ฆ่าเสีย เพราะฉะนั้นอาตมภาพไม่อาจจะเข้ามาในเมืองเวลากลางวัน
   ครั้นมาถึงในเมืองเข้าอาศัยร้านเตี้ยมก็ยังวิตกว่าผู้คนพลุกพล่าน จะรู้เห็นว่าพวกอาตมภาพเป็นพระสงฆ์ จึงอุบายเข้าอาศัยช่อนตัวอยู่เสียในตู้ดังนี้ ก็บังเอิญมีพวกโจรกรรมลักหามเอาตู้ไป พวกขุนนางจึงได้จับเอาตัวมาดังนี้ บัดนี้ได้เข้ามาเฝ้าพระราชสมภารแล้ว ก็เปรียบประดุจว่าแหวกเมฆออกเห็นดวงพระจันทร์อันแจ่มแจ้งแล้ว ขอให้พระองค์ได้ทรงพระกรุณาแก่อาตมภาพปล่อยไปโดยสวัสดิ์เถิด เพื่อเป็นพระราชกุศลอันยิ่งใหญ่ของมหาบพิตรพระราชสมภาร สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า ท่านเป็นพระสงฆ์อันบริสุทธิ์มาจากเมืองบนมาได้ถึงเมืองนี้ ก็ย่อมมีอภินิหารบารมีแก่กล้าเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้สึกมิได้รับรองให้สมควรนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าได้อนุญาตเถิด เมื่อปีที่ล่วงไปแล้วนั้น เป็นเหตุด้วยพระสงฆ์มีความหมิ่นประมาทติเตียนข้าพเจ้าเป็นข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งสัจจาอธิษฐานขอฆ่าพระสงฆ์หมื่นรูป ในเวลาคืนนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ากับขุนนางข้าราชการใหญ่น้อย แลพระมเหสีนางกำนันพระสนมใน มีผมอันหายไปทุก ๆ คนดังนี้ ขอท่านได้กรุณาโปรดให้โอวาทสั่งสอน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายชายหญิงจะยอมเป็นสา​นุศิษย์กระทำตามถ้อยคำแห่งท่าน
   โป๊ยก่ายได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น จึงพูดว่าแม้พระองค์จะยอมเห็นสานุศิษย์นั้น จะมีสิ่งของอันใดมาคำนับบูชาหรือ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า แม้ว่าท่านได้กรุณาอนุเคราะห์สั่งสอนแล้ว ข้าพเจ้าจะนำสิ่งของแก้วแหวนเงินทองมากระทำสักการบูชาโดยความเคารพอย่างยิ่ง เห้งเจียได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น จึงทูลว่าพระองค์จะตรัสไปทำไมถึงแก้วแหวนเงินทอง พวกข้าพเจ้าเป็นสมณะไม่ยินดีในทรัพย์สมบัติเงินทอง มีความต้องการอยู่ก็แต่ที่จะขอให้พระองค์โปรดเปลี่ยนหนังสือเดินทาง พระราชทานอนุญาตให้ไปประเทศไซทีได้แล้ว ก็เป็นพอใจสมแก่ความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้งหลาย อานิสงส์ที่พระองค์ได้ทรงพระราชสงเคราะห์ หากจะบันดาลให้บ้านเมืองของพระองค์มีความเจริญยิ่งยืนอยู่สิ้นกาลนานในฝ่ายหน้า
   สมเด็จพระเจ้าพระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจ้ดเครื่องโต๊ะแจถวาย ครั้นเสร็จแล้วก็ทรงเคารพพร้อมกันทั้งขุนนางข้าราชการฝ่ายใน และฝ่ายหน้าทรงนับถือว่าเป็นผู้วิเศษบริสุทธิ์ประเสริฐ ครั้นแล้วก็ทรงประทับตราเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ถวายให้พระถังซัมจั๋งไป พระเจ้าแผ่นดินจึงขอให้พระถังซัมจั๋งเปลี่ยนนามแผ่นดินให้เสียใหม่ เห้งเจียจึงทูลว่านามเมืองของพระองค์ก็ดีอยู่แล้ว ขัดแต่อักษรที่ว่าทำลายนั้นไม่ดี ควรจะแปลงเปลี่ยนให้เรียกว่าเมืองรักษาธรรม หากจะเป็นศิริมงคลแก่พระองค์และพระวงศานุวงศ์ข้าราชการและราษฎรทั้งหลาย จะมีแต่ความสุขความ​เจริญอันยิ่ง
   สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น มีพระทัยโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงกระทำความเคารพขอบคุณเป็นอันมาก แล้วจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานรถจัดรถเพื่อจะได้ส่งพระถังซัมจั๋ง ครั้นเจ้าพนักงานจัดรถเสร็จแล้ว ก็เชิญพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามขึ้นนั่งรถ พระเจ้าแผ่นดินกับข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน ก็ตามส่งไปจนนอกพระนคร แล้วก็พากันกลับเข้าเมือง
   ฝ่ายอาจารย์กับศิษย์ ครั้นออกจากเมืองรักษาธรรมแล้ว พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ามีความโสมนัสยินดียิ่งนัก จึงสรรเสริญเห้งเจียว่าคิดการครั้งนี้กระทำให้สำเร็จประโยชน์ได้สองฝ่าย ซัวเจ๋งถามว่าพี่ไปหาช่างโกนผมที่ไหนมา กระทำการให้ทันแก่ความต้องการได้รวดเร็วดังนี้ เห้งเจียจึงเล่าให้ฟังตามที่ได้กระทำมาทุกประการ อาจารย์กับศิษย์ได้ฟังเห้งเจียเล่า ก็พากันหัวเราะทุกคน
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 7-24 พากย์ไทย