
[๑๖๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปมาจากอันธกวินทวิหาร สู่พระนครราชคฤห์เพื่อทำอุโบสถ ในระหว่างทางข้ามแม่น้ำ เกือบถูกน้ำพัดไป จีวรของท่านเปียก.
ภิกษุทั้งหลายได้ถามท่านพระมหากัสสปว่า อาวุโส เพราะเหตุไร จีวรของท่านจึงเปียก? ท่านตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมมาจากอันธกวินทวิหารสู่พระนครราชคฤห์ เพื่อทำอุโบสถ ณ ที่นี้ ได้ข้ามแม่น้ำ ในระหว่างทาง เกือบถูกน้ำพัดไป
เพราะเหตุนั้น จีวรของผมจึงเปียก.
ภิกษุทั้งหลาย จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้วให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์จงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร.
วิธีสมมติจีวรวิปปวาส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แล พึงสมมติติจีวราวิปปวาสสีมาอย่างนี้.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติติจีวรวิปปวาส
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกันมีอุโบสถเดียวกัน.
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร. นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์สมมติอยู่บัดนี้ซึ่งสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร.
การสมมติสีมานี้ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงพูด.
สีมานั้นสงฆ์สมมติให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสมมติติจีวราวิปปวาสแล้ว จึงเก็บจีวรไว้ในละแวกบ้าน.
จีวรเหล่านั้นหายบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกหนูกัดบ้าง. ภิกษุ
ทั้งหลายมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมอง.
ภิกษุทั้งหลายจึงถามกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมองเล่า?
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกผมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสมมติติจีวราวิปปวาสแล้ว จึงเก็บจีวรไว้ในละแวกบ้าน ณ ตำบลนี้ จีวรเหล่านั้นหายเสียบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกหนูกัดบ้าง เพราะเหตุนั้น
พวกผมจึงมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมอง.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้วให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์จงสมมติสีมานั้นให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน.
วิธีสมมติจีวรวิปปวาส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แล พึงสมมติติจีวราวิปปวาสสีมาอย่างนี้.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติจีวราวิปปวาส
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน. นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์สมมติอยู่บัดนี้ซึ่งสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร
เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน.
การสมมติสีมานี้ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
สีมานั้นสงฆ์สมมติให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้านแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
[๑๖๓] พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุจะสมมติสีมา พึงสมมติสมานสังวาสสีมาก่อน ภายหลังจึงสมมติติจีวราวิปปวาส.
เมื่อจะถอนสีมา พึงถอนติจีวราวิปปวาสก่อน ภายหลังจึงถอนสมานสังวาสสีมา.
วิธีถอนติจีวราวิปปวาส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แล พึงถอนติจีวราวิปปวาสอย่างนี้.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาถอนติจีวราวิปปวาส
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้นใด อันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงถอนแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น. นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้นใด อันสงฆ์สมมติไว้แล้ว สงฆ์ถอนอยู่บัดนี้ซึ่งแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น การถอนแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด. แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น สงฆ์ถอนแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
วิธีถอนสมานสังวาสสีมา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แล พึงถอนสมานสังวาสสีมาอย่างนี้.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาถอนสมานสังวาสสีมา
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน ให้มีอุโบสถเดียวกัน ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงถอนสีมานั้น.นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน ให้มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์ถอนอยู่บัดนี้ซึ่งสีมานั้น การถอนสีมามีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกันนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด. สีมามีสังวาสเสมอกัน
มีอุโบสถเดียวกันนั้น อันสงฆ์ถอนแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
อพัทธสีมา
[๑๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ยังไม่ได้กำหนดสีมา ภิกษุเข้าอาศัยบ้านหรือนิคมใดอยู่ เขตของบ้านนั้น เป็นคามสีมาบ้าง เขตของนิคมนั้น เป็นนิคมสีมาบ้าง
สีมานี้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ในบ้านหรือนิคมนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าในป่าหาคนตั้งบ้านเรือนมิได้ ชั่ว ๗ อัพภันดรโดยรอบ เป็นสัตตัพภันดรสีมา สีมานี้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกันในป่านั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำทั้งหมด สมมติเป็นสีมาไม่ได้ สมุทรทั้งหมด สมมติเป็นสีมาไม่ได้ ชาตสระทั้งหมด สมมติเป็นสีมาไม่ได้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในแม่น้ำ ในสมุทร หรือในชาตสระ ชั่ววักน้ำสาด โดยรอบแห่งมัชฌิมบุรุษ เป็นอุทกุกเขปสีมา สีมานี้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ในน่านน้ำนั้น.
สีมาสังกระ
[๑๖๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สมมติสีมาคาบเกี่ยวสีมา. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สีมาอันภิกษุเหล่าใดสมมติไว้ก่อนแล้ว กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้นเป็นธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ สีมาอันภิกษุเหล่าใดสมมติแล้วในภายหลัง กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้น
ไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมมติสีมาคาบเกี่ยวสีมา รูปใดสมมติคาบเกี่ยว ต้องอาบัติทุกกฏ.
สีมาทับสีมา
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สมมติสีมาทับสีมา.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีมาอันภิกษุเหล่าใด สมมติไว้ก่อนแล้ว กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้นเป็นธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ สีมาอันภิกษุเหล่าใดสมมติแล้วในภายหลัง กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้นไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมมติสีมาทับสีมา รูปใดสมมติทับ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้จะสมมติสีมา เว้นสีมันตริกไว้ แล้วสมมติสีมา.
วันอุโบสถ ๒
[๑๖๖] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า วันอุโบสถมีเท่าไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายวันอุโบสถนี้มี ๒ คือ อุโบสถมีในวัน ๑๔ ค่ำ อุโบสถมีในวัน ๑๕ ค่ำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันอุโบสถ ๒ นี้แล.
การทำอุโบสถ ๔ อย่าง
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า การทำอุโบสถมีเท่าไรหนอแล แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การทำอุโบสถนี้มี ๔ คือ การทำอุโบสถเป็นวรรคโดยไม่เป็นธรรม ๑ การทำอุโบสถพร้อมเพรียงโดยไม่เป็นธรรม ๑ การทำอุโบสถเป็นวรรคโดยธรรม ๑ การทำอุโบสถพร้อมเพรียงโดยธรรม ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใดเป็นวรรคโดยไม่เป็นธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้น ไม่ควรทำ และเราก็ไม่อนุญาต. ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใด ที่พร้อมเพรียงโดยไม่เป็นธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้นไม่ควรทำ และเราก็ไม่อนุญาต.
ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใด เป็นวรรคโดยธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้นไม่ควรทำ และเราก็ไม่อนุญาต. ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใดที่พร้อมเพรียงโดยธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้นควรทำ และเราก็อนุญาต.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละพวกเธอพึงทำในใจว่า จักทำอุโบสถกรรมชนิดที่พร้อมเพรียงโดยธรรม ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้แล.
ปาติโมกขุเทศ ๔
[๑๖๗] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ได้มีความปริวิตกว่า ปาติโมกขุเทศมีเท่าไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปาติโมกขุเทศนี้มี ๕ คือ ภิกษุสวดนิทานจบแล้ว พึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๑.
สวดนิทาน สวดปาราชิก ๔ จบแล้ว พึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๒.
สวดนิทาน สวดปาราชิก ๔ สวดสังฆาทิเสส ๑๓ จบแล้วพึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๓.
สวดนิทาน สวดปาราชิก ๔ สวดสังฆาทิเสส ๑๓ สวดอนิยต ๒ จบแล้ว พึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท
นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๔.
สวดโดยพิสดารหมด เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๕.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปาติโมกขุเทศ ๕ นี้แล. ทรงห้ามสวดปาติโมกข์ย่อ สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสวดปาติโมกข์ย่อ ดังนี้
จึงสวดปาติโมกข์ย่อทุกครั้ง.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเมื่อมีอันตราย
สมัยต่อมา ณ อาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท คนชาวดงได้มาพลุกพล่านในวันอุโบสถ. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจสวดปาติโมกข์โดยพิสดาร จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อ.
อันตราย ๑๐ ประการ
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ แม้เมื่ออันตรายไม่มี ก็สวดปาติโมกข์ย่อ. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่มีอันตราย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ. เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อ.
อันตรายในเรื่องนั้นเหล่านี้ คือ
๑. พระราชาเสด็จมา ๒. โจรมาปล้น๓. ไฟไหม้ ๔. น้ำหลากมา๕. คนมามาก ๖. ผีเข้าภิกษุ๗. สัตว์ร้ายเข้ามา ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา๙. ภิกษุอาพาธหนักจะถึงเสียชีวิต๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อในเพราะอันตรายเห็นปานนี้ เมื่อไม่มีอันตราย
ให้สวดโดยพิสดาร.
ในอุโบสถสอง๑- นี้ คือ อุโบสถวันที่ ๑๔ และอุโบสถวันที่ ๑๕ เมื่อทำบุพกิจแห่งอุโบสถวันที่ ๑๔ แล้วพึงบอกว่า อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส แปลว่า อุโบสถวันนี้ที่ ๑๔.
วินิจฉัยในอุโบสถกรรม ๔ มีข้อว่า อธมฺเมน วคฺคํ เป็นอาทิ. หากว่าในวัดที่อยู่เดียวกัน เมื่อภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูปนำฉันทะและปาริสุทธิของรูปหนึ่งมาแล้ว ทำปาริสุทธิอุโบสถ หรือเมื่ออยู่ด้วยกัน ๓ รูป ๒ รูปนำฉันทะและปาริสุทธิของรูปหนึ่งมา แล้วสวดปาติโมกข์, อุโบสถกรรมย่อมเป็นวรรคโดยอธรรม.
แต่ถ้าทั้ง ๔ รูปประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ, ๓ รูปหรือ ๒ รูปสวดปาติโมกข์ อุโบสถกรรมชื่อพร้อมเพรียงโดยอธรรม.
ถ้าอยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูปนำปาริสุทธิของรูปหนึ่งมาแล้ว ทำปาริสุทธิอุโบสถ, หรืออยู่ด้วยกัน ๓ รูป ๒ รูปนำปาริสุทธิของรูปหนึ่งมาแล้ว ทำปาริสุทธิอุโบสถ, อุโบสถกรรมชื่อเป็นวรรคโดยธรรม.
แต่ถ้าภิกษุ ๔ รูปอยู่ในวัดที่อยู่เดียวกัน ประชุมกันทั้งหมดสวดปาติโมกข์, ๓ รูปทำปาริสุทธิอุโบสถ, ๒ รูปทำปาริสุทธิกะกันและกัน, อุโบสถกรรมชื่อพร้อมเพรียงโดยธรรม.
จาตุทฺทสิโก จ ปณฺณรสิโก จาติ เอตฺถ จาตุทฺทสิกสฺส
ปุพฺพกิจฺเจ อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโสติ วตฺตพฺพํ ฯ
อธมฺเมน วคฺคนฺติ อาทีสุ สเจ เอกสฺมึ วิหาเร จตูสุ ภิกฺขูสุ วสนฺเตสุ เอกสฺส ฉนฺทปาริสุทฺธึ อาหริตฺวา
ตโย ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ
ตีสุ วา วสนฺเตสุ เอกสฺส ฉนฺทปาริสุทฺธึ อาหริตฺวา เทฺว
ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ อธมฺเมน วคฺคํ อุโปสถกมฺมํ โหติ ฯ
สเจ ปนจตฺตาโรปิ สนฺนิปติตฺวา ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ ตโย วา เทฺว วา ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ
อธมฺเมน สมคฺคํ นาม โหติ ฯ
สเจ จตูสุ ชเนสุ เอกสฺส ปาริสุทธึ อาหริตฺวา
ตโย ปาริสุทฺธิ อุโปสถํ กโรนฺติ ตีสุ วา ชเนสุ เอกสฺส
ปาริสุทฺธึ อาหริตฺวา เทฺว ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ ธมฺเมน
วคฺคํ นาม โหติ ฯ สเจ ปน จตฺตาโร เอกตฺถ วสนฺตา สพฺเพว สนฺนิปติตฺวา ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ ตโย ปาริสุทฺธิ-
อุโปสถํ กโรนฺติ เทฺว อญฺญมญฺญํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ ธมฺเมน สมคฺคํ นาม โหตีติ ฯ
๑- แต่ในโยชนา เอตฺถ โยควจเนและเป็นอาธารในวตฺตพฺพํ.
อรรถกถาอุโบสถและอุโบสถกรรม จบ.
ปาติโมกขุเทศ ๕
อรรถกถาปาติโมกขุทเทส
ข้อว่า นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ มีความว่า
ครั้นสวดนิทานนี้ว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ ฯเปฯ อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหติ แล้ว พึงกล่าวว่า อุทฺทิฏฐํ โข อายสฺมนฺโต นิทานํ. ตตฺถายสฺมนฺเต ปุจฺฉามิ. กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา? ทุติยมฺปิ ปุจฺฉามิ ฯปฯ เอวเมตํ ธารยามิ๑-
แล้วพึงสวด ๔ อุทเทสที่เหลือด้วยสุตบท อย่างนี้ว่า สุตา โข ปนายสฺมนฺเตหิ จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมา ฯปฯ อวิวทมาเนหิ สิกฺขิตพฺพํ. ปาฏิโมกขุทเทส ๔ ที่เหลือ พึงทราบตามนัยนี้.
สัญจรภัยนั้น ได้แก่ ภัยเกิดแก่มนุษย์ผู้ท่องเที่ยวไปในดง.
วินิจฉัยในอันตราย ๑๐ คือ ราชันตรายเป็นอาทิ.
ถ้าเมื่อภิกษุทั้งหลายคิดว่า เราจักทำอุโบสถ นั่งประชุมกันแล้ว พระราชาเสด็จมา นี้ชื่อว่าราชันตราย. พวกโจรพากันมา นี้ชื่อโจรันตราย. ไฟป่าลามมาหรือไฟเกิดขึ้นในอาวาส นี้ชื่ออัคคยันตราย. ฝนตกหรือน้ำหลากมา นี้ชื่ออุทกันตราย. มนุษย์มากันมาก นี้ชื่อมนุสสันตราย. ผีเข้าภิกษุ นี้ชื่ออมานุสสันตราย.
สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้นมา นี้ชื่อวาฬันตราย. สัตว์มีพิษมีงูเป็นต้นกัดภิกษุ นี้ชื่อสิรึสปันตราย. ภิกษุอาพาธหรือทำกาลกิริยา หรือพวกคนมีเวรกัน ปองจะฆ่า จับภิกษุนั้น นี้ชื่อชีวิตันตราย. มนุษย์ประสงค์ให้ภิกษุรูปเดียวหรือหลายรูปเคลื่อนจากพรหมจรรย์ จับเอาไป นี้ชื่อพรหมจริยันตราย.
ในอันตรายเห็นปานนี้ พึงสวดปาติโมกข์ย่อได้. จะพึงสวดอุทเทสที่ ๑ หรือสวด ๒ อุทเทส. ๓ อุทเทส, ๔ อุทเทส เบื้องต้นก็ตาม. ในอุทเทสเหล่านี้ มีอุทเทสที่ ๒ เป็นต้น เมื่ออุทเทสใดยังสวดไม่จบ มีอันตราย อุทเทสแม้นั้น พึงสวดด้วยสุตบททีเดียว.
๑- นิทานุทเทส ไม่น่าจะต้องถาม ดูอธิบายในวินัยมุขเล่ม ๒ กัณฑ์ที่ ๑๗.
อรรถกถาปาติโมกขุทเทส จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น