
[๑๙๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นมากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกันได้ทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.
พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์. ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถสวดปาติโมกข์.
เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน. ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป.
พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.
เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า. ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงฟังสวดที่ยังเหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวดไม่ต้องอาบัติ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม
มี ความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมา ถึงมีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.
พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.
พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน. ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีพวกภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม
มี ความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า. ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวดไม่ต้องอาบัติ.
๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นใน
ศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทยังไม่ทันลุกไป
ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.
พวกภิกษุผู้สวดไม่ต้องอาบัติ.
๘. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน
๙. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๑๐. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญ
ว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่ พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๑๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม
มี ความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอภิกษุเหล่านั้นสวดปาติโมกข์จบ บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๑๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม
มี ความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
๑๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่
ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.
ทำอุโบสถไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ จบ.
ทำอุโบสถเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน ๑๕ ข้อ
[๑๙๒] ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม
มี ความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.
พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน
๓. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลังพึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม
มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า.
ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.
พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๕. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๖. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีพวกภิกษุเจ้าถิ่นอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.
พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ
บริษัทยังไม่ทันลุกไป .... มีจำนวนมากกว่า ....
๘. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๙. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๐. บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว มีจำนวนมากกว่า
๑๑. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๑๒. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๓. .... บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๑๔. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลังพึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทำอุโบสถเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน ๑๕ ข้อ จบ.
มีความสงสัยทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ
[๑๙๓] ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา และมีความสงสัยว่า พวกเราควรทำอุโบสถหรือไม่ควรหนอ ดังนี้ แล้วยังขืนทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.
เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๓. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา และมีความสงสัยว่า พวกเราควรทำอุโบสถหรือไม่ควรหนอ ดังนี้ แล้วยังขืนทำ
อุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้นมีภิกษุ .... มีจำนวนมากกว่า ....
๕. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๖. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๗. บริษัทยังไม่ทันลุกไป มีจำนวนมากกว่า
๘. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๙. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๐. บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว มีจำนวนมากกว่า
๑๑. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๑๒. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๓. .... บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๑๔. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
มีความสงสัยทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ จบ.
ฝืนใจทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ
[๑๙๔] ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นมากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.แต่ฝืนใจทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ด้วยเข้าใจว่า พวกเราควรทำอุโบสถแท้ มิใช่ไม่ควร. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า.
ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.
พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๓. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้ว ก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุที่มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. แต่ฝืนใจทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ด้วยเข้าใจว่า พวกเราควรทำอุโบสถแท้ มิใช่ไม่ควร.
พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้นมีภิกษุ
มีจำนวนมากกว่า
๕. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๖. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๗. บริษัทยังไม่ทันลุกไป มีจำนวนมากกว่า
๘. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๙. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๐. บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว มีจำนวนมากกว่า
๑๑. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๑๒. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๓. .... บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
๑๔. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฝืนใจทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ จบ.
มุ่งความแตกร้าวทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ
[๑๙๕] ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มาและมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นเสื่อมสูญ
ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศจะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า
ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.
พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๓. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้ว ก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุที่มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มาและมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ
ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.
พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ
ขณะนั้น มีภิกษุ .... มีจำนวนมากกว่า ....
๕. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๖. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๗. บริษัทยังไม่ทันลุกไป มีจำนวนมากกว่า
๘. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๙. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๐. บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว มีจำนวนมากกว่า
๑๑. .... มีจำนวนเท่ากัน ....
๑๒. .... มีจำนวนน้อยกว่า ....
๑๓. บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.
พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๑๔. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้ว ก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
มุ่งความแตกร้าวทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ จบ.
การทำอุโบสถ ๒๕ ติกะ จบ
เปยยาลมุข ๗๐๐ ติกะ
[๑๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น
พวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา
พวกเธอไม่รู้ว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว พวกเธอไม่เห็นภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่กำลังเข้ามาภายในสีมา
พวกเธอไม่เห็นภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่เข้ามาภายในสีมาแล้ว พวกเธอไม่ได้ยินว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา พวกเธอไม่ได้ยินว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว
โดยนัย ๑๗๕ ติกะ ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุเจ้าถิ่น ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุเจ้าถิ่น ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุอาคันตุกะ ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุอาคันตุกะ รวมเป็น ๗๐๐ ติกะ โดยเปยยาลมุข.
อรรถกถาในวัคคสมัคคสัญญีโนปัณณรสกาทิกถา
วินิจฉัยในวัคคาสมัคคสัญญิโนปัณณรสกะ พึงทราบดังนี้ :-
ข้อว่า เต ชานนฺติ มีความว่า พวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นสถิตอยู่บนภูเขาหรือบนบก เห็นภิกษุเหล่าอื่นล่วงล้ำสีมาเข้ามาแล้ว หรือกำลังล่วงล้ำเข้ามา แต่พวกเธอผู้มีความสำคัญว่า พร้อมเพรียงเพราะไม่รู้ หรือเพราะสำคัญว่า จักเป็นผู้มากันแล้ว.
เวมติกปัณณรสกะ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
วินิจฉัยในกุกกุจจปกตปัณณรสกะ พึงทราบดังนี้ :-
บุคคลผู้ถูกความอยากครอบงำแล้ว ท่านกล่าวว่า ผู้อันความอยากตรึงไว้แล้ว ฉันใด ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แม้ทำความสันนิษฐานในชั้นต้นแล้ว ยังถูกความรังเกียจกล่าวคือ ความเป็นผู้มีความสำคัญในการไม่ควรว่าเป็นการควร ครอบงำ ในขณะกระทำพึงทราบว่า ผู้อันความรังเกียจตรึงไว้แล้ว ฉันนั้น.
ในเภทปุเรกขารปัณณรสกะ ท่านปรับถุลลัจจัย เพราะเหตุที่อกุศลจิตแรงกล้า.
ในอาวาสิเกนะ อาคันตุกเปยยาละ พึงทราบคำเป็นต้นว่า เต น ชานนฺติ อตฺถญฺเญ อาคนฺตุกา เหมือนคำที่ได้กล่าวแล้วในอาวาสเกนะ อาวาสิกเปยยาละ อันมีมาก่อนว่า เต น ชานนฺติ อตฺถญฺเญ อาวาสิกา เป็นอาทิ.
ส่วนในอาคันตุเกนะ อาวาสิกเปยยาละ พึงเติมคำว่า อาคนฺตุกา ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติ เหมือนคำที่มาในปุริมเปยยาละ ว่า อาวาสิกา ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติ แต่ในอาคันตุเกนะ อาคันตุกเปยยาละ พึงประกอบด้วยอำนาจภิกษุอาคันตุกะ ในบททั้ง ๒ ฉะนี้แล.
วินิจฉัยในข้อว่า อาวาสิกานํ ภิกฺขูนํ จาตุทฺทโส โหติ, อาคนฺตุกานํ ปณฺณรโส นี้ พึงทราบดังนี้ :-
อุโบสถของอาคันตุกะเหล่าใด เป็นวัน ๑๕ ค่ำ พึงทราบว่า อาคันตุกะเหล่านั้นมาแล้วจากนอกแว่นแคว้น หรือได้ทำอุโบสถที่ล่วงไปแล้วเป็นวัน ๑๔ ค่ำ.
ข้อว่า อาวาสิกานํ อนุวตฺติตพฺพํ มีความว่า เมื่อพวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นทำบุพกิจอยู่ว่า อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส อุโบสถวันนี้ ๑๔ ค่ำ พวกภิกษุอาคันตุกะพึงคล้อยตาม คือไม่พึงคัดค้าน.
ข้อว่า นากามา ทาตพฺพา มีความว่า สามัคคีอันพวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นไม่พึงให้แก่พวกภิกษุอาคันตุกะ ด้วยความไม่เต็มใจ.
บทว่า อาวาสิกาการํ ได้แก่ อาการ.
อธิบายว่า อาจาระของภิกษุผู้เจ้าถิ่น.
ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
สภาพเป็นเครื่องจับอาจารสัณฐาน ของภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรหรือไม่?
ชื่อว่า อาการ.
ธรรมชาติซึ่งส่อ๑- ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้น ผู้เร้นอยู่ในที่นั้นๆ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น