
[๑๔๓] ทันใดนั้นแหละ พึงวัดเงา พึงบอกประมาณแห่งฤดู พึงบอกส่วนแห่งวัน พึงบอกสังคีติ พึงบอกนิสสัย ๔ ว่าดังนี้:-
๑. บรรพชาอาศัยโภชนะ คือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง<i>เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจน</i>ตลอดชีวิต. อติเรกลาภ คือภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์ การนิมนต์ ภัตถวายตามสลาก ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ ภัตถวายในวันปาฏิบท.
๒. บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต. อติเรกลาภคือผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าแกมกัน.
๓. บรรพชาอาศัยโคนต้นไม้เป็นเสนาสนะ เธอพึงอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต. อติเรกลาภ คือวิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชั้น เรือนโล้น ถ้ำ.
๔. บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นยา เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต. อติเรกลาภคือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย. นิสสัย ๔ จบ.
อกรณียกิจ ๔
[๑๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุรูปหนึ่งแล้ว ทิ้งไว้แต่ลำพังแล้วหลีกไป. เธอเดินมาทีหลังแต่รูปเดียว ได้พบภรรยาเก่าเข้า ณ ระหว่างทาง.
นางได้ถามว่า เวลานี้ท่านบวชแล้วหรือ?
ภิกษุนั้นตอบว่า จ้ะ ฉันบวชแล้ว. นางจึงพูดชวนว่า เมถุนธรรมพวกบรรพชิตหาได้ยาก นิมนต์ท่านมาเสพเมถุนธรรม.
ภิกษุนั้นได้เสพเมถุนธรรมในนางแล้ว ได้ไปถึงทีหลังช้าไป.
ภิกษุทั้งหลายถามว่าอาวุโส ท่านมัวทำอะไรชักช้าเช่นนี้.?
เธอได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระพุทธานุญาตให้บอกอกรณียกิจ ๔
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ให้อุปสมบทแล้วให้ภิกษุอยู่เป็นเพื่อน และให้บอกอกรณียกิจ ๔ ดังต่อไปนี้:-
๑. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย. ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม
ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
<i>เปรียบเหมือนบุรุษ ถูกตัดศีรษะแล้ว</i> ไม่อาจจะมีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่ ภิกษุก็เหมือนกัน เสพเมถุนธรรมแล้ว ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร. การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
๒. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย โดยที่สุดหมายเอาถึงเส้นหญ้า. ภิกษุใดถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย ได้ราคาบาทหนึ่งก็ดี ควรแก่ราคาบาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ
ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
เปรียบเหมือนใบไม้เหลืองหล่นจากขั้วแล้วไม่อาจจะเป็นของเขียวสด. ภิกษุก็เหมือนกัน ถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย ได้ราคาบาทหนึ่งก็ดี ควรแก่ราคาบาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
๓. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต โดยที่สุดหมายเอาถึงมดดำมดแดง. ภิกษุใดแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต โดยที่สุดหมายเอาถึงยังครรภ์ให้ตก ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
เปรียบเหมือนศิลาหนาแตกสองเสี่ยงแล้วเป็นของกลับต่อกันไม่ได้. ภิกษุก็เหมือนกัน แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตแล้ว ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร. การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
๔. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม โดยที่สุดว่า เรายินดียิ่งในเรือนว่างเปล่า.
ภิกษุใดมีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่จริง คือฌานก็ดี วิโมกข์ก็ดี สมาธิก็ดี สมาบัติก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
เปรียบเหมือนต้นตาลมียอดด้วนแล้ว ไม่อาจจะงอกอีก ภิกษุก็เหมือนกัน มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต. อกรณียกิจ ๔ จบ.
เรื่องภิกษุผู้ถูกสงฺฆ์ยกเสีย เป็นต้น
[๑๔๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งถูกสงฆ์ยกเสีย ฐานไม่เห็นอาบัติ ได้สึกแล้ว. เขากลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงวิธีปฏิบัติ ดังนี้:-
วิธีปฏิบัติในภิกษุผู้ถูกยกเสีย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ สึกไป. เธอกลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก. พึงสอบถามเขาเช่นนี้ว่า เจ้าจักเห็นอาบัตินั้นหรือ?
ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักเห็นขอรับ พึงให้บรรพชา ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่เห็นขอรับ ไม่พึงให้บรรพชา.
ครั้นให้บรรพชาแล้ว พึงถามว่า เจ้าจักเห็นอาบัตินั้นหรือ? ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักเห็นขอรับ พึงให้อุปสมบท, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่เห็นขอรับ ไม่พึงให้อุปสมบท.
ครั้นให้อุปสมบทแล้ว พึงถามว่า ท่านจักเห็นอาบัตินั้นหรือ? ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักเห็นขอรับ พึงเรียกเข้าหมู่ ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักไม่เห็นขอรับ ไม่พึงเรียกเข้าหมู่.
ครั้นเรียกเข้าหมู่แล้ว พึงถามว่า ท่านเห็นอาบัตินั้นหรือ?
ถ้าเห็น การเห็นได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่เห็น
เมื่อได้สามัคคี พึงยกเสียอีก เมื่อไม่ได้สามัคคี ไม่เป็นอาบัติในเพราะสมโภคและอยู่ร่วมกัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ยอมทำคืนอาบัติ สึกไป.
เธอกลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก.
พึงสอบถามเขาเช่นนี้ว่า เจ้าจักทำคืนอาบัตินั้นหรือ?
ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักทำคืนขอรับ พึงให้บรรพชา,
ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ทำคืน ไม่พึงให้บรรพชา. ครั้นให้บรรพชาแล้ว พึงถามว่า เจ้าจักทำคืนอาบัตินั้นหรือ?
ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักทำคืนขอรับ พึงให้อุปสมบท, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ทำคืนขอรับไม่พึงให้อุปสมบท. ครั้นให้อุปสมบทแล้ว พึงถามว่าท่านจักทำคืนอาบัตินั้นหรือ?
ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักทำคืนขอรับ พึงเรียกเข้าหมู่, ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักไม่ทำคืนขอรับ ไม่พึงเรียกเข้าหมู่. ครั้นเรียกเข้าหมู่แล้ว พึงกล่าวว่า จงยอมทำคืนอาบัตินั้นเสีย.
ถ้าเธอยอมทำคืน การทำคืนได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ยอมทำคืน เมื่อได้สามัคคี พึงยกเสียอีก เมื่อไม่ได้สามัคคี ไม่เป็นอาบัติในเพราะสมโภคและอยู่ร่วมกัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ยอมสละทิฏฐิบาป สึกไป.
เธอกลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก. พึงสอบถามเขาเช่นนี้ว่า เจ้าจักยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้นหรือ?
ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักยอมสละคืนขอรับ พึงให้บรรพชา, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ยอมสละคืนขอรับ ไม่พึงให้บรรพชา. ครั้นให้บรรพชาแล้ว
พึงถามว่า เจ้าจักยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้นหรือ?
ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักยอมสละคืนขอรับ พึงให้อุปสมบท, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ยอมสละคืนขอรับ ไม่พึงให้อุปสมบท. ครั้นให้อุปสมบทแล้ว
พึงถามว่า ท่านยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้นหรือ?
ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักยอมสละคืนขอรับพึงเรียกเข้าหมู่, ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักไม่ยอมสละคืนขอรับ ไม่พึงเรียกเข้าหมู่.
ครั้นเรียกเข้าหมู่แล้ว พึงกล่าวว่า จงยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้น. ถ้าเธอยอมสละคืน การยอมสละคืนได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ยอมสละคืน เมื่อได้สามัคคี พึงยกเสียอีก เมื่อไม่ได้สามัคคี ไม่เป็นอาบัติในเพราะสมโภคและอยู่ร่วมกัน.
วิธีปฏิบัติในภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสีย จบ.
มหาขันธกะที่ ๑ จบ.
[๑๔๖] พระวินัยมีประโยชน์มาก คือ นำมาซึ่งความสุขแก่พวกภิกษุ
ผู้มีศีลเป็นที่รัก ข่มพวกที่มีความปรารถนาลามก ยกย่องพวกที่มีความละอายและทรงไว้ซึ่งพระศาสนา เป็นอารมณ์
ของพระสัพพัญญชินเจ้า
ไม่เป็นวิสัยของพวกอื่น เป็นแดนเกษม อันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว ไม่มีข้อที่น่าสงสัย ภิกษุผู้ฉลาดในขันธกะ วินัย บริวาร และมาติกาปฏิบัติด้วยปัญญาอันหลักแหลม
ชื่อว่าผู้ทำประโยชน์อันควร.
ชนใดไม่รู้จักโค ชนนั้นย่อมรักษาฝูงโคไม่ได้ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้น เมื่อไม่รู้จักศีล ไฉนเธอจะพึงรักษาสังวรไว้ได้.
เมื่อพระสุตตันตะ และพระอภิธรรมเลอะเลือนไปก่อน แต่พระวินัยยังไม่เสื่อมสูญ พระศาสนาชื่อว่า ยังตั้งอยู่ต่อไป.
เพราะเหตุแห่งการสังคายนานั้น
ข้าพเจ้าจักประมวลกล่าวโดยลำดับตามความรู้
ขอท่านทั้งหลายจงฟัง
ข้าพเจ้ากล่าวเพื่อจะมิให้ข้อที่ทำได้ยาก
คือวัตถุ นิทาน อาบัติ นัยและเปยยาลเหลือลง ขอท่านทั้งหลาย จงทราบข้อนั้นโดยนัยเถิด
เรื่องประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิ์ เรื่องประทับอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ เรื่องประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนพฤกษ์ เรื่องท้าวสหัมบดีพรหม เรื่องฤาษีอาฬาระ เรื่องฤาษีอุททกะ
เรื่องอุปกาชีวก เรื่องภิกษุปัญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ วัปปะภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ เรื่องยสกุลบุตร
เรื่องสหาย๔ คน เรื่องสหาย ๕๐ คนเรื่องส่งพระอรหันต์ทั้งหมดไปในทิศต่างๆเรื่องมาร ๒ เรื่อง เรื่องภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐เรื่องชฎิล ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น
เรื่องโรงบูชาไฟ
เรื่องท้าวมหาราช เรื่องท้าวสักกะ เรื่องท้าวมหาพรหม เรื่องประชาชนชาวอังคะ มคธะทั้งหมด เรื่องทรงชักผ้าบังสุกุล
เรื่องสระโบกขรณี เรื่องศิลา เรื่องต้นกุ่ม
เรื่องผึ่งผ้าบังสุกุลที่แผ่นศิลา เรื่องไม้หว้า เรื่องไม้มะม่วง
เรื่องไม้มะขามป้อม เรื่องทรงเก็บดอกไม้ปาริฉัตตกะ เรื่องชฎิลพวกอุรุเวลกัสสปผ่าฟืน เรื่องติดไฟ เรื่องดับไฟ เรื่องดำน้ำ
เรื่องกองไฟ เรื่องฝนตก เรื่องแม่น้ำคยา
เรื่องสวนตาลหนุ่ม เรื่องพระเจ้าแผ่นดินมคธ
เรื่องอุปติสสะและโกลิตะ เรื่องกุลบุตรที่มีชื่อเสียงบวช
เรื่องภิกษุนุ่งห่มไม่เรียบร้อย เรื่องประณาม
เรื่องพราหมณ์ซูบผอมหม่นหมอง เรื่องประพฤติอนาจาร เรื่องบวชเห็นแก่ท้อง เรื่องมาณพ เรื่องให้อุปสมบทด้วยคณะ
เรื่องอุปัชฌายะมีพรรษาเดียวให้กุลบุตรบวช เรื่องอุปัชฌายะเขลา เรื่องอุปัชฌายะหลีกไป เรื่องถือนิสสัยกะอาจารย์มีพรรษา ๑๐ เรื่องอันเตวาสิกไม่ประพฤติชอบ เรื่องทรงอนุญาตให้ประณาม
เรื่องอาจารย์เขลาให้นิสสัย เรื่องนิสสัยระงับ
เรื่องภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ เรื่องภิกษุประกอบด้วยองค์ ๖
เรื่องภิกษุเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เรื่องชีเปลือย เรื่องไม่โกนผม เรื่องชฎิลบูชาไฟ เรื่องอัญญเดียรถีย์ที่เป็นศากยะบวช
เรื่องอาพาธ ๕ อย่าง ในมคธรัฐ เรื่องราชภัฏบวช เรื่ององคุลิมาลโจร เรื่องพระเจ้าแผ่นดินมคธมีพระบรมราชานุญาตไว้
เรื่องห้ามบวชนักโทษหนีเรือนจำ เรื่องห้ามบวชนักโทษที่ออกหมายสั่งจับ เรื่องห้ามบวชคนถูก เฆี่ยนมีรอยหวายติดตัว เรื่องห้ามบวชคนถูกอาญาสักหมายโทษ เรื่องห้ามบวชคนมีหนี้สิน
เรื่องห้ามบวชทาส เรื่องบุตรชายช่างทอง
เรื่องเด็กชายอุบาลี เรื่องอหิวาตกโรค
