Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปาจิตตีย์.นัคควรรค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปาจิตตีย์.นัคควรรค แสดงบทความทั้งหมด

15 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๓๑๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.   ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาให้ของเคี้ยวของบริโภคแก่พวกครูฟ้อนรำบ้าง แก่พวกฟ้อนรำบ้าง แก่พวกโดดไม้สูงบ้าง แก่พวกจำอวดบ้าง แก่พวกเล่นกลองบ้าง  ด้วยมือของตนพร้อมกับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงกล่าวสรรเสริญข้าพเจ้าในที่ชุมชนพวกครูฟ้อนรำก็ดี พวกฟ้อนรำก็ดี พวกโดดไม้สูงก็ดี พวกจำอวดก็ดี พวกเล่นกลองก็ดี  ต่างก็กล่าวสรรเสริญภิกษุณีถุลลนันทาในที่ชุมชนว่า แม่เจ้าถุลลนันทาเป็นพหูสูต เป็นคนช่างพูด เป็นผู้องอาจ สามารถเจรจาถ้อยคำมีหลักฐาน ท่านทั้งหลายจงถวายแก่แม่เจ้า จงทำแก่แม่เจ้า ดังนี้.  บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ให้ของเคี้ยวของบริโภคแก่ชาวบ้านด้วยมือของตนเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาให้ของเคี้ยวของบริโภคแก่ชาวบ้านด้วยมือของตนเอง จริงหรือ?. 
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทา จึงได้ให้ของเคี้ยวของบริโภคแก่ชาวบ้านด้วยมือของตนเองเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

    ๑๐๑. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด ให้ของเคี้ยวหรือของบริโภคแก่ชาวบ้านก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ด้วยมือของตนเอง เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ

สิกขาบทวิภังค์

               [๓๑๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า ชาวบ้าน ได้แก่ บุคคลผู้ครองเรือนผู้ใดผู้หนึ่ง. 
               ที่ชื่อว่า ปริพาชก ได้แก่ บุรุษผู้ใดผู้หนึ่ง ผู้บวชเป็นปริพาชก เว้นภิกษุ และสามเณร. 
               ที่ชื่อว่า ปริพาชิกา ได้แก่ สตรีผู้ใดผู้หนึ่ง ผู้บวชเป็นปริพาชิกา เว้นภิกษุณี สิกขมานาและสามเณรี. 
               ที่ชื่อว่า ของเคี้ยว ได้แก่ ของเคี้ยว เว้นโภชนะ ๕ น้ำและไม้ชำระฟัน นอกนั้นชื่อว่าของเคี้ยว. 
               ที่ชื่อว่า ของบริโภค ได้แก่ โภชนะ ๕ คือข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ. 
               บทว่า ให้ คือ ให้ด้วยกายก็ดี ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ดี ด้วยโยนให้ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ให้น้ำ ไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 

อนาปัตติวาร

    [๓๑๓] ใช้ผู้อื่นให้ ๑ มิได้ให้ ๑ วางให้ ๑ ให้ของลูบไล้ภายนอก ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรค

สิกขาบทที่ ๖

    คำทั้งหมดในสิกขาบทที่ ๖ บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในอาคารริกสิกขาบท ในนัคควรรคนั่นแล. 
แต่มีความแปลกกันอย่างนี้ :- 
     อาคาริกสิกขาบทนั้นมีสมุฏฐาน ๖ สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เพราะท่านกล่าวว่า ด้วยมือของตนเอง เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

13 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องอุบาสกคนหนึ่ง

 [๒๕๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น อุบาสกคนหนึ่งให้ช่างสร้างวิหารหลังหนึ่งอุทิศสงฆ์ ในงานฉลองวิหารนั้น เขามีความประสงค์จะถวายอกาลจีวรแก่สงฆ์ทั้งสองฝ่าย แต่ สมัยนั้น สงฆ์ทั้งสองฝ่ายกรานกฐินแล้ว จึงอุบาสกเข้าไปหาสงฆ์แล้วขอการเดาะกฐิน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.   ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อเดาะกฐิน  แต่ พึงเดาะอย่างนี้. อันภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 

กรรมวาจา

               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงเดาะกฐิน นี่เป็นญัตติ. 
               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ย่อมเดาะกฐิน การเดาะกฐิน ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด. 
               กฐินอันสงฆ์เดาะแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้. 
 [๒๕๔] ครั้นแล้ว อุบาสกนั้นเข้าไปหาภิกษุณีสงฆ์ขอเดาะกฐิน. ภิกษุณีถุลลนันทาห้ามการเดาะกฐินว่า จีวรจักมีแก่พวกข้าพเจ้า จึงอุบาสกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงไม่ให้การเดาะกฐินแก่พวกเราเล่า. ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินอุบาสกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรมเล่า. 

ทรงสอบถาม

     พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรมจริงหรือ?. 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรมเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
  พระบัญญัติ
    ๘๕. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด ห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรม เป็นปาจิตตีย์. เรื่องอุบาสกคนหนึ่ง จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๕๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               การเดาะกฐินที่ชื่อว่า เป็นไปแล้วโดยธรรม คือ ภิกษุณีสงฆ์พร้อมเพรียงประชุมกันเดาะ. 
               บทว่า ห้าม คือ ห้ามว่า กฐินนี้จะเดาะได้ด้วยวิธีไร ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์

               [๒๕๖] การเดาะเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นธรรม ห้าม ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               การเดาะเป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               การเดาะเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าไม่เป็นธรรม ไม่ต้องอาบัติ. 
               การเดาะไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               การเดาะไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               การเดาะไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าไม่เป็นธรรม ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

    [๒๕๗] แสดงอานิสงส์แล้วห้าม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ. 
ปาจิตตีย์วรรคที่ ๓ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๑๐

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้ :- 
ในคำว่า กฐินุทฺธารํ น ทสฺสนฺติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
                การเดาะกฐินเช่นไรสงฆ์ควรให้ เช่นไรไม่ควรให้ คือ การเดาะกฐิน เช่นอย่างที่มีอานิสงส์มาก มีการกรานเป็นมูล, มีอานิสงส์น้อย มีการเดาะเป็นมูล ไม่ควรให้. แต่การเดาะกฐินเช่นอย่างที่มีอานิสงส์น้อย มีการกรานเป็นมูล 
                มีอานิสงส์มาก มีการเดาะเป็นมูล ควรให้. การเดาะกฐินแม้มีอานิสงส์เท่าๆ กัน. สงฆ์ก็ควรให้ทีเดียว เพื่อรักษาศรัทธาไว้. 
                บทว่า อานิสํสํ มีความว่า ภิกษุณีแสดงอานิสงส์เห็นปานนี้ว่า ภิกษุณีสงฆ์มีจีวรเก่า มีลาภมาก ซึ่งมีอานิสงส์แห่งกฐินเป็นมูล แล้วห้ามเสีย ไม่เป็นอาบัติ. 
 คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
                สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

 [๒๔๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.   ครั้งนั้น ตระกูลอุปัฏฐากของภิกษุณีถุลลนันทาได้กล่าวคำนี้แก่ภิกษุณีถุลลนันทาว่า แม่เจ้า ถ้าพวกข้าพเจ้าสามารถก็จักถวายจีวรแก่ภิกษุณีสงฆ์ ครั้นภิกษุณีทั้งหลายจำพรรษาแล้ว ได้ประชุมกันประสงค์จะแจกจีวร ภิกษุณีถุลลนันทาได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีเหล่านั้นว่า แม่เจ้า โปรดรอก่อน ภิกษุณีสงฆ์ยังมีหวังจะได้จีวร. 
               ภิกษุณีทั้งหลายได้กล่าวคำนี้แก่ภิกษุณีถุลลนันทาว่า ขอเชิญแม่เจ้าไปสืบดูให้รู้เรื่องจีวรนั้น. 
               ภิกษุณีถุลลนันทาได้เข้าไปสู่ตระกูลนั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า อาวุโสทั้งหลาย จงถวายจีวรแก่ภิกษุณีสงฆ์เถิด. 
               คนในตระกูลตอบว่า แม่เจ้า พวกข้าพเจ้ายังไม่สามารถจะถวายจีวรแก่ภิกษุณีสงฆ์ได้. 
               ภิกษุณีถุลลนันทาได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไปด้วยหวังว่าจะได้จีวรอันไม่แน่นอนเล่า. 

ทรงสอบถาม

     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาได้ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ด้วยหวังว่าจะได้จีวรอันไม่แน่นอนจริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ด้วยหวังว่าจะได้จีวรอันไม่แน่นอนเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

  พระบัญญัติ

    ๘๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ด้วยหวังว่าจะได้จีวรอันไม่แน่นอน เป็นปาจิตตีย์ 

สิกขาบทวิภังค์

                [๒๕๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
                ที่ชื่อว่า หวังว่าจะได้จีวรอันไม่แน่นอน ได้แก่วาจาที่เขาเปล่งออกมาว่า ถ้าพวกข้าพเจ้าสามารถ ก็จักถวาย จักทำ. 
                ที่ชื่อว่า สมัยจีวรกาล คือ เมื่อกฐินยังไม่ได้กราน มีกำหนดเดือนหนึ่งท้ายฤดูฝน เมื่อได้กรานกฐินแล้ว มีกำหนด ๕ เดือน. 
                บทว่า ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ความว่า เมื่อไม่ได้กรานกฐินยังวันสุดท้ายแห่งฤดูฝนให้ล่วงไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อได้กรานกฐินแล้วยังวันที่กฐินเดาะให้ล่วงไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์

 [๒๕๑] จีวรไม่แน่นอน ภิกษุณีสำคัญว่าจีวรไม่แน่นอน ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               จีวรไม่แน่นอน ภิกษุณีสงสัย ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               จีวรไม่แน่นอน ภิกษุณีสำคัญว่าแน่นอน ยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ไม่ต้องอาบัติ. 
               จีวรแน่นอน ภิกษุณีสำคัญว่าจีวรไม่แน่นอน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               จีวรแน่นอน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               จีวรแน่นอน ภิกษุณีสำคัญว่าจีวรแน่นอน ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

    [๒๕๒] แสดงอานิสงส์แล้วห้าม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๙

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :- 
                บทว่า ทุพฺพลจีวรปจฺจาสาย คือ ด้วยความหวังจะได้จีวรอันไม่แน่นอน. 
                บทว่า อานิสํสํ มีความว่า ถึงแม้พวกชาวบ้านกล่าวว่า แม่เจ้า พวกข้าพเจ้ายังไม่อาจ ดังนี้ ก็จริง เมื่อภิกษุณีแสดงอานิสงส์ห้ามอย่างนี้ว่า เวลานี้ ฝ้ายจักมาถึงแก่ชาวบ้านนั้น บุรุษผู้มีศรัทธาเลื่อมใส จักมา จักถวายแน่นอน ไม่เป็นอาบัติ. 
 คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น.
                สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๒๔๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทา ให้สมณจีวรแก่พวกครูฟ้อนรำบ้าง พวกคนฟ้อนรำบ้าง พวกโดดไม้สูงบ้าง พวกจำอวดบ้าง พวกเล่นกลองบ้าง ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงกล่าวพรรณาคุณของฉันในที่ชุมนุมชน พวกครูฟ้อนรำก็ดี พวกฟ้อนรำก็ดี พวกโดดไม้สูงก็ดี  พวกจำอวดก็ดี พวกเล่นกลองก็ดี ย่อมกล่าวพรรณนาคุณของภิกษุณีถุลลนันทาในที่ชุมนุมชนว่าแม่เจ้าถุลลนันทาเป็นผู้คงแก่เรียน เป็นคนช่างพูด เป็นผู้องอาจ เป็นผู้สามารถเจรจาถ้อยคำมีหลักฐาน ท่านทั้งหลายจงถวายแก่แม่เจ้า จงทำแก่แม่เจ้า ดังนี้  บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงให้สมณจีวรแก่ชาวบ้านเล่า 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาให้สมณจีวรแก่ชาวบ้าน จริงหรือ
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงให้สมณจีวรแก่ชาวบ้านเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๘๓. ๘. อนึ่ง ภิกษุณีใด ให้สมณจีวรแก่ชาวบ้านก็ดี ปริพาชกก็ดี ปริพาชิกาก็ดี เป็นปาจิตตีย์. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๔๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ที่ชื่อว่า ชาวบ้าน ได้แก่ บุคคลผู้ยังครองเรือนอยู่. 
               ที่ชื่อว่า ปริพาชก ได้แก่ บุรุษคนใดคนหนึ่งผู้นับเนื่องในจำพวกนักบวชชาย เว้นภิกษุสามเณร. 
               ที่ชื่อว่า ปริพาชิกา ได้แก่ สตรีคนใดคนหนึ่งผู้นับเนื่องในจำพวกนักบวชหญิง เว้นภิกษุณี สิกขมานา และสามเณรี. 
               ที่ชื่อว่า สมณจีวร ได้แก่ผ้าที่เรียกกันว่าทำกัปปะแล้ว ให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

อนาปัตติวาร

    [๒๔๘] ให้แก่มารดาบิดา ๑ ให้ชั่วคราว ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ. 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๘

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๘ พึงทราบดังนี้ :-
                พวกชนผู้ฝึกหัดนักฟ้อนรำ ชื่อว่าครูนักฟ้อนรำ. เหล่าชนผู้ฟ้อนรำ ชื่อว่าพวกนักฟ้อนรำ. พวกชนผู้ทำการโดดบนราวและบนเชือกเป็นต้น ชื่อว่าพวกโดดไม้สูง.
                พวกชนผู้แสดงกล ชื่อว่าพวกจำอวด. พวกชนผู้เล่นด้วยกลอง ชื่อว่าพวกเล่นกลอง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พวกบรรเลงปี่พาทย์ ก็มี. 
                ในคำว่า เทติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นอาบัติหลายตัวตามจำนวนจีวร.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
                สิกขาบทว่ามีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

[๒๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น มีอกาลจีวรบังเกิดแก่ภิกษุณีสงฆ์แล้ว จึงภิกษุณีสงฆ์ประชุมใคร่จะแจกกัน แต่เวลานั้นพวกภิกษุณีอันตวาสินีของภิกษุณีถุลลนันทาพากันหลีกไปภิกษุกณีถุลลนันทาได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีทั้งหลายห้ามการแจกจีวรว่า แม่เจ้า ภิกษุณีทั้งหลายหลีกไปแล้ว จักแจกจีวรกันยังไม่ได้ก่อนดังนี้.  ภิกษุณีทั้งหลายกล่าวกันว่า ยังไม่แจกจีวรก่อน แล้วพากันกลับไป เมื่อหมู่ภิกษุณีอันเตวาสินีกลับมาแล้ว ภิกษุณีถุลลนันทาจึงสั่งให้แจกจีวรนั้น.  บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ห้ามการแจกจีวรอันเป็นไปโดยชอบธรรมเล่า

ทรงสอบถาม

     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาห้ามการแจกจีวร อันเป็นไปโดยชอบธรรม จริงหรือ? 
     ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ห้ามการแจกจีวร อันเป็นไปโดยชอบธรรมเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๘๒. ๗. อนึ่ง ภิกษุณีใด ห้ามการแจกจีวรอันเป็นไปโดยชอบธรรม เป็นปาจิตตีย์ ฯ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๔๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่าผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ 
               การแจกจีวร ที่ชื่อว่า เป็นไปโดยชอบธรรม คือ ภิกษุณีสงฆ์ ผู้พร้อมเพรียงประชุมกันแจก 
               บทว่า ห้าม คือห้ามว่า การแจกจีวรนี้ด้วยวิธีไร ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ 

บทภาชนีย์

 [๒๔๔]    การแจกเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นธรรม ห้าม ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
               การแจกเป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ห้าม ต้องอาบัติทุกกฏ 
               การแจกเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าไม่เป็นธรรม ห้าม ไม่ต้องอาบัติ 
               การแจกไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ 
               การแจกไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ 
               การแจกไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าไม่เป็นธรรม ไม่ต้องอาบัติ ฯ 

อนาปัตติวาร

    [๒๔๕] แสดงอานิสงส์แล้วห้าม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล ฯ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๗

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๗ พึงทราบดังนี้ :- 
                บทว่า วิปฺปกฺกมึสุ มีความว่า ภิกษุณีทั้งหลายกล่าวกันว่า พวกภิกษุณียังรอการมาของภิกษุณี แม้เหล่าอื่นได้ ก็จักรอพวกเรามาบ้างเป็นแน่ จึงได้พากันไปในที่จำเป็นต้องไปนั้น. 
                บทว่า ปฏิพาเหยฺย แปลว่า พึงห้ามไว้. 
 .              บทว่า อานิสํสํ มีความว่า แสดงอานิสงส์ห้ามอย่างนี้ว่า ผ้าผืนเดียวไม่เพียงพอสำหรับภิกษุณีรูปเดียว พวกท่านจงรอไปก่อน ต่อไปอีกหน่อย ผ้าจักเกิดขึ้น ต่อนั้นเราจักแบ่งกัน ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๒๓๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ตระกูลอุปฐากของภิกษุณีถุลลนันทา ได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีถุลลนันทาว่า แม่เจ้า พวกข้าพเจ้าจักถวายจีวรแก่ภิกษุณีสงฆ์.  ภิกษุณีถุลลนันทาได้ทำการขัดขวางว่า พวกท่านยังมีธุระมาก มีการงานที่ยังจะต้องทำมาก.   ต่อมาเรือนแห่งตระกูลนั้นถูกไฟไหม้ พวกเขาจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ทำไทยธรรมของพวกเราให้เป็นอันตรายเล่า พวกเราเป็นคนคลาดจากประโยชน์ทั้งสอง คือโภคะและบุญ. ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่  บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทา จึงได้ทำลาภคือจีวรของหมู่ให้เป็นอันตรายเล่า 
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาทำลาภ คือ จีวรของหมู่ให้เป็นอันตราย จริงหรือ?.
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ทำลาภคือจีวรของหมู่ให้เป็นอันตรายเล่า การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

  พระบัญญัติ

    ๘๑. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด ทำลาภ คือ จีวรของหมู่ให้เป็นอันตราย เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๔๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า หมู่ ได้แก่ หมู่ที่เรียกกันว่าภิกษุณีสงฆ์. 
    ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ จีวร ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ. 
    บทว่า ทำ ... ให้เป็นอันตราย คือ ทำการขัดขวางว่า เขาจะพึงถวายจีวรนี้ได้ด้วยวิธีไร ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    ทำการขัดขวางบริขารอย่างอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ทำการขัดขวางจีวรหรือบริขารอย่างอื่น ของภิกษุณีหลายรูปก็ดี ของภิกษุณีรูปเดียวก็ดี ของอนุปสัมบันก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร    [๒๔๑] แสดงคุณและโทษแล้วห้าม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๖

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๖ พึงทราบดังนี้ :-
               สองบทว่า อญฺญํ ปริกฺขารํ ได้แก่ บริขารชนิดใดชนิดหนึ่ง คือสิ่งของมีภาชนะเป็นต้น หรือเภสัชมีเนยใสและน้ำมันเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. 
               บทว่า อานิสํสํ มีความว่า ภิกษุณีถามว่า พวกท่านมีความประสงค์จะถวายผ้ามีราคาเท่าไร?
               พวกทายกตอบว่า มีราคาเท่านี้.
               ภิกษุณีพูดอย่างนี้ว่า พวกท่านจงรอไปก่อน เวลานี้ผ้ามีราคาแพงต่อไปอีกสักหน่อย เมื่อฝ้ายมาถึง จักมีราคาพอสมควร แล้วห้ามไว้ ไม่เป็นอาบัติ. 
 คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง

 [๒๓๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งไปบิณฑบาตกลับมาแล้ว แผ่ผึ่งจีวรที่เปียกชุ่มเหงื่อไว้แล้วเข้าสู่วิหาร. ภิกษุณีรูปหนึ่งได้ห่มจีวรผืนที่แผ่ผึ่งไว้นั้นแล้ว เข้าบ้านไปบิณฑบาต. ภิกษุณีเจ้าของออกมาถามภิกษุณีทั้งหลายว่า แม่เจ้าทั้งหลายเห็นจีวรของดิฉันบ้างไหม ภิกษุณีทั้งหลายแจ้งความนั้นแก่เธอๆ จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงไม่บอกกล่าว ห่มจีวรของเราไปเล่า แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ไม่บอกกล่าวห่มจีวรของภิกษุณีเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีไม่บอกกล่าว ห่มจีวรของภิกษุณี จริงหรือ? 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ไม่บอกกล่าวห่มจีวรของภิกษุณีเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

  พระบัญญัติ

     ๘๐. ๕. อนึ่ง ภิกษุณีใด ใช้จีวรสับเปลี่ยน เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๓๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า จีวรสับเปลี่ยน ได้แก่ จีวร ๕ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ของภิกษุณีผู้อุปสัมบัน. 
    ภิกษุณีนุ่งก็ดี ห่มก็ดี ซึ่งจีวรที่เจ้าของมิได้ให้เธอ หรือไม่บอกกล่าวเจ้าของ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๒๓๗] ภิกษุณีอุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่า ภิกษุณีอุปสัมบัน ใช้จีวรสับเปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    ภิกษุณีอุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ใช้จีวรสับเปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    ภิกษุณีอุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่า ภิกษุณีอนุปสัมบัน ใช้จีวรสับเปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

จตุกกะทุกกฎ

    ภิกษุณีใช้จีวรสับเปลี่ยนของภิกษุณีอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.    ภิกษุณีอนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าภิกษุณีอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.     ภิกษุณีอนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.    ภิกษุณีอนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าภิกษุณีอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร     [๒๓๘] เจ้าของให้ หรือบอกกล่าวเจ้าของก่อน นุ่งก็ดี ห่มก็ดี ซึ่งจีวรนั้น ๑ ถูกชิงจีวรไป ๑ จีวรหาย ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ 

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๕

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :-
     บทว่า จีวรสงฺกมนียํ คือ จีวรที่สับเปลี่ยนกัน. 
     ความว่า จีวรที่เป็นของภิกษุณีรูปอื่น อันภิกษุณีไม่บอกกล่าวเจ้าของก่อนถือเอาไปจะต้องกลับคืนให้. 
     บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ถ้าพวกโจรลักเอาผ้าที่ยังไม่ได้ห่มหรือยังไม่ได้นุ่งไป. ในอันตรายเห็นปานนี้ นุ่งห่มไม่เป็นอาบัติ. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกฐินสิกขาบท เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

 [๒๓๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น พวกภิกษุณีพากันฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลาย แล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปตามชนบท ผ้าจีวรเหล่านั้นถูกเก็บไว้นาน ก็ขึ้นราตกหนาว ภิกษุณีพวกที่รับฝาก จึงผึ่งผ้าจีวรเหล่านั้น ภิกษุณีทั้งหลายได้ถามภิกษุณีพวกที่รับฝากว่า แม่เจ้า ผ้าจีวรเหล่านี้ของใครตกหนาว?  จึงภิกษุณีพวกที่รับฝากได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลายแล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปในชนบทเล่า 

ทรงสอบถาม

 พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลาย แล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปในชนบท จริงหรือ?.
     ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ฝากผ้าจีวรไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลาย แล้วมีแต่ผ้าอันตรวาสกกับผ้าอุตราสงค์ เที่ยวจาริกไปในชนบทเล่าการกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๗๙. ๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังวาระผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิ อันมีกำหนด ๕ วันให้เกินไป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๓๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า ยังวาระผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิอันมีกำหนด ๕ วัน ให้เกินไป อธิบายว่า ไม่นุ่งไม่ห่ม ไม่ผึ่งผ้าจีวรทั้ง ๕ ผืน ในวันคำรบห้า ให้เลยวันคำรบห้าไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๒๓๓] เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่าเลย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    เลย ๕ วัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่ายังไม่เลย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกะทุกกฏ 
    ยังไม่เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่าเลย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ยังไม่เลย ๕ วัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 

ไม่ต้องอาบัติ

    ยังไม่เลย ๕ วัน ภิกษุณีสำคัญว่ายังไม่เลย ไม่ต้องอาบัติ. 
     อนาปัตติวาร    [๒๓๔] นุ่ง ห่ม หรือผึ่ง จีวรทั้ง ๕ ผืนในวันคำรบห้า ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๔

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :-
     วัน ๕ วัน ชื่อ ปัญจาหะ. ปัญจาหะนั้นเอง ชื่อว่า ปัญจาหิกะ. วาระผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิทั้งหลาย ชื่อว่า สังฆาฏิวาระ. การผลัดเปลี่ยนจีวร ๕ ผืน ที่ได้ชื่อว่าสังฆาฏิ 
    โดยอรรถว่า สับเปลี่ยนสลับกันไป ด้วยการบริโภคใช้สอยบ้าง ด้วยอำนาจการผึ่งแดดบ้าง. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในบทภาชนะว่า ให้จีวร ๕ ผืนล่วงเลยวันคำรบ ๕ ไป. 
     ก็ในคำว่า อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ มีวินิจฉัยว่า ในจีวรผืนเดียวเป็นอาบัติตัวเดียว ในจีวร ๕ ผืน เป็นอาบัติ ๕ ตัว. 
     บทว่า อาปทาสุ มีความว่า จีวรมีราคาแพง เป็นขอที่ภิกษุณีไม่อาจจะบริโภคใช้สอย เพราะอันตรายมีโจรภัยเป็นต้น ในอุปัทวะเห็นปานนี้ ไม่เป็นอาบัติ. 
 คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกับกฐินสิกขาบท เป็นอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๒๒๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งเอาผ้าสำหรับทำจีวร ซึ่งมีราคามากมาทำจีวร เย็บจีวรให้เสียไป ภิกษุณีถุลลนันทาได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีรูปนั้นว่า แม่เจ้า ผ้าสำหรับทำจีวรของท่านผืนนี้เนื้อดี แต่ทำจีวรไม่ดี เย็บไม่สวย. 
               ภิกษุณีรูปนั้นถามว่า แม่เจ้า ดิฉันจักเลาะออก ท่านจักเย็บให้หรือ? 
               ภิกษุณีถุลลนันทาตอบว่า จ้ะ ดิฉันจักเย็บให้. 
               ครั้นแล้วภิกษุณีรูปนั้นได้เลาะจีวรนั้นให้แก่ภิกษุณีถุลลนันทา.  ภิกษุณีถุลลนันทากล่าวว่าดิฉันจักเย็บให้ ดิฉันจักเย็บให้ แล้วไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บ ดังนั้นภิกษุณีรูปนั้นจึงแจ้ง เรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. 
               บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาให้เลาะจีวรของภิกษุณีแล้ว จึงไม่เย็บให้ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บให้เล่า 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาให้เลาะจีวรของภิกษุณีแล้วไม่เย็บให้ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บให้จริงหรือ? 
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาให้เลาะจีวรของภิกษุณีแล้ว จึงได้ไม่เย็บให้ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นเย็บให้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส. 
               ดูกรภิกษุทั้งหลายก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้.

 พระบัญญัติ

 ๗๘. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวรของภิกษุณีแล้ว เธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๒๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               บทว่า ของภิกษุณี ได้แก่ ภิกษุณีรูปอื่น. 
               ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่จีวร ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง. 
               บทว่า เลาะ คือ เลาะด้วยตนเอง. 
               บทว่า ให้เลาะ คือ ให้ผู้อื่นเลาะ. 
               คำว่า เธอไม่มีอันตรายในภายหลัง คือ ในเมื่ออันตรายไม่มี. 
               บทว่า ไม่เย็บ คือไม่เย็บด้วยตนเอง. 
               บทว่า ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้เย็บ คือ ไม่บังคับผู้อื่น. 
               คำว่า พ้น ๔-๕ วันไป คือเก็บไว้ได้ ๔-๕ วัน พอทอดธุระว่าจักไม่เย็บ จักไม่ทำความขวนขวายเพื่อให้เย็บ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๒๒๙] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดีซึ่งจีวร แล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวร แล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวรแล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไปต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ปัญจกะทุกกฎ

               เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งบริขารอย่างอื่น แล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลังไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               เลาะก็ดี ให้เลาะก็ดี ซึ่งจีวรก็ดี บริขารอย่างอื่นก็ดี ของอนุปสัมบันแล้วเธอไม่มีอันตรายในภายหลัง ไม่เย็บ ไม่ขวนขวายให้เย็บ พ้น ๔-๕ วันไป ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร

               [๒๓๐] ในเมื่อเหตุจำเป็นมี ๑ แสวงหาแล้วไม่ได้ ๑ ทำอยู่เกิน ๔-๕ วัน ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๓

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :-
                บทว่า อนนฺตรายิกินี ได้แก่ ผู้ไม่มีอันตราย ด้วยอันตรายแม้อย่างหนึ่งในอันตราย ๑๐ อย่าง. 
                สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิตฺตมตฺเต มีความว่า ภิกษุณีทอดธุระเสียแล้ว ถ้าแม้นภายหลังจึงเย็บ เป็นอาบัติเหมือนกัน. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ นัคควรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

 [๒๒๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุณีทั้งหลายแล้ว. ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝนแล้วจึงใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณเลื้อยข้างหน้าบ้าง เลื้อยข้างหลังบ้าง เที่ยวไป. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ จึงได้ใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณ จริงหรือ?. 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

     พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จึงได้ใช้ผ้าอาบน้ำไม่มีประมาณเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

  พระบัญญัติ

     ๗๗.๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้จะให้ทำผ้าอาบน้ำ พึงให้ทำให้ได้ประมาณ นี้ ประมาณในคำนั้น โดยยาว ๔ คืบ โดยกว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต เธอทำให้ล่วงประมาณนั้น เป็นปาจิตตีย์ มีอันให้ตัดเสีย. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๒๔] ที่ชื่อว่า ผ้าอาบน้ำ ได้แก่ ผ้าสำหรับนุ่งอาบน้ำ.
               บทว่า ผู้จะให้ทำ อธิบายว่า ทำเองก็ดี ให้ผู้อื่นทำก็ดี ต้องทำให้ได้ประมาณ ประมาณในคำนั้นดังนี้ คือ โดยยาว ๔ คืบ โดยกว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต ทำเองก็ดี ให้ผู้อื่นทำก็ดี ให้ล่วงประมาณนั้นไป เป็นทุกกฏในประโยค ได้มาพึงตัดเสีย แล้วแสดงอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์จตุกกะปาจิตตีย์

               [๒๒๕] ผ้าอาบน้ำที่ตนทำค้างไว้ ตนทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               ผ้าอาบน้ำที่ตนทำค้างไว้ ให้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               ผ้าอาบน้ำที่ผู้อื่นทำค้างไว้ ตนทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               ผ้าอาบน้ำที่ผู้อื่นทำค้างไว้ ใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

 ทุกะทุกกฎ

               ทำเองก็ดี ให้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.    ได้ผ้าอาบน้ำที่คนอื่นทำไว้มาใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.

 อนาปัตติวาร

 [๒๒๖] ทำให้ได้ประมาณ ๑ ทำหย่อนกว่าประมาณ ๑ ได้ผ้าอาบน้ำที่ผู้อื่นทำไว้เกินประมาณ ตัดให้ได้ประมาณแล้วใช้สอย ๑ ทำเป็นเพดาน ผ้าลาดพื้น ม่าน ฟูก หรือหมอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.  นัคควรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์นัคควรรค

สิกขาบทที่ ๒ 

คำทั้งหมดในสิกขาบทที่ ๒ ตื้นทั้งนั้น.
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล