[๔๒๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาบวชสิกขมานาชื่อจัณฑกาลีผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษ ผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่ม ผู้ดุร้าย ผู้ยังชายให้ระทมโศก.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้บวชสิกขมานาชื่อจัณฑกาลี ผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษ ผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่ม ผู้ดุร้าย ผู้ยังชายให้ระทมโศกเล่า
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาบวชสิกขมานาชื่อจัณฑกาