Translate

11 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ วัสสูปนายิกขันธกะ เรื่องภิกษุหลายรูป เป็นต้น การจำพรรษา ๒ อย่าง

search-google ทำบุญ
   [๒๐๕] โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต
   เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัติการจำพรรษาแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน. 
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ  ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ จำนวนมากให้ถึงความวอดวายเล่า ก็พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านี้เป็นผู้กล่าวธรรมอันต่ำทราม
   ยังพัก ยังอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน อนึ่ง ฝูงนกเหล่านี้เล่าก็ยังทำรังบนยอดไม้ และพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน ส่วนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน  เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด
   เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ จำนวนมากให้ถึงความวอดวาย. ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น  ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษา.
การจำพรรษา ๒ อย่าง
  [๒๐๖] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า  พวกเราพึงจำพรรษาเมื่อไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   เราอนุญาตให้จำพรรษา ในฤดูฝน.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า วันเข้าพรรษามีกี่วันหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันเข้าพรรษานี้มี ๒ คือ ปุริมิกาวันเข้าพรรษาต้น ๑ ปัจฉิมิกา วันเข้าพรรษาหลัง ๑ เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง 
   พึงเข้าพรรษาต้น  เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้วเดือนหนึ่งพึงเข้าพรรษาหลัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันเข้าพรรษามี ๒ วันเท่านี้แล.
พระฉัพพัคคีย์เที่ยวจาริกทุกเวลา
   [๒๐๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์จำพรรษาแล้ว ยังเที่ยวจาริกในระหว่างพรรษา. คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาเช่นนั้นแหละว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้เที่ยวจาริกตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะยังสัตว์เล็กๆ 
   มีจำนวนมากให้ถึงความวอดวายเล่า ก็พวกอัญญเดียรถีย์เหล่านี้ เป็นผู้กล่าวธรรมอันต่ำทราม ยังพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน  อนึ่ง ฝูงนกเหล่านี้เล่าก็ยังทำรังบนยอดไม้แล้วพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน  ส่วนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร เหล่านี้
   เที่ยวจาริกตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน  เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ ซึ่งมีจำนวนมากให้ถึงความวอดวาย. ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา.
   บรรดาที่เป็นผู้มักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จำพรรษาแล้ว จึงได้เที่ยวจาริกระหว่างพรรษาเล่า จึงภิกษุเหล่านั้นกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น  ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุจำพรรษา ไม่อยู่ให้ตลอด ๓ เดือนต้น หรือ ๓ เดือนหลัง ไม่พึงหลีกไปสู่จาริก รูปใดหลีกไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระฉัพพัคคีย์ไม่จำพรรษา
   [๒๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล   พระฉัพพัคคีย์ไม่ประสงค์จะจำพรรษา
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  
   พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจะไม่จำพรรษาไม่ได้ รูปใดไม่จำพรรษา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ ไม่ประสงค์จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา แกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ประสงค์จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา ไม่พึงแกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสียรูปใดล่วงเลยไปเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
เลื่อนกาลฝน
   [๒๐๙] ก็โดยสมัยนั้นแล  พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราช มีพระราชประสงค์จะทรงเลื่อนกาลฝนออกไป 
   จึงทรงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ถ้ากระไร ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายพึงจำพรรษาในชุณหปักษ์อันจะมาถึง. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน.
อรรถกถา มหาวรรคภภาค ๑ วัสสูปนายิกขันธกะ
 เรื่องภิกษุหลายรูป การจำพรรษา ๒ อย่าง เป็นต้น
อรรถกถาวัสสูปนายิกขันธกะ

   วินิจฉัยในเรื่องวัสสูปนายิกขันธกะ พึงทราบดังนี้ :- 
   บทว่า อปฺปญฺญตฺโต ได้แก่ ยังมิได้ทรงอนุญาต หรือว่ายังมิได้ทรงจัด. สองบทว่า เตธ ภิกฺขู ได้แก่ ภิกษุทั้งหลายนั้น. อิธ ศัพท์ เป็นเพียงนิบาต. 
   สัตว์ทั้งหลายผู้อาจไปในอากาศชื่อว่านก.  บทว่า สงฺกาสยิสฺสนฺติ ความว่า นกทั้งหลาย ก็จักขวนขวายน้อยอยู่ประจำที่. 
สองบทว่า สงฺฆาตํ อาปาเทนฺตา ได้แก่ ให้ถึงความพินาศ. 
   หลายบทว่า วสฺสาเน วสฺสํอุปคนฺตุํ ความว่า เพื่อเข้าจำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน.  หลายบทว่า กติ นุ โข วสฺสูปนายิกา ความว่า วันเข้าพรรษามีเท่าไรหนอ? 
วินิจฉัยในคำว่า อุปรชฺชุคตาย อาสาฬฺหิยา พึงทราบดังนี้ :- 
   วัน ๑ แห่งดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น ซึ่งล่วงไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น จึงชื่อว่า มีวัน ๑ ล่วงไปแล้ว. เมื่อดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้นล่วงไปแล้ว คือก้าวล่วงแล้ววัน ๑. อธิบายว่า ในวันแรมค่ำ ๑ 
   แม้ในนัยที่ ๒ ก็มีความว่า เดือน ๑ แห่งดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น ซึ่งล่วงไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น จึงชื่อว่ามีเดือน ๑ ล่วงไปแล้ว. เมื่อดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้นล่วงไปแล้ว คือก้าวล่วงแล้วเดือน ๑. 
   อธิบายว่า เมื่อเดือน ๑ เต็มบริบูรณ์. เพราะเหตุนั้น ในวันแรมค่ำ ๑ ซึ่งถัดจากวันกลางเดือน ๘ หรือในวันแรมค่ำ ๑ ซึ่งถัดจากวันกลางเดือน ๙ จากเพ็ญเดือน ๘ นั่นแล อันภิกษุผู้จะจำพรรษา พึงจัดแจงวิหารแล้วตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ 
   พึงทำสามีจิกรรมมีกราบไหว้พระเจดีย์เป็นต้นทั้งปวงให้เสร็จแล้ว พึงเปล่งวาจาว่า อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ ดังนี้ ครั้ง ๑ หรือ ๒ ครั้งแล้ว จำพรรษาเถิด. 
วินิจฉัยในคำว่า โย ปกฺกเมยฺย นี้ พึงทราบดังนี้ :-  พึงทราบว่า ต้องอาบัติ เพราะไม่มีอาลัย หรือเพราะให้อรุณขึ้นในที่อื่น. 
วินิจฉัยในคำว่า โย อติกฺกเมยฺย นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
    พึงทราบว่า เป็นอาบัติหลายตัว ด้วยนับวัด. 
   ก็ถ้าว่า ในวันนั้น เธอเข้าไปยังอุปจารวัด ๑๐๐ ตำบลแล้วเลยไปเสีย พึงทราบว่า เป็นอาบัติ ๑๐๐ ตัว แต่ถ้าว่า เลยอุปจารวัดไปแล้ว แต่ยังไม่ทันเข้าอุปจารวัดอื่น กลับมาเสีย พึงทราบว่า ต้องอาบัติตัวเดียวเท่านั้น. ภิกษุผู้ไม่จำพรรษาต้น เพราะอันตรายบางอย่างต้องจำพรรษาหลัง. 
สองบทว่า วสฺสํ อุกฺกฑฺฒิตุกาโม ความว่า มีพระประสงค์จะเลื่อนเดือนต้นฤดูฝนออกไป. อธิบายว่า มีพระประสงค์จะไม่นับเดือน ๙ จะให้นับเป็นเดือน ๘ อีก. 
สองบทว่า อาคเม ชุณฺเห มีอธิบายว่า ในเดือนอธิกมาส. 
   วินิจฉัยในข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุํ นี้พึงทราบดังนี้ :- 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเพื่ออนุวัตรตาม ด้วยทรงทำในพระหฤทัยว่า ชื่อว่าความเสื่อมเสียสักนิดหน่อย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุทั้งหลาย เพราะเลื่อนกาลฝนออกไป.
   เพราะฉะนั้น ภิกษุควรอนุวัตรตามในกรรมที่เป็นธรรมอย่างอื่นได้ แต่ไม่ควรอนุวัตรตามแก่ใครๆ ในกรรมอันไม่เป็นธรรมฉะนี้แล.
เรื่อง ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะ
หัว ทายกสร้างวิหารเป็นต้นถวาย

   [๒๑๐] ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ลุถึงพระนครสาวัตถี.
   ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ  พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น.
   ก็โดยสมัยนั้นแล  อุบาสกชื่ออุเทนได้ให้สร้างวิหารอุทิศต่อสงฆ์ไว้ในโกศลชนบท. เขาได้ส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายจงมา ข้าพเจ้าปรารถนา จะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายตอบไปอย่างนี้ว่า ท่านอุบาสก พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจำพรรษา ไม่อยู่ให้ตลอด ๓ เดือนต้น หรือ ๓ เดือนหลัง  ไม่พึงหลีกไปสู่จาริก ขออุบาสก
   อุเทนจงรอชั่วระยะเวลาที่ภิกษุทั้งหลายจำพรรษา  ออกพรรษาแล้วจึงจักไปได้  แต่ถ้าท่านจะมีกรณียกิจรีบด่วน  จงให้ประดิษฐานวิหารไว้ในสำนักภิกษุเจ้าถิ่น ในโกศลชนบทนั้นนั่นแหละ.
   อุบาสกอุเทนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเมื่อเราส่งทูตไปแล้ว พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงได้ไม่มาเล่า เราก็เป็นทายก เป็นผู้ก่อสร้าง เป็นผู้บำรุงสงฆ์.
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินอุบาสกอุเทนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคล ๗ จำพวกส่งทูตมา  เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  แม้เมื่อเขาไม่ส่งมา เราไม่อนุญาต บุคคล ๗ จำพวก
   คือ ภิกษุ ภิกษุณีสิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ๗ จำพวกนี้
   ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา เราไม่อนุญาต พึงกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุบาสกในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์.  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน
   ฟังธรรมและพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียวอุทิศสงฆ์
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น ....  ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน
 ได้ให้สร้างโรงไฟ .... ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี .... ได้ให้สร้างที่จงกรม
 ได้ให้สร้างโรงจงกรม ...  ได้ให้สร้างบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างโรงน้ำ .... ได้ให้สร้างเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ  ได้ให้สร้างสระโบกขรณี
 ได้ให้สร้างมณฑป .... ได้ให้สร้างอาราม
 ได้ให้สร้างอารามวัตถุ ....
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อเขาส่งทูตมา  พึงไปด้วย
   สัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมาก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้
  ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน
ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุรูปหนึ่ง 
ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น
ได้ให้สร้างเรือนโล้น .... ได้ให้สร้างถ้ำ
ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ
ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี
ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงน้ำ
ได้ให้สร้างเรือนไฟ .... ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .... ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ
  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อเขาส่งทูตมา  พึงไปด้วย
   สัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุบาสกในศาสนานี้ได้
  ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุณีสงฆ์
 อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน . อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง
 อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง
 อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน . อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง
 อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง .
 ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น .
 ได้ให้สร้างเรือนโล้น .... ได้ให้สร้างถ้ำ ....
 ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม ....
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ ...
ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี 
ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
 ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ .
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี ... ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาส่งทูตมา  พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างนิเวศน์เพื่อประโยชน์ตน
 ได้ให้สร้างเรือนนอน  ได้ให้สร้างโรงเก็บของ
 ได้ให้สร้างร้าน .... ได้ให้สร้างโรงกลม ...
 ได้ให้สร้างร้านค้า .... ได้ให้สร้างโรงร้านค้า
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น .... ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ ....
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน ....
 ได้ให้สร้างโรงไฟ .... ได้ให้สร้างโรงครัว .
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี .... ได้ให้สร้างที่จงกรม
 ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างเรือนไฟ .. ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .. ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ
   อนึ่ง จะมีการมงคลแก่บุตรก็ดี จะมีการมงคลแก่ธิดาก็ดี
เขาเจ็บไข้ก็ดี จะกล่าวพระสุตตันตะที่รู้เฉพาะก็ดี.
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา จักได้เรียนพระสุตตันตะนี้ไว้ โดยวิธีที่พระสุตตันตะนี้ จะไม่เสื่อมสูญไปเสีย หรือว่าเขามีกิจหรือกรณียะ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลาย
   ว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทานฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหะกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์.  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมา  ดิฉันปรารถนาจะถวายทานฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา
   พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนาง
   ไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียวอุทิศสงฆ์
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น .... ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน
 ได้ให้สร้างโรงไฟ .. ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี ..ได้ให้สร้างที่จงกรม 
 ได้ให้สร้างโรงจงกรม ได้ให้สร้างบ่อน้ำ ..
 ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ . ได้ให้สร้างเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ ได้ให้สร้างสระโบกขรณี
 ได้ให้สร้างมณฑป .... ได้ให้สร้างอาราม
 ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา 
   พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน
 อุทิศภิกษุรูปหนึ่ง .... อุทิศภิกษุณีสงฆ์
 อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง
อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน  อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง
อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง
อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง
 ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น
ได้ให้สร้างเรือนโล้น .... ได้ให้สร้างถ้ำ
 ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ
ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี
ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างเรือนไฟ .... ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .. ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้านางส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อนางส่งทูตมา  พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างนิเวศน์ เพื่อประโยชน์ตน
 ได้ให้สร้างเรือนนอน .. ได้ให้สร้างโรงเก็บของ
 ได้ให้สร้างร้าน .... ได้ให้สร้างโรงกลม ...
 ได้ให้สร้างร้านค้า .... ได้ให้สร้างโรงร้านค้า
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น .... ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ ....
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน ....
 ได้ให้สร้างโรงไฟ ... ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี .... ได้ให้สร้างที่จงกรม
 ได้ให้สร้างโรงจงกรม ... ได้ให้สร้างบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างโรงน้ำ .... ได้ให้สร้างเรือนไฟ 
 ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ ได้ให้สร้างสระโบกขรณี
 ได้ให้สร้างมณฑป .... ได้ให้สร้างอาราม
 ได้ให้สร้างอารามวัตถุ
   อนึ่ง จะมีการมงคลแก่บุตรก็ดี จะมีการมงคลแก่ธิดาก็ดี เขาเจ็บไข้ก็ดี จะกล่าวพระสุตตันตะที่รู้เฉพาะก็ดี.  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   จักได้เรียนพระสุตตันตะนี้ไว้ โดยวิธีที่พระสุตตันตะนี้จะไม่เสื่อมสูญไปเสีย หรือว่า เขามีกิจ หรือกรณียะอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนา
   จะถวายทาน ฟังธรรม และ
   พบเห็น ภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไปพึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์
 ภิกษุณีได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
 สิกขมานาได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
 สามเณรได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
 สามเณรีได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
อุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน อุทิศภิกษุรูปหนึ่ง
อุทิศภิกษุณีสงฆ์ อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน
อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน
อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน
อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน
อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง ....
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สามเณรีในศาสนานี้ได้
  ให้สร้างวิหารเพื่อประโยชน์ตน
.... ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น
.... ได้ให้สร้างเรือนโล้น ได้ให้สร้างถ้ำ
.... ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ
 ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี
 ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
 ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ .
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .... ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้านางส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระ-
*คุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อนางส่งทูตมา  พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะเพราะสหธรรมิก ๕
   [๒๑๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ. เธอได้ส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อสหธรรมิก ๕ แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา สหธรรมิก ๕ คือ 
     ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสหธรรมิก ๕ นี้ แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยภิกษุ
   ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้อาพาธ ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา  ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต  คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความกระสันบังเกิดแก่กระผมแล้ว ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา
   กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะ
   ได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักระงับความกระสัน หรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความรำคาญบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความรำคาญบังเกิดแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา 
   กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะ
   ได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักบรรเทาความรำคาญหรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความเห็นผิดบังเกิดแก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความเห็นผิดบังเกิดแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผม
   ปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักเปลื้องความเห็นผิด จักวานภิกษุอื่นให้ช่วยเปลื้อง หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ต้องครุกาบัติควรอยู่ปริวาส.  ถ้าเธอพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองต้องคารุกาบัติควรอยู่ปริวาส  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้ปาริวาส จักช่วยสวดหรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา   กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายชักเข้าหาอาบัติเดิม จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรมานัต.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควรมานัต  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนา
   การมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้มานัต จักช่วยสวด
   หรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรอัพภาน.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควรอัพภาน  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่ง
       ทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้
   จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อัพภาน จักช่วยสวดหรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรม  คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรมปัพพาชนียกรรม  ปฏิสารณียกรรม  หรืออุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรมแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอ สงฆ์จึงจะไม่ทำกรรม หรือพึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   อนึ่ง ภิกษุนั้นได้ถูกสงฆ์ทำกรรม คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรมหรืออุกเขปนียกรรมแล้ว.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์ได้ทำกรรมแก่กระผมแล้ว ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้
   ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า  ด้วยวิธีอย่างไรหนอ ภิกษุนั้นพึงประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ สงฆ์จะได้ระงับกรรมนั้นเสีย แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยภิกษุณี
   ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุณีในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธ ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนา
   การมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต  คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความกระสันบังเกิดแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักระงับ
   ความกระสันหรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือจักทำธรรมกถา แก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความรำคาญบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความรำคาญบังเกิดแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
      ดิฉัน ปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักบรรเทาความรำคาญหรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความเห็นผิดบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความเห็นผิดบังเกิดแก่ดิฉัน ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักเปลื้องความเห็นผิด จักวานภิกษุอื่นให้ช่วยเปลื้อง หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ต้องครุกาบัติ  ควรมานัต.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองต้องครุกาบัติ ควรมานัต  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้มานัต  แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองเป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายชักเข้าหาอาบัติเดิม  แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ควรอัพภาน. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองเป็นผู้ควรอัพภาน  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   ดิฉัน ปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้
   จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อัพภาน แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรม  คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรมปัพพาชนียกรรม  ปฏิสารณียกรรม  หรืออุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุณีในศาสนานี้.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรมแก่ดิฉัน ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอ สงฆ์จึงจะไม่ทำกรรม หรือพึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน. 
   อนึ่ง ภิกษุณีนั้นได้ถูกสงฆ์ทำกรรม คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม  หรือ อุกเขปนียกรรมแล้ว.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์ได้ทำกรรมแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า  ด้วยวิธีอย่างไรหนอ ภิกษุณีนั้นพึงประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ สงฆ์จะได้ระงับกรรมนั้นเสีย แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสิกขมานา
   ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิกขมานาในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนัก ภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธ ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา  ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช  จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สิกขมานาในศาสนานี้ ....
 ความรำคาญบังเกิด .... ความเห็นผิดบังเกิด
สิกขาของสิกขมานาในศาสนานี้กำเริบ.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าสิกขาของดิฉันกำเริบแล้ว  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
       ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้สมาทานสิกขา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สิกขมานาในศาสนานี้เป็นผู้ใคร่จะอุปสมบท.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองใคร่จะอุปสมบท ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
       ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อุปสมบท  จักช่วยสวดหรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสามเณร
   ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สามเณรในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สามเณรในศาสนานี้ ....
 ความรำคาญบังเกิด .... ความเห็นผิดบังเกิด
 สามเณรเป็นผู้ใคร่จะถามปี.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองใคร่จะถามปี ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา  กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย  ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักถาม หรือจักบอก แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สามเณรในศาสนานี้เป็นผู้ใคร่จะอุปสมบท.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองใคร่จะอุปสมบท ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อุปสมบท  จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสามเณรี
   ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สามเณรีในศาสนานี้อาพาธ.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธ ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต  คิลานเภสัช  จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สามเณรีในศาสนานี้ ....
 ความรำคาญบังเกิด .... ความเห็นผิดบังเกิด
 สามเณรีเป็นผู้ใคร่จะถามปี ....
   สามเณรีเป็นผู้ใคร่จะสมาทานสิกขา.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉัน
เองใคร่จะสมาทานสิกขา  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้สมาทานสิกขา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   [๒๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล มารดาของภิกษุรูปหนึ่งได้ป่วยไข้.  นางส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้เป็นบุตรว่า ดิฉันเองป่วยไข้ ดิฉันปรารถนาการมาของบุตร จึงภิกษุนั้นได้ดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า เมื่อบุคคล ๗ จำพวกส่งทูตมา
   ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขา ไม่ส่งทูตมา จะไปไม่ได้ สำหรับสหธรรมิก ๕ แม้มิได้ส่งทูตมาก็ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา ก็นี่มารดาของเรากำลังป่วยไข้ และท่านก็มิใช่อุบาสิกา  เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคล ๗ จำพวก แม้มิได้ส่งทูตมา  เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา  บุคคล ๗ จำพวก
   คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี มารดาและบิดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคล ๗จำพวกนี้
   แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มารดาของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้เป็นบุตรว่า ดิฉันเองป่วยไข้ ขอบุตรของดิฉันจงมา ดิฉันปรารถนาการมาของบุตร.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   แม้เมื่อนางมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อนางส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต  คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการหรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง 
   บิดาของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนัก ภิกษุผู้เป็นบุตรว่า   ฉันเองป่วยไข้ ขอบุตรของฉันจงมา ฉันปรารถนาการมาของบุตร.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเขามิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการหรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง 
   พี่ชายน้องชายของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้.  ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้พี่ชายน้องชายว่า กระผมเองป่วยไข้ ขอพี่ชายน้องชายของกระผมจงมา กระผมปรารถนาการมา
   ของพี่ชายน้องชาย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อเขาส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง
   พี่หญิงน้องหญิงของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุว่า ดิฉันเองป่วยไข้  ขอพี่ชายน้องชายของดิฉันจงมา ดิฉันปรารถนาการมาของพี่ชายน้องชาย.  ดูกร
   ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ญาติของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปสำนักภิกษุว่า กระผมเองป่วยไข้ ขอพระคุณเจ้าจงมา กระผมปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกร
   ภิกษุทั้งหลายเมื่อเขาส่งทูตมา  ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไปแต่ต้องกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุรุษผู้ภักดีต่อภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้.
   ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุว่า กระผมเองป่วยไข้ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อเขาส่งทูตมาก็พึงไป
   ด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะเพราะกิจของสงฆ์
             [๒๑๓] ก็โดยสมัยนั้นแล มหาวิหารของสงฆ์ชำรุดลง อุบาสกคนหนึ่งได้ให้ตัดเครื่องทัพพสัมภาระไว้ในป่า.
   เขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ถ้าพระคุณเจ้าทั้งหลาย จะพึงขนเครื่องทัพพสัมภาระนั้นไปได้  กระผมขอ
   ถวายเครื่องทัพพสัมภาระนั้น.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปได้เพราะกรณียะของสงฆ์ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.   เรื่องทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะ จบ.
วัสสาวาสภาณวารที่ ๑ จบ

ไม่มีความคิดเห็น: