วิญญาณบาป: คิดถึงตอนผมเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ทำ แต่ความชั่วร้าย ยังจะพูดถึงสิ่งเหล่านั้นทำไมอีก
ชิวเซิง: คุณยังไม่เข้าใจ ที่พวกเรามาในวันนี้ ก็เพื่อการ ลิขิตหนังสือเพียงแต่คุณเล่าสิ่งที่ได้กระทำเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ บันทึกลงในหนังสือธรรมะ อันเป็นอุทาหรณ์เตือนสติเหนี่ยว รั้งจิตใจผู้คน ก็อาจจะลดความทุกข์ทรมานของคุณลงได้
วิญญาณบาป: ถ้าได้เช่นนั้น ผมก็ยินดีเล่า ผมเกิดสมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911 – 2187) เป็นลูกคนเดียวของตระกูล ปกติเอาแต่เที่ยวเตร่ขี้เกียจทำการงาน วัน ๆ คิดแต่เรื่องการ พนัน กินดื่ม หาความสุข ต่อมาได้ร่วมกับพวกนักเลงหัวไม้ตั้ง เป็นชุมโจรบนเขา กลุ่มของพวกเราอาศัยกำลังวังชาแข็งแรง ปฏิบัติการปล้นฆ่า วางเพลิง ประพฤติแต่ความชั่วช้า ถ้าพบผู้ ใดบังอาจขัดขวางพวกเรา ก็จะเข่นฆ่าไม่เลือกหน้า ถ้าพบ หญิงสาวสวย ก็จะจับตัวนำไปที่ชุมโจรบนเขา ให้หมู่พี่น้อง ของเราผลัดกันข่มขืน ถ้ารายไหนขัดขืนไม่ยินยอมโดยดี เราก็ จะจับบีบคอจนตายคามือ
ชิวเซิง: โอ....เป็นเรื่องน่าหวาดเสียวตื่นเต้นจริง ถาม จริง ๆ เถอะ โหดเหี้ยมอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?
วิญญาณบาป: เรื่องที่ผมเล่ามานี้เป็นความจริงทุกอย่าง
ชิวเซิง: แล้วตอนมีชีวิตเคยได้รับกรรมสนองบ้างไหม?
วิญญาณบาป: เคยครับ...เนื่องจากพวกเราป่าเถื่อน ผิดมนุษย์มนา แต่ละคนเหี้ยมโหดสุดจะเปรียบ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ณ ที่ชุมโจรบนเขา พวกเราได้ดื่มสุรากันจนเมามายขาดสติได้ เกิดการทะเลาะวิวาทเข่นฆ่ากันเอง ผมได้ตายด้วยคมมีดดาบ ในท่ามกลางชุลมุนวุ่นวายนั้นเอง คาดคิดไม่ถึงว่าเมื่อตาย แล้วต้องไปรับโทษหนักต่าง ๆ จากเมืองนรก ทารุณป่าเถื่อน จริง ๆ เมื่อถูกลงโทษทัณฑ์ต่าง ๆ จนครบกำหนดแล้ว ยังได้ นำตัวผมมาจองจำไว้ที่นรกอเวจีแห่งนี้
ชิวเซิง: แล้วทำไมตาทั้งคู่จึงโบ๋ลึกเช่นนี้?
วิญญาณบาป: เนื่องจากผมไม่กล้านอนหลับ
ชิวเซิง: เพราะเหตุใด
วิญญาณบาป: เพราะว่าพอผมหลับตา ก็จะปรากฏภาพหลอนของคนที่เคยถูกผมฆ่า หรือข่มขืนจนตายลอยมา อยู่เบื้องหน้า บางทีก็เป็นภาพใบหน้าอันขาวซีด บางทีเป็น ภาพมีเลือดเปรอะเต็มตัว บางทีก็เป็นภาพแลบลิ้นอันเล็กยาว หรือยื่นมือที่มีปลายเล็บอันแหลมคม มาทวงขอชีวิตคืนกับผม ทำให้ผมตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด
ชิวเซิง: โอช่างน่ากลัว
พระจี้กง: เอาละ..นี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้เอาเพียงเท่านี้ ก่อน รีบอำลาท่านหัวหน้าแดน
ชิวเซิง: ผมขอลาท่านหัวหน้าก่อน
หัวหน้า: ขอส่งท่านจี้กงและชิวเชิง
พระจี้กง: ชิวเซิงรีบขึ้นดอกบัว
ชิวเซิง: ผมขึ้นนั่งเรียบร้อย ไปได้แล้วครับ
พระจี้กง: ถึงสำนักเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง
ชีวิตคน ดุจแมลง เร่งบำเพ็ญ พึงละเว้น
มิจฉากาม อกุศล ย้อนหลังดู อดีต วีรชน
ล้วนพลีตน แม้ตัวตาย แต่ชื่องาม
พระจี้กง: ชีวิตคนเราดุจความฝัน เปรียบเสมือนการแสดงละคร ถ้าหากไม่รักถนอมจิตวิญญาณอันอมตะของตน มุ่งแต่แสวงหาความสุขสบายจากวัตถุธาตุนอกกาย จน ตนเองต้องตกสู่ห้วงเหวลึก เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ทว่าสัตว์โลกก็ยังเห็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่นั่นเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ ยังเจตนาประพฤติ ดังนั้นเมื่อทำผิดแล้วมาคิดเสียใจทีหลัง ก็ อาจสายเกินไปเสียแล้ว การตั้งสำนักทรงโปรดสัตว์โลกในทุก วันนี้ จุดมุ่งหมายเพื่อจะตักเตือน ชี้แนะและเหนี่ยวรั้งจิตใจ ผู้คนไม่ให้ก่อกรรมชั่ว จนทำให้เสียอนาคต ซึ่งเป็นการให้โทษ แก่ตนเองและผู้อื่น
ชิวเซิง: อาจารย์พูดถูกต้องที่สุด สมัยนี้วิทยาการต่าง ๆ เจริญก้าวหน้า แต่ศีลธรรมจรรยากลับเสื่อมลง ทุกคนคิดถึง แต่ผลประโยชน์และความอยู่รอดของตนเอง ไม่สนใจถึงผล ร้ายที่จะติดตามมา
พระจี้กง: ที่เธอพูดก็ถูก ถ้าทุกคนมุ่งแต่แสวงหา ประโยชน์ตน โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น ๆ สังคมคงจะ ปรากฏสภาพการณ์แห่งความเลวร้ายจนน่าหวาดผวาเป็นแน่ ชิวเซิง..เธอรู้ไหมว่าที่ทุกวันนี้ เกาะไต้หวันร่มเย็นสงบสุขเช่นนี้ เป็นเพราะสิ่งใด ?
ชิวเซิง: ผมไม่ทราบ เพราะอะไรหรือครับ?
พระจี้กง: ก็เพราะมีหนังสือธรรมะแพร่หลายไปทั่วอย่างต่อเนื่อง และได้มีการจัดตั้งสถานธรรมขึ้นอย่างดาษดื่น บุคคลเหล่านี้ได้อุทิศตน เพื่อช่วยฟื้นฟูวัฒนธรรมอันดีงาม อย่างเช่น นายไช่เจ้าสำนัก ก็เป็นบุคคลประเภทดังกล่าว ดู หน้าตาภายนอกของเขาแม้จะเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่า ตั้งแต่เขาได้ตั้งสัตย์ปณิธานแล้วในส่วนลึกของดวงจิต เขาได้ อุทิศตนเพื่อเพื่อนร่วมโลกมาแล้วไม่น้อย และทุกวันนี้เขาก็ยัง รับภาระในการทรงเจ้าถึง 2 สำนักอย่างทุ่มเทชีวิตจิตใจ แต่ ยังมีคนบางกลุ่มหัวเราะเยาะเขาว่า ไม่ประมาณตนหาว่าหลง งมงาย ปรามาสว่าเขาด้อยภูมิปัญญา ไม่มีทางรับภาระอัน หนักอึ้งนี้ได้ วิพากษ์วิจารณ์เขาต่าง ๆ ทว่า นายไช่ก็หาหวั่น ไหวหรือใส่ใจกับการถากถางเหล่านี้ไม่ จนที่สุดก็สามารถจัด ตั้งสำนักเซิ่งเทียนขึ้นมาได้สำเร็จ
ชิวเซิง: เรื่องนี้ผมก็พอรู้ อันที่จริงการประกอบกิจกรรม ทางธรรมะยากลำบากกว่าการเปิดร้านขายของมากนัก ทำการค้ายังมีเวลาว่างสำหรับพักผ่อน คน ส่วนผู้ทำกิจกรรม ธรรมะ เรื่องครอบครัวจะต้องปล่อยวางหมด ซึ่งเรื่องนี้ผมยัง ต้องฝึกฝนอีกมาก
พระจี้กง: แต่ก็ไม่เลวนัก การที่ผู้อื่นโจมตีนี้กลับเป็นการหล่อหลอมเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีสมาธิจิตยิ่งขึ้น อัน น้ำขมนั้นเมื่อกินบ่อยครั้ง รสขมย่อมจะชาชินไปเอง แบบเดียว กับการกินน้ำแกงมะระ หรือกินยาหม้อขม แม้ตอนเข้าปากจะ ขม แต่หลังจากนั้นกลับตรงข้าม คือยังมีกลิ่นเย็นหวานฉ่ำ เหลือค้างอยู่ในปาก
ชิวเซิง: ฮ่าฮ่า ....ความจริงก็ใช่ อาจารย์เปรียบเทียบได้ เยี่ยมมาก ผมคิดว่าพี่ไช่ก็คงเข้าใจหลักการข้อนี้ มิเช่นนั้นเขา คงไม่อาจอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นได้
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า...เรื่องนี้ยังพูดยาก บางครั้งอาตมาเห็น นายไช่เป็นคนไม่ชอบเปิดเผยความขมขื่นของตนเอง เพราะเขา กลัวจะมีผลกระทบถึงความเชื่อมั่นศรัทธาของพวกเธอ ผู้ ปฏิบัติธรรม ดังนั้นเขาจึงได้แต่อดทน โดยตนเองยอมเสพน้ำ ขมแต่เพียงผู้เดียว ส่วนน้ำอมฤตแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ร่วมเสพ
ชิวเซิง: แบบนี้ไม่เป็นการ อยุติธรรมหรือครับ?
พระจี้กง: ผู้แบกภาระใหญ่ก็ต้องเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้เธอมิต้องกังวล กังวลไปก็ไร้ประโยชน์
ชิวเซิง: ครับ
พระจี้กง: เวลาไม่คอยท่า เราออกเดินทางกันเถอะ
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไปได้
พระจี้กง: ถึงแล้ว....ชิวเซิงรีบลงจากดอกบัวเร็ว นั่น หัวหน้าแดน ได้รอคอยอยู่แล้ว
ชิวเซิง: กระผมขอคารวะท่านหัวหน้า
หัวหน้า: ตามสบาย เชิญเข้าไปนั่งข้างในก่อน
พระจี้กง: เวลามีจำกัดเราตรงไปที่หมายกันเลยดีกว่า
หัวหน้า: ก็ดีเหมือนกัน งั้นเราไปด้วยกันเลย
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ...ที่นี่บรรยากาศยมภูมิแรงเหลือเกิน ขาของผมชาไปหมดแล้วครับ
พระจี้กง: ไม่เอาไหนเลย รีบกินยาสงบจิตนี้เข้าไปซิ
ชิวเซิง: ขอบพระคุณอาจารย์ หลังจากกินยาสงบจิตแล้ว ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วครับ โอ....อาจารย์ครับ ดูคนข้าง หน้านั่นซิ มีหนอนยั้วเยี้ยเต็มตัวไปหมด เนื้อหนังก็แตก เป็นแผลเน่าเปื่อย มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาจากตัว พร้อมทั้ง ตับไตไส้พุงบางส่วนทะลักออกมานอกเนื้อ และมีแมลงวัน ขนาดยักษ์มากมายบินวนเวียนอยู่รอบตัว เห็นแล้วขนลุกน่า สะพรึงกลัว
พระจี้กง: ชิวเซิง...เธอไม่ต้องกลัวหนอนและแมลงวัน พวกนี้ ก่อตัวและแปรสภาพมาจาก “ธาตุยม” ซึ่งจะดูดกิน เลือดเนื้อของผู้ไร้ซึ่งจิตมนุษย์โดยเฉพาะ มันไม่ทำอันตราย เธอหรอก
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ...คนผู้นี้ได้สร้างบาปกรรมร้ายแรงอะไรหรือครับ? จึงได้มีสภาพเช่นนี้
พระจี้กง: เดี๋ยว...อาจารย์จะเสกน้ำมนต์ช่วยให้ สติสัมปชัญญะเขากลับคืนมา แล้วค่อยว่ากัน
ชิวเซิง: น้ำมนต์วิเศษจริง ๆ เพียงครู่เดียวหนอนและ แมลงวันก็หายไปหมด...นี่คุณ ผมคือชิวเชิงคนทรงแห่งสำนัก เซิ่งเทียน ได้รับเทวโองการให้ลิขิตหนังสือเรื่อง “ท่องอเวจี” ที่คุณต้องได้รับผลกรรมสนองด้วยความทุกข์ทรมานเช่นนี้ แท้จริงตอนเป็นมนุษย์คุณได้ทำความชั่วอะไรไว้หรือ?
วิญญาณบาป: ผมไม่ได้กินอาหารเป็นเวลานานแล้ว ท่านให้อาหารผมกินก่อนซิ แล้วผมจึงจะบอกท่าน
พระจี้กง: จงกินยาเม็ดนี้เข้าไป แล้วเธอก็จะหายหิว
วิญญาณบาป: วิเศษจริง ขอบคุณพวกท่านมาก แต่ว่า เมื่อผมเล่าเรื่องราวความอัปยศต่าง ๆ ครั้งเป็นมนุษย์ให้ฟัง แล้วพวกท่านช่วยปล่อยผมไปได้ไหม?
พระจี้กง: คงทำไม่ได้
วิญญาณบาป: งั้นผมไม่เล่าละ
หัวหน้า: บังอาจ เจ้ารู้มั้ยว่าท่านผู้นี้คือใคร?
วิญญาณบาป: เป็นใครก็เหมือนกัน
พระจี้กง: ตอนเป็นมนุษย์เจ้าฆ่าชาวจีนจำนวนไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าตายแล้วยังก้าวร้าวเช่นนี้อีก
ชิวเซิง: ร้ายกาจน่าดู
หัวหน้า: เจ้าหน้าที่จัดการโบย 100 ทีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ชิวเซิง: ผลของการปากแข็ง จึงต้องลงเอยเช่นนี้
เจ้าหน้าที่: ได้โบยครบ 100 ทีแล้วครับ
วิญญาณบาป: โอย...โอย....อยู่ที่นี่ทรมานเหลือเกินผม ทนไม่ไหวแล้ว
พระจี้กง: ยามเป็นมนุษย์เจ้าทำร้ายผู้อื่น แล้วผู้อื่นทนไหวมั้ย? จงรีบเล่ามาเพื่อให้พ้นจากการถูกโบยอีก
วิญญาณบาป: ครับ...ตอนเป็นมนุษย์ ผมเป็นเจ้าหน้าที่แพทย์ทหารชั้นสูงของญี่ปุ่น ตอนสมัยสงครามโลกครั้ง ที่ 2 เพราะคิดจะเผด็จศึกประเทศจีนโดยเร็ว ดังนั้นผมจึง เสนอให้ใช้อาวุธเชื้อโรค เพื่อบรรลุเป้าหมายในการยึดครอง ดินแดนประเทศจีน ดังนั้นพวกเรากลุ่มเจ้าหน้าที่แพทย์ผู้ เหี้ยมโหดจึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยเชื้อโรคต่าง ๆ อย่าง ลับ ๆ ในระหว่างการวิจัย พวกเราได้จับชาวจีนเป็นจำนวนมากมาเป็นเครื่องทดลอง โดยตอนแรกให้การเลี้ยงดูด้วย อาหารชั้นดี จนทุกคนอ้วนท้วนสมบูณ์ จากนั้นก็เอาเชื้อโรค ฉีดเข้าไปในตัว แล้วคอยดูสภาพการเริ่มเน่าเปื่อยของ ร่างกาย แล้วก็ทดลองวิจัยเคมีที่มีพิษรุนแรงกว่า เพื่อให้ ความเน่าเปื่อยของร่างกายเขาเหล่านั้น เพิ่มระดับเร็วยิ่งขึ้น ชาวจีนที่จับมารุ่นนี้พวกเราเรียกตามรหัสว่า “ไม้กลม” พวก ที่ร่วมวิจัยค้นคว้ากันในขณะนั้น อาจพูดได้ว่าแต่ละคนล้วน แต่ไร้จิตใจของความเป็นมนุษย์ ไม่ได้ถือว่า ชาวจีนที่จับมา เป็นคน และไม่ได้สนใจความเจ็บปวดทรมานของพวกเขาเลย ใจจดจ่อมุ่งแต่ให้งานวิจัยบรรลุผลสำเร็จ คาดคิดไม่ถึงว่า ความฝันจะพังทลายประเทศญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้สงคราม และ ยอมจำนน เนื่องจากพวกเราเกรงว่า ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ออกไปอาจถูกชาวโลกประณามว่ากระทำโหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม ดังนั้นจึงได้ระเบิดศูนย์วิจัยทั้งศูนย์ จนแหลกละเอียดไปพร้อมกับชาวจีนเหล่านั้นด้วย
ต่อมาผมได้กลับสู่ประเทศญี่ปุ่น ได้เกิดป่วยเป็นโรค ประหลาดชนิดหนึ่ง มีอาการเจ็บปวดรุนแรง และบวมทั่วทั้ง ตัว และเนื่องจากผมไม่อาจทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด นี้ได้ จึงคว้านท้องฮาราคีรี เดิมทีคิดว่าการทำเช่นนั้นสามารถ หนีพ้นจากความทุข์ทรมานโดยเร็ว คิดไม่ถึงว่าพอตายแล้ว ถูกยมทูตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเหี้ยมโหดยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ใช้โซ่ ตรวนล่ามมือล่ามเท้าของผมกุมตัวไปเมืองนรก ซึ่งได้ถูกท่าน ยมบาลด่าประณาม และตำหนิอย่างรุนแรง และยังต้องไปรับ โทษทัณฑ์จากนรกขุมต่าง ๆ จนเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ถึงได้ถูกส่งมาที่นรกอเวจีทุก ๆ วันต้องถูกดูดกินเลือดเนื้อจากพวก หนอนและแมลงวัน เจ็บปวดจนวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตายแล้วก็ฟื้น ๆ อยู่เช่นนี้ โอย...ทุกข์ทรมานเหลือเกิน
ชิวเซิง: แล้วแมลงวันพวกนี้ไล่ไม่ไปดอกหรือ?
วิญญาณบาป: ถ้าไล่ไปได้เราก็ไล่ไปนานแล้ว ก็เพราะ ไล่ไม่ไปนะซิ ผมจึงว่าอยากจะตายเสียยังดีกว่า แต่ก็ตายไม่ ได้สักที พระคุณเจ้าท่านนี้รีบ ๆ ช่วยผมทีเถอะ ผมทนไม่ไหว แล้วจริง ๆ
หัวหน้า: ทำกรรมใดไว้ก็ต้องรับกรรมนั้น ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าอยู่ที่นี่ก้มหน้ารับกรรมไปเถิด
วิญญาณบาป: ฮือฮือ....พวกท่านก็ช่างไร้น้ำใจเสียจริง
หัวหน้า: ถ้าเจ้าพูดอีกคำ ข้าจะสั่งให้เจ้าหน้าที่จัดการ โบยเจ้าอีก 100 ที
ชิวเซิง: สภาพเช่นนี้น่าเวทนาจริง ๆ
พระจี้กง: น้ำมนต์ที่ให้เขาเมื่อครู่นี้ จะสามารถลด ความเจ็บปวดทรมานไปได้อีกหลายวัน
ชิวเซิง: อิทธิฤทธิ์ของอาจารย์ช่างเกรียงไกรจริงไฉนไม่ให้ผมมั่ง
พระจี้กง: ถ้าเช่นนั้นเธอก็ไม่ต้องมาเป็นศิษย์อาจารย์กัน
ชิวเซิง: ทำไมครับ?
พระจี้กง: ผู้ที่จะมาเป็นศิษย์ของอาตมา ก็ต้องเสพทุกข์ก่อน แล้วจึงเสพสุขทีหลัง มิใช่มุ่งแต่แสวงหาความสุขชั่วครู่ ชั่วยาม
ชิวเซิง: อาจารย์พูดมีเหตุผลดี ศิษย์ละโมบเกินไปหน่อย ต่อไปคงต้องปรับปรุงตัวใหม่
พระจี้กง: เอาละ....วันนี้ดึกมากแล้ว เรากลับกันเถอะ รีบอำลาหัวหน้าแดน
ชิวเซิง: ผมขอลาท่านหัวหน้าครับ
หัวหน้า: ขอส่งท่านจี้กงและคุณชิวเชิง
พระจี้กง: นั่งดอกบัวให้มั่นคง เตรียมเดินทาง
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนักเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
การล่อลวง หญิงบ้านนอก เป็นสินค้า
ประหนึ่งฆ่า อนาคต ของหญิงสาว กรรมดีชั่ว
ย่อมส่งผล มิผิดเงา อยู่ที่เช้า หรือสาย บ่ พ้นเอย
พระจี้กง: จิตใจคนนั้นช่างน่ากลัว มีทุกรูปแบบ มี กระทั่งคนที่มุ่งหวังเพียงเพื่อบรรลุตัณหาของตน ถึงกับค้าขายมนุษย์ โดยล่อลวงเด็กสาวผู้รู้ไม่เท่าทันส่งเข้าซ่องโสเภณีเพื่อสนองกามตัณหาผู้อื่น โดยหวังได้ทรัพย์อันไม่ชอบธรรม
ชิวเซิง: คืนนี้อาจารย์ดูเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องการค้าขายขาอ่อน
พระจี้กง: ชิวเชิงทายถูกแล้ว การค้าขายมนุษย์เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นพ่อแม่ปวดร้าวหัวใจที่สุด คืนนี้เราจะไปชม ดูสภาพของคนที่เคยล่อลวงหญิงสาวไปขายซ่องพวกนี้ ชิวเซิงรีบขึ้นดอกบัว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไปได้
พระจี้กง: ถึงแล้ว ชิวเชิงรีบลง
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ ไฉนจึงพาผมมาที่นี่ เบื้องหน้า เห็นแต่หุบเขาโล่งกว้างสุดสายตาเท่านั้น ไร้ร่องรอยสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย รู้สึกเงียบวังเวงอย่างไรชอบกล เหมือนกับ ป่าช้าตอนเที่ยงคืนไม่มีผิด
พระจี้กง: ชิวเซิง...เธอคิดมากไปแล้ว ป่าช้าตอนเที่ยง คืนอะไรกัน หรือว่าเคยไปเดินเล่นแถวป่าช้าตอนเที่ยงคืน
ชิวเซิง: นั่นเป็นเรื่องสมัยผมยังเด็ก ครั้งหนึ่งเคยติดตามคุณพ่อเดินผ่านป่าช้าที่รกร้างแห่งหนึ่ง เพียงแค่ได้ยินเสียงกิ่งไม้ใบไม้ไหว ผมก็สะดุ้งตกใจกลัวแล้ว
พระจี้กง: แล้ววันนี้กลัวอีกมั้ย ?
ชิวเซิง: มีอาจารย์อยู่ข้าง ๆ ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก
พระจี้กง: เอาละ...นรกขุมนี้จัดตั้งขึ้นสำหรับนักโทษอีกแบบหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งเดี๋ยวก็รู้เอง
ชิวเซิง: อ๋อ (ขณะนี้ได้ยินเสียงร้องอันโหยหวนแว่วมาแต่ไกล)
พระจี้กง: ชิวเซิง....เธอดูนั่นซิ มีวิญญาณบาปตนหนึ่ง กำลังคืบคลานมาแล้ว
ชิวเซิง: วิญญาณคนนี้ผอมโซเหมือนผีเสียบไม้ นัยน์ตาถลนออกมานอกเบ้า ดูคล้ายคนบ้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ ขาดกระรุ่งกระรึ่ง น่าเวทนายิ่งกว่าขอทานในเมืองมนุษย์ซะอีก ผมพอดีมีเงินติดตัวอยู่ 200 หยวน ให้ทานเขาก็แล้วกันนะครับ
พระจี้กง: ชิวเซิง...การที่เธอมีเมตตาจิตนั้นก็ดีอยู่ ทว่า ให้เงินทองเขาก็ไร้ประโยชน์ เขาจะไปซื้อหาอะไรได้ที่ไหนกัน
ชิวเซิง: นั่นซิครับ ถ้าหากให้เป็นของกิน ดูจะเหมาะกว่า
พระจี้กง: ชิวเซิงไม่ต้องหรอก อาจารย์จะเสกน้ำมนต์ให้เขาสักหน่อย สติสัมปชัญญะก็จะกลับคืนมา
วิญญาณบาป: ขอบใจพระคุณเจ้า ผมหิวจนยืนไม่ไหวอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าพอได้กินน้ำมนต์ของท่าน สติก็ดีขึ้นทันที
ชิวเซิง: นี่คุณ...ผู้ที่ช่วยคุณก็คือท่านพระอาจารย์จี้กง คุณรีบคารวะขอบคุณท่านซิ
วิญญาณบาป: ขอบคุณท่านพระจี้กงที่ให้ความเมตตา ท่านโปรดพาผมออกไปจากที่นี่ได้ไหมครับ?
พระจี้กง: เธอยังชดใช้กรรมไม่หมด อาตมาจะพาเธอไปโดยพลการได้อย่างไร?
วิญญาณบาป: ขอแต่เพียงให้ท่านพาผมไปจากที่นี่ได้เท่านั้น จะให้ผมเป็นควายเป็นม้า ผมยอมทั้งนั้น
พระจี้กง: อาตมาไม่ได้ใช้ทั้งควายและม้า
ชิวเซิง: ประหลาดแท้วิญญาณบาปที่มาถึงอเวจี ต่างก็ไม่อยากเป็นคน แต่อยากเป็นควายเป็นม้ากัน
พระจี้กง: พวกเขาเหลือแต่คุณสมบัติของควายและม้า ดังนั้นจึงพูดเช่นนี้
ชิวเซิง: นั่นซิครับ
พระจี้กง: เอาละ...เธอสัมภาษณ์เขาได้แล้ว
ชิวเซิง: นี่คุณ.....ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ละ?
วิญญาณบาป: ผมถูกส่งมาอยู่ที่หุบเขานี้นานแล้ว สถานที่แห่งนี้แห้งแล้งกันดารมาก นอกจากผมแล้วไม่มีใครอื่นอีกเลย ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความเป็นอยู่เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ พวกท่านผู้มีเมตตาจิต โปรดรีบช่วยผมให้ได้ออกไปจากที่นี่เถิดครับ
ชิวเชิง: เรื่องนี้ผมทำไม่ได้ แต่ถ้าคุณเล่าความจริงถึงสิ่งที่ได้กระทำครั้งเป็นมนุษย์ให้เราฟัง เชื่อว่าพระอาจารย์จี้กงคง สามารถเรียนท่านยมบาลให้ลดโทษคุณเบาบางลงได้บ้าง
วิญญาณบาป: ขอแต่เพียงช่วยให้ผมได้หลุดพ้นออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ ไม่ว่าจะให้ทำอะไรผมยินดีทั้งนั้น
ชิวเซิง: งั้นเธอก็รีบเล่ามาซิ
วิญญาณบาป: ครับ...ตอนเป็นมนุษย์ ผมเป็นคนเกียจคร้าน เอาแต่กินและเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา โดยมักจะไปหาความสุขที่ซ่องนางโลมอยู่เสมอ ดังนั้นจึงได้รู้จักมักคุ้นกับพวกพ่อเล้าเจ้าของช่อง โดยเฉพาะพ่อเล้าพวกนี้มักจะใช้เงินก้อนโตมาเป็นเหยื่อล่อชักจูงให้ผมไปชนบทหรือถิ่นชาวเขา ล่อลวงเด็กสาวผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเป็นหญิงบริการในซ่อง เนื่องจากผมได้รับผลประโยชน์มาก จากการหลงเชื่อนี้จึงได้ตกลงรับงานนี้ ดังนั้นผมจึงได้ไปตามชนบทหรือถิ่นที่อยู่ของพวกชาวเขา ไปชักชวนเด็กสาวพวกที่ใฝ่ฝันอยากจะไปอยู่ในเมืองโดยการหลอกว่าจะหางานดี ๆ ให้ทำ เมื่อหลอก พามาถึงในเมืองแล้ว ก็นำไปขายตามแหล่งโลกีย์ด้วยสนนราคารายละเป็นเงินหมื่น เงินที่ได้รับมาล้วนแต่ถูกนำไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ทางสุรานารีและการพนันจนหมดสิ้น ความคิดของผมนั้น งานแบบนี้ได้เงินคล่องคราวละจำนวนมาก จึงไม่ยอมเลิกรา ยังคงใช้วิธีการเก่า ๆ ไปล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งหนึ่งเมื่อผมได้เงินก้อนใหญ่มา ก็ไป ภัตตาคารกินดื่มสุราอาหารจนเมามาย ปรากกฏว่าขณะที่กำลังเดินโซเซจะข้ามสี่แยกอยู่นั้น เนื่องจากเมาประสาทสัมผัสช้าเพียงเผลอสติไปชั่วขณะเดียวเท่านั้น ต่อเมื่อรู้สึกตัว ว่ามีรถยนต์แล่นมาถึงตัว บัดดล...ผมก็ล้มกลิ้งลงไปนอนจมกองเลือดเสียแล้ว และที่ตายของผมก็คือสถานที่ตรงนั้น นั่นเอง
เมื่อตายแล้วยมทูตขาวดำได้จับตัวผมไปที่เมืองนรก เพื่อรับการพิจารณาตัดสินจากยมบาล ขั้นแรกท่านยมบาล ตัดสินให้ผมไปรับโทษอันแสนทุกข์ทรมาน ในนรกอาจมนาน 30 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วก็ตัดสินอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปรับโทษอันทารุณแสนสาหัสที่นรกกระทะน้ำมันเดือดอีก 10 ปี เมื่อครบกำหนดโทษแล้ว จึงได้ถูกส่งต่อมายังนรกอเวจีนี่นับได้ 5-6 ปีแล้ว วัน ๆ ต้องพบกับสภาวะของความว่างเปล่า โดดเดี่ยวเดียวดาย ได้รับความกดดันทางจิตใจอย่างหนักจนสุดทน ผมขอวิงวอนท่านอีกครั้งได้โปรดช่วยพาผมไปพร้อมกับท่านด้วยเถิด
พระจี้กง: การค้ามนุษย์เป็นกรรมหนักมีโทษมหันต์นี่คือผลลงเอยของการ “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน” จง อยู่ที่นี่ก้มหน้ารับกรรมโดยดีเถิด
ชิวเซิง: กราบเรียนถามอาจารย์ ไหน ๆ เขาก็ได้เล่าถึงกรรมที่ได้ก่อครั้งเป็นมนุษย์ บันทึกในหนังสือศักดิ์สิทธิ์แล้ว มิทราบว่าจะสามารถลดโทษเขาได้บ้างหรือไม่?
พระจี้กง: เรื่องนี้อาจารย์จะแจ้งหัวหน้าแดนให้รายงานท่านยมบาลอีกที ส่วนจะลดได้มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ท่าน จะพิจารณา
ชิวเซิง: อย่างนี้ อย่างนี้ก็ยุติธรรมดี
พระจี้กง: เอาละ..ชิวเซิงรีบขึ้นบนดอกบัว เราเตรียม กลับกันได้แล้ว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง
อันยากดี มีจน ผลกรรมแต่ง ล้วนปลูกแตง
ได้แตง อย่าสงสัย หากยิ้มรับ สภาพตน
ดลสุขใจ อิจฉาไย ทุกสิ่งสรรพ์ อนิจจัง
พระจี้กง: สุภาษิตกล่าวว่า “ชีวิตคนเราการไม่สมหวังในสิบมีแปดเก้า” ดังนั้นทุกคนจึงควรสำรวจตนเอง ค้นหา สาเหตุความผิดพลาด แล้วเร่งปรับปรุงตนใหม่ มิใช่ว่าพอประสบกับเรื่องไม่สมหวังก็โทษผู้อื่น อะไรหน่อยก็โยนความ ผิดให้ผู้อื่น อย่างเช่น กิจการงานหรือชีวิตสมรสไม่ราบรื่นก็ โทษฝ่ายตรงข้ามหรือคู่สมรสว่าบกพร่อง โดยไม่สำรวจ ตนเองก่อน ว่าบกพร่องอะไรแล้วเร่งปรับปรุงตน มิใช่ปล่อย ให้เลยตามเลย จนหมดหนทางแก้ไข
ชิวเซิง: นั่นซิครับ ถ้าหากทุกคนยอมสำรวจตนเอง ควบคุมตนเอง เรื่องทุกอย่างย่อมทำได้ด้วยความราบรื่นแต่ บางคนไม่เป็นเช่นนั้นยังชอบไปโทษผู้อื่นอยู่เรื่อย
พระจี้กง: เพราะฉะนั้นสันดานมนุษย์จึงน่าเวทนาเช่นนี้ อันวิบากกรรมจากอดีตชาติ ย่อมส่งผลถึงชาติปัจจุบันนี่คือสัจธรรมอันเที่ยงแท้ ผู้ที่มีปัญญานั้น กลับยิ้มต้อนรับวิบาก กรรมนี้ ดังคำกล่าวที่ว่า “รู้จักเพียงพอย่อมสุขนิรันดร์” เปรียบดังผู้ที่ยากจนหรือพิกลพิการ พวกเขาแม้จะเกิดมา ต่ำต้อยหรือขาดแคลน แต่พวกเขาก็ยังสามารถจะพอใจใน สภาพของตนได้ ดังนั้นจึงมีภาษิตกล่าวไว้อีกว่า “แม้มิอาจ เทียบชั้นสูง แต่เทียบชั้นต่ำกว่ายังมีเกิน” เปรียบดังคนขี่ ลาเห็นคนขี่ม้าอยู่เบื้องหน้า ย่อมเทียบไม่ติด แต่เมื่อเหลียวดู เบื้องหลังยังมีชายลากรถผู้หนึ่งกำลังพยายามเข็นรถอย่าง เหงื่อไหลไคลย้อย แบบนี้ตนเองยังไม่ใช่ผู้โชคดีกว่าอีกหรือ? ฉะนั้นคนเราจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนัก ถ้ายึดถือเกินไปกลับ จะทำให้จิตใจเพิ่มธาตุพิษอันมิพึงประสงค์ได้
ชิวเซิง: นั่นซิครับ
พระจี้กง: ฉะนั้นคนเราจึงควรยึดการทำคุณประโยชน์ แก่สังคมเป็นหลัก การให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทน ย่อม ทำให้สุขใจ ถ้าหากทำน้อยแต่หวังผลมากนั่นแหละคือ “โลภ โกรธ หลง” เอาละ...ได้เวลาเดินทางแล้ว
ชิวเซิง: ครับ...ผมนั่งดอกบัวมั่นดีแล้ว ไปได้แล้วครับ
พระจี้กง: วันนี้จะพาเธอไปชมสภาพของบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง
ชิวเซิง: ร้ายกาจยังไงครับ ?
พระจี้กง: อีกสักครู่ก็จะรู้เอง
พระจี้กง: ถึงแล้ว..วันนี้ไม่ต้องไปรบกวนเจ้าหน้าที่ยม เราตรงเข้าไปในคุกเลย
ชิวเซิง: ก็ดีครับ...แบบนี้จึงจะได้ดูของจริงกว่า
พระจี้กง: เดินช้า ๆ อย่าทำให้ตื่นตกใจ
ชิวเซิง: ครับ...โอ อาจารย์ดูซิ ข้างหน้านั่นมีกลุ่มลูกไฟ สีเขียวกำลังเต้นขึ้นเต้นลง เดี๋ยวไปซ้ายเดี๋ยวไปขวา เหมือน กับไฟปีศาจรวดเร็วมาก โอ...นั่นลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นแล้ว
พระจี้กง: เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย เธอก็จะได้เห็นชัดเจน อันที่จริงนั่นไม่ใช่ลูกไฟ แต่เป็นวิญญาณบาปตนหนึ่งที่ร่างกาย ลุกเป็นไฟมันกำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต จึงกระโดดโลดเต้นด้วย ความกลัวสุดขีด
ชิวเซิง: อ้อ...ที่แท้อย่างนี้เอง เสียงร้องโหยหวนแสดง ถึงความเจ็บปวดทรมานมาก อาจารย์รีบไปช่วยเขาทีเถิด
พระจี้กง: เรารีบเข้าไป
ชิวเซิง: โอ...วิญญาณบาปตนนั้นเหลือแต่โครงกระดูก แล้ว น่ากลัวเหลือเกิน
พระจี้กง: ชิวเชิง...ไม่ต้องกลัว นี่คือผลลงเอยของคนบาป
ชิวเซิง: ทำไมไฟกลุ่มนั้นจึงมีพลังอำนาจเช่นนี้ ชั่วเดี๋ยว เดียวเท่านั้นก็เผาไหม้จนเหลือแต่โครงกระดูก ปรากฏเป็นเปลวไฟสีเขียวเล่าครับ ? แล้วไฉนจึงได้
พระจี้กง: เพราะว่าไฟนี้คือ ไฟโลกันตร์ ซึ่งเป็นไฟที่รวม ตัวกันขึ้นจาก “ธาตุยม” ดังนั้นจึงปรากฏเป็นสีเขียว แต่อย่า ดูแคลนว่าเป็นเพียงไฟโลกันตร์นะ เพราะว่าพลังอำนาจของ มันรุนแรงกว่าไฟธรรมดาถึงร้อยเท่าทีเดียว
ชิวเซิง: แล้ววันนี้จะทำการสัมภาษณ์ได้อย่างไรล่ะครับ
พระจี้กง: อาจารย์จะเสกน้ำมนต์ให้ เดี๋ยวเขาก็จะค่อย ๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
วิญญาณบาป: โอย...เจ็บตายแล้ว เจ็บตายแล้ว
ชิวเซิง: นี่คุณ.....สวัสดี...ขอให้คุณเล่าถึงกรรมที่ได้สร้าง ครั้งเป็นมนุษย์ได้มั้ยครับ?
วิญญาณบาป: ท่านเป็นใคร...ผมอยู่ที่นี่ก็ทุกข์ทรมาน พออยู่แล้ว ยังจะให้เล่าอะไรอีก
ชิวเซิง: นี่คุณ......ผมคือคนทรงแห่งสำนักเซิ่งเทียนเมือง ไถจุง ได้รับเทวโองการให้มาท่องนรกอเวจี ถ้าหากคุณยอม เล่าถึงเรื่องที่ได้กระทำครั้งเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือน สติชาวโลก เชื่อว่าพระอาจารย์จี้กง คงจะรายงานให้ท่าน ยมบาลทราบ ซึ่งอาจจะลดความทุกข์ทรมานของคุณให้ เบาบางลงได้บ้าง
วิญญาณบาป: ขอเพียงแต่สามารถลดความทุกข์ทรมาน ลงได้ ผมก็ยินดีจะเล่า
ชิวเซิง: งั้นคุณก็รีบเล่ามา
วิญญาณบาป: ผมเป็นคนที่เติบโตท่ามกลางความ ยากจนในสลัมแห่งหนึ่ง พ่อแม่ก็อายุมากและเจ็บป่วยบ่อย ๆ เมื่อสมัยเป็นเด็ก ไม่ว่าอาหารการกินหรือเครื่องนุ่งห่ม ล้วน แต่สู้ใครอื่นเขาไม่ได้ เหตุนี้จึงก่อให้เกิดความรู้สึกมีปมด้อย พอผมโตขึ้นก็ไปหางานทำที่ต่างถิ่น โดยได้ทำงานที่โรงงาน แห่งหนึ่ง การได้เห็นอาหารการกิน และเสื้อผ้าที่สวมใส่ของ คนงานด้วยกันซึ่งล้วนแต่ดีกว่า ทำให้คิดถึงสภาพของตนเอง อันเทียบกับคนอื่นไม่ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยใจว่าสังคม ช่าง อยุติธรรม ปล่อยให้ผมโดดเดี่ยว ผมจึงมักจะหาเรื่อง วิวาทอยู่เนือง ๆ ดังนั้นผู้คนจึงเริ่มปลีกตัวออกห่างไม่มายุ่ง กับผมอีกต่อไป ทำให้ผมยิ่งทวีความคั่งแค้นโทษฟ้าโทษดิน พอมีเรื่องไม่สบอารมณ์สักหน่อย ก็หาเรื่องทะเลาะวิวาทก่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น ผู้จัดการโรงงานเห็นผมร้ายกาจเช่นนั้นก็ พยายามตักเตือนด้วยความหวังดี แต่ผมหาใส่ใจหรือเชื่อฟัง ความหวังดีนั้นไม่ จนผู้จัดการโรงงานเห็นว่าหมดหนทางอื่น แล้ว จึงปลดผมออกจากงาน ผมไม่เพียงแต่ไม่สำรวจความ ประพฤติของตนเอง ยังกลับเพิ่มความร้ายกาจยิ่งขึ้นโดยแอบ วางแผนปฏิบัติการแก้แค้น คืนวันหนึ่งผมได้ลอบเข้าไปใน โกดังโรงงาน เอาน้ำมันเบนซินถังหนึ่งราดไปที่ซึ่งติดไฟง่ายแล้วจุดไม้ขีดไฟ ฉับพลันโรงงานทั้งหลังก็ตกอยู่ท่ามกลาง ทะเลเพลิง คนงานสิบกว่าคนที่นอนหลับอยู่ในนั้นต่างก็หนี ออกไม่ทัน คนทั้งหมดถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในกองไฟนั่นเอง
ชิวเซิง: โอ...โหดเหี้ยมจริง ๆ แล้วต่อจากนั้นละ?
วิญญาณบาป: หลังจากนั้นผมก็เที่ยวหลบ ๆ ซ่อน ๆ แม้ว่าจะถูกทางตำรวจออกหมายจับ และประกาศจับ แต่ผม ได้เปลี่ยนชื่อแซ่แล้วไปทำงานที่เหมืองหินทรายแห่งหนึ่ง จน เมื่อถึงวัยกลางคน ผมเกิดมีอาการปวดที่หัวใจอย่างรุนแรง และรู้สึกคล้ายกับว่ามีสิ่งลึกลับแฝงเร้นในตัว ได้พยายามเสาะ หาหมอยาและหมอผีรักษา แต่ไร้ผล ในที่สุดจึงได้เสียชีวิต
ชิวเซิง: แล้วเหตุการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ?
วิญญาณบาป: หลังจากตายแล้ว ก็ถูกยมทูตขาวดำจับไปที่เมืองนรก ได้ถูกท่านยมบาลด่าประฌามเสียพักใหญ่แล้ว จึงถูกส่งไปรับโทษทัณฑ์จากนรกขุมต่าง ๆ ตามลำดับ ครั้ง สุดท้ายได้ถูกตัดสินให้มาทนทุกข์ทรมานที่นรกอเวจีนี่ ทุก ๆวัน ทุก ต้องถูกไฟโลกันตร์เผาอย่างเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ครั้งเมื่อถูกเผาจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้วพวกนิรยบาลก็จะ เอาน้ำคืนวิญญาณสาดให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก แล้วก็ต้องถูกไฟ โลกันตร์เผาผลาญอีก เป็นอยู่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ มันเจ็บปวดทุกข์ ทรมานเหลือเกินแล้ว
ชิวเซิง: ก็ใครใช้ให้คุณอยากใจคอคับแคบ ทั้งวางเพลิงอีกด้วย จึงต้องรับกรรมเช่นนี้
พระจี้กง: เอาละ....ดึกมากแล้ว วิญญาณบาปตนนี้มี และวันนี้ได้เล่าเรื่องตามความเป็นจริง บันทึกลงในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ เราจะแจ้งไปยังท่านยมบาลให้ ความรู้สึกสำนึก ลดโทษลงบ้าง
วิญญาณบาป: ขอบคุณพระอาจารย์ที่เมตตากรุณาเถิด
พระจี้กง: ชิวเชิงนั่งดอกบัวให้มั่นคง เตรียมตัวกลับกัน
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
การรักใคร่ สมสู่ ในหมู่ญาติ
ศีลก็ขาด จรรยา ธรรมสลาย
ส่งผลร้าย เกียรติตระกูล ถูกทำลาย
ยามชีพวาย ลงนรก ตกอเว
พระจี้กง: ฟ้าดินให้มนุษย์มากำเนิด การหมุนรอบแห่งพิภพจักรวาลมีวิถีโคจรอันแน่นอน มนุษย์คือหนึ่งในสามสิ่ง ประเสริฐ ตามหลักมนุษย์พึงปฏิบัติไปตามหลักการแห่ง ธรรมชาติ ดังนั้นท่านศาสดาขงจื้อจึงได้บัญญัติคุณธรรม 10 และสายสัมพันธ์หลัก 3 เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้มวลมนุษย์ยึด เป็นแนวปฏิบัติ ถ้าหากผู้คนไม่ปฏิบัติตามหลักใหญ่นี้กำหนด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ย่อมต้องสับสนวุ่นวาย นี่คือสัจธรรมการ สมสู่ในระหว่างหมู่ญาติก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ ระบบสายโลหิตสับสนยุ่งเหยิง อันจะทำให้บุตรหลานรุ่นต่อไปไม่กระจ่างว่าตนเป็นเครือญาติระดับใด นี่เป็นเรื่องน่าเศร้า สลดแค่ไหน? เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงมีปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อย เป็นคนดีไม่ชอบ แต่ชอบผลักตนเองเข้าสู่ประตูนรก
ไช่เซิง: ฮ่าฮ่า อาจารย์พูดตลกได้เก่งจริง มีคนผลักตัวเองเข้านรกด้วยหรือครับ?
พระจี้กง: เรื่องนี้เธอยังไม่เข้าใจ ภาษิตว่า “สวรรค์มีทางท่านไม่เดิน นรกไร้ประตูต่างรี่เข้าเอง” ดังนั้นผู้ที่ตก นรกต่างรี่ลงไปเองทั้งนั้น
ไช่เซิง: มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือครับ?
พระจี้กง: ทำไมจะไม่มี เธอไม่เห็นหรือบางคนเป็นคนดี ไม่ชอบ แต่กลับคิดอยากเป็นคนชั่ว เสมือนว่าถ้าไม่ได้เป็นคน ชั่วแล้วจะอึดอัดใจ
ไช่เซิง: นั่นซิครับ ดังนั้นคนชนิดนี้ต้องไปดื่มกาแฟในอเวจี จึงจะรู้สึก
พระจี้กง: เธอคิดว่ากาแฟในอเวจีอร่อยนักหรือ?
ไช่เซิง: โอ....ผมมิได้หมายถึงเช่นนั้น ผมเพียงแต่คิดว่า กาแฟชนิดนี้ควรให้คนชั่วที่กล้าหาญ ไปลองชิมรสชาติดูจะเหมาะกว่าเท่านั้น ส่วนผมยังไม่กล้าหาญพอ
พระจี้กง: เอาละ....เมื่อเธอกล้าหาญไม่พอ อาจารย์ก็จะพาเธอไปทัศนา โดยไม่ต้องลองชิม “กาแฟตราอเวจี”
ไช่เซิง: ฮ่าฮ่า “กาแฟตราอเวจี” ผลิตโดยอาจารย์
พระจี้กง: ให้เธอเป็นเอเย่นต์ดีมั้ย ?
ไช่เซิง: ผมเองยังไม่กล้าดื่ม จะขายให้ผู้ใดเล่าครับ?
พระจี้กง: นั่นซิ...กาแฟตราอเวจีไม่มีใครเอา ทว่า “ท่องอเวจี” ก็เป็นอีกอย่าง
ไช่เซิง: เพราะอะไรครับ?
น่าสยดสยองสุดจะบรรยาย พระจี้กง: เพราะนรกอเวจีเต็มไปด้วยความเร้นลับและ ถ้าหากชาวโลกไม่อยากดื่ม “กาแฟตราอเวจี” ก็ต้องอ่าน “ท่องอเวจี” และเพียงแต่ ปฏิบัติตนเป็นคนดีละความชั่ว หมั่นสร้างบุญกุศล ซึ่งไม่เพียง แต่ไม่ต้องดื่ม “กาแฟตราอเวจี” เท่านั้น ยังจะได้ขึ้นสวรรค์ เสวยสุขกับรสของน้ำอมฤต อันวิเศษสุดอีกด้วย
ไช่เซิง: อาจารย์พูดเช่นนี้ ทำให้คนน้ำลายย้อย
พระจี้กง: ไช่เชิง...เธอไม่ต้องน้ำลายย้อย สวรรค์เบื้องบนได้เตรียมหนึ่งถังใหญ่ ชนิดดื่มไม่มีวันหมดไว้สำหรับเธอแล้ว
ไช่เซิง: งั้นผมจะแบ่งปันความสุขให้แก่เพื่อนมนุษย์ได้ร่วมดื่มด้วยกัน
พระจี้กง: น้ำใจงามเช่นนี้หายาก น่าสรรเสริญแท้ เมื่อหนังสือ “ท่องสุขาวดี” ที่เราทั้งสองกำลังลิขิต อยู่สำเร็จแล้ว คงจะมีคนเป็นอันมากได้ไปลิ้มรสน้ำทิพย์ ยังแดนสุขาวดี
ไช่เซิง: หวังว่าทุกคนคงสามารถสวดภาวนาพระนามของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ (คำภาวนาคือ นะโม ออนี้ทอฮุก) เพื่อไปจุติยังสุขาวดี หวังใจว่าโลกมนุษย์ก็คือแดนสวรรค์
พระจี้กง: ความหวังก็คือความหวัง ความจริงก็คือความจริงวันนี้อาจารย์จะพาเธอไปท่องอเวจีสักครั้ง
ไช่เซิง: อ้าว! วันนี้ไม่ใช่เป็นวันลิขิตเรื่อง “ท่องสุขาวดี” หรอกหรือ ทำไมจึงเปลี่ยนเป็น “ท่องอเวจี” อย่างกะทันหัน ล่ะครับ?
พระจี้กง: เดิมทีท่านประธานสำนักตั้งใจจะแบ่งเรื่อง “ท่องอเวจี” เป็นสองเล่ม แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้ปรึกษาหารือตกลงให้พิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวจบ ซึ่งดูจะเหมาะสมกว่าหน่อย
ไช่เซิง: ถ้าจะพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียว ก็คงต้องเร่งเครื่อง
พระจี้กง: แน่นอน..เพราะฉะนั้น วันนี้จึงได้ใช้ช่วงเวลาว่างของการลิขิต “ท่องสุขาวดี” มาลิขิตเรื่อง “ท่องอเวจี” แทน
ไช่เซิง: อ๋อ...ที่แท้อย่างนี้นี่เอง
พระจี้กง: เธอรู้สึกกลัวหรือเปล่า?
ไช่เซิง: มีอาจารย์อยู่ด้วยกลัวอะไร
พระจี้กง: แล้วถ้าไม่มีอาจารย์อยู่ด้วยล่ะ?
ไช่เซิง: คงน่าตื่นเต้นไม่น้อย เถอะ
พระจี้กง: เอาละ...คุยกันนานแล้ว เราออกเดินทางกัน
ไช่เซิง: ผมนั่งยานดอกบัวมั่นดีแล้ว อาจารย์ไปได้เลย
พระจี้กง: วันนี้เราทั้งสองจะลงไปนรกอเวจี เพื่อชมดูสภาพของผู้สมสู่ในระหว่างเครือญาติ
ไช่เซิง: คิดไม่ถึงว่าการสมสู่ในระหว่างเครือญาติ ก็ต้องตกนรกอเวจีด้วย แบบนี้ไม่รุนแรงไปหรือครับ?
พระจี้กง: เธอยังไม่เข้าใจ เพราะการสมสู่ในระหว่างหมู่ญาตินั้น ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบถึงคนในรุ่นต่อไปเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอีกด้วย
ไช่เซิง: เป็นความจริงที่สุด การสมสู่ระหว่างหมู่ญาติ เป็นผลเสียต่อสายโลหิตที่จะเกิดมา ทำให้บุตรธิดารุ่นต่อไป เกิดความอัปยศอดสู เป็นเรื่องน่าเศร้าสลดจริง ๆ
พระจี้กง: ถึงแล้ว...
ไช่เซิง: ที่นี่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือ รู้สึกวังเวงหดหู่ อย่างไรชอบกล แล้วยังมีกลิ่นศพเน่าลอยมาตามอากาศ เหม็นเหลือร้าย โอย.....อาจารย์ครับ...สภาวะเช่นนี้ผมทนไม่ ไหวแล้ว
พระจี้กง: อดทนอีกสักหน่อย การจะเสวยทัศนียภาพอันวิเศษพิสดารของแดนสุขาวดี ก็ควรจะลองชิมรสของนรก อเวจีดูบ้าง
ไช่เซิง: ครับ...ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากเบื้องหน้าดูเหมือนไม่ค่อยปกติ
พระจี้กง: ไม่ปกติยังไง?
ไช่เซิง: เพราะที่นี่เป็นนรกอเวจี ไม่ใช่สถานบันเทิงไฉนจึงมีเสียงหัวเราะ นี่มิใช่แสดงว่าผิดปกติหรือครับ?
พระจี้กง: เธอพูดถูกแล้ว เสียงหัวเราะเมื่อครู่นี้มาจากปากของคนผิดปกติ
ไช่เซิง: โอ.....เสียงแบบนี้ ผมยิ่งฟังยิ่งกลัว เหมือนกับเสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งของพวกสัตว์ประหลาดในหนัง ไม่มีผิด
พระจี้กง: อาตมาจะเอาแก้ววิเศษออกมาส่องให้เห็นแจ่มแจ้ง จะได้ไม่ต้องเดาสุ่ม
ไช่เซิง: โอ.....อาจารย์ครับ ทำไมพวกนั้นแต่ละคน หน้าตาดูไม่ได้เลย บางคนเต็มไปด้วยแผลเน่าเปื่อย มีน้ำเลือด น้ำหนองไหลเยิ้ม แล้วยังใช้ลิ้นไปเลียอีกด้วย คนด้านซ้ายนั่น ยังฉีกเนื้อหนังจากแขนตัวเองออกมาเลือดสด ๆ ไหลนองไปหมด บ้างก็ผมเผ้ายุ่งเหยิงลูกตาถลนออกมานอกเบ้า บ้างก็หัวเราะตลอดเวลา บ้างทำท่ายกมือไม้แข้งขาแสดงกิริยาบ่งบอกถึงอาการเสียจริต ดูน่ากลัวจังครับ
พระจี้กง: ไช่เชิงเธอไม่ต้องกลัว หัวหน้าแดนและพัศดีของที่นี่กำลังเดินมานี่แล้ว รีบไปคารวะ
ไช่เซิง: กระผมขอคารวะท่านหัวหน้าแดนและท่านพัศดี
หัวหน้า: เมื่อครู่นี้เนื่องจากติดธุระ จึงมาช้าไปหน่อย ขออภัยท่านจี้กงด้วย
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร ความจริงวันนี้เราบุกรุกนรก โดยที่ไม่ได้บอกกล่าวก่อน ต้องเป็นฝ่ายขออภัยถึงจะถูก
หัวหน้า: บุกรุกอะไรกัน ท่านจี้กงได้รับพระราชโองการให้ลิขิตหนังสือ ซึ่งเป็นงานยิ่งใหญ่จะว่าบุกรุกได้อย่างไร
ไช่เซิง: ขอเรียนถามท่านหัวหน้า วิญญาณบาปพวกนี้ ทำไมดูคล้ายเสียจริตเช่นนี้ละครับ?
หัวหน้า: อ๋อ...วิญญาณบาปเหล่านี้ ตอนเป็นมนุษย์ล้วนแต่เป็นผู้สมสู่ในหมู่เครือญาติ ดังนั้นจึงได้รับผลในสภาพ เช่นนี้ เช่นตอนมีชีวิตกระทำชำเราบุตรสาวหรือบุตรสะใภ้ของตนเอง อันทำให้ความเกี่ยวดองของสายโลหิตสับสนซึ่งเป็นเพราะจิตเดิมอันดีงามสูญสลาย ทำให้เด็กน้อยที่จะเกิดมาในภายหน้าเกิดปมด้อยสร้างปัญหาให้แก่สังคม เป็นผลจากการสมสู่ในกลุ่มเครือญาติด้วยกัน
ไช่เซิง: อ๋อ...อย่างนี้เอง แล้วไฉนพวกเขาจึงได้เสียสติ เป็นบ้าล่ะ ?
หัวหน้า: เมื่อพวกเขาได้รู้สึกตัวว่า ได้ก่อบาปกรรมใหญ่หลวง ก็เสียอกเสียใจ ครั้นมาถึงนรก ยังต้องถูกลงโทษทัณฑ์จากนรกขุมต่าง ๆ จึงทำให้กายและใจแตกสลาย เหตุนี้ จึงเสียสติเป็นบ้าไปเลย
ไช่เซิง: ที่แท้อย่างนี้นี่เองช่างน่ากลัว ถ้าผมไม่ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง คงไม่ยอมเชื่อแน่ว่ายังมีโลกอันมืดมิดเช่นนี้อยู่ อีก
พระจี้กง: เอาละ...วันนี้เอาเพียงเท่านี้ก่อน ไช่เชิงรีบอำลาท่านหัวหน้าแดนได้แล้ว
ไช่เซิง: ผมขอลาท่านหัวหน้าก่อนครับ
หัวหน้า: ขอส่งท่านจี้กงและคุณไช่เชิง
พระจี้กง: ไช่เชิงนั่งดอกบัวให้มั่น เตรียมกลับได้
ไช่เซิง: ผมนั่งมั่นดีแล้ว อาจารย์ไปได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ไช่เชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
จงหนีห่าง ให้ไกล ยาเสพติด
อย่าเห็นผิด เป็นชอบ ตื่นเถิดหนา
อย่ามุ่งแต่ ประโยชน์ โลกเงินตรา
ได้ทรัพย์มา ตกอบาย ไม่คุ้มเลย
พระจี้กง: ชาวโลกน่าเวทนาอะไรเช่นนี้ อยู่ดี ๆ มิชอบกลับชอบตีรันฟันแทงหรือไม่ก็ฉีดสารเสพติดให้พิษยาออกฤทธิ์ เพื่อให้เกิดความสุขเคลิบเคลิ้มชั่วครู่ยาม การประพฤติเช่นนี้เสมือนเป็นการเอาชีวิตตนเองเป็นเครื่องเล่น ทว่าในโลกนี้ก็ยังมีคนเช่นว่านี้ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ เป็นเรื่องน่า สังเวชใจยิ่งนัก
ชิวเซิง: นั่นซิครับ คนที่ไม่รู้จักรักตน ทำตนให้ผุดผ่อง สุดท้ายย่อมต้องพบกับรสของความเจ็บปวดทรมาน
พระจี้กง: ชิวเชิงพูดถูกแล้ว วันนี้เราทั้งสองก็จะไปสัมภาษณ์คนที่ได้ลิ้มรสของความเจ็บปวดทุกข์ทรมานดังกล่าว
ชิวเซิง: จะไปอเวจีอีกหรือครับ
พระจี้กง: ใช่แล้ว.....เราออกเดินทางกันเถอะ
ชิวเซิง: ผมนั่งยานดอกบัวพร้อมแล้ว อาจารย์ไปได้เลย
พระจี้กง: ถึงแล้ว...ชิวเชิงลงได้ เราใช้เดินกันเถอะ
ชิวเซิง: ครับ
พระจี้กง: ทางช่วงนี้ขรุขระ เดินระวังหน่อย
ชิวเซิง: ทำไมวันนี้ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่ยมเลย
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า รบกวนมาหลายครั้งก็เกรงใจเพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาอย่างเงียบ ๆ สักครั้ง
ชิวเซิง: ดีเหมือนกัน มาอย่างเงียบ ๆ จึงจะได้เห็นภาพอันแท้จริง ถ้าหากแจ้งก่อนล่วงหน้า ก็อาจได้เห็นแต่รูป ลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
พระจี้กง: เธอก็ฉลาดดีนี่ เปรียบเหมือนกับเวลาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะไปตรวจราชการ ถ้าหากต้องการจะรู้ สภาพความเป็นอยู่แท้จริงของราษฎร ก็ต้องไปถึงจุดหมาย เงียบ ๆ โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรู้ ก็จะเห็นและเข้าใจสภาพอันแท้จริงได้ ถ้าหากว่าก่อนจะไปแจ้งให้รู้ล่วงหน้าว่าวันนั้นเดือนนั้นจะไปตรวจราชการ ณ ท้องที่นั้น ก็ย่อมจะมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น บางแห่งพยายามกระทำในสิ่งที่เรียกว่า “ผักชีโรยหน้า” ซึ่งน่าดูแต่เปลือกนอก แท้จริงพอวันที่สองก็กลับสู่รูปเดิมอีก
คะเมน ชิวเซิง: โอ๊ย....บนพื้นมีอะไรนี่ ...ทำให้ผมสะดุดจนหก
พระจี้กง: เป็นไรหรือเปล่า?
ชิวเซิง: ไม่เป็นไรครับ แต่มันมืดจัง
พระจี้กง: เดี๋ยว...ให้อาจารย์เอาแก้ววิเศษออกมาก่อน (ตอนนี้ พระจี้กงเอาแก้ววิเศษออกจากกล่องส่องสว่างไสวไปทั่ว)
ชิวเซิง: โออาจารย์...นั่นเป็นคนนี่ ...ดูซิ...เขากำลังนอนชักอยู่บนพื้นตัวสั้นเพิ่มไปหมด น้ำลายไหลย้อย ปากยังร้องครวญคราง คล้ายกับคนเป็นโรคลมบ้าหมู อาจารย์ครับ รีบช่วยเขาทีเถอะ อีกทีซิ
พระจี้กง: ชิวเชิง...เขาเป็นโรคลมบ้าหมูแน่หรือ? ดูให้ดี
ชิวเซิง: ลักษณะเขาผอมซีด ตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรง ดูคล้ายกับโดนพิษยาเสพติดเล่นงานอย่างหนัก
พระจี้กง: ใช่....เธอทายถูกแล้ว
ชิวเชิง: โอ...อาจารย์....ดูซิเขายื่นมือมาที่เราแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไร
วิญญาณบาป: โปรดช่วยผม....ผม...ทนไม่ไหว...
ชิวเซิง: นี่คุณ.....เป็นไงบ้าง
วิญญาณบาป: ผม...ทนไม่ไหว...โปรดช่วย...ผมครับ
ชิวเซิง: อาจารย์มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร ช่วยเขาที่เถอะ
พระจี้กง: ชิวเซิงเธอทราบมั้ยว่า ทำไมเขาจึงเป็นเช่นนี้ครับ?
ชิวเซิง: ผมไม่ทราบครับอาจารย์ช่วยอธิบายได้ไหม
พระจี้กง: เมื่อเธอไม่ทราบ อาจารย์ก็จะบอกให้เธอรู้ นั่นเป็นพิษของยาเสพติดได้ออกฤทธิ์ขึ้นมาอีกแล้ว
ชิวเซิง: อ๋อ...อย่างนี้เอง เรื่องนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ อาจารย์หมายความว่าวิญญาณตนนี้ตอนเป็นมนุษย์ได้เสพยาเสพติด เมื่อตายแล้วตกนรกอเวจี พิษของยาเสพติดยังออกฤทธิ์ได้อีกใช่ไหมครับ?
พระจี้กง: ชิวเซิง...เธอยังไม่เข้าใจ เขาไม่เพียงแต่เสพยาเสพติดอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเอายาเสพติดขายให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย นี่ก็คือผลกรรมแห่งการให้ทุกข์ผู้อื่น
ชิวเซิง: อยากขอให้อาจารย์กรุณาใช้อิทธิฤทธิ์ ช่วยทำให้เขาสามารถพูดจาได้มั้ยครับ?
พระจี้กง: ได้ซิ
ชิวเซิง: อิทธิฤทธิ์ของอาจารย์ช่างเกรียงไกรจริงเขาพูดได้แล้วครับ
วิญญาณบาป: โอ...ค่อยยังชั่วหน่อยขอบคุณอาจารย์ท่านนี้ คิดไม่ถึงว่าเพียงแต่ท่านใช้พัดอันนี้โบก 2-3 ทีเท่านั้น ยังดีกว่าฉีดยา “สบายไว”เสียอีก
พระจี้กง: ยา “สบายไว” อะไรกัน นั่นเป็นยา “ตายไว” ต่างหาก เมื่อแปลผิด ๆ ก็ตีความหมายผิดไปด้วย ผลจึงต้องลงเอยด้วยสภาพเช่นนี้
ชิวเซิง: อาจารย์พูดคล้ายกับมีความหมายอะไรสักอย่าง
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า พวกมารปีศาจตั้งชื่อยาเสพติดว่ายา “สบายไว” แต่ในสายตาของเทพพรหมยาเสพติดคือห้วงเหว ที่ทำให้คนตายเร็วขึ้น
ชิวเซิง: อ๋อ...อย่างนี้เอง นี่คุณ...รีบเล่าถึงการก่อกรรมชั่วต่าง ๆ ครั้งเป็นมนุษย์มาโดยละเอียดให้เราบันทึกลงในหนังสือ เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่เพื่อนมนุษย์
วิญญาณบาป: โอ...เรื่องชั่วร้ายครั้งเป็นมนุษย์ ยังจะพูดถึงมันอีกทำไม
ชิวเซิง: เธอเพียงแต่เล่าลงในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นการเตือนสติผู้คน ก็จะสามารถไถ่โทษของเธอได้บ้าง
วิญญาณบาป: เรอ....ถ้าได้เช่นนั้นจริง ผมก็จะเล่าความชั่วต่าง ๆ ครั้งเป็นมนุษย์อย่างคร่าว ๆ เมื่อตอนผมยัง หนุ่มแน่นได้เป็นคนคุมบ่อนการพนันแห่งหนึ่ง ต่อมาผมเห็นว่าเป็นคนคุมบ่อนต้องคลุกคลีกับพวกนักเลงอันธพาล ต้อง ใจเหี้ยมและมักเกิดต่อสู้วิวาทกันเสมอ การอยู่ท่ามกลางมีด ดาบ ควันปืนนั้นเสี่ยงอันตรายมาก ดังนั้นผมจึงได้เปลี่ยนหางานที่สบายและรายได้ดีกว่า ในที่สุดผมก็พุ่งความคิดไปที่พวกวัยรุ่นที่มีความกดดันจากสภาพแวดล้อม ขั้นแรกผมทำที ตีสนิทคลุกคลีกับพวกเขา โดยพูดชักชวนด้วยกลอุบายสารพัดแล้วเอายาเสพติดที่เตรียมไว้ ให้พวกเขาเสพฟรี ๆ เพื่อให้ติดยา เมื่อพิษของสารเสพติดออกฤทธิ์ พวกเขาก็จะเกิดความอยากกระหายจนทนไม่ได้ จากนั้นผมก็จะขายให้พวกเขาด้วยราคาส่งลิ่ว พวกวัยรุ่นเหล่านั้น เมื่อยิ่งติดก็ยิ่งมีความกระหายเพิ่มขึ้น ผมก็ยิ่งมีกำไรมากขึ้น เป็นวงจรอยู่เช่นนี้จนเมื่อพวกเขาไม่มีเงินให้ผมรีดอีกต่อไป ผมจึงตีจาก แล้วไปหากลุ่มอื่นต่อไป
ชิวเซิง: โอ....ร้ายกาจจริง
วิญญาณบาป: ตอนนี้ผมรู้สึกสำนึกแล้ว ท่านอาจารย์ โปรดเมตตาสงสารช่วยผมด้วยเถิดครับ
พระจี้กง: ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกสำนึก มันช้าเกินไปแล้วแต่เอาเถอะไหน ๆ เธอก็ได้เล่าเรื่องราวครั้งเป็นมนุษย์อย่างไม่ ปิดบัง เราจะเรียนเรื่องนี้ผ่านไปยังท่านยมบาล ให้ลดโทษของเธอลงบ้างครับ
วิญญาณบาป: ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ขอบพระคุณ
พระจี้กง: เอาละ...วันนี้ก็ยุติลงเพียงเท่านี้ก่อน ชิวเชิง รีบขึ้นดอกบัวเตรียมตัวกลับสำนัก
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
เงินเดือน ราชการ ภาษีราษฎร์
มือสะอาด ใจซื่อ คือเป้าหมาย
ทุจริต คอรัปชั่น ตกอบาย
ยังมิสาย กลับตัวใหม่ สร้างความดี
พระจี้กง: การเป็นข้าราชการที่ดี อยู่ที่ใจซื่อมือสะอาดให้ความรัก ความเมตตาแก่ราษฎร หมั่นออกตรวจเยี่ยมเยียน ถามทุกข์สุข จึงจะรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชนแล้วทำการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนนั้น ทว่าข้าราชการบางคนไม่เพียงแต่ไม่ปฏิบัติเช่นนั้น แต่กลับอาศัยอำนาจ หน้าที่ข่มเหงรังแกประชาชน การประพฤติเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ภาพพจน์อันทรงเกียรติของเครื่องแบบเสื่อมเสีย ยังเป็นภัยแก่สังคมอีกด้วย
ชิวเซิง: ถ้าหากผู้เป็นข้าราชการสามารถหมั่นออกตรวจเยี่ยม ถามทุกข์สุขบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ราษฎรอยู่เสมอ ข้าราชการเช่นนี้ก็เสมือนเป็นข้าราชการพ่อแม่ ทว่าในหน้าหนังสือพิมพ์มักจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับข้าราชการอาศัย อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ เข้าพกเข้าห่อส่วนตัวซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายจริง ๆ
พระจี้กง: ควรต้องรู้ว่าที่ชาตินี้ได้เป็นข้าราชการนั้น ล้วนเป็นบุญวาสนา อันได้บำเพ็ญมาแต่ชาติก่อน หากไม่รู้จัก รักถนอมวาสนานี้ไว้ แต่กลับก่อกรรมทำเข็ญจะมิเป็นการสูญเปล่า การสร้างสมบุญบารมีจากชาติก่อนหรือ?
ชิวเซิง: อาจารย์หมายความว่า ถ้าผู้เป็นข้าราชการ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่หมั่นบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร เมื่อบุคคลผู้นั้นละจากโลกนี้แล้ว ก็สามารถเป็นเทพเทวดาได้ แต่ถ้าหากว่าเที่ยวข่มเหงรังแกราษฎร นรกก็มีสิทธิ์ไป แบบนี้ใช่ไหมครับ?
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า เธอพูดถูกต้อง เอาละ....วันนี้ได้เวลาลิขิตหนังสือแล้ว ชิวเซิงรีบขึ้นดอกบัว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไปได้เลย
พระจี้กง: ชิวเชิงเธอกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?
ชิวเซิง: อ๋อ...ผมกำลังคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะสามารถวัดขีดขั้นภูมิธรรมโดยดูจากลักษณะหน้าตาภายนอก ได้หรือไม่?
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า ถ้าหากสามารถวัดระดับภูมิธรรมโดยดูจากหน้าตาภายนอก อาตมาก็ไร้ภูมิธรรมแล้วซิ
ชิวเซิง: ทำไมหรือครับ?
พระจี้กง: ใครไม่รู้ว่าหน้าตาภายนอกของอาตมาเป็นอย่างไร ทำไมต้องอธิบายอีก ยังดีที่พระพุทธองค์ได้หยั่งรู้ พระตถาคตด้วยรูปกาย ล่วงหน้า จึงได้กล่าวไว้ในพระสูตรกิมกังเก็งว่า “มิอาจเห็น อันรูปกายก็คือปราศจากรูปกาย เป็นสักแต่ชื่อว่ารูปกายเท่านั้น” จากข้อนี้ก็จะรู้ว่าไม่อาจถือเอาหน้าตาภายนอก เป็นที่วัดระดับภาวะธรรมของนักปฏิบัติ เปรียบเสมือนดังวัดซึ่งมีทั้งเล็กและใหญ่ ถ้าหากถือว่าวัดที่สง่าภูมิฐานก็แสดงว่าปฏิบัติธรรมได้สูงขั้นกว่า ส่วนวัดธรรมดาก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผล แบบนี้ก็ไม่ถูกต้องนัก ดังนั้น การบำเพ็ญธรรมที่ได้ผล จึงมิได้อยู่ที่การอวดอ้าง แต่อยู่ที่ใจ มิใช่อยู่ที่หน้าตาภายนอก
ชิวเซิง: คำกล่าวของอาจารย์สูงส่งจริงแท้ จากข้อนี้ก็มิใช่การจะรู้ว่าการปฏิบัติธรรมคือการขัดเกลาจิตภายใน ขัดเกลารูปภายนอก แต่เป็นการขัดเกลา “จิตเดิมแท้” ให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว มิใช่การขัดเกลา “รูปร่าง หน้าตา” ให้สวยงาม
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว
ชิวเซิง: หวังว่าอาจารย์คงให้โอวาทชี้แนะอีก
พระจี้กง: ถึงนรกอเวจีแล้ว เบื้องหน้าที่เห็นคือสถานที่จองจำพวกข้าราชการทุจริตคอรัปชั่นโดยเฉพาะ ซึ่งเป็น ข้าราชการที่มุ่งแต่หาความสุขสำราญใส่ตน ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ลำบากยากแค้น
ชิวเซิง...ลงจากดอกบัว
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ อากาศที่นี่ร้อนระอุจริง ผมเหงื่อท่วมตัวอีกแล้ว
พระจี้กง: ที่นี่เป็นทางระบายของเปลวไฟ ฉะนั้นเธอจึงรู้สึกเช่นนี้ กิน “น้ำทิพย์” นี่ซิ
ชิวเซิง: กินแล้ว ร่างกายไม่ร้อนอีกเลย อาจารย์...มีเสียงร้องโหยหวนดังแว่วมาจากเบื้องหน้า โอ....ทำไมมีคนกลุ่มหนึ่งเบียดกันอยู่เป็นกลุ่ม ผมไหม้เกรียมจนหัวโล้นตัวก็ดำสนิท
พระจี้กง: ชิวเชิง...ทำไมไปหลบอยู่นั่นล่ะ? ไปหมด
ชิวเซิง: ภาพอันน่าสยดสยอง ทำให้ผมอกสั่นขวัญหาย คารวะ
พระจี้กง: นั่น....หัวหน้าแดนกำลังเดินมาแล้ว เธอรีบไป
ชิวเซิง: กระผมขอคารวะท่านหัวหน้า
หัวหน้า: ชิวเซิง..ตายสบาย วันนี้พัศดีได้รายงานว่าท่านจี้กงจะมาเยือนนรกขุมนี้ จึงได้รีบมาต้อนรับ
ชิวเซิง: คนข้างหน้านี้ หน้าตาดำเหมือนถ่าน เผยให้เห็นแต่ดวงตา ไม่ทราบว่าตอนเป็นมนุษย์ได้สร้างบาปกรรมใดไว้
หัวหน้า: เขาไม่สามารถพูดจาได้แล้ว
พระจี้กง: เดี๋ยว...อาตมาจัดการเอง
ชิวเซิง: อาจารย์อิทธิฤทธิ์สูงส่งจริงแท้ วิญญาณบาปฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้ว จากร่างที่ดำเหมือนถ่าน บัดนี้ได้กลายมาเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์
หัวหน้า: เจ้าคนบาป...จงรีบเล่าการก่อกรรมชั่วของเจ้าครั้งอดีตมาให้หมด เพื่อบันทึกลงในหนังสือเป็นอุทาหรณ์ แก่ชาวโลก
วิญญาณบาป: โอ...คิดไม่ถึงว่าผมจะต้องมีสภาพเช่นวันนี้ หวนรำลึกถึงสมัยเป็นมนุษย์ผมเป็นข้าราชการชั้นสูง เพียบพร้อมสมบูรณ์ด้วยเกียรติยศ มี 3 เมีย และเมียบำเรออีก 5 คน
หัวหน้า: ข้าไม่ใช่ถามเรื่องความมั่งมีศรีสุข แต่จะให้เล่าเรื่องที่เจ้าใช้อำนาจหน้าที่ประทุษร้ายผู้คนอย่างผิดกฎหมาย
วิญญาณบาป: โอ...เรื่องผิดกฎหมายมีมากนับไม่ถ้วน แต่ที่ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุขก็คือ ครั้งหนึ่งผมพบผู้หญิงที่สวย มากคนหนึ่ง ผมอยากได้ตัวหล่อนมาก แต่หล่อนไม่ยอมสนใจผมเลย ต่อมาผมใช้วิธีการข่มขู่พ่อของหล่อนบีบบังคับให้ยก ลูกสาวเป็นเมียบำเรอคนที่ 6 ของผม แต่พ่อของหล่อนดื้อดึง บอกว่าถึงตายก็ไม่ยอมทำตามประสงค์ ในที่สุดผมจึงจำใจต้องให้ลูกน้องไปจับเขามัดใส่กระสอบแล้วนำไปทิ้งลงเหวตอนเที่ยงคืน เรื่องนี้ผมคิดว่าไร้คนรู้เห็น คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงเมืองนรก ถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้ากระจกส่องบาป ภาพการกระทำแต่หนหลังทุกอย่างปรากฏออกมาหมดดุจจอหนังหมดหนทางแก้ตัว เลยจำต้องรับสารภาพ
ชิวเซิง: แล้วต่อจากนั้นล่ะ?
วิญญาณบาป: ต่อจากนั้นท่านยมบาลได้ด่าประณามผมด้วยเสียงอันดังเสียพักใหญ่ ว่าผมเป็นข้าราชการไม่รู้จัก ประพฤติตนให้ใสสะอาด แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่ข่มเหงรังแกราษฎรผู้บริสุทธิ์ แล้วตัดสินลงโทษผมสถานหนัก ซึ่งนอกจากต้องรับโทษทัณฑ์จากนรกขุมต่าง ๆ แล้ว ยังต้องถูกส่งต่อมาจองจำยังนรกอเวจีนี่ ไร้โอกาสผุดเกิดอีก
ชิวเซิง: แล้วตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง
วิญญาณบาป: โอ....ถ้ารู้แต่แรกว่ากฎบัญญัตินรกรุนแรงเช่นนี้ ผมคงไม่กล้าโอหังเช่นนั้น ทว่าตอนนี้สายเกินไปแล้ว
หัวหน้า: คนใจเยี่ยงสัตว์ รู้แต่การใช้อำนาจหน้าที่ข่มเหงรังแกชาวบ้านเช่นนั้น ถ้าไม่ได้ลิ้มรสกับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานของนรกอเวจีเสียบ้างย่อมไม่รู้สึก
ชิวเซิง: น่าเวทนาจริง ตอนเป็นมนุษย์ถ้ารู้จักประพฤติปฏิบัติตามตัวบทกฎหมาย เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุข ประชาราษฎร์ก็คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้
หัวหน้า: ตอนนี้พูดกับเขาเรื่องนี้ก็ไร้ประโยชน์คนใจทมิฬหินชาติ ไร้เมตตาธรรมเช่นนี้ ทำกรรมใดไว้กรรมนั้นย่อม สนองก็สมควรแล้ว
พระจี้กง: เอาละ...การลิขิตหนังสือในวันนี้ยุติเพียงเท่านี้ก่อน
ชิวเซิง: ขอลาท่านหัวหน้าก่อนครับ
หัวหน้า: ขอส่งท่านจี้กงและคุณชิวเชิง
พระจี้กง: ชิวเชิง... รีบขึ้นดอกบัว กลับกันเถอะ
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนักเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
เหลิงอำนาจ หลงรูปทรง ซึ่งไม่เที่ยง
มุ่งแต่เพียง ลุโมหะ ริษยา
คดีเศร้า ในอดีต ตีแผ่มา
โอ้ หึงษา เหตุนำ ตำนานเลือด
พระจี้กง: จิตมนุษย์นั้นช่างน่ากลัว จิตริษยา จิตเหี้ยมโหด จิตพยาบาท จิตประทุษร้าย จิตโอหัง จิตไม่เป็นสุข จิตเหล่านี้ล้วนเป็นจิตที่ให้โทษ ในคัมภีร์กล่าวว่า “จิตให้โทษ บุคคลมิพึงมี” ทว่าในโลกนี้ก็ยังมีบุคคลดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อฟังโอวาท คิดว่าการให้โทษบุคคลอื่นเป็นเรื่องสนุก ดังนั้นจึงมักก่อเหตุวุ่นวายเป็นเนืองนิจ เช่น ยุยงให้ทำร้ายบุคคลอื่น โดยเฉพาะการวางแผนฆ่าคน
ไช่เซิง: จริงของอาจารย์ จิตมนุษย์นั้นอันตรายจริง ๆ ทว่าไฉนวันนี้อาจารย์ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา
พระจี้กง: ก็วันนี้แหละ ที่อาจารย์จะนำเธอไปดูสภาพลงเอยของบุคคลเช่นว่านี้
ไช่เซิง: คงน่าสังเวชไม่น้อย
พระจี้กง: เมื่อเธอเห็นแล้วจะรู้เองตอนนี้ขอปิดไว้ก่อน
ไช่เซิง: ครับ...งั้นผมจะไม่ถามละ
พระจี้กง: เราออกเดินทางกันเถอะ
ไช่เซิง: ครับ...ผมนั่งดอกบัวมั่นดีแล้ว ไปได้แล้วครับ
พระจี้กง: ไช่เชิง...ตั้งแต่เปิดสำนักมา รู้สึกเป็นไงบ้าง?
ไช่เซิง: ศิษย์ปัญญาน้อย ที่ทุกวันนี้สามารถแบกภารกิจทางธรรมของทั้งสองแห่งได้ ผมก็ยังประหลาดใจตนเองแต่ เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วก็คงเป็นเพราะมีเหล่าเทพพรหมคอยให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผมสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้น กระผมจึงขอขอบใจในความเมตตาการุณย์ของเทพ พรหมทุกท่าน และการสนับสนุนให้กำลังใจอย่างต่อเนื่องของสาธุชนผู้เปี่ยมด้วยจิตกุศลทั้งหลายด้วย ผมรู้สึกขอบใจจริง ๆ
พระจี้กง: ควรใช้คำว่า “ขอบคุณ” ดีกว่า “ขอบใจ” เพราะว่าหากใครคนหนึ่งจิตใต้สำนึกรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ แล้ว คนนั้นก็จะไม่น้อยเนื้อต่ำใจและไม่ว่าจะอยู่ในท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่ยากลำบากเพียงใด เขาก็ย่อมรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนประสบอยู่ ทว่าบางคนมิเป็นเช่นนั้น ชอบไปโทษฟ้าดิน โดยกล่าวทำนองว่า “สวรรค์เบื้องบนอยุติธรรม” ซึ่งแท้จริงนั้นสวรรค์เบื้องบนยุติธรรมเสมอ
ไช่เซิง: อาจารย์หมายความว่าอย่างไร?
พระจี้กง: เธอลองคิดดูซิ การหมุนรอบตัวเองของโลก การโคจรของดวงจันทร์ อากาศร้อนหรือหนาวของฤดูกาลที่ หมุนเวียน การเวียนเกิดเวียนตาย อายุยืนหรือสั้นของคน เหล่านี้ย่อมเป็นไปตามกำหนด ดังนั้นดวงชะตาของทุกคนล้วนแต่ตนเองเป็นผู้สร้างขึ้นและกำหนดเอง วิบากกรรมของคนก็เช่นกัน ล้วนแต่ตนเป็นผู้สานก่อขึ้นเองทั้งสิ้นทำดีก็ได้ผลที่ดีตอบ แต่วิธีการบำเพ็ญธรรมนั้นแตกต่างกัน การบำเพ็ญธรรมดุจเรือแพแล่นทวนกระแสน้ำ ดังนั้นจึงจำต้องผ่านการทดสอบจากความทุกข์ยากลำบากเสียก่อน
ไช่เซิง: มิน่า...จึงมีบางคนโอดครวญว่าทำดีไม่ได้รับผลดีตอบแทน แท้ที่จริงคนที่มีความเห็นเช่นนี้ เพราะเข้าใจ ความหมายแห่งการบำเพ็ญธรรมคลาดเคลื่อนไปนั่นเอง
พระจี้กง: ใช่แล้ว ...มีนักปฏิบัติธรรมบางคนอาจหลงอยู่ระหว่างทางเสียพักใหญ่ บางคนปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง บางคนก็ละทิ้งเสียกลางคันก็มี
ไช่เซิง: ถ้าละทิ้งกลางคันก็น่าเสียดายมาก
พระจี้กง: นี่แล้วแต่บุพกรรมของตน เช่น สติปัญญาไม่พอบ้าง หรือมีเจ้ากรรมนายเวรมาก เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรค แก่การบำเพ็ญธรรม เว้นแต่ผู้มีความเพียรมั่นคงมีใจใฝ่ธรรม ไม่เสื่อมถอย จึงจะสามารถก้าวสู่ภูมิสวรรค์เมืองแมน
ไช่เซิง: ขอให้นักปฏิบัติทั่วหล้า จงมุ่งมั่นสู่ทิศทางนี้ไม่เปลี่ยนอุดมการณ์
พระจี้กง: เอาละ...หัวหน้าของแดนนี้ได้รออยู่นานแล้ว เราลงไปเถอะ
ไช่เซิง: ครับ...กระผมนายไช่เซิง ขอคารวะท่านหัวหน้าครับ
หัวหน้า: ไช่เซิง ตามสบาย ...แต่เอ...ลิขิต “ท่องอเวจี” ไม่ใช่คุณชิวเชิงหรือ? ทำไมเปลี่ยนเป็นคุณไช่เชิงล่ะ?
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า เดิมทีหนังสือเรื่องนี้ กะว่าจะแบ่งเป็น 2 เล่ม แต่เพื่อให้ชาวโลกได้อ่านหนังสือ “ท่องอเวจี” อย่างต่อเนื่องรวดเร็วขึ้น ดังนั้นจึงได้เร่งงานมาลิขิตนอกโปรแกรม
หัวหน้า: อ๋อ...อย่างนี้เอง เข้าไปพักผ่อน ข้างในก่อนเถอะ
พระจี้กง: อาตมาว่าไม่ต้องหรอก ภารกิจสำคัญกว่า เราตรงเข้าไปดูในคุกเลยดีกว่า
หัวหน้า: ก็ดีเหมือนกัน (ขณะนี้พระจี้กงและหัวหน้าเดินเข้าไปในคุก ไช่เชิงเดินตามหลัง พระจี้กงเอาดวงแก้ววิเศษ ออกจากกล่องส่องสว่างไสว)
ไช่เซิง: โอ....ช่างน่าสะพรึงกลัว สถานที่เช่นนี้อยู่กันได้อย่างไร? เอ...นั่นไฉนมีสัตว์รูปร่างกลม ๆ ร้องเสียงอู้อี้
หัวหน้า: นั่นไม่ใช่สัตว์
ไช่เซิง: ไม่ใช่สัตว์แล้วเป็นอะไรครับ?
หัวหน้า: เธอเข้าไปดูใกล้อีกหน่อยจะรู้เอง
ไช่เซิง: ก็ยังดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
พระจี้กง: อาจารย์จะเสกน้ำมนต์ เดี๋ยวก็รู้เอง
ไช่เซิง: โอ นั่นเป็นคนนี่....เป็นคนที่ไร้แขนขาและตาดูน่าสะพรึงกลัว
พระจี้กง: ไช่เซิงเธอทราบไหมว่าเขาคือใคร ?
ไช่เซิง: เป็นใครครับ?
พระจี้กง: เป็นบุคคลที่มีอำนาจราชศักดิ์สูงส่งคนหนึ่ง
ไช่เซิง: แบบนี้ผมเดาไม่ถูก จะต้องให้ผมเข้าไป สัมภาษณ์ไหมครับ?
พระจี้กง: เขาทั้งหูหนวก ทั้งใบ้ ทั้งตาบอด เธอไม่มีทางสัมภาษณ์เขาได้หรอก เดี๋ยวให้ท่านหัวหน้าอธิบายดีกว่า (พระจี้กงเรียกหัวหน้าแดน)
หัวหน้า: ท่านจี้กงเรียกผม ไม่ทราบว่ามีอะไรครับ?
พระจี้กง: เนื่องจากวิญญาณบาปคนนี้ไม่สามารถพูดจา อยากขอให้ท่านช่วยอธิบายถึงการก่อกรรมชั่วของเขา สมัยเป็นมนุษย์ เพื่อบันทึกลงในหนังสือเป็นอุทาหรณ์แก่ชาวโลก
หัวหน้า: ได้ครับ...พูดถึงคนผู้นี้เป็นบุคคลสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์จีน
ไช่เซิง: บุคคลสูงศักดิ์คนไหนครับ?
หัวหน้า: ก็คือ “พระราชินีสื่อ” พระชายาพระเจ้าฮั่น เกาโจว จักรพรรดิผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น
ไช่เซิง: เมื่อเป็นถึงพระราชินี ไฉนจึงมีสภาพเป็นเช่นนี้?
หัวหน้า: เรื่องนี้เธอคงไม่รู้
ไช่เซิง: ขอรบกวนท่านหัวหน้าช่วยอธิบายให้กระจ่างด้วยครับ
หัวหน้า: ย้อนหลังถึงพระเจ้าฮั่นเกาโจวเล่าปัง (หลิวปัง) สมัยยังหนุ่มก็เคยตกอับอยู่ช่วงระยะหนึ่ง ตอนนั้นนางสื่อก็ยังติดตามร่วมทุกข์สุขกับเล่าปัง ไปทุกแห่งเพื่อสร้างประเทศ
ไช่เซิง: แล้วเขาสร้างบาปกรรมใด? จึงต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
หัวหน้า: เรื่องมีสาเหตุที่มาที่เขาต้องมีสภาพเช่นทุกวันนี้คือ ตอนแก่ชรา เนื่องจากอายุมากสมรรถภาพทางเพศ เสื่อมถอยไปตามวัย และสามีเขาคือพระเจ้าฮั่นเกาโจวเป็นถึงประมุขของประเทศ ดังนั้นจึงมีนางสนมอยู่ในวังหลังจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีนางสนมคนหนึ่งชื่อ “พระนางเช็ก” ซึ่งเป็นที่ทรงโปรดปรานมากที่สุด ดังนั้นจึงทำให้ราชินีสื่อเกิดความหึงหวงริษยา พยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดพระนางเช็ก แต่ก็ถูกพระเจ้าฮั่นเกาโจวพยายามปกป้อง จึงได้รอดพ้นภัย ราชินีสื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งเพิ่มความเคียดแค้นอยู่ในใจดังไฟสุม ก็ยิ่งเพิ่มความเด็ก อก จนเมื่อพระเจ้าฮั่นเกาโจวสวรรคตแล้ว พระราชินีสื่อจึงได้สั่งให้คนจับพระนางเช็กไปตัดแขนขา ควักดวงตาทั้งสองข้าง ตีแก้วหูจนแตกและตัดลิ้นจนขาด เป็นเหตุให้พระนางเช็กทั้งหู หนวก ทั้งใบ้ ทั้งตาบอด และทั้งเดินเหินไม่ได้ จากนั้นก็นำพระนางเช็ก ไปขังไว้ในอุโมงค์ของสวนดอกไม้วังหลังขานนามว่า “มนุษย์สุกร” การปฏิบัติดังกล่าวนับว่าเป็นการฆ่าคนที่ทารุณป่าเถื่อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็ว่าได้
ไช่เซิง: โอ เหี้ยมโหดเหลือเชื่อ อย่างนี้แปลว่าผู้ใดสร้าง กรรมใดก็ต้องรับกรรมนั้นทุกกระเบียดนิ้วเลยน่ะซิ
หัวหน้า: แน่นอน....อย่างการกระทำที่โหดเหี้ยมและจิตใจที่ป่าเถื่อนเช่นนี้ จะสามารถหนีพ้นเงื้อมมือของกฎแห่ง กรรมได้หรือ?
ไช่เซิง: ดังนั้น ทุกวันนี้จึงต้องรับโทษทัณฑ์อันสุดแสนทุกข์ทรมานจากขุมนรกจนเขาไม่อาจได้ยิน ไม่อาจพูด ไม่ อาจ มองเห็น ไม่อาจเดินเหินไปไหนและมีรูปร่างไม่เหมือน ผู้คนใช่ไหมครับ?
หัวหน้า: ใช่แล้ว นี่คือการส่งผลของกรรมที่ก่อ
ไช่เซิง: นี่เป็นเพราะจิตริษยาในขณะนั้น ที่พลิกผันจน ต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้ ซึ่งไม่คุ้มกันเลย
พระจี้กง: ฉะนั้น อย่าคิดว่าจิตริษยาเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเมื่อผลแห่งกรรมชั่วสุกงอมเต็มที่แล้ว ก็ย่อมสามารถ ก่อเป็นเรื่องเศร้าสลดเป็นประวัติการณ์ได้ผลแห่งกรรมของราชินีสื่อ ก็คือตัวอย่างเป็นอุทาหรณ์อย่างดีอันหนึ่ง เอาละ... ดึกมากแล้ว วันนี้ยุติเพียงเท่านี้ก่อน
ไช่เซิง: ขอบพระคุณในความเอื้อเฟื้อของท่านหัวหน้า กระผมขอลาก่อน
หัวหน้า: ขอส่งท่านจี้กงและคุณไช่เชิง
พระจี้กง: ไช่เชิงขึ้นนั่งดอกบัวให้เรียบร้อย
ไช่เซิง: ผมนั่งมั่นดีแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ไช่เชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
อัสนี ฟาดเปรี้ยง สะเทือนลั่น
กรรมตามทัน ด่าวดิ้น สิ้นชีวา
ส่วนคนดี เทพรักษา สมบุญญา
จำไว้หนา ภูมิทุกข์สุข ตนสร้างเอง
พระจี้กง: ความจริงฟ้านั้นไร้เสียง ทว่ามนุษย์ทำบาปกรรมกันมาก ดังนั้นที่สายฟ้าคำราม เป็นการเตือนสติชาวโลกว่าอย่าก่อกรรมทำชั่ว มิเช่นนั้นภัยพิบัติจะถึงตัว
ชิวเซิง: กราบเรียนถามอาจารย์ มีบางคนปกติก็ไม่ใช่คนชั่วร้ายแต่อย่างใด แต่ก็ยังประสบเคราะห์กรรมจากฟ้าผ่า นี่เป็นเพราะสาเหตุใดครับ?
พระจี้กง: คนที่ถูกฟ้าผ่าตาย ชาตินี้หรือชาติก่อน ย่อมต้องมีบาปกรรมที่ยังไม่ได้ชำระแน่นอน
ชิวเซิง: ผู้ที่ถูกฟ้าผ่าตาย ร่างกายไหม้เกรียมจนดำเป็นถ่าน ทำไมเป็นเช่นนี้ได้ครับ?
พระจี้กง: เนื่องจากประจุไฟฟ้าบวกและลบมารวมตัว กันแล้วแล่นลงมากระทบถูกร่างกายคนโดยตรงร่างกายจึงถูกเผาไหม้ในชั่วพริบตา ก็เหมือนแบบเดียวกับท่อนไม้ หลัง ถูกเผาไหม้แล้วเหลือแต่ถ่านไม้สีดำ
ชิวเซิง: แล้วในชั่วแว็บเดียวของฟ้าผ่า แรงอัดของกระแสไฟฟ้าที่ส่งออกมามีเท่าไรครับ?
พระจี้กง: ประมาณสองหมื่นกว่าโวลท์
ชิวเซิง: โอ้โฮ! ปกติถ้าถูกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านช็อตเอา ก็ยังไม่อาจทนได้ ถ้าหากถูกฟ้าผ่าซึ่งมีพลังไฟฟ้าตั้ง 20,000 โวลท์ผ่าเอา คงน่าอนาถมาก
พระจี้กง: บุคคลชั่วร้ายถ้าหากก่อกรรมทำชั่วในเวลากลางวันแสก ๆ เมื่อถูกฟ้าผ่าตาย ตอนอยู่ในขุมนรกจะยิ่งน่า อนาถกว่ามากนัก วันนี้อาจารย์จะนำเธอไปดูวิญญาณบาปที่ไหม้เกรียมทั้งตัว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์เดินทางได้
พระจี้กง: ในวันนี้เราจะไปดูชาวเมืองเจ้อเจียผู้หนึ่งซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลเจียซิ่น (พ.ศ. 2339-2364) แห่งราชวงศ์ชิง ตอนมีชีวิตชอบหลอกพร่าความสาวของหญิงชาวบ้านอยู่ เป็นนิจ มีครั้งหนึ่งก็ยังคิดจะข่มขืนสาวน้อยอายุไม่เต็ม 16 ปี คนหนึ่ง แต่พฤติการณ์ครั้งนี้เผอิญถูกเทพตรวจการณ์ที่เหาะผ่านมาพบเข้า จึงรีบรายงานองค์เง็กเซียนจอมเทวราชเมื่อพระเจ้าเง็กเซียน ทราบเหตุ ทรงพิโรธยิ่งนัก จึงทรงบัญชาให้เทพอัสนีปล่อยสายฟ้าลงมาผ่าผู้บ้ากามนั้นตาย เพื่อเป็นการเตือนสติชาวโลก
ชิวเซิง: ความชั่วเช่นนั้นยังบังอาจประพฤติ ช่างไม่เกรงความชั่วเช่นนั้นยังบังอาจประพฤติ ไม่กลัวฟ้าดินเสียเลย
พระจี้กง: ชิวเซิง...ถึงแล้ว รีบลงจากดอกบัวหัวหน้าแดนและเจ้าหน้าที่ยมกำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ชิวเซิง: กระผมขอคารวะท่านหัวหน้าและทุกท่าน
หัวหน้า: ตามสบาย พวกเรารออยู่ที่นี่นานแล้ว รีบตามเราเข้าไปข้างใน
ชิวเซิง: ขอบคุณครับ
หัวหน้า: สานุศิษย์สำนักเซิ่งเทียน ล้วนแต่มีมหาปณิธานเซิ่งเทียน ในการโปรดผู้คนให้พ้นทุกข์ อุดมการณ์เช่นนี้น่าเลื่อมใสจริง ๆ
ชิวเซิง: ท่านหัวหน้าเยินยอมากไปแล้ว ปัจจุบันนี้ วัฒนธรรมอันต่ำทรามนับวันจะระบาดมากขึ้น ถ้าหากไม่มี หนังสือธรรมะมาเตือนสติและเหนี่ยวรั้งจิตใจกันบ้าง สังคมอาจจะปรากฏบรรยากาศแห่งความเศร้าสลดขึ้นได้ ดังนั้น สานุศิษย์สำนักเซิ่งเทียน จึงมีอุดมการณ์เดียวกัน โดยได้รับการสนับสนุนจากเทพเบื้องบน แม้ว่าตอนเปิดสำนักใหม่ ๆ เพื่อนร่วมบำเพ็ญ ต้องประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ แต่ผมหวังว่าความเสียสละของพวกเราคงได้รับการสนองตอบจากเพื่อนร่วมโลกในการสนับสนุนกิจกรรมธรรมะนี้ยิ่งขึ้น เท่านี้ ผมก็พอใจแล้ว
หัวหน้า: น่าเลื่อมใสจริง
ชิวเซิง: ท่านยกย่องเกินไปแล้ว
หัวหน้า: เข้าไปพักผ่อนข้างในกันเถิด
พระจี้กง: ชิวเชิงรีบตามท่านเข้าไป
ชิวเซิง: โอ้โฮ! เป็นห้องปฏิบัติงานที่กว้างใหญ่อะไรเช่นนี้ ภายในห้องสะอาดสะอ้าน คล้ายกับสถานที่ราชการในเมืองมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน ขอท่านหัวหน้าอธิบายให้ทราบอย่างคร่าว ๆ ได้ไหมครับ?
หัวหน้า: ขอเชิญท่านจี้กงและคุณชิวเซิงดื่มน้ำชา...ที่นี่เป็นเรือนจำที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของผม ผู้ที่ถูกคุมขัง อยู่ในคุกล้วนแต่เป็นผู้ทำบาปทำชั่วอย่างร้ายแรง เชิญท่านทั้งสองตามผมเข้าไปดู ขณะนี้พระจี้กงเอาดวงแก้ววิเศษจากกล่องออกมาฉับพลันสว่างไสวไปทั่ว)
ชิวเซิง: โอ้โฮ! เป็นนรกอเวจีสมชื่อจริง ๆ ผมว่าหากคนใดมาที่นี่สักครั้ง ต่อไปคงไม่กล้าทำชั่วอีกแน่
หัวหน้า: พวกนี้ตอนเป็นมนุษย์ได้ทำความชั่วช้า สามานย์ ซึ่งทำแต่ในที่ลับที่มืด วันนี้พอเห็นความสว่างจึงดีใจเหมือนได้แก้ว
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ ถ้าหากว่าชาตินี้ได้กระทำชั่วโดยไม่ตั้งใจ หรือถูกเพื่อนชักนำไปประพฤติผิดครรลองคลองธรรม แล้วจะทำอย่างไรดีครับ?
พระจี้กง: ถ้าหากสามารถกลับตัวใหม่ โดยหันมาทำแต่ความดี หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ชดใช้ความผิดที่แล้วมาหรือว่าออกทุนทรัพย์สนับสนุนพิมพ์หนังสือ “ท่องอเวจี” เล่มนี้ อย่างจริงใจแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เป็นการไถ่ถอนบาปกรรมต่อไปภายหน้า เมื่อละจากโลกแล้ว ก็จะสามารถลดโทษทัณฑ์ของนรกให้เบาบางลง ส่วนผู้มีความผิดเล็กน้อยโทษนั้นก็เป็นอันระงับไปแท้
ชิวเซิง: นี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการสร้างกุศลโดย
หัวหน้า: ผมได้นำวิญญาณบาปที่ถูกฟ้าผ่าตายมาคนหนึ่ง คุณชิวเชิงสัมภาษณ์เขาได้เลย
ชิวเซิง: นี่คุณคนนี้...คุณเป็นคนชาวเมืองเจ้อเจียงที่ชอบลวนลามหญิงชาวบ้านใช่มั้ย?
วิญญาณบาป: ท่านเป็นใคร? ทำไมรู้เรื่องประวัติผม ครั้งเป็นมนุษย์
ชิวเซิง: ผมคือชิวเซิง คนทรงแห่งสำนักเซิ่งเทียน เมื่อครู่นี้พระอาจารย์จี้กงได้เล่าให้ผมฟังแล้ว
วิญญาณบาป: ฮือ ๆ....เมื่อคิดถึงกรรมชั่วที่ได้ก่อครั้งเป็นมนุษย์ สำนึกได้ก็สายเสียแล้ว
ชิวเซิง: เพียงแต่คุณเล่าตามความเป็นจริงให้เราบันทึก เชื่อว่าอาจลดโทษของคุณให้เบาลงได้บ้าง ลงในหนังสือ
วิญญาณบาป: ครับ...ผมจะเล่าให้ท่านฟัง ตอนเป็นมนุษย์ผมเป็นคนหยาบช้า ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีชื่อลือกระฉ่อนทางชั่วร้าย ใคร ๆ ก็รู้โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ผมมักจะลวนลามกระทำมิดีมิร้ายต่อหญิงชาวบ้าน ตามตรอกตามซอยอยู่เสมอ เสร็จแล้วผมก็แสดงอาการข่มขู่ จนพวกหล่อนไม่กล้าปริปากบอกใคร ได้แต่เจ็บแค้นอยู่ในใจ เมื่อลวนลามหญิงสาวครั้งใด ผมมีความรู้สึกว่าเป็นสุดยอดแห่งความสุข ความจริงไม่ได้คิดถึงเรื่องกรรมตามสนองอะไรนั้นหรอก มีครั้งหนึ่งขณะที่กำลังจะข่มขืนเด็กสาวผู้อายุยังไม่เต็ม 16 ปี คนหนึ่งอยู่ ฉับพลันเมฆสีดำก็แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าชั่วเวลา ไม่กี่นาทีเท่านั้น ฟ้าแลบและฝนก็กระหน่ำลงมา เนื่องจากผมหาที่หลบไม่ทันจึงถูกฟ้าผ่าตาย ทั้งร่างไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโก ศพนอนตายอยู่นอกเมือง
ชิวเซิง: โอ้โฮ! กรรมตามสนองโดยแท้ แล้วตอนนี้ตัวคุณไหม้เกรียมดำสนิท มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?
วิญญาณบาป: โอ ทุกข์ทรมานเหลือเกิน ทั่วทั้งตัวแข็งทื่อเคลื่อนไหวไม่ได้เลย ท่านรีบช่วยผมทีเถิด
ชิวเซิง: ขอโทษด้วย ผมทำไม่ได้
พระจี้กง: ชิวเซิงดึกมากแล้ว ทำกรรมใดย่อมรับกรรมนั้น กฎนรกนั้นเคร่งครัดนักเรากลับสำนักกันเถอะ รีบอำลา ท่านหัวหน้าแดน
ชิวเซิง: กระผมขอลาท่านหัวหน้าก่อน
หัวหน้า: ขอส่งท่านจี้กงและคุณชิวเชิง
พระจี้กง: ชิวเชิงรีบขึ้นดอกบัว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
อบรมบุตร อย่ารอสอน เดินทางผิด
ก่อกรรมมาก ต้องตีเหล็ก ยามไม้แก่
สายเกินแก้ ไม่พ้นตก เมื่อยังร้อน
เฉดัดยาก ใครลำบาก นรกภูมิ
พระจี้กง: กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มิทันไรนับแต่ลิขิตเรื่อง “ท่องอเวจี” เป็นต้นมา ก็ผ่านไปถึง 4 เดือนแล้ว อาตมาเห็นสานุศิษย์ทั้งหลาย ต่างอุทิศตนเพื่อธรรมะอย่างทุ่มเทชีวิตจิตใจ รู้สึกชื่นชมปรีดายิ่งนัก เชื่อว่าถ้ายังอยู่ในเกณฑ์ระดับนี้ไปเรื่อย ๆ อีกไม่นานเกินรอหนังสือธรรมะของสำนักเซิ่งเทียนจักต้องเลื่องลือไปไกลแน่
ชิวเซิง: สำนักเซิ่งเทียนได้รับการสนับสนุนจากเทพเบื้องบนใหญ่หลวงนัก แม้ว่าสานุศิษย์ทั้งหลายในช่วงนี้อาจต้องเหน็ดเหนื่อยสักหน่อย ทว่าเมื่อได้เห็นการออกหนังสือธรรมะของสำนักนี้กำลังเจริญรุดหน้า ศิษย์รู้สึกว่าเป็นการน่าคุ้มค่ามากทีเดียว ไม่เหมือนผู้คนส่วนมาก ซึ่งตั้งแต่เช้ายันค่ำ วุ่นวายแต่เรื่องการงานไม่หยุด ใจไม่มีความสงบ แม้สักนาทีเดียว พอมีเงินก็คิดอยากได้รถเก๋งบ้าง บังกะโลบ้าง มุ่งแสวงหาการเสพสุขชั้นยอด หารู้ไม่ว่าสรรพสิ่งนอกกายล้วนแต่ตอนเกิดมิได้นำมา ตอนตายก็มิอาจพาไปได้ ไฉนต้องมาทุ่มเทชีวิตและสรรพกำลังเพียงเพื่อกายเนื้ออันจอมปลอมนี้ จนเป็นอันตรายแก่จิตเดิมแท้ ผลสุดท้ายยังอาจต้องไปเดินย่ำอยู่ในขุมนรกเสียอีกพักใหญ่ ซึ่งไม่คุ้มค่ากันเลย
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า! แล้วถ้าหากเธอมีเงินล่ะ เธอจะใช้มันอย่างไร?
ชิวเซิง: ฮ่าฮ่า! อาจารย์ถามเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้วเมื่อผมได้มาจากสังคม ย่อมต้องคืนให้แก่สังคม เช่น บริจาคในการกุศลช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรือพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นทาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแห่งชีวิตที่สมบูรณ์
พระจี้กง: เออ ดีมากถ้าหากทุกคนเป็นเช่นเธอได้เหล่าเทพพรหมก็คงไม่ต้องลงมาประทับทรงยังเมืองมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า
ชิวเซิง: นั่นซิครับ
พระจี้กง: เอาละ....ถึงเวลาท่องอเวจีแล้ว ขึ้นดอกบัวเร็ว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไปได้
พระจี้กง: ตั้งแต่เปิดสำนักเซิ่งเทียนมา สานุศิษย์ทั้งหลายนับว่าได้ผจญอุปสรรคมาแล้วไม่น้อย
ชิวเซิง: อาจารย์หมายถึงอะไร?
พระจี้กง: ฮ่าฮ่า จะมีอะไรอีกล่ะ
ชิวเซิง: อาจารย์ตอบแบบนี้ ศิษย์ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
พระจี้กง: เป็นปกติธรรมดาของสำนักทรงทั่วไป ตอนเริ่มเปิดสำนักใหม่ ๆ มักจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ดังนั้นเธอไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องนี้ ควรจะรู้ว่าการที่สามารถผ่านการทดสอบจากคลื่นลมพายุได้ จึงเป็นการแสดงถึงความมั่นคง ถ้าหากตอนเริ่มเปิดสำนักก็ราบรื่น กลับจะทำให้คนลืมตนได้ง่าย เพราะอนาคตอันยาวไกลของสำนักเซิ่งเทียน ยังจะต้องฝ่ามรสุมอีกมากนัก
ชิวเซิง: นั่นซิครับ ขอแต่เพียงเทพพรหมไม่ทอดทิ้งพี่ไช่เจ้าสำนักเท่านั้น เขาก็คงสามารถนำนาวานี้แล่นไปได้อย่างราบรื่นจนบรรลุเป้าหมายเป็นแน่
พระจี้กง: ถึงที่แล้ว ชิวเซิงรีบลงจากดอกบัว
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ ไม่ทราบเหตุใดผมรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกอย่างกะทันหัน
พระจี้กง: นั่นเป็นเพราะความลึกของชั้นธรณี อากาศจึงน้อยกว่าปกติ อดทนหน่อย เดี๋ยวก็หายเอง
ชิวเซิง: ที่นี่ไร้ผู้คน มืดมิดไปหมด รู้สึกเงียบวังเวง อย่างไรชอบกล
พระจี้กง: ที่อาจารย์นำเธอมาในเส้นทางนี้ เพื่อจะฝึกฝนความอดทนและหนักแน่นของเธอรู้สึกว่าเธอก้าวหน้าขึ้นมาก
ชิวเซิง: นั่นเป็นเพราะการส่งเสริมของอาจารย์โดยแท้
พระจี้กง: เบื้องหน้ามีพัศดียม 2 ท่านกำลังรอเราอยู่รีบไปคารวะเถิด
ชิวเซิง: โอ! พัศดี 2 ท่านนี้รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดัน น่ากลัวแท้
พระจี้กง: ชิวเซิงอย่าเสียมารยาทรีบไปคารวะท่านซิ
พัศดี: ขอต้อนรับท่านจี้กง และคุณชิวเชิง
ชิวเซิง: กระผมขอคารวะท่านพัศดี
พัศดี: คุณชิวเชิงขอให้ถือเป็นกันเอง รีบตามเราเข้าไปข้างในเถิด (ชิวเชิงมองไปโดยรอบ ซึ่งล้วนเป็นกำแพงสูงมี เสียงร้องโหยหวนดังมาจากนรกเป็นระยะ ๆ)
พระจี้กง: คืนนี้ต้องขอรบกวนท่านพัศดีหน่อยอาตมามีธุระสำคัญจะปรึกษากับท่านพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ราช (พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์) จึงต้องขอตัวไปก่อน
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ ทำไมท่านไปเองคนเดียว ทิ้งศิษย์ให้อยู่ในสถานที่เช่นนี้อย่างโดดเดี่ยวน่ากลัวจริงแท้
พระจี้กง: ชิวเซิงไม่ต้องวิตก อาจารย์จะรีบกลับมาโดยเร็วที่สุด
พัศดี: คุณชิวเชิง เบื้องหน้ามีวิญญาณบาปกลุ่มหนึ่ง เธอไปสัมภาษณ์เขาได้เลย (วิญญาณบาปเหล่านี้ รูปร่าง ผอมโซ บ้างตาโบ๋ บ้างก็ตาถลนออกนอกเบ้า เนื้อตัวสกปรก มอมแมมดุจดินโคลน ส่งกลิ่นเหม็นติ่ง ชิวเชิงปิดปากจมูกเดินเข้าไปหา)
วิญญาณบาปพูดพร้อมกัน: ท่านเป็นใคร? แถมเหนือหัวยังมีรัศมีสีแดงส่งประกายแรงกล้า
ชิวเซิง: ทุกท่านไม่ต้องกลัว ผมคือนายชิวเซิงคนทรงสำนักเซิ่งเทียนแห่งเมืองไถจุง รัศมีสีแดงเหนือหัวผมที่ทุกท่าน เห็นอยู่นี้ คือรังสีที่เป็นผลจากการบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญบุญที่ผมได้มาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องราวของพวกท่านครั้งเป็นมนุษย์ และหลังจากตายแล้ว เพื่อบันทึกลงในหนังสือ “ท่องอเวจี” อันเป็นการเตือนสติชาวโลก
วิญญาณ ก: โอ ที่แท้คือผู้มาโปรด ท่านโปรดช่วยพวกเราก่อนเถิด
ชิวเซิง: เนื่องจากบุญบารมีผมยังไม่ถึงขั้น เรื่องจะช่วย ผมจนพวกท่านทั้งกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้มีบาปกรรมเต็มตัวนั้น ปัญญา แต่พวกท่านอาจถือโอกาสนี้ให้ความร่วมมือการลิขิตหนังสือนี้ ก็อาจลดความทุกข์ทรมานลงได้บ้าง หรืออาจหลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนี้ได้
วิญญาณ ก: งั้นก็เยี่ยมซิ ขอแต่เพียงได้พ้นไปจากที่แห่งนี้เท่านั้นผมก็จะเผยประวัติโดยย่อครั้งเป็นมนุษย์อย่างหมดเปลือก สมัยเป็นมนุษย์ผมได้เข้าร่วมกับพวกโจรชุมนุมอยู่บนเขา ตั้งเป็นกองโจรเที่ยวปล้นฆ่าเผาจี้ชิงทรัพย์สินของชาวบ้าน และยังฉุดคร่าข่มขืนลูกเมียเจ้าทรัพย์ด้วย ที่สุดก็ถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองโอบล้อมค่าย ผมได้ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือเจ้าหน้าที่
ชิวเซิง: การที่คุณทำบาปชั่วช้าเช่นนี้ ตอนแรกไม่ได้คิดถึงเรื่องผลกรรมตามสนองหรอกหรือ?
วิญญาณ ก: ตอนแรกเพราะนึกอยากสนุก จึงถูกเพื่อนชักจูงไปที่ภูเขา โดยหลอกว่าเรื่องการกิน ดื่ม เล่น หาความ สุขมีทุกอย่าง ต่อเมื่อเข้าร่วมกับพวกเขาแล้ว จึงรู้ว่าเป็นค่ายโจรชื่อดัง จะเลิกก็ไม่ได้
ชิวเซิง: ยิ่งถลำยิ่งลึกโดยแท้ เอาละ...คุณจงเล่าเหตุการณ์หลังจากตายแล้วมาชิ
วิญญาณ ก: พอตายแล้วทำอะไรไม่ถูก ภาพความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่เคยกระทำครั้งยังมีชีวิตปรากฏออกมาที่กระจก ส่องบาปจนหมดสิ้น ทำให้ผมตกใจจนตะลึงงัน จากนั้นก็ถูกนำตัวไปลงโทษทัณฑ์ที่ขุมนรกต่าง ๆ อาทิเช่น ผ่าท้อง ควักไส้ ควักหัวใจ เป็นต้น เมื่อครบกำหนดโทษเหล่านั้นแล้วจึงถูกส่งต่อมาจองจำที่นรกอเวจีนี่ได้สองร้อยกว่าปีแล้ว ทุกข์ทรมานเหลือเกินฮือ ๆ.....
ชิวเซิง: “เดินทางผิด จิตซ้ำ ชั่วกัปกัลป์” เธอก็คือบทเรียนที่ดีสุด แล้วเธอคนนั้นล่ะจงเล่าประวัติมาชิ
วิญญาณ ข: ที่จริงผมเป็นลูกเศรษฐีมีเงิน เนื่องจากถูก จึงเกิดเป็นนิสัยเคยตัวชอบพ่อแม่รักและตามใจจนเกินไป เข้า ๆ ออก ๆ ในโรงน้ำชาเป็นประจำด้วยมาดของอาเสี่ยใหญ่ เมื่ออยากได้สิ่งใด เช่น สาวงาม โบราณวัตถุ หรือเพชรนิล จินดา ย่อมได้สมความปรารถนา หรือแม้แต่ซื้อเจ้าหน้าที่บางคนให้ใส่ความคนเข้าคุกหรือบีบคั้นจนต้องฆ่าตัวตายหรือหลอกพร่าความสาวหญิงชาวบ้าน ทำได้ทุกอย่างไม่คำนึงถึงความผิดถูก บัดนี้จึงต้องถูกจองจำอยู่ในอเวจีนี้ชั่วกัปกัลป์ ดื่มกินแต่น้ำดินโคลนเดือด ๆ เวลาหิวแม้แต่ดินโคลนก็ยังกิน หรือแย่งกันแทะกินซากศพของพวกเพื่อน ๆ กระดูกที่กองอยู่ ข้าง ๆ นั่นก็คือพวกเพื่อนที่ถูกกินแล้ว
ชิวเซิง: ป่าเถื่อนจริงแท้ มิน่าพวกเธอจึงต้องเป็นเช่นนี้
พัศดี: คุณชิวเชิง...ท่านจี้กงได้รออยู่ที่ปากถ้ำแล้วเราออกไปกันเถอะ
พระจี้กง: วันนี้ต้องรบกวนท่านหน่อยนะ
พัศดี: มิเป็นไร
ชิวเซิง: อาจารย์ครับ วิญญาณบาปพวกนี้ช่างป่าเถื่อนจริง แม้แต่ซากศพของพวกเพื่อนก็ยังแทะกินเลย
พระจี้กง: สมกับคำกล่าวที่ว่า “สันดานเดิมเปลี่ยนยาก” คืนนี้ก็เอาเพียงเท่านี้ก่อน ชิวเซิงกลับสำนักกันเถอะ
ชิวเซิง: ขอลาท่านพัศดีก่อน
พัศดี: ขอส่งท่านจี้กงและคุณชิวเชิง
พระจี้กง: มิต้องหรอก ชิวเซิงขึ้นดอกบัวเร็ว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง
ยมบาล ตัดสินตาม กฎบัญญัติ
โทษเคร่งครัด ชำระล้าง จิตหมองศรี
ฆ่าโมหะ เหลือธาตุแท้ ที่โสภี
บำเพ็ญดี ลุมรรคผล นิพพานเอย
พระจี้กง: เมื่อครู่นี้เหล่าเทพพรหมต่างได้ปรึกษาหารือ เรื่องการโปรดสัตว์โลก บรรยากาศแห่งสิริมงคลพวยพุ่งสู่เบื้องนภา
ชิวเซิง: เรื่องที่อาจารย์หารือกันเกี่ยวกับอะไรครับ?
พระจี้กง: เกี่ยวกับเรื่องหนังสือธรรมะ ว่าจะจ่ายแจกแบบไหนจึงจะได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
ชิวเซิง: แล้วผลสรุปเป็นอย่างไรครับ?
พระจี้กง: วันหลังท่านบรมครูกวนจะประกาศเองเมื่อถึงเวลานั้น สานุศิษย์ทั้งหลายเพียงแต่ปฏิบัติตามอย่างขัน แข็งย่อมจะบรรลุผล
ชิวเซิง: ก็ดีซิครับ การสามารถทำให้หนังสือธรรมะแพร่หลายไปในสังคมทุกมุมเมือง เป็นหน้าที่ของผู้ใฝ่ธรรมะ อยู่แล้ว โดยเฉพาะหนังสือต่าง ๆ ที่ลิขิตขึ้นโดยสำนักนี้ล้วนแต่เจียระไนกลั่นกรองจากเทพพรหมทั้งสิ้น
พระจี้กง: สานุศิษย์สำนักเซิ่งเทียนจะต้องมีความมานะ อดทน จึงจะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตกุศลทั้งหลาย นุนจากผู้มีจิตกุศลทั้งหลาย
ชิวเซิง: ใช่ครับ
พระจี้กง: เธอทราบมั้ยว่า ภายในปีแรกที่สำนักเซิ่งเทียนเปิดสำนักก็จะต้องลิขิตหนังสือถึง 12 เรื่อง
ชิวเซิง: เพราะอะไรจึงต้องให้พวกเราโหมงานแบบนี้ ทั้งที่เพิ่งเปิดสำนักเป็นปีแรกเท่านั้น
พระจี้กง: นี่เป็นเจตจำนงของเหล่าสานุศิษย์เองที่วอนขอต่อท่านประธานกวน เพื่อให้พวกเธอและเหล่าเทพพรหมได้ร่วมกันลิขิตหนังสืออันทรงคุณค่าวิเศษนี้ แม้จะเหนื่อยล้าสักหน่อยแต่เมื่อใดวรรณกรรมเหล่านี้ สำเร็จลุล่วงหนังสือธรรมของสำนักเซิ่งเทียน ก็จะได้รับการกล่าวขวัญจากผู้คนอย่างกว้างขวาง เมื่อขึ้นปีที่ 2 ก็ต้องพยายามทำให้หนังสือเหล่านี้ สามารถแพร่หลายไปได้กว้างไกลยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นการรับใช้สังคมอย่างหนึ่ง
ชิวเซิง: โอ ไฉนต้องเร่งรัดเช่นนั้น?
พระจี้กง: นี่เป็นมหาปณิธานของเจ้าสำนักที่ต้องปฏิบัติตามเทวโองการ
ชิวเซิง: อ๋อ ที่แท้อย่างนี้เอง
พระจี้กง: เธอควรรู้ว่าคุณไช่เชิงต้องรับภาระอันหนักอึ้งในการโปรดสัตว์ ซึ่งมักจะไม่ได้หลับนอนทั้งคืนอยู่บ่อย ๆ ทั้งนี้ล้วนเพื่อเหนี่ยวรั้งใจผู้คนที่กำลังจะจมดิ่งสู่ห้วงทะเลทุกข์มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องแบกภาระทั้งสองสำนัก เรื่องนี้เธอคงรู้แล้ว
ชิวเซิง: ครับ ความสามารถของเขา ผมเลื่อมใสจริง ๆ ผมยังประหลาดใจอยู่ว่าการศึกษาของพี่ไช่ก็ไม่สูงเท่าไรทั้งสุขภาพก็ไม่ใช่ว่าสมบูรณ์นัก อาศัยแต่ความมานะอดทนไฉนจึงสามารถเผชิญกับสภาวะอันยากลำบากเช่นนี้ได้ โดยไม่เคยบ่นย่อท้อเลย
พระจี้กง: ทั้งนี้ก็ด้วยการเพิ่มพลังทิพย์จากเทพพรหมเขาจึงทนทานต่อสภาวะดังกล่าวได้ แม้จะทุกข์ลำบากมาก หน่อยทว่า “การกินยอดขมได้ จึงจะเป็นยอดคน” มิใช่หรือ?
ชิวเซิง: ความจริงก็ใช่ ผมขออวยพรให้ท่านผู้อ่านที่กำลังฝึกฝนธรรมอยู่จงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเพียบพร้อมด้วยโชคลาภและปัญญา ถ้ามีทุกข์ก็ขอให้พวกเราแบกรับแทนก็แล้วกัน
พระจี้กง: เธอมีเมตตาจิตเช่นนี้หายากยิ่งนัก
ชิวเซิง: อาจารย์เยินยอไปแล้ว
พระจี้กง: คืนนี้ท่านยมบาลเชิญเราทั้งสองไปชมการตัดสินคดีที่เมืองยม เธอรู้สึกอย่างไร?
ชิวเซิง: เป็นการทัศนศึกษา ก็เยี่ยมซิครับ
พระจี้กง: เอาละ...ถึงเวลาเดินทางแล้ว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไปได้แล้วครับ
พระจี้กง: คดีที่ท่านยมบาลจะพิจารณาตัดสินในวันนี้ คือ คดีหั่นศพซึ่งเป็นคดีครึกโครมในท้องที่แห่งหนึ่ง
ชิวเซิง: ครับ (เมื่อพระจี้กงนำชิวเซิงเข้าไปในห้องโถงได้ เห็นยมบาลกำลังชำระคดีวิญญาณบาปตนหนึ่งอยู่ โดยมี ยมทูตหัววัวและหัวม้ายืนประจำที่อยู่ด้านซ้ายและขวา)
ยมบาล: เจ้าคนบาป เจ้ารู้ความผิดของเจ้ามั้ย?
วิญญาณบาป: ท่านอ๋อง โปรดอภัยโทษให้ผมเถิดครับผมไม่กล้าทำอีกแล้ว
ยมบาล: วันนี้สำนักเซิ่งเทียนแห่งเมืองไถจุงได้รับพระราชโองการให้ลิขิตหนังสือ โดยท่านจี้กงนำนายชิวเซิงมา เยือนถึงที่นี่ เจ้าจงรีบสารภาพมาตามตรงถึงการทำบาปเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์เพื่อบันทึกลงในหนังสือ
วิญญาณบาป: ผมเป็นคนภาคเหนือ ตั้งแต่เด็กผมมีนิสัยแปลกกว่าคนอื่น ไม่ชอบสุงสิงกับใคร พ่อแม่มักชอบพูดกับผมว่าเป็นผู้ชายต้องเปิดหูเปิดตา ไฉนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียวทั้งวัน ตอนนั้นผมเฉย ๆ ไม่ใส่ใจ จนเมื่อผมแต่งงานมีลูกแล้วนิสัยเช่นนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับยิ่งร้ายกว่าเดิม พอเจอกับเรื่องไม่สบอารมณ์ก็เกิดความไม่พอใจ โดยเฉพาะถึงกับลงไม้ลงมือทำร้ายคน วันหนึ่ง เนื่องจากร้อนเงินจึงไปขอยืมกับเพื่อนและเพราะถูกเพื่อนดู หมิ่นดูแคลนโดยมองผมด้วยสายตาเหยียดหยาม หนำซ้ำยัง พูดจาถากถางอีกว่า “แกนี้ไม่ได้ความเลย แม้แต่ลูกเมียก็ยังไร้ปัญญาหาเลี้ยงเป็นลูกผู้ชายแบบไหนกันวะ” เมื่อผมได้ฟังเช่นนั้นก็บันดาลโทสะสุดขีด จึงพูดอาฆาตใส่หน้าว่า “มึงจำ ไว้เดี๋ยวน่าดู” เนื่องจากขาดสติยั้งคิดไปชั่ววูบจึงไปหลังบ้าน คว้าเอาขวานอันหนึ่งถือโอกาสตอนขณะเผลอจามไปที่หัวเขาจนสิ้นใจตาย หลังจากนั้นด้วยเกรงคนมาพบเข้าจึงใช้ขวานหั่นศพเป็น 10-20 ท่อน บรรจุลงในกระสอบปุ๋ยแล้ว เอาเชือกมัดปากถุง ตกดึกก็นำเอาไปทิ้งในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง โดยคิดว่าคงไม่มีใครรู้ เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนมีคนไปพบเข้า ในช่วงระยะ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการชันสูตรศพหาร่องรอย 3-4 เดือนที่ผ่านไป ตอนกลางคืนขณะกำลังนอนรู้สึกคล้ายกับมีพลังลึกลับที่มองไม่เห็นตัวอย่างหนึ่งเที่ยวมาบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ได้ฆ่าเพื่อนแล้ว ผมมักจะคิดเสียใจอยู่เนือง ๆ ว่าผมกับคนผู้นี้ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางรุนแรงอันใด ไม่น่าถึงกับต้องฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมและยังตัดศพเป็นท่อนอีกด้วย ไม่ควรเลย ในที่สุดด้วยการสืบสวนสอบสวนอย่างได้ ผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมได้ถูกจับกุมไปดำเนินคดี และ ศาลได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิต ให้ตายตกไปตามกันโดยการยิงเป้าด้วยกระสุน 3 นัดซ้อนตายคาหลักประหาร
ยมบาล: ทำความผิดใด ย่อมต้องรับโทษนั้น แต่นั่นเป็นเพียงการลงโทษจากกฎหมายเมืองมนุษย์เท่านั้น แล้วถูกกฎ บัญญัติเมืองนรกจัดการอย่างไรบ้าง?
วิญญาณบาป: เมื่อผมตายแล้วยมทูตขาวดำได้จับตัวผมล่ามโซ่ตรวนนำไปที่เมืองนรก ถูกนำไปที่ดงหมาป่าได้ถูก พวกหมาป่ารุมกัดทิ้งจนเป็นแผลเต็มตัว และให้เดินข้ามสะพานมรณะ พอเดินถึงกลางสะพานก็ถูกพวกนิรยบาล ผลักตกลงไปใต้สะพานให้พวกงูพิษฉกกัดและเจาะชอนไช ทะลุเข้าไปที่อกบ้าง ที่ท้องบ้าง ชอนไชเข้าชอนไชออกจนทั่วร่างกายสุดจะทนไหว แล้วยังต้องถูกลงทัณฑ์จากนรกขุมอื่นอีก เจ็บปวดทรมานจนบรรยายไม่ถูก ท่านอ๋องได้โปรดกรุณาอภัยโทษให้ผมสักครั้งเถิดครับ
ยมบาล: ความจริงเราก็เมตตาอยู่ แต่เจ้าสูญสิ้นซึ่งจิตมนุษย์ ใช้วิธีการอันป่าเถื่อนฆ่าเพื่อนแล้วยังหั่นศพเป็นท่อน เช่นนั้น ทำให้จิตวิญญาณของเขากระจัดกระจาย ความผิดของเจ้าร้ายแรงเกินกว่าจะอภัยได้ เราขอตัดสินให้เจ้าตกนรกผึ้งพิษ 30 ปี เมื่อครบกำหนดนี้แล้วค่อยพิจารณาโทษอื่นอีกต่อไป
วิญญาณบาป: ท่านอ๋องได้โปรดอภัยโทษให้ผมเถิดครับโปรดให้โอกาสผมได้กลับตัวใหม่อีกสักครั้ง ผมจะ ประพฤติตนให้เป็นพลเมืองดีอย่างแน่นอน โปรดอภัยโทษให้ผมเถิดครับโปรดอภัยโทษให้ผมเถิดครับ
ยมบาล: สายเกินไปเสียแล้ว เจ้าจงไปรับโทษโดยดีเถิด การตัดสินคดีในวันนี้ยุติเพียงเท่านี้ เอาตัวจำเลยไปเลิกศาล!
ยมบาล: ท่านจี้กงเชิญนั่งครับ
พระจี้กง: วันนี้ได้นำศิษย์มาชมการตัดสินคดีด้วยต้องรบกวนหน่อย
ยมบาล: หามิได้ เมื่อครู่นี้เนื่องจากติดหน้าที่ หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ขอท่านจี้กงโปรดอภัยด้วย
พระจี้กง: มิเป็นไร มิเป็นไร นี่ก็ดึกแล้วคงต้องขอตัวกลับก่อน ชิวเซิงรีบอำลาท่านยมบาล
ยมบาล: เจ้าหน้าที่ยมทั้งหลายตั้งแถวส่งแขก
ชิวเซิง: ชิวเซิงรีบขึ้นดอกบัว
ชิวเซิง: ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง: ถึงสำนึกเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเชิงลงจากดอกบัววิญญาณกลับเข้าร่าง