Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระไตรปิฎกเล่ม ๔ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระไตรปิฎกเล่ม ๔ แสดงบทความทั้งหมด

15 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ พระพุทธานุญาตเตวาจิกาปวารณา เป็นต้น อันตราย ๑๐ ประการ

สัญจรภัยในวันปวารณา

ทำบุญ   

[๒๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ณ อาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท คนชาวดงได้มาพลุกพล่าน ในวันปวารณา. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณา ๓ หน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณา ๒ หน.   คนชาวดงได้มาพลุกพล่านมากขึ้น  ภิกษุทั้งหลาย         ไม่อาจปวารณา ๒ หน  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เราอนุญาตให้ปวารณาหนเดียว. ชนชาวดงได้มาพลุกพล่านหนักขึ้นอีก. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนเดียว   จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณามีพรรษาเท่ากัน.

ราตรีจวนสว่าง

   ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา  ชาวบ้านมัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง จึงภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันว่า คนเหล่านี้มัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จัก
   ปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีนี้ก็จักสว่างเสียก่อน พวกเราจะพึงปฏิบัติ อย่างไรหนอ  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา ชาวบ้านในตำบลนี้มัวให้ทานอยู่ จนราตรีจวนสว่าง  หากภิกษุทั้งหลาย
   ในอาวาสนั้น มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ชาวบ้านพากันให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จะปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน  ราตรีนี้ก็จักสว่างเสียก่อน ดังนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  ชาวบ้านมัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่างถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน  ราตรีจักสว่างเสียก่อน.
   ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุทั้งหลายกล่าวธรรมกัน .... ภิกษุที่เชี่ยวชาญในพระสูตร  สังคายนาพระสูตรกัน .... พระวินัยธรตัดสินพระวินัยกัน ....
พระธรรมกถึกสนทนาธรรมกัน .... 
   ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง. 
หากภิกษุทั้งหลาย
ในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า  ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีจักสว่างเสียก่อน ดังนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาดสามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุทั้งหลายมัวทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่างถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันปวารณาทั่วกัน  ราตรีจักสว่างเสียก่อน  ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว  สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน หนเดียว มีพรรษาเท่ากัน.

ฝนกำลังตั้งเค้า

   ก็โดยสมัยนั้นแล  ในอาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท ถึงวันปวารณาภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก.  สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนกำลังตั้งเค้ามาใหญ่  จึงภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันว่า  ภิกษุสงฆ์นี้มาประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา
   ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ฝนนี้ก็จักตกเสียก่อน พวกเราจะพึงปฏิบัติสถานไรหนอ  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่ผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาค รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มาประชุมกันมาก.  สถานที่ประชุมคับแคบคุ้มฝนไม่ได้  และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ
   คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน
   ฝนนี้ก็จักตกหนักเสียก่อน.  ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ กรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  ภิกษุสงฆ์นี้ประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่  ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ฝนนี้ก็จักตกเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.

อันตราย ๑๐ ประการ

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งในตำบลนี้ ถึงวันปวารณา มีอันตรายเกิดขึ้น คือ
๑. พระราชาเสด็จมา .... ๒. โจรปล้น
๓. ไฟไหม้ .... ๔. น้ำหลากมา
๕. คนมามาก .... ๖. ผีเข้าสิงภิกษุ
๗. สัตว์ร้ายเข้ามา .... ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา
๙. ภิกษุจะถึงเสียชีวิต ....
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์เกิดขึ้น.
   ในข้อนั้น หากภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า  เหตุฉุกเฉินนี้แหละ คือ  อันตรายแก่พรหมจรรย์  ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน อันตรายแก่พรหมจรรย์นี้ก็จักเกิดเสียก่อน.  ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย ญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เหตุฉุกเฉินนี้คืออันตรายแก่พรหมจรรย์ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน  อันตรายแก่พรหมจรรย์นี้ก็จักเกิดเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.

ภิกษุมีอาบัติห้ามปวารณา

   [๒๔๕]  ก็โดยสมัยนั้นแล  พระฉัพพัคคีย์มีอาบัติติดตัวได้ปวารณา.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุผู้มีอาบัติ
   ติดตัวปวารณา รูปนั้นทำโอกาส โจทด้วยอาบัติ.
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อันสงฆ์ให้ทำโอกาส ก็ไม่ปรารถนาจะทำโอกาส. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้งดปวารณาของภิกษุผู้ไม่ยอมทำโอกาส.

วิธีงดปวารณา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แล  สงฆ์พึงงดปวารณาอย่างนี้:-
   เมื่อถึงวันปวารณา ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ  เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้า ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ มีอาบัติติดตัวปวารณา ข้าพเจ้าของดปวารณาของเธอเสีย เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้า สงฆ์ไม่พึงปวารณา.
   เท่านี้ เป็นอันงดปวารณาแล้ว.
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์หารือกันว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก งดปวารณาของพวกเราก่อน ดังนี้ จึงรีบงดปวารณาของภิกษุที่บริสุทธิ์ไม่มีอาบัติเสียก่อน เพราะเรื่องอันไม่สมควร เพราะเหตุอันไม่สมควร แม้ปวารณาของภิกษุที่ปวารณาแล้วก็งดด้วย.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงงดปวารณา ของภิกษุผู้บริสุทธิ์  ไม่มีอาบัติ  เพราะเรื่องอันไม่สมควร เพราะเหตุอันไม่สมควร  รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม้ปวารณาของภิกษุ ที่ปวารณาแล้ว ก็ไม่พึงงด รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ.

ลักษณะปวารณาที่ไม่เป็นอันงด

   [๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อย่างนี้แล ปวารณาเป็นอันงด อย่างนี้ไม่เป็นอันงด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ปวารณาไม่เป็นอันงดอย่างไรเล่า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน
อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้ว
   จึงงดปวารณา ปวารณาไม่เป็นอันงด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณาหนเดียว ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณามีพรรษาเท่ากัน อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้ว จึงงดปวารณา

ปวารณาไม่เป็นอันงด

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อย่างนี้แล  ปวารณาไม่เป็นอันงด.
ลักษณะปวารณาเป็นอันงด
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปวารณาเป็นอันงดอย่างไรเล่า?
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน  อันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบ  จึงงดปวารณา ปวารณาเป็นอันงด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณาหนเดียว ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณามีพรรษาเท่ากันอันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบ จึงงดปวารณา  ปวารณาเป็นอันงด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อย่างนี้แล  ปวารณาเป็นอันงด.

ภิกษุผู้งดปวารณา

   [๒๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้ งดปวารณาของภิกษุเสีย.  ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์  มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ 
   เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์  แต่มีความประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์  มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์  เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด
   เมื่อถูกซักถามก็ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์  มีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์  แต่มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์  เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าว
   ห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์  มีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์  มีอาชีวะบริสุทธิ์  แต่เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม.สงฆ์พึงกล่าว
   ห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน  อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้ งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์  มีอาชีวะบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เมื่อถูกซักถาม
สามารถให้คำตอบข้อที่ซักถามได้.
   ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโส
   คุณงดปวารณาของภิกษุรูปนี้เพราะอะไร?
   งดเพราะศีลวิบัติหรือ?  งดเพราะอาจารวิบัติหรือ?
   งดเพราะทิฏฐิวิบัติหรือ?
   หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้างดเพราะศีลวิบัติ ข้าพเจ้า  งดเพราะอาจารวิบัติ 
     ข้าพเจ้างดเพราะทิฏฐิวิบัติ.
   เธออันสงฆ์พึงถาม  อย่างนี้ว่า  คุณรู้จักศีลวิบัติ รู้จักอาจารวิบัติ รู้จักทิฏฐิวิบัติหรือ?  หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จักศีลวิบัติ
    รู้จักอาจารวิบัติ รู้จักทิฏฐิวิบัติ.  เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็ศีลวิบัติเป็นอย่างไร?
   อาจารวิบัติเป็นอย่างไร?  ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร?  หากเธอจะพึงตอบ  อย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔  สังฆาทิเสส ๑๓ นี้ชื่อว่าศีลวิบัติ  ถุลลัจจัย  ปาจิตติยะ ปาฏิเทสนียะ  ทุกกฏ ทุพภาสิต  นี้ชื่อว่าอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ  อันตคาหิกทิฏฐิ
   นี้ชื่อว่า ทิฏฐิวิบัติ.  เธออันสงฆ์พึงถาม อย่างนี้ว่า  อาวุโส  คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยเหตุอะไร?
   งดด้วยได้เห็นหรือ?  งดด้วยได้ฟังหรือ?
   งดด้วยสงสัยหรือ?.  หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า
   ข้าพเจ้างดด้วยได้เห็นก็ดี  ข้าพเจ้างดด้วยได้ฟังก็ดี ข้าพเจ้างดด้วยสงสัยก็ดี.  เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า  อาวุโส  คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็นอย่างไร?
   คุณเห็นอะไร?  คุณเห็นว่าอย่างไร?
  คุณเห็นเมื่อไร?  คุณเห็นที่ไหน?
  ภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิก  คุณเห็นหรือ?
  ภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คุณเห็นหรือ?
   ภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติ
ปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิต  คุณเห็นหรือ?  คุณอยู่ที่ไหน? และภิกษุนี้อยู่ที่ไหน?
   คุณทำอะไรบ้าง?  ภิกษุนี้ทำอะไรบ้าง?.
   หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย
   ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็น  แต่งดปวารณาด้วยได้ฟังต่างหาก. เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส  คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้ฟังมาอย่างไร?
   คุณได้ฟังเรื่องอะไร? คุณได้ฟังมาว่าอย่างไร?
   คุณได้ฟังมาเมื่อไร?  คุณได้ฟังที่ไหน?
  คุณได้ฟังว่า  ภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิกหรือ?
  ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือ?
  ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจจัย
.... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิตหรือ? ได้ฟังมาจากภิกษุหรือ?  ได้ฟังมาจากภิกษุณีหรือ? ได้ฟังมาจากสิกขมานาหรือ?
   ได้ฟังมาจากสามเณรหรือ? ได้ฟังมาจากสามเณรีหรือ?  ได้ฟังมาจากอุบาสกหรือ?  ได้ฟังมาจากอุบาสิกาหรือ?
   ได้ฟังมาจากพระราชาหรือ?  ได้ฟังมาจากราชมหาอำมาตย์หรือ? ได้ฟังมาจากพวกเดียรถีย์หรือ?
   ได้ฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์หรือ?.
   หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้ฟัง  แต่ข้าพเจ้างดปวารณาด้วยสงสัยต่างหาก.  เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่าอาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยสงสัยอย่างไร?  คุณสงสัยอะไร?
สงสัยว่าอย่างไร? สงสัยเมื่อไร? สงสัยที่ไหน?
คุณสงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิกหรือ?
สงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือ?
   สงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจ .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ
   อาบัติทุพภาสิตหรือ?  คุณฟังมาจากภิกษุแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากภิกษุณี แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจาก
   สิกขมานาแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสามเณรแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสามเณรีแล้วสงสัยหรือ?
   คุณฟังมาจากอุบาสกแล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากอุบาสิกา แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากพระราชาแล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากราชมหาอำมาตย์แล้วสงสัยหรือ? คุณฟัง
   มาจากพวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ?  หากเธอจะพึงตอบ
  อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยสงสัย ความจริงแม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่า เรางดปวารณาของภิกษุนี้เสียด้วยเหตุไรเล่า?.

ฟังคำปฏิญาณของโจทก์และจำเลย

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นตอบข้อซักถามไม่เป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า  คุณไม่ควรฟ้องภิกษุจำเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้น
   ตอบข้อซักถามเป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า  คุณควรฟ้องภิกษุจำเลย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า  ตนตามกำจัดด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแล้วจึงปวารณา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติถุลลัจจัยไม่มีมูล ด้วยอาบัติปาจิตติยะ
   ด้วยอาบัติปาฏิเทสนียะ .... ด้วยอาบัติทุกกฏ
   .... ด้วยอาบัติทุพภาสิตไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติปาราชิก สงฆ์พึงนาสนะเสีย แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติสังฆาทิเสส สงฆ์พึงปรับอาบัติสังฆาทิเสส แล้วจึงปวารณา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ อาบัติปาฏิเทสนียะ
.... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิต 
   สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วปวารณาเถิด.

มีความเห็นไม่ตรงกันในอาบัติที่ต้อง

   [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่า  ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย พึงนำภิกษุรูปนั้น ออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   ปรับอาบัติตามธรรม  แล้วเข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวก
   มีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏบางพวก
   มีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย
     บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย  พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย
   ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล  อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว  ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติปาจิตติยะ .... ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ .... ต้องอาบัติทุกกฏ .... ต้องอาบัติทุพภาสิต ในวันปวารณา.
   ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้อง
   อาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติทุพภาสิตในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวก
   มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต   บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต  บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ 
บางพวก  มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต
      บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์พึงปวารณา.

วัตถุและบุคคลปรากฎ

   [๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า   ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุนี้ปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ  ถ้าความ
พร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุ แล้วปวารณาเถิด. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์
   ถ้าวัตถุปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ เธอจงระบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า 
   ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลนี้ปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ  ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดบุคคล แล้วปวารณาเถิด. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาค   ทรงบัญญัติปวารณา
   ไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ถ้าบุคคลปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ เธอจงระบุวัตถุนั้นมาเดี๋ยวนี้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุและบุคคลนี้ปรากฏ  ถ้าความพร้อมพรั่ง
   ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุและบุคคลแล้ว ปวารณาเถิด. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ และพร้อมเพรียงกัน  ถ้าวัตถุและบุคคลปรากฏ เธอจงระบุวัตถุและบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากวัตถุปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังบุคคลจึงปรากฏ ควรพูดขึ้น. หากบุคคลปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังวัตถุจึงปรากฏ ก็ควรพูดขึ้น. หากวัตถุและบุคคลปรากฏ  ก่อนปวารณา.
    ถ้าเมื่อทำปวารณาแล้ว ฟื้นเรื่องนั้นขึ้นเป็นปาจิตติยะ เพราะฟื้นเรื่องขึ้น.

ภิกษุก่อความบาดหมางเป็นต้น

   [๒๕๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันที่เคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง  ในโกศลชนบท ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อ
   ความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่ด้วยประสงค์ว่า  ในวันปวารณา  พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย.
   ภิกษุเหล่านั้นได้ทราบข่าวว่า ณ สถานที่ใกล้เคียงของพวกเรา  มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่
   ด้วยมุ่งหมายว่าในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้ พวกเราจะพึง
ปฏิบัติอย่างไรหนอ  จึงกราบทูลเรื่องแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  มากรูปด้วยกัน  ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมาจำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง. ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความ
   บาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์  จำพรรษาอยู่ ด้วยมุ่งหมายว่า  ในวันปวารณา  พวกเราจักงดปวารณาของพวกภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทำอุโบสถ ๒ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือ ๓ อุโบสถ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕
   ให้เป็นอุโบสถ ๑๔ ค่ำ ด้วยประสงค์ว่า ไฉนพวกเราพึงปวารณาก่อนภิกษุเหล่านั้น. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
 หากภิกษุ   พวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  มาสู่อาวาส  ภิกษุพวกเจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงรีบประชุมปวารณาเสียโดยเร็ว  ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า  อาวุโสทั้งหลาย
 พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว
ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด  ก็จงทำสถานนั้นเถิด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  ไม่แจ้งให้ทราบก่อนมาสู่อาวาสนั้น พวกภิกษุ
   เจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงปูอาสนะ จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้  พึงลุกขึ้นแล้วรับบาตรจีวร  พึงต้อนรับด้วยน้ำดื่ม.  พึงเสแสร้งกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้ว
   ไปปวารณานอกสีมา.
   ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด ก็จงทำสถานนั้นเถิด.  ถ้าได้วิธีการนั้นอย่างนี้  การได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาด ผู้สามารถ  พึงประกาศให้ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายทราบว่า ขอท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า  ถ้าความ
   พร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว
พวกเราพึงทำอุโบสถ  พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้ พึงปวารณาในวันกาฬปักที่จะมาถึงเถิด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น  อย่างนี้ว่า
   ดีแล้ว อาวุโสทั้งหลาย  ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด.  พวกเธออันภิกษุทั้งหลาย พึงกล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะ ยังไม่ปวารณาก่อนละ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงอยู่คอยไปถึงวันกาฬปักษ์นั้น  ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาด  ผู้สามารถ  พึงประกาศให้พวกภิกษุเจ้าถิ่นทราบว่า
   ขอท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว พวกเราพึงทำอุโบสถ  พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้เถิด พวกเราพึงปวารณาในวันชุณหปักษ์ที่จะมาถึงเถิด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น  อย่างนี้ว่า  ดีแล้ว อาวุโสทั้งหลาย  ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด.
   พวกเธออันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะยังไม่ปวารณาก่อนละ.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว
   ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงอยู่คอยไปถึงวันชุณหปักษ์แม้นั้น ภิกษุเหล่านั้นทุกรูปไม่ปวารณา  ก็ต้องปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุอาพาธงดปวารณาของภิกษุผู้ไม่อาพาธ  ภิกษุอาพาธนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า  ท่านกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่านจงรออยู่จนกว่าจะหายอาพาธหายอาพาธแล้ว
   เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุอาพาธถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุผู้ไม่อาพาธงดปวารณาของภิกษุผู้อาพาธ ภิกษุผู้ไม่อาพาธนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว 
       อย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุรูปนี้แล
   กำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่านจงรออยู่จนกว่าภิกษุรูปนี้หายอาพาธ ภิกษุนั้นหายอาพาธแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท.
   หากภิกษุผู้ไม่อาพาธถูกว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณาอยู่ ภิกษุอาพาธงดปวารณาของภิกษุอาพาธๆ นั้น  อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม โปรดรออยู่ก่อนจนกว่าจะหายอาพาธด้วยกัน หายอาพาธด้วยกันแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท.
   หากภิกษุผู้อาพาธนั้นถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุผู้ไม่อาพาธงดปวารณาของภิกษุผู้ไม่อาพาธ.  ทั้งสองฝ่าย สงฆ์พึงสอบสวนสืบสวนเป็นการสงฆ์ปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณาเถิด.

พวกที่พร้อมเพรียงกันเป็นต้นเลื่อนปวารณา

   [๒๕๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท. เมื่อพวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่
   ย่อมบรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง  จึงพวกเธอได้มีความปริวิตกว่า  เมื่อพวกเราพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว.
   ถ้าพวกเราจักปวารณากันเสียในบัดนี้  บางทีพวกภิกษุปวารณากันแล้วจะพึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้ พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

พระพุทธานุญาตให้เลื่อนปวารณา

พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมาจำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง.
   เมื่อพวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ย่อมบรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง. หากภิกษุทั้งหลายในสังฆสันนิบาตนั้นคิดกันอย่างนี้ว่า พวกเราพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่าง
   ใดอย่างหนึ่งแล้ว ถ้าพวกเราจักปวารณากันเสียในบัดนี้ บางทีพวกภิกษุปวารณากันแล้วจะพึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทำการเลื่อนปวารณาออกไป.

วิธีเลื่อนปวารณา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงทำการเลื่อนปวารณาอย่างนี้.    ภิกษุทุกๆ รูปต้องประชุมพร้อมกัน.  ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย
ญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาเลื่อนปวารณา ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เมื่อพวกเราพร้อมเพรียงกัน  ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่
   ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว.  หากพวกเราจักปวารณาเสียในบัดนี้ บางทีภิกษุทั้งหลายปวารณากันแล้ว พึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
   สงฆ์พึงทำการเลื่อนปวารณาออกไป บัดนี้พึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ พึงปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒  เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง. นี่เป็นญัตติ. ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟัง
   ข้าพเจ้า เมื่อพวกเราพร้อมเพรียงกัน  ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่  ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว. หากพวกเราจักปวารณาเสียในบัดนี้ บางทีภิกษุทั้งหลายปวารณากันแล้ว พึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่าง
   จากผาสุวิหารธรรมนี้. สงฆ์ทำการเลื่อนปวารณาออกไป บัดนี้สงฆ์จักทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒  เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง การกระทำซึ่งการเลื่อน
   ปวารณาออกไป เดี๋ยวนี้สงฆ์จักทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด. การเลื่อนปวารณาอันสงฆ์ทำแล้ว บัดนี้สงฆ์จักทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒
   เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.

ไม่เป็นใหญ่ในปวารณา

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเหล่านั้นทำการเลื่อนปวารณาออกไปแล้ว หากจะมีภิกษุสักรูปหนึ่งพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมปรารถนาจะหลีกไปสู่จาริกตามชนบท เพราะผม
   มีกิจจำเป็นที่ชนบท. ภิกษุรูปนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวอย่างนี้ว่า  ดีแล้ว อาวุโส ท่านปวารณาแล้วจึงค่อยไป.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   หากภิกษุรูปนั้นอันสงฆ์ปวารณาอยู่ งดปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งเสีย ภิกษุผู้งดปวารณา อันภิกษุผู้ถูกห้ามปวารณาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านไม่เป็นใหญ่ ในการปวารณาของผมๆ จักยังไม่ปวารณาก่อน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   เมื่อภิกษุนั้นปวารณาอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งห้ามปวารณาของภิกษุรูปนั้น สงฆ์พึงสอบสวนสืบสวนทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วปรับอาบัติตามธรรม. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นทำกรณียกิจนั้นในชนบทเสร็จแล้วกลับมาสู่อาวาสนั้น ภายในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือน หากเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณา ภิกษุอีกรูปหนึ่ง
   งดปวารณาของภิกษุรูปนั้น ภิกษุผู้งดปวารณา อันภิกษุผู้ถูกงดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของผม เพราะผมปวารณาเสร็จแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากเมื่อภิกษุ
   เหล่านั้นปวารณาอยู่ ภิกษุนั้นงดปวารณาของภิกษุอีกรูปหนึ่ง.  ทั้ง ๒ ฝ่ายสงฆ์พึง<i>สอบสวน สืบสวน</i>เป็นการสงฆ์ ปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณาเถิด. ปวารณาขันธกะที่ ๔ จบ.

เรื่องในขันธกะนี้มี ๔๖ เรื่อง

หัวข้อประจำขันธกะ
   [๒๕๒] ๑. เรื่องภิกษุจำพรรษาในโกศลชนบทมาเฝ้าพระศาสดา  ๒. เรื่องจำพรรษาไม่ผาสุกเหมือนปศุสัตว์อยู่ร่วมกัน   ๓. เรื่องการปวารณาที่เหมาะสมเพื่อว่ากล่าวกัน
   ๔. เรื่องพระฉัพพัคคีย์นั่งราบบนอาสนะปวารณา  ๕. เรื่องวันปวารณามี ๒ วัน  ๖. เรื่องอาการที่ทำปวารณา  ๗. เรื่องให้ภิกษุอาพาธมอบปวารณา  ๘. เรื่องภิกษุถูกพวกญาติคุมตัวไว้  ๙. เรื่องภิกษุถูกพระราชาคุมตัวไว้
   ๑๐. เรื่องภิกษุถูกพวกโจรจับไว้ ๑๑. เรื่องภิกษุถูกพวกนักเลง
จับไว้  ๑๒. เรื่องภิกษุถูกภิกษุผู้เป็นข้าศึกจับไว้ ๑๓. เรื่องสงฆ์ปวารณา ๕ รูป  ๑๔. เรื่องคณะปวารณา ๔ รูป  ๑๕. เรื่องคณะปวารณา ๓ รูป  ๑๖. เรื่องคณะปวารณา ๒ รูป
   ๑๗. เรื่องภิกษุรูปเดียวอธิษฐานปวารณา  ๑๘. เรื่องภิกษุต้องอาบัติปวารณา  ๑๙. เรื่องภิกษุสงสัยในอาบัติปวารณา ๒๐. เรื่องภิกษุระลึกอาบัติ  ๒๑. เรื่องสงฆ์ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ ๒๒. เรื่องสงฆ์ทั้งหมดสงสัยในสภาคาบัติ
   ๒๓. เรื่องภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมามากกว่า  ๒๔. เรื่องภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาเท่ากัน  ๒๕. เรื่องภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาน้อยกว่า  ๒๖. เรื่องวันปวารณาของเจ้าถิ่นเป็น ๑๔ ค่ำ
   ๒๗. เรื่องลักษณะเจ้าถิ่น  ๒๘. เรื่องภิกษุสองสังวาสปวารณา ๒๙. เรื่องไม่ควรไป  ๓๐. เรื่องไม่ควรปวารณาในบริษัทมีภิกษุณีเป็นต้นนั่งอยู่ด้วย  ๓๑. เรื่องให้ฉันทะ  ๓๒. เรื่องห้ามปวารณาในวันมิใช่วันปวารณา  ๓๓. เรื่องคนชาวดง  ๓๔. เรื่องราตรีจวนสว่าง  ๓๕. เรื่องฝน ๓๖. เรื่องมีอันตราย
   ๓๗. เรื่องภิกษุมีอาบัติปวารณา ๓๘. เรื่องไม่ยอมทำโอกาส  ๓๙. เรื่องงดปวารณาของพวกเราก่อน  ๔๐. เรื่องไม่เป็นอันงดปวารณา  ๔๑. เรื่องงดปวารณาของภิกษุ  งดเพราะเรื่องอะไรเป็นต้น เป็นอย่างไร  งดด้วยได้เห็น ได้ยิน หรือรังเกียจโจทก์และจำเลย  ๔๒. เรื่องภิกษุต้องอาบัติถุลลัจจัย
   ๔๓. เรื่องวัตถุปรากฏ  ๔๔. เรื่องก่อความบาดหมาง  ๔๕. เรื่องเลื่อนปวารณา  ๔๖. เรื่องไม่เป็นใหญ่ในปวารณา.
หัวข้อประจำขันธกะ จบ.

14 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ ปวารณาไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ มีความสงสัยปวารณา ฝืนใจทำปวารณา

ทำบุญ   [๒๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นมากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยัง
   ไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย  เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า  ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. พวกเธอต้องปวารณาใหม่  ภิกษุที่ปวารณาแล้ว  ไม่ต้องอาบัติ.
๒.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.   พวกที่เหลือ พึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๓.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา
   ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่เหลือ พึงปวารณาต่อไป.
  พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา
ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่. ภิกษุที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. ภิกษุพวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า.  ภิกษุที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.  ภิกษุพวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.
   พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.
   เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี แต่บริษัทยังไม่ทัน
ลุกไป  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๘. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน ....
๙. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า. ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๐. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรมมีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
   มีจำนวนมากกว่า.  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน ....
๑๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่าภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกันปวารณา.  เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า.
   ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน ....
๑๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า. ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ. ปวารณาไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ จบ.

ปวารณาเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน ๑๕ ข้อ [๒๓๔]

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่
   ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.
   พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๓. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. นอกนั้นพึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี
   ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
๕. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๖. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนน้อยกว่า
๗. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี  บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า
๘. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๙. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี  บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง 
มีจำนวนมากกว่า
๑๑. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๑๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ  บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า
๑๔. ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.  พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
ปวารณาเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน ๑๕ ข้อ จบ.

มีความสงสัยปวารณา ๑๕ ข้อ [๒๓๕]

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุ
   เจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสงสัยว่า พวกเราปวารณากันจะสมควรหรือไม่สมควร
   หนอ  ดังนี้  แล้วยังขืนปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
   มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๓. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้วเป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า  ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสงสัยว่า  พวกเราปวารณากันจะสมควรหรือไม่สมควรหนอ ดังนี้  แล้วยังขืนปวารณา. พอพวกเธอปวารณาเสร็จ  ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนมากกว่า ....
๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๖.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๗.บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๘.ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๙.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐.บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๑.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓. .... บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๔.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้วต้องอาบัติทุกกฏ.
มีความสงสัยปวารณา  ๑๕ ข้อ จบ.

ฝืนใจทำปวารณา ๑๕ ข้อ [๒๓๖]

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุ
   เจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา แต่ฝืนใจทำปวารณา  ด้วยเข้าใจว่า พวกเราปวารณากัน สมควรแท้ จะไม่สมควรก็หามิได้. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๓. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า  ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มา แต่ฝืนใจทำปวารณา ด้วยเข้าใจว่าพวกเราปวารณากันสมควรแท้ จะไม่สมควรก็หามิได้. พอพวกเธอปวารณาเสร็จ ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๖.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๗.บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๘.ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๙.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐. .... บริษัทบางพวกลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๑.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓.บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๔.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้วต้องอาบัติทุกกฏ.
ฝืนใจทำปวารณา ๑๕ ข้อ จบ.

มุ่งความแตกร้าวปวารณา ๑๕ ข้อ [๒๓๗]

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวก
   อื่นที่    ยังไม่มา  และมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ  ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น  ดังนี้ จึงปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา
   ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า.  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า
๓. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า  ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา และมุ่งความแตกร้าวว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น  ดังนี้
   จึงปวารณา. พวกเธอปวารณาเสร็จ
ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๖.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๗. .... บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๘.ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๙.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐.บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๑.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓. .... บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๑๔.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้วเป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
มุ่งความแตกร้าวปวารณา ๑๕ ข้อ จบ.
เปยยาลมุข ๗๐๐ ติกะ
   [๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า มีภิกษุ
เจ้าถิ่นพวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา ....
   พวกเธอไม่ทราบว่า  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น
เข้ามา   ในสีมาแล้ว พวกเธอไม่เห็นภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นที่กำลังเข้ามาในสีมา พวกเธอไม่เห็น
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น   เข้ามาภายในสีมาแล้ว พวก
   เธอไม่ได้ยินว่า  มีภิกษุ
เจ้าถิ่นพวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา พวกเธอไม่ได้ยินว่า
มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว ....
   โดยนัย ๑๗๕ ติกะ ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุเจ้าถิ่น ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุเจ้าถิ่น ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุอาคันตุกะ ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุอาคันตุกะ รวมเป็น ๗๐๐ ติกะ โดยเปยยาลมุข.
เปยยาลมุข ๗๐๐ ติกะ จบ.
ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุอาคันตุกะนับวันปวารณาต่างกัน
   [๒๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น ๑๔ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑๕ ค่ำ. ถ้าพวกเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่าพวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตร
   พวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า. พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงอนุวัตรพวกภิกษุอาคันตุกะ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น ๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑๔ ค่ำ. ถ้าพวกเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น.
   ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า. พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงอนุวัตรพวกภิกษุอาคันตุกะ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็นวัน ๑ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑๕ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า. พวกภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนา
   ก็ไม่ให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ.  พวกภิกษุอาคันตุกะพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.
   ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ พวกภิกษุอาคันตุกะพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.  ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ หรือพึงไปเสียนอกสีมา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น ๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงให้
   ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น หรือพึงไปเสียนอกสีมา. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน. พวกภิกษุอาคันตุกะพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น หรือพึงไปเสียนอกสีมา.
   ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น  พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.
ปวารณาของภิกษุที่สงสัยเป็นต้น
   [๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นอาการเจ้าถิ่น ลักษณะเจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่น  ของพวกภิกษุเจ้าถิ่น   เตียง  ตั่ง ฟูก  หมอน จัดไว้ได้ระเบียบ  น้ำฉัน น้ำใช้ จัดหาไว้เป็นอันดี  บริเวณกวาดสะอาดสะอ้าน ครั้นแล้ว มีความสงสัยว่า  พวก
   ภิกษุเจ้าถิ่นมีหรือไม่มีหนอ?
   พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่เที่ยวค้นหา
ครั้นแล้ว ขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหาแล้วแต่ไม่พบ
   จึงปวารณา ไม่ต้องอาบัติ. พวกเธอมีความสงสัย
ได้ค้นหาแล้วพบ จึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหาแล้วพบ ครั้นแล้ว
แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. พวกเธอมี
   ความสงสัยได้ค้นหา   แล้วพบ  ครั้นแล้วมุ่ง
ความแตกร้าวว่า ขอภิกษุพวกนั้น จงเสื่อมสูญ
    จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วย
   ภิกษุพวกนั้น ดังนี้จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้ยินอาการเจ้าถิ่น ลักษณะเจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น  สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่น ของพวกภิกษุเจ้าถิ่น  ได้ยินเสียงเท้าของพวกภิกษุเจ้าถิ่นกำลังเดินจงกรม
   ได้ยินเสียงท่องสาธยาย  เสียงไอ เสียงจาม  ครั้นแล้วมีความสงสัยว่าพวกภิกษุเจ้าถิ่นยังมีหรือไม่มีหนอ?
   พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่ค้นหา  ครั้นแล้วขืนปวารณาต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้วไม่พบ ครั้นแล้วจึงปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ  ครั้นพบแล้วจึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วจึงแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วมุ่งความแตกร้าว ว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงปวารณา
   ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ได้เห็นอาการอาคันตุกะ ลักษณะอาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะ สิ่งที่แสดงอาคันตุกะ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ ได้เห็น บาตร จีวร  ผ้านิสีทนะ อันเป็นของภิกษุพวกอื่น ได้เห็นรอยน้ำล้างเท้า  ครั้นแล้วมีความสงสัย   ว่าพวกภิกษุอาคันตุกะยังมีหรือไม่หนอ?
.... พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่ค้นหา
   ครั้นแล้วขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว ไม่พบ ครั้นแล้วจึงปวารณา
   ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ  ครั้นพบแล้ว จึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ ครั้นพบแล้ว ได้แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้ว มุ่งความแตกร้าวว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงปวารณา
   ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ได้ยินอาการอาคันตุกะ ลักษณะอาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะ สิ่งที่แสดงอาคันตุกะ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ ได้ยินเสียงเท้าของ
   พวกภิกษุอาคันตุกะกำลังเดินมา
   ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบ ได้ยินเสียงไอ เสียงจาม
   ครั้นแล้วมีความสงสัยว่า พวกภิกษุอาคันตุกะยังมีหรือไม่หนอ?  พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่ค้นหา ครั้นแล้วขืนปวารณา    ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว ไม่พบ ครั้นแล้วจึงปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ  ครั้นพบแล้ว ได้ปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ ครั้นพบแล้ว ได้แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้ว มุ่งความแตกร้าวว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้
   จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ภิกษุสมานสังวาสเป็นต้นปวารณา
   [๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นพวกภิกษุเจ้าถิ่นซึ่งเป็นนานาสังวาส. พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นสมานสังวาส  ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม 
   ครั้นแล้วจึงปวารณาร่วมกัน  ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ  ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอได้ไต่ถาม  ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นพวกภิกษุเจ้าถิ่นซึ่งเป็นสมานสังวาส.  พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นนานาสังวาส ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน
   ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา  ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ได้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะซึ่งเป็นนานาสังวาส.  พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นสมานสังวาส  ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน
   ไม่ต้องอาบัติ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้ว ไม่รังเกียจ  ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะซึ่งเป็นสมานสังวาส.  พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นนานาสังวาส  ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม  ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน
   ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
ไม่ควรไปไหนในวันปวารณา
   [๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส  หรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากอาวาส  หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสมีภิกษุซึ่งครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา   ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
สถานที่ควรไปในวันปวารณา
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุพึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาส ที่มีภิกษุครบจำนวน
.... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....
สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าเราสามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน
.... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....
.... สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าเราสามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน .... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....
.... สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าจะสามารถไปถึงในวันนี้แหละ.
&amp;@บุคคลที่ควรเว้นในปวารณา
   [๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสิกขมานานั่งอยู่ด้วย ....
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสามเณรนั่งอยู่ด้วย
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสามเณรีนั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้บอกลาสิกขาแล้วนั่งอยู่ด้วย
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุนั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ นั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัตินั่งอยู่ด้วย .... ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามกนั่งอยู่ด้วย 
        รูปใดปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม.
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีบัณเฑาะก์นั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนลักเพศนั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้เข้ารีตเดียรถีย์นั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนคล้ายดิรัจฉานนั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่ามารดานั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่าบิดานั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่าพระอรหันต์นั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนประทุษร้ายภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุทำลายสงฆ์นั่งอยู่ด้วย
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนทำร้ายพระศาสดาถึงห้อพระโลหิตนั่งอยู่ด้วย .... ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีอุภโตพยัญชนกนั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา  ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่พึงปวารณา ด้วยการให้ปวารณาค้างคราว  นอกจากบริษัทยังไม่ลุกไป.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ภิกษุไม่พึงปวารณาในดิถีมิใช่วันปวารณา  นอกจากวันสังฆสามัคคี. 
ภาณวารที่ ๒ จบ.

13 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ พระพุทธานุญาตให้มอบปวารณา เป็นต้น หมู่ญาติเป็นต้นจับภิกษุ

  ทำบุญ   [๒๒๙] ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงประชุมกัน  สงฆ์จักปวารณา. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว  ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ยังมีภิกษุอาพาธอยู่  เธอมาไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธมอบปวารณา.

วิธีมอบปวารณา

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงมอบอย่างนี้:-  ภิกษุอาพาธนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง  ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่งประคองอัญชลีแล้วกล่าวมอบปวารณาอย่างนี้ว่า:-
   ข้าพเจ้าขอมอบปวารณา ขอท่านจงนำปวารณาของข้าพเจ้าไป  ขอท่านจงปวารณาแทนข้าพเจ้า
   ภิกษุรับด้วยกาย  รับด้วยวาจา  รับด้วยกายด้วยวาจาก็ได้  เป็นอันภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว.
   ไม่รับด้วยกาย  ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยกายด้วยวาจา   ไม่เป็นอันภิกษุอาพาธมอบปวารณา. หากได้ภิกษุผู้รับอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้  ภิกษุทั้งหลาย พึงใช้เตียงหรือตั่ง หามภิกษุอาพาธนั้นมาในท่ามกลางสงฆ์แล้วปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากพวกภิกษุผู้พยาบาลไข้  มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า หากพวกเราจักย้ายภิกษุอาพาธ อาพาธจักกำเริบหนัก หรือมิฉะนั้นจักถึงมรณภาพ ดังนี้
   ไม่พึงย้ายภิกษุอาพาธ สงฆ์พึงไปปวารณาในสำนักภิกษุอาพาธนั้นแต่สงฆ์เป็นวรรคไม่พึงปวารณา  หากขืนปวารณาต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว  หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสียจากที่นั้นแล ภิกษุอาพาธพึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว  หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ณ ที่นั้นแหละ ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร
ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุ
ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต  ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน
ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา 
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก
ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ ปฏิญาณเป็นไถยสังวาส
ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์  ปฏิญาณเป็นดิรัจฉาน
ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดา
  ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์  ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์
   ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต  ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก
   ภิกษุอาพาธจึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสีย ในระหว่างทาง  ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ในระหว่างทาง ถึงมรณภาพ
ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว หลบไปเสีย  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว สึกเสีย ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว หลับเสียมิได้บอก  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว เข้าสมาบัติ  มิได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว เผลอไปไม่ได้บอก  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา  ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว แกล้งไม่บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว แต่ภิกษุผู้นำปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในวันปวารณา เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มอบปวารณา มอบฉันทะด้วย เผื่อสงฆ์จะมีกรณียกิจ.

หมู่ญาติเป็นต้นจับภิกษุ

  [๒๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ถึงวันปวารณา หมู่ญาติได้จับภิกษุรูปหนึ่งไว้.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในวันปวารณา  พวกญาติจับภิกษุในศาสนานี้ไว้.  หมู่ญาติเหล่านั้น  อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย 
   ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุรูปนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ หมู่ญาติเหล่านั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน  พอภิกษุรูปนี้มอบปวารณาเสร็จ.
   หากได้การขอร้องอย่างนี้  นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้  พึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณานำภิกษุนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง พอสงฆ์ปวารณาเสร็จ.  ถ้าได้ การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรค  ไม่พึงปวารณา หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในวันปวารณา พระราชาทั้งหลายได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้ พวกโจรได้จับ พวกนักเลงได้จับ  พวกภิกษุที่เป็นข้าศึกได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้.  พวกนั้น
   อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว  อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ พวกนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย  ขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน พอภิกษุนี้มอบปวารณาเสร็จ.
   หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ พวกนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย  ขอพวกท่านกรุณาพาภิกษุรูปนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง
   พอสงฆ์ปวารณาเสร็จ.  หากได้การขอร้องอย่างนี้  นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรคไม่พึงปวารณา หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

ปวารณาเป็นการสงฆ์

   [๒๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  พึงปวารณาเป็นการสงฆ์ ก็พวกเรามีอยู่เพียง ๕ รูป  จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์.

   ปวารณาเป็นการคณะ

    สมัยต่อมา ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ก็พวกเรามีอยู่เพียง ๔ รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน.

   วิธีทำคณะปวารณา

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า

ญัตติกรรมวาจา

   ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า  วันนี้เป็นวันปวารณา  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า

คำปวารณา

   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง  ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
   ท่านเจ้าข้า  ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัย ก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟัง ก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.

คณะปวารณา (พระ ๓ รูป)

   สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ก็พวกเรามีอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ปวารณาต่อกัน

วิธีทำคณะปวารณา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า

ญัตติกรรมวาจา

   ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า
   วันนี้เป็นวันปวารณา  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว  กล่าวคำ ปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

คำปวารณา

   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง  ประคองอัญชลีแล้ว กล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
   ท่านเจ้าข้า  ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี
   ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า
   ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.

คณะปวารณา (พระ ๒ รูป)

   สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๒ รูป จึงภิกษุทั้งสองนั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๓  รูป 
   ปวารณาต่อกัน ก็เรามีอยู่ด้วยกันสองรูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นพระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน.

วิธีทำปวารณา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็แลภิกษุทั้งสองพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุผู้นวกอย่างนี้ ว่าดังนี้:- เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัย ก็ดี  ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย ก็ดี
   ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง   ประคองอัญชลี  แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุผู้เถระอย่างนี้ ว่าดังนี้:- ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย ก็ดี
   ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม
ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
อธิษฐานปวารณา สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่รูปเดียว  จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๓ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน
   ก็เรามีอยู่รูปเดียวจะพึงปวารณากันได้อย่างไรหนอ. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา  มีภิกษุในศาสนานี้อยู่รูปเดียว.
   ภิกษุนั้นพึงกวาดสถานที่เป็นที่ไปมาแห่งภิกษุทั้งหลาย คือ จะเป็นโรงฉัน มณฑปหรือโคนต้นไม้  ก็ตาม แล้วจัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้  ปูอาสนะ ตามประทีป แล้วนั่งรออยู่. หากมีภิกษุเหล่าอื่นมา พึงปวารณาร่วมกับพวกเธอ หากไม่มีมา พึงอธิษฐานว่า ปวารณาของเรา วันนี้ หากไม่อธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๔ รูปปวารณาเป็นการสงฆ์ไม่ได้ หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๓ รูปปวารณาต่อกันไม่ได้ หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๒ รูปปวารณาต่อกันไม่ได้  หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

แสดงอาบัติก่อนปวารณา

   [๒๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติ ในวันปวารณา.  เธอได้คิดสงสัยในขณะนั้นว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  ต้องอาบัติในวันปวารณา.  ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่าน ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ผมแสดงคืนอาบัตินั้น
ภิกษุผู้รับพึงถามว่า ท่านเห็นหรือ?
ภิกษุผู้แสดงพึงตอบว่า ครับ ผมเห็น.
ภิกษุผู้รับพึงบอกว่า  ท่านพึงสำรวมต่อไป.

สงสัยในอาบัติ

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
   ท่าน  ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้  จักหมดสงสัยเมื่อใด  จักทำคืนอาบัตินั้น เมื่อนั้น  ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่สงสัยนั้นเป็นปัจจัย

กำลังปวารณา ระลึกอาบัติได้

   ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งกำลังปวารณา  ระลึกอาบัติได้  จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัว ไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว  จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้  กำลังปวารณาระลึกอาบัติได้.
     เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
   อาวุโส ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้   ลุกจากที่นี้แล้ว จักทำคืนอาบัตินั้น ครั้นแล้วพึงปวารณาแต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะข้อที่ระลึกอาบัติได้นั้นเป็นปัจจัย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ กำลังปวารณา มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
   อาวุโส ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น ครั้นแล้ว พึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา   เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

สงฆ์ต้องสภาคาบัติ

  ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุจะแสดงสภาคาบัติไม่ได้ จะรับแสดงสภาคาบัติก็ไม่ได้
   ก็สงฆ์หมู่นี้ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ  พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ต้องสภาคาบัติ.
   พวกเธอพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทัน ในวันนั้น ด้วยสั่งว่า  อาวุโส คุณจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา   พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักคุณ.  ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้น  อย่างนี้นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-

ญัตติกรรมวาจา

   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้ต้องสภาคาบัติ  เมื่อใดพบภิกษุรูปอื่นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ  เมื่อนั้นสงฆ์จักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักภิกษุรูปนั้น
   ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่ต้องสภาคาบัตินั้นเป็นปัจจัย.

 🤨สงสัยในสภาคาบัติ

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา  สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ มีความสงสัยในสภาคาบัติ  ภิกษุผู้ฉลาด  ผู้สามารถ  พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-

ญัตติกรรมวาจา 

   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ จักหมดความสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น. ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.
ปฐมภาณวาร  จบ.