Translate

13 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

 [๒๓๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น พวกภิกษุณีพากันฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลาย แล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปตามชนบท ผ้าจีวรเหล่านั้นถูกเก็บไว้นาน ก็ขึ้นราตกหนาว ภิกษุณีพวกที่รับฝาก จึงผึ่งผ้าจีวรเหล่านั้น ภิกษุณีทั้งหลายได้ถามภิกษุณีพวกที่รับฝากว่า แม่เจ้า ผ้าจีวรเหล่านี้ของใครตกหนาว?  จึงภิกษุณีพวกที่รับฝากได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลายแล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปในชนบทเล่า 

ทรงสอบถาม

 พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลาย แล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปในชนบท จริงหรือ?.
     ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลาย แล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปในชนบทเล่าการกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๗๙. ๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังวาระผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิ อันมีกำหนด ๕ วันให้เกินไป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๓๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า ยังวาระผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิอันมีกำหนด ๕ วัน ให้เกินไป อธิบายว่า ไม่นุ่งไม่ห่ม ไม่ผึ่งผ้าจีวรทั้ง ๕ ผืน ในวันคำรบห้า ให้เลยวันคำรบห้าไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๒๓๓] เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่าเลย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    เลย ๕ วัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่ายังไม่เลย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกะทุกกฏ 
    ยังไม่เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่าเลย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ยังไม่เลย ๕ วัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 

ไม่ต้องอาบัติ

    ยังไม่เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่ายังไม่เลย ไม่ต้องอาบัติ. 
     อนาปัตติวาร    [๒๓๔] นุ่ง ห่ม หรือผึ่ง จีวรทั้ง ๕ ผืนในวันคำรบห้า ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๔

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :-
     วัน ๕ วัน ชื่อ ปัญจาหะ. ปัญจาหะนั้นเอง ชื่อว่า ปัญจาหิกะ. วาระผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิทั้งหลาย ชื่อว่า สังฆาฏิวาระ. การผลัดเปลี่ยนจีวร ๕ ผืน ที่ได้ชื่อว่าสังฆาฏิ 
    โดยอรรถว่า สับเปลี่ยนสลับกันไป ด้วยการบริโภคใช้สอยบ้าง ด้วยอำนาจการผึ่งแดดบ้าง. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในบทภาชนะว่า ให้จีวร ๕ ผืนล่วงเลยวันคำรบ ๕ ไป. 
     ก็ในคำว่า อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ มีวินิจฉัยว่า ในจีวรผืนเดียวเป็นอาบัติตัวเดียว ในจีวร ๕ ผืน เป็นอาบัติ ๕ ตัว. 
     บทว่า อาปทาสุ มีความว่า จีวรมีราคาแพง เป็นขอที่ภิกษุณีไม่อาจจะบริโภคใช้สอย เพราะอันตรายมีโจรภัยเป็นต้น ในอุปัทวะเห็นปานนี้ ไม่เป็นอาบัติ. 
 คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกับกฐินสิกขาบท เป็นอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๒๒๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งเอาผ้าสำหรับทำจีวร ซึ่งมีราคามากมาทำจีวร เย็บจีวรให้เสียไป ภิกษุณีถุลลนันทาได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีรูปนั้นว่า แม่เจ้า ผ้าสำหรับทำจีวรของท่านผืนนี้เนื้อดี แต่ทำจีวรไม่ดี เย็บไม่สวย. 
               ภิกษุณีรูปนั้นถามว่า แม่เจ้า ดิฉันจักเลาะออก ท่านจักเย็บให้หรือ? 
               ภิกษุณีถุลลนันทาตอบว่า จ้ะ ดิฉันจักเย็บให้. 
               ครั้นแล้วภิกษุณีรูปนั้นได้เลาะจีวรนั้นให้แก่ภิกษุณีถุลลนันทา.  ภิกษุณีถุลลนันทากล่าวว่าดิฉันจักเย็บให้ ดิฉันจักเย็บให้ แล้วไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บ ดังนั้นภิกษุณีรูปนั้นจึงแจ้ง เรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. 
               บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาให้เลาะจีวรของภิกษุณีแล้ว จึงไม่เย็บให้ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บให้เล่า 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาให้เลาะจีวรของภิกษุณีแล้วไม่เย็บให้ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บให้จริงหรือ? 
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาให้เลาะจีวรของภิกษุณีแล้ว จึงได้ไม่เย็บให้ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บให้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส. 
               ดูกรภิกษุทั้งหลายก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้.

 พระบัญญัติ

 ๗๘. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวรของภิกษุณีแล้ว เธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๒๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               บทว่า ของภิกษุณี ได้แก่ ภิกษุณีรูปอื่น. 
               ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่จีวร ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง. 
               บทว่า เลาะ คือ เลาะด้วยตนเอง. 
               บทว่า ให้เลาะ คือ ให้ผู้อื่นเลาะ. 
               คำว่า เธอไม่มีอันตรายในภายหลัง คือ ในเมื่ออันตรายไม่มี. 
               บทว่า ไม่เย็บ คือไม่เย็บด้วยตนเอง. 
               บทว่า ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้เย็บ คือ ไม่บังคับผู้อื่น. 
               คำว่า พ้น ๔-๕ วันไป คือเก็บไว้ได้ ๔-๕ วัน พอทอดธุระว่าจักไม่เย็บ จักไม่ทำความขวนขวายเพื่อให้เย็บ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๒๒๙] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดีซึ่งจีวร แล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวร แล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวรแล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไปต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ปัญจกะทุกกฎ

               เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งบริขารอย่างอื่น แล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลังไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวรก็ดี บริขารอย่างอื่นก็ดี ของอนุปสัมบันแล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร

               [๒๓๐] ในเมื่อเหตุจำเป็นมี ๑ แสวงหาแล้วไม่ได้ ๑ ทำอยู่เกิน ๔-๕ วัน ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๓

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :-
                บทว่า อนนฺตรายิกินี ได้แก่ ผู้ไม่มีอันตราย ด้วยอันตรายแม้อย่างหนึ่งในอันตราย ๑๐ อย่าง. 
                สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิตฺตมตฺเต มีความว่า ภิกษุณีทอดธุระเสียแล้ว ถ้าแม้นภายหลังจึงเย็บ เป็นอาบัติเหมือนกัน. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

 [๒๒๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุณีทั้งหลายแล้ว. ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝนแล้วจึงใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณเลื้อยข้างหน้าบ้าง เลื้อยข้างหลังบ้าง เที่ยวไป. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ จึงได้ใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณ จริงหรือ?. 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

     พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จึงได้ใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

  พระบัญญัติ

     ๗๗.๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้จะให้ทำผ้าอาบน้ำ พึงให้ทำให้ได้ประมาณ นี้ ประมาณในคำนั้น โดยยาว ๔ คืบ โดยกว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต เธอทำให้ล่วงประมาณนั้น เป็นปาจิตตีย์ มีอันให้ตัดเสีย. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๒๔] ที่ชื่อว่า ผ้าอาบน้ำ ได้แก่ ผ้าสำหรับนุ่งอาบน้ำ.
               บทว่า ผู้จะให้ทำ อธิบายว่า ทำเองก็ดี ให้ผู้อื่นทำก็ดี ต้องทำให้ได้ประมาณ ประมาณในคำนั้นดังนี้ คือ โดยยาว ๔ คืบ โดยกว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต ทำเองก็ดี ให้ผู้อื่นทำก็ดี ให้ล่วงประมาณนั้นไป เป็นทุกกฏในประโยค ได้มาพึงตัดเสีย แล้วแสดงอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์จตุกกะปาจิตตีย์

               [๒๒๕] ผ้าอาบน้ำที่ตนทำค้างไว้ ตนทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               ผ้าอาบน้ำที่ตนทำค้างไว้ ให้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               ผ้าอาบน้ำที่ผู้อื่นทำค้างไว้ ตนทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               ผ้าอาบน้ำที่ผู้อื่นทำค้างไว้ ใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

 ทุกะทุกกฎ

               ทำเองก็ดี ให้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.    ได้ผ้าอาบน้ำที่คนอื่นทำไว้มาใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.

 อนาปัตติวาร

 [๒๒๖] ทำให้ได้ประมาณ ๑ ทำหย่อนกว่าประมาณ ๑ ได้ผ้าอาบน้ำที่ผู้อื่นทำไว้เกินประมาณ ตัดให้ได้ประมาณแล้วใช้สอย ๑ ทำเป็นเพดาน ผ้าลาดพื้น ม่าน ฟูก หรือหมอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.  นัคควรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๒ 

คำทั้งหมดในสิกขาบทที่ ๒ ตื้นทั้งนั้น.
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล

12 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

 [๒๒๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี  ครั้งนั้น ภิกษุณีหลายรูปเปลือยกายอาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดี ท่าเดียวกันกับพวกหญิงแพศยา. 
               พวกหญิงแพศยาได้พูดยั่วเย้าภิกษุณีเหล่านั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกท่านยังเป็นสาว จะประพฤติพรหมจรรย์ไปทำไมกัน ธรรมดาบุคคลต้องบริโภคกามมิใช่หรือต่อภายแก่พวกท่านจึงค่อยประพฤติพรหมจรรย์เถิด อย่างนี้พวกท่านจักได้รับประโยชน์ทั้งสองประการ 
               พวกภิกษุณีถูกพวกหญิงแพศยาพูดยั่วเย้าอยู่ ได้เป็นผู้เก้อเขิน ครั้นกลับไปสู่สำนักแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลายได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 

ทรงบัญญัติสิกขาบท

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุณีทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

  พระบัญญัติ

     ๗๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด เปลือยกายอาบน้ำ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๒๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               บทว่า เปลือยกายอาบน้ำ คือ ไม่นุ่งผ้า หรือไม่ห่มผ้าอาบน้ำ เป็นทุกกฏในประโยคอาบเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

 อนาปัตติวาร

    [๒๒๒] มีจีวรถูกโจรชิงไป หรือจีวรหาย ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๑

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งนัคควรรค พึงทราบดังนี้:- 
                บทว่า พฺรหฺมจริยํ จิณฺเณน คือ ด้วยพรหมจรรย์ที่พวกท่านประพฤติกัน.
                อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.
                บทว่า อจฺฉินฺนจีวริกาย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาผ้าอาบน้ำ มิได้ทรงหมายเอาจีวรชนิดอื่น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุณีเปลือยกายอาบน้ำ เมื่อผ้าอาบน้ำถูกชิงไปก็ดี หายเสียก็ดี ไม่เป็นอาบัติ.
    ถ้าแม้นว่า จีวรคือผ้าอาบน้ำมีค่ามาก ภิกษุณีไม่อาจเพื่อจะนุ่งออกไปภายนอกได้ แม้อย่างนี้ จะเปลือยกายอาบน้ำ ก็ควร. 
คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี

 [๒๑๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีจัณฑกาลีทะเลาะกับภิกษุณีทั้งหลาย แล้วร้องไห้ประหารตนเอง.    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าจัณฑกาลีจึงได้พร่ำตีตนแล้วร้องไห้เล่า. 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีจัณฑกาลีพร่ำตีตนแล้วร้องไห้ จริงหรือ? 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้พร่ำตีตนแล้วร้องไห้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๗๕. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด พร่ำตีตนแล้วร้องไห้ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

       [๒๑๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
       บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
       บทว่า ตน คือ ร่างกายของตน. พร่ำตี แล้วร้องไห้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ตี ไม่ร้องไห้ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ร้องไห้ ไม่ตี ต้องอาบัติทุกกฏ 

อนาปัตติวาร

    [๒๑๙] อันความเสื่อมแห่งญาติ อันความวอดวายแห่งโภคะ หรืออันความเบียดเบียนแห่งโรคกระทบกระทั่ง จึงร้องไห้ ไม่ตีตน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
อันธการวรรคสิกขาบทที่ ๑๐ จบ. ปาจิตตีย์วรรค ๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๑๐

คำทั้งหมดในสิกขาบทที่ ๑๐ ตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดทางกายวาจาและจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.
อรรถกถาอันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
อรรถกถาอันธการวรรคที่ ๒ จบ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี

 [๒๑๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายหาบริขารของตนไม่พบ ต่างก็ถาม ภิกษุณีจัณฑกาลีดังนี้ว่า แม่เจ้า ท่านเห็นบริขารของพวกดิฉันบ้างไหม?  ภิกษุณีจัณฑกาลีเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ข้าพเจ้าคนเดียวเป็นโจรแน่ละ ข้าพเจ้าคนเดียวเป็นคนไม่ละอายแน่ละ เพราะแม่เจ้าพวกที่หาบริขารของตนไม่พบ ต่างก็มากล่าวอย่างนี้ กะ ข้าพเจ้าว่า แม่เจ้า ท่านเห็นบริขารของพวกดิฉันบ้างไหม แม่เจ้าทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้าถือเอาบริขารของพวกท่านไป ข้าพเจ้าก็มิใช่สมณะ ย่อมเคลื่อนจากพรหมจรรย์ ต้องตกนรก แม้แม่เจ้าที่กล่าวอย่างนั้นกะข้าพเจ้าด้วยคำไม่จริง ก็ขอให้เป็นไม่ใช่สมณะ ต้องเคลื่อนจากพรหมจรรย์ต้องตกนรก. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าจัณฑกาลีจึงได้แช่งตนและคนอื่นด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีจัณฑกาลีแช่งตนและคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้าง จริงหรือ? 
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้แช่งตนและคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๗๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด แช่งตนก็ดี คนอื่นก็ดี ด้วยนรก หรือด้วยพรหมจรรย์เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๑๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               บทว่า ตน คือ ตัวของตัวเอง. 
               บทว่า คนอื่น ได้แก่ อุปสัมบัน แช่ง ด้วยคำว่านรกก็ดี ด้วยคำว่า พรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๒๑๕] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ปัญจกะทุกกฎ

               ภิกษุณีแช่งด้วยคำว่ากำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ด้วยคำว่าเปรตวิสัยก็ดี ด้วยคำว่าเป็นคนโชคร้ายก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               แช่งอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

 อนาปัตติวาร

    [๒๑๖] มุ่งอรรถ ๑ มุ่งธรรม ๑ มุ่งสั่งสอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๙

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า อภิสเปยฺย ได้แก่ พึงทำการสบถ. 
                อธิบายว่า ที่ชื่อว่าแช่งด้วยนรก ได้แก่ ด่าทอ ปริภาษ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด ขอให้ผู้ขโมย จงเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด. 
                ที่ชื่อว่า แช่งด้วยพรหมจรรย์ ได้แก่ ด่าทอ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราจงเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้นุ่งผ้าขาว เป็นปริพาชิกาเถิด. หรือภิกษุณีนอกนี้ จงเป็นเช่นนี้เถิด. เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด 
                แต่เมื่อด่าโดยนัยเป็นต้นว่า ขอให้เราเป็นนางสุนัข เป็นนางสุกร เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อยเถิด. เว้นนรกและและพรหมจรรย์เสีย เป็นทุกกฏทุกๆ คำพูด. 
                บทว่า อตฺถปุเรกฺขาราย คือ ผู้กล่าวอรรถกถา. 
                บทว่า ธมฺมปุเรกฺขาราย คือ ผู้สอนบอกบาลี. 
                บทว่าอนุสาสนีปุเรกฺขาราย มีความว่า เมื่อตั้งอยู่ในอนุสาสนีกล่าวสอนอย่างนี้ว่า แม้บัดนี้ ท่านยังเป็นเช่นนี้ ดีละท่านจงงดเว้น ถ้าท่านไม่งดเว้น จักทำกรรมเห็นปานนี้อีก ก็จักเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานแน่นอน ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี

 [๒๐๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี  ครั้งนั้น ภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี ย่อมตั้งใจปฏิบัติพระภัททากาปิลานีเถรีๆ จึงได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีทั้งหลายว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ภิกษุณีรูปนี้ปฏิบัติข้าพเจ้าโดยเคารพ ข้าพเจ้าจักให้จีวรแก่ภิกษุณีรูปนี้ แต่ภิกษุณีรูปนั้นให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนาโดยให้เชื่อถือผิดว่า เข้าใจผิดว่า แม่เจ้า ข่าวว่า ดิฉันมิได้ปฏิบัติแม่เจ้าโดยเคารพ ข่าวว่าแม่เจ้าจักไม่ให้จีวรแก่ดิฉัน ดังนี้. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนาโดยให้เชื่อถือผิด เข้าใจผิดเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนา โดยให้เชื่อถือผิด เข้าใจผิด จริงหรือ? 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนาโดยให้เชื่อถือผิด เข้าใจผิดเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๗๓. ๘. อนึ่ง ภิกษุณีใด ให้คนอื่นโพนทะนา โดยให้เชื่อผิด เข้าใจผิด เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี จบ.

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๑๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า โดยให้เชื่อผิด คือ โดยให้เชื่อเป็นอย่างอื่น. 
    บทว่า เข้าใจผิด คือ ให้เข้าใจเป็นอย่างอื่น. 
    บทว่า คนอื่น ได้แก่ อุปสัมบัน ให้อุปสัมบันโพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๒๑๑] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ให้โพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ให้โพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่า อนุปสัมบัน ให้โพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

จตุกกะทุกกฎ

   ภิกษุณีให้อนุปสัมบันโพนทะนา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร

    [๒๑๒] วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๘

คำทั้งหมดในสิกขาบทที่ ๘ ตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

 [๒๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีหลายรูปพากันไปสู่พระนครสาวัตถีในโกศลชนบท พอเข้าถึงบ้านหมู่หนึ่งในเวลาเย็นได้เข้าสู่สกุลพราหมณ์สกุลหนึ่ง ขอที่พักแรม. จึงพราหมณีได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีเหล่านั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ขอได้โปรดรอจนกว่าท่านพราหมณ์จะมา.  ภิกษุณีทั้งหลายกล่าวว่า จนกว่าท่านพราหมณ์จะมา ดังนี้ แล้วได้จัดปูลาดเครื่องสำหรับนอน แล้วบ้างพวกนั่ง บางพวกนอน. 
                ตกค่ำพราหมณ์มาเห็นแล้วได้ถามพราหมณีนั้นว่า สตรีเหล่านี้คือใครกัน? 
                พราหมณี ตอบว่า ภิกษุณีเจ้าค่ะ. 
                พราหมณ์กล่าวว่า จงขับไล่ไป สตรีศีรษะโล้นเหล่านี้เป็นหญิงเสเพล ดังนี้ แล้วให้ขับไล่ออกจากเรือนไป. 
                ครั้นภิกษุณีเหล่านั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เข้าสู่สกุลในเวลาวิกาล แล้วไม่บอกเจ้าของบ้าน ปูลาดเองบ้างให้ผู้อื่นปูลาดบ้าง ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งบ้าง นอนบ้างเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีทั้งหลายเข้าสู่สกุลในเวลาวิกาล แล้วไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน ปูลาดเองบ้าง ให้ผู้อื่นปูลาดบ้าง ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เข้าสู่สกุลในเวลาวิกาล แล้วไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน ลาดเองบ้าง ให้ผู้อื่นลาดบ้าง ซึ่งเครื่องนอนแล้วนั่งบ้าง นอนบ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๗๒. ๗. อนึ่ง ภิกษุณีใด เข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาวิกาล ไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งก็ดี นอนก็ดี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

                [๒๐๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
                ที่ชื่อว่า เวลาวิกาล ได้แก่ เวลาตั้งแต่อาทิตย์อัสดงคตตราบเท่าถึงอรุณขึ้น. 
                ที่ชื่อว่า สกุล ได้แก่ สกุล ๔ คือ สกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ สกุลแพศย์ สกุลศูทร์. 
                บทว่า เข้าไป คือ ไปในสกุลนั้น.
                คำว่า ไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน คือ ไม่บอกคนในสกุลนั้นซึ่งเป็นเจ้าของถวาย. 
                ที่ชื่อว่า เครื่องนอน ได้แก่ เครื่องปูลาด โดยที่สุดแม้เครื่องลาดที่ทำด้วยใบไม้. 
                บทว่า ลาด คือ ลาดเอง. 
                บทว่า ให้ลาด คือ ใช้คนอื่นลาด. 
                บทว่า นั่ง คือ นั่งบนเครื่องนอนที่ลาดนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                บทว่า นอน คือ นอนบนเครื่องนอนที่ลาดนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

   [๒๐๗] มิได้บอกเจ้าของ ภิกษุณีสำคัญว่ามิได้บอก ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอนแล้วนั่งหรือนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    มิได้บอกเจ้าของ ภิกษุณีสงสัย ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งหรือนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
    มิได้บอกเจ้าของ ภิกษุณีสำคัญว่าบอกแล้ว ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งหรือนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ทุกะทุกกฎ

      บอกเจ้าของแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่ามิได้บอก ต้องอาบัติทุกกฏ.  บอกเจ้าของแล้ว ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

    บอกเจ้าของแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าบอกแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

    [๒๐๘] ภิกษุณีบอกเจ้าของแล้ว ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งหรือนอน ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๒๐๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทา เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหารแล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้าน คนในบ้านกระดากภิกษุณีถุลลนันทาไม่กล้านั่ง ไม่กล้านอนบนอาสนะ  เขาจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้าน เล่า ...  ภิกษุณี ทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้น พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทา จึงได้เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาเข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านจริงหรือ? 
    ภิกษุณีทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

  ๗๑. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหารไม่บอกกล่าวพวกเจ้าของบ้าน นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๐๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า เวลาหลังอาหาร ได้แก่เวลาเที่ยงล่วงไปแล้ว ตราบเท่าพระอาทิตย์อัสดงคต. 
    ที่ชื่อว่า สกุล ได้แก่สกุล ๔ คือ สกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ สกุลแพศย์ สกุลศูทร์ 
    บทว่า เข้าไป คือ ไปในสกุลนั้น. 
    คำว่า ไม่บอกกล่าวพวกเจ้าของบ้าน คือ ไม่บอกคนในสกุลนั้นซึ่งเป็นเจ้าของถวาย. 
    ที่ชื่อว่า อาสนะ ได้แก่สถานที่เขาเรียกกันว่าแท่นหรือเตียงอันว่าง.     บทว่า นั่ง นั่งลงบนอาสนะนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บทว่า นอน คือ นอนลงบนอาสนะนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๒๐๓] มิได้บอกกล่าว ภิกษุณีสำคัญว่ามิได้บอกกล่าว นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    มิได้บอกกล่าว ภิกษุณีสงสัย นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    มิได้บอกกล่าวภิกษุณีสำคัญว่าบอกกล่าวแล้ว นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฎ

        นั่ง ณ สถานอันมิใช่แท่นหรือเตียง ต้องอาบัติทุกกฏ. 
       บอกกล่าวแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่ายังมิได้บอกกล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ.  บอกกล่าวแล้ว ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
    บอกกล่าวแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าบอกกล่าวแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร     [๒๐๔] บอกแล้ว นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ ๑ บนอาสนะที่เขาปูไว้เป็นประจำ ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๖

 วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๖ พึงทราบดังนี้ :-
     บทว่า อภินิสีเทยฺย แปลว่า พึงนั่ง. เมื่อนั่งแล้วลุกไป เป็นอาบัติตัวเดียว. เมื่อไม่นั่ง นอนแล้วไป เป็นอาบัติตัวเดียว. เมื่อนั่งแล้วนอน เป็นอาบัติ ๒ ตัว. 
     บทว่า ธุวปญฺญตฺเต ได้แก่ อาสนะที่เขาปูไว้เป็นประจำ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุณีทั้งหลาย. 
 คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกับกฐินสิกขาบท มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง

 [๑๙๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งเป็นกุลุปิกาของสกุลแห่งหนึ่ง รับภัตตาหารเป็นประจำ จึงภิกษุณีนั้นครั้นเวลาเช้า ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเดินผ่านเข้าไปทางสกุลนั้น ครั้นถึงจึงนั่งบนอาสนะแล้วไม่บอกลาเจ้าของบ้านกลับไป ทาสีแห่งสกุลนั้นมัวสาละวนเก็บกวาดเรือน ได้เก็บอาสนะนั้นลงในกระโถน คนในบ้านไม่เห็นอาสนะ จึงถามภิกษุณีนั้นว่า ข้าแต่แม่เจ้า อาสนะนั้นอยู่ที่ไหน? 
    ภิกษุณีนั้นปฏิเสธว่า อาวุโส ดิฉันไม่เห็นอาสนะนั้น. 
    คนเหล่านั้นกล่าวคาดคั้นว่า ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านจงให้อาสนะนั้น ดังนี้แล้ว ได้บอกเลิกถวายภัตตาหารประจำ ภายหลังเขาชำระเรือนพบอาสนะนั้นอยู่ในกระโถน จึงขอขมาโทษภิกษุณีนั้นแล้วได้เริ่มต้นถวายภัตตาหารประจำต่อไป. 
    ส่วนภิกษุณีนั้นได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีเข้าสู่สกุลในเวลา ก่อนอาหารนั่งบนอาสนะแล้ว จึงไม่ได้บอกลาเจ้าของบ้านก่อนกลับเล่า

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีเข้าสู่สกุลในเวลาก่อนอาหาร นั่งบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลาเจ้าของบ้านก่อนกลับ จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีเข้าสู่สกุลในเวลาก่อนอาหาร นั่งบนอาสนะแล้ว จึงได้ไม่บอกลาเจ้าของบ้านก่อนกลับเล่า การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๗๐. ๕. อนึ่ง ภิกษุณีใด เข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาก่อนอาหาร นั่งบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลาเจ้าของบ้าน หลีกไป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๑๙๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า เวลาก่อนอาหาร คือเวลาอรุณขึ้นตราบเท่าเที่ยงวัน. 
    ที่ชื่อว่า สกุล ได้แก่สกุล ๔ คือ สกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ สกุลแพศย์ สกุลศูทร์. 
    บทว่า เข้าไป คือ ไปในสกุลนั้น.
    ที่ชื่อว่า อาสนะ ได้แก่ เอกเทสที่เขาเรียกกันว่าที่สำหรับนั่งพับพแนงเชิง. 
    บทว่า นั่ง คือ นั่งบนอาสนะนั้น. 
    คำว่า ไม่บอกลาเจ้าของบ้าน หลีกไป ความว่า ไม่อำลาคนในสกุลนั้นซึ่งเป็นเจ้าของถวาย. 
    เดินพ้นชายคา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ในที่แจ้ง เดินล่วงอุปจาร ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๑๙๙] ยังมิได้บอกลา ภิกษุณีสำคัญว่า ยังมิได้บอกลา หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    ยังมิได้บอกลา ภิกษุณีสงสัย หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    ยังมิได้บอกลา ภิกษุณีสำคัญว่า บอกลาแล้ว หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฎ

    ไม่ใช่สถานที่สำหรับนั่งพับพแนงเชิง ต้องอาบัติทุกกฏ.     บอกลาแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ยังมิได้บอกลา ต้องอาบัติทุกกฏ.     บอกลาแล้ว ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
    บอกลาแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าบอกลาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร   [๒๐๐] บอกลาแล้วไป ๑ อาสนะเคลื่อนที่ไม่ได้ ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๕

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :- 
     สองบทว่า ฆรํ โสเธนฺตา มีความว่า ได้ยินว่า ชนเหล่านั้นได้มีความปริวิตกนี้ว่า การล่วงละเมิดทางกายทางวาจาบางอย่างของพระเถรีไม่ปรากฏ. พวกเราจงช่วยกันชำระเรือนดูบ้างก่อนเถิด เพราะฉะนั้น พวกเจ้าของบ้าน เมื่อชำระเรือนจึงได้พบอาสนะ. 
     สองบทว่า อโนวสฺสิกํ อติกฺกมนฺติยา มีความว่า ภิกษุณีเมื่อให้เท้าแรกก้าวเลยไป เป็นทุกกฎ. เมื่อให้เท้าที่ ๒ ก้าวเลยไปเป็นปาจิตตีย์. 
     แม้ในการก้าวล่วงอุปจาร ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
     บทว่า คิลานาย คือ ไม่อาจจะบอกลา เพราะอาพาธเช่นนั้น. 
     บทว่า อาปาทาสุ มีความว่า ที่เรือนเกิดไฟไหม้ขึ้น หรือถูกพวกโจรปล้น ในอันตรายเห็นปานนี้ ไม่บอกลาหลีกไปเสีย ไม่เป็นอาบัติ. 
 คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.