[๒๕๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น อุบาสกคนหนึ่งให้ช่างสร้างวิหารหลังหนึ่งอุทิศสงฆ์ ในงานฉลองวิหารนั้น เขามีความประสงค์จะถวายอกาลจีวรแก่สงฆ์ทั้งสองฝ่าย แต่ สมัยนั้น สงฆ์ทั้งสองฝ่ายกรานกฐินแล้ว จึงอุบาสกเข้าไปหาสงฆ์แล้วขอการเดาะกฐิน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อเดาะกฐิน
แต่ พึงเดาะอย่างนี้. อันภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจา
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงเดาะกฐิน นี่เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ย่อมเดาะกฐิน การเดาะกฐิน ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
กฐินอันสงฆ์เดาะแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
[๒๕๔] ครั้นแล้ว อุบาสกนั้นเข้าไปหาภิกษุณีสงฆ์ขอเดาะกฐิน. ภิกษุณีถุลลนันทาห้ามการเดาะกฐินว่า จีวรจักมีแก่พวกข้าพเจ้า จึงอุบาสกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงไม่ให้การเดาะกฐินแก่พวกเราเล่า.
ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินอุบาสกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรมเล่า.
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรมจริงหรือ?.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรมเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ ๘๕. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด ห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปแล้วโดยธรรม เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องอุบาสกคนหนึ่ง จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๕๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
การเดาะกฐินที่ชื่อว่า เป็นไปแล้วโดยธรรม คือ ภิกษุณีสงฆ์พร้อมเพรียงประชุมกันเดาะ.
บทว่า ห้าม คือ ห้ามว่า กฐินนี้จะเดาะได้ด้วยวิธีไร ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
[๒๕๖] การเดาะเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นธรรม ห้าม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
การเดาะเป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
การเดาะเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าไม่เป็นธรรม ไม่ต้องอาบัติ.
การเดาะไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.
การเดาะไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
การเดาะไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่าไม่เป็นธรรม ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร [๒๕๗] แสดงอานิสงส์แล้วห้าม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
นัคควรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ จบ.
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้ :-
ในคำว่า กฐินุทฺธารํ น ทสฺสนฺติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
การเดาะกฐินเช่นไรสงฆ์ควรให้ เช่นไรไม่ควรให้ คือ การเดาะกฐิน เช่นอย่างที่มีอานิสงส์มาก มีการกรานเป็นมูล, มีอานิสงส์น้อย มีการเดาะเป็นมูล ไม่ควรให้. แต่การเดาะกฐินเช่นอย่างที่มีอานิสงส์น้อย มีการกรานเป็นมูล
มีอานิสงส์มาก มีการเดาะเป็นมูล ควรให้. การเดาะกฐินแม้มีอานิสงส์เท่าๆ กัน. สงฆ์ก็ควรให้ทีเดียว เพื่อรักษาศรัทธาไว้.
บทว่า อานิสํสํ มีความว่า ภิกษุณีแสดงอานิสงส์เห็นปานนี้ว่า ภิกษุณีสงฆ์มีจีวรเก่า มีลาภมาก ซึ่งมีอานิสงส์แห่งกฐินเป็นมูล แล้วห้ามเสีย ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น