เรื่องตระกูลมีศรัทธา เรื่องสามเณรกัณฏกะ เรื่องทิศคับแคบ เรื่องถือนิสสัย เรื่องเด็กบรรพชา เรื่องสิกขาบทของสามเณร
เรื่องสามเณรไม่เคารพภิกษุ เรื่องคำนึงว่าจะลงทัณฑกรรมอย่างไรหนอ เรื่องลงทัณฑกรรม คือห้ามสังฆารามทุกแห่ง เรื่องห้ามปาก
เรื่องไม่บอกพระอุปัชฌายะ เรื่องเกลี้ยกล่อมสามเณรไว้ใช้
เรื่องสามเณรกัณฏกะ เรื่องห้ามอุปสมบทบัณเฑาะก์ คนลักเพศ เรื่องห้ามอุปสมบทคนเข้ารีตเดียรถีย์
เรื่องห้ามอุปสมบทนาค คนฆ่ามารดา คนฆ่าบิดา คนฆ่าพระอรหันต์ คนทำร้ายภิกษุณี ภิกษุผู้ทำสังฆเภท คนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต อุภโตพยัญชนก
เรื่องห้ามอุปสมบทคนไม่มีอุปัชฌายะ
คนมีสงฆ์เป็นอุปัชฌายะ คนมีคณะเป็นอุปัชฌายะ คนมีบัณเฑาะก์เป็นอุปัชฌายะ เรื่องห้ามอุปสมบทคนไม่มีบาตร คนไม่มีจีวร คนไม่มีบาตร จีวรทั้งสองอย่าง เรื่องห้ามอุปสมบทคนยืมบาตรยืมจีวร ยืมทั้งบาตรจีวร รวม ๓ เรื่อง
เรื่องห้ามบรรพชาคนมือด้วน
ห้ามบรรพชาคนเท้าด้วน ห้ามบรรพชาคนมือเท้าด้วน
ห้ามบรรพชาคนหูขาด ห้ามบรรพชาคนจมูกขาด ห้ามบรรพชาคนทั้งหูและจมูกขาด ห้ามบรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ห้ามบรรพชาคนง่ามมือง่ามเท้าขาด ห้ามบรรพชาคนเอ็นขาด
ห้ามบรรพชาคนมือเป็นแผ่น ห้ามบรรพชาคนค่อม
ห้ามบรรพชาคนเตี้ย ห้ามบรรพชาคนคอพอก
ห้ามบรรพชาคนถูกลงอาญาสักหมายโทษ ห้ามบรรพชาคนถูกเฆี่ยนมีรอยหวายติดตัว ห้ามบรรพชาคนมีหมายประกาศจับ ห้ามบรรพชาคนเท้าปุก ห้ามบรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง ห้ามบรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ห้ามบรรพชาคนตาบอดข้างเดียว
ห้ามบรรพชาคนง่อย ห้ามบรรพชาคนกระจอก ห้ามบรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต ห้ามบรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ห้ามบรรพชาคนแก่ ห้ามบรรพชาคนตาบอด ๒ ข้าง ห้ามบรรพชาคนใบ้
ห้ามบรรพชาคนหูหนวก ห้ามบรรพชาคนทั้งบอดและใบ้ ห้ามบรรพชาคนทั้งบอดและหนวก ห้ามบรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก ห้ามบรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก
เรื่องให้นิสสัยแก่อลัชชี เรื่องถือนิสสัยต่ออลัชชี
เรื่องเดินทางไกล เรื่องขอร้อง เรื่องพิจารณา
เรื่องจงมาสวด เรื่องแย่งกันอุปสมบทก่อน
เรื่องอุปสมบทมีอุปัชฌายะองค์เดียว เรื่องพระกุมารกัสสป
เรื่องอุปสัมบันปรากฏถูกโรคเบียดเบียน
เรื่องอุปสัมปทาเปกขะยังมิได้สอนซ้อมสะทกสะท้าน
เรื่องสอนซ้อมในท่ามกลางสงฆ์นั้นแหละ เรื่องห้ามภิกษุเขลาสอนซ้อม เรื่องห้ามภิกษุยังไม่ได้รับสมมติสอนซ้อม เรื่องผู้สอนซ้อมกับอุปสัมปทาเปกขะมาพร้อมกัน เรื่องขอจงยกขึ้น
เรื่องญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา เรื่องบอกนิสสัย เรื่องละอุปสัมบันไว้แต่ลำพัง เรื่องภิกษุถูกสงฆ์ยกเสีย ๓ เรื่อง.
รวมเรื่องในขันธกะนี้ ๑๗๒ เรื่อง.
หัวข้อเรื่องในมหาขันธกะ จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น