Translate

13 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ พระพุทธานุญาตให้มอบปวารณา เป็นต้น หมู่ญาติเป็นต้นจับภิกษุ

search-google ทำบุญ
[๒๒๙] ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   พวกเธอจงประชุมกัน  สงฆ์จักปวารณา. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว  ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ยังมีภิกษุอาพาธอยู่  เธอมาไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธมอบปวารณา.
วิธีมอบปวารณา
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงมอบอย่างนี้:-  ภิกษุอาพาธนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง  ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่งประคองอัญชลีแล้วกล่าวมอบปวารณาอย่างนี้ว่า:-
   ข้าพเจ้าขอมอบปวารณา ขอท่านจงนำปวารณาของข้าพเจ้าไป  ขอท่านจงปวารณาแทนข้าพเจ้า
   ภิกษุรับด้วยกาย  รับด้วยวาจา  รับด้วยกายด้วยวาจาก็ได้  เป็นอันภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว.
   ไม่รับด้วยกาย  ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยกายด้วยวาจา   ไม่เป็นอันภิกษุอาพาธมอบปวารณา. หากได้ภิกษุผู้รับอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้  ภิกษุทั้งหลาย พึงใช้เตียงหรือตั่ง หามภิกษุอาพาธนั้นมาในท่ามกลางสงฆ์แล้วปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากพวกภิกษุผู้พยาบาลไข้  มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า หากพวกเราจักย้ายภิกษุอาพาธ อาพาธจักกำเริบหนัก หรือมิฉะนั้นจักถึงมรณภาพ ดังนี้
   ไม่พึงย้ายภิกษุอาพาธ สงฆ์พึงไปปวารณาในสำนักภิกษุอาพาธนั้นแต่สงฆ์เป็นวรรคไม่พึงปวารณา  หากขืนปวารณาต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว  หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสียจากที่นั้นแล ภิกษุอาพาธพึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว  หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ณ ที่นั้นแหละ ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร
ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุ
ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต  ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน
ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา 
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก
ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ ปฏิญาณเป็นไถยสังวาส
ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์  ปฏิญาณเป็นดิรัจฉาน
ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดา
  ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์  ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์
   ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต  ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก
   ภิกษุอาพาธจึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสีย ในระหว่างทาง  ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ในระหว่างทาง ถึงมรณภาพ
ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว หลบไปเสีย  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว สึกเสีย ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว หลับเสียมิได้บอก  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว เข้าสมาบัติ  มิได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว เผลอไปไม่ได้บอก  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา  ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว แกล้งไม่บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว แต่ภิกษุผู้นำปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในวันปวารณา เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มอบปวารณา มอบฉันทะด้วย เผื่อสงฆ์จะมีกรณียกิจ.
หมู่ญาติเป็นต้นจับภิกษุ
  [๒๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ถึงวันปวารณา หมู่ญาติได้จับภิกษุรูปหนึ่งไว้.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในวันปวารณา  พวกญาติจับภิกษุในศาสนานี้ไว้.  หมู่ญาติเหล่านั้น  อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย 
   ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุรูปนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ หมู่ญาติเหล่านั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน  พอภิกษุรูปนี้มอบปวารณาเสร็จ.
   หากได้การขอร้องอย่างนี้  นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้  พึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณานำภิกษุนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง พอสงฆ์ปวารณาเสร็จ.  ถ้าได้ การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรค  ไม่พึงปวารณา หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในวันปวารณา พระราชาทั้งหลายได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้ พวกโจรได้จับ พวกนักเลงได้จับ  พวกภิกษุที่เป็นข้าศึกได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้.  พวกนั้น
   อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว  อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ พวกนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย  ขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน พอภิกษุนี้มอบปวารณาเสร็จ.
   หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ พวกนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย  ขอพวกท่านกรุณาพาภิกษุรูปนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง
   พอสงฆ์ปวารณาเสร็จ.  หากได้การขอร้องอย่างนี้  นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรคไม่พึงปวารณา หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
ปวารณาเป็นการสงฆ์
   [๒๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  พึงปวารณาเป็นการสงฆ์ ก็พวกเรามีอยู่เพียง ๕ รูป  จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์.
   ปวารณาเป็นการคณะสมัยต่อมา ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ก็พวกเรามีอยู่เพียง ๔ รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน.
   วิธีทำคณะปวารณาดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า
ญัตติกรรมวาจา
   ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า  วันนี้เป็นวันปวารณา  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
คำปวารณา
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง  ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
   ท่านเจ้าข้า  ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัย ก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟัง ก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
คณะปวารณา (พระ ๓ รูป)
   สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ก็พวกเรามีอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ปวารณาต่อกัน
วิธีทำคณะปวารณา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า
ญัตติกรรมวาจา
   ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า
   วันนี้เป็นวันปวารณา  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว  กล่าวคำ ปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำปวารณา
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง  ประคองอัญชลีแล้ว กล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
   ท่านเจ้าข้า  ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี
   ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า
   ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
คณะปวารณา (พระ ๒ รูป)
   สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๒ รูป จึงภิกษุทั้งสองนั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๓  รูป 
   ปวารณาต่อกัน ก็เรามีอยู่ด้วยกันสองรูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นพระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน.
วิธีทำปวารณา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็แลภิกษุทั้งสองพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุผู้นวกอย่างนี้ ว่าดังนี้:- เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัย ก็ดี  ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย ก็ดี
   ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง   ประคองอัญชลี  แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุผู้เถระอย่างนี้ ว่าดังนี้:- ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย ก็ดี
   ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม
ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
อธิษฐานปวารณา สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่รูปเดียว  จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๓ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน
   ก็เรามีอยู่รูปเดียวจะพึงปวารณากันได้อย่างไรหนอ. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา  มีภิกษุในศาสนานี้อยู่รูปเดียว.
   ภิกษุนั้นพึงกวาดสถานที่เป็นที่ไปมาแห่งภิกษุทั้งหลาย คือ จะเป็นโรงฉัน มณฑปหรือโคนต้นไม้  ก็ตาม แล้วจัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้  ปูอาสนะ ตามประทีป แล้วนั่งรออยู่. หากมีภิกษุเหล่าอื่นมา พึงปวารณาร่วมกับพวกเธอ หากไม่มีมา พึงอธิษฐานว่า ปวารณาของเรา วันนี้ หากไม่อธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๔ รูปปวารณาเป็นการสงฆ์ไม่ได้ หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๓ รูปปวารณาต่อกันไม่ได้ หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๒ รูปปวารณาต่อกันไม่ได้  หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
แสดงอาบัติก่อนปวารณา
   [๒๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติ ในวันปวารณา.  เธอได้คิดสงสัยในขณะนั้นว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  ต้องอาบัติในวันปวารณา.  ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่าน ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ผมแสดงคืนอาบัตินั้น
ภิกษุผู้รับพึงถามว่า ท่านเห็นหรือ?
ภิกษุผู้แสดงพึงตอบว่า ครับ ผมเห็น.
ภิกษุผู้รับพึงบอกว่า  ท่านพึงสำรวมต่อไป.
สงสัยในอาบัติ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
   ท่าน  ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้  จักหมดสงสัยเมื่อใด  จักทำคืนอาบัตินั้น เมื่อนั้น  ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่สงสัยนั้นเป็นปัจจัย
กำลังปวารณา ระลึกอาบัติได้
   ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งกำลังปวารณา  ระลึกอาบัติได้  จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัว ไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว  จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้  กำลังปวารณาระลึกอาบัติได้.
     เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
   อาวุโส ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้   ลุกจากที่นี้แล้ว จักทำคืนอาบัตินั้น ครั้นแล้วพึงปวารณาแต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะข้อที่ระลึกอาบัติได้นั้นเป็นปัจจัย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ กำลังปวารณา มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
   อาวุโส ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น ครั้นแล้ว พึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา   เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.
สงฆ์ต้องสภาคาบัติ  ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุจะแสดงสภาคาบัติไม่ได้ จะรับแสดงสภาคาบัติก็ไม่ได้
   ก็สงฆ์หมู่นี้ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ  พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ต้องสภาคาบัติ.
   พวกเธอพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทัน ในวันนั้น ด้วยสั่งว่า  อาวุโส คุณจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา   พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักคุณ.  ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้น  อย่างนี้นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-
ญัตติกรรมวาจา
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้ต้องสภาคาบัติ  เมื่อใดพบภิกษุรูปอื่นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ  เมื่อนั้นสงฆ์จักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักภิกษุรูปนั้น
   ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่ต้องสภาคาบัตินั้นเป็นปัจจัย.
 🤨สงสัยในสภาคาบัติ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา  สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ มีความสงสัยในสภาคาบัติ  ภิกษุผู้ฉลาด  ผู้สามารถ  พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-
ญัตติกรรมวาจา 
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ จักหมดความสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น. ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.
ปฐมภาณวาร  จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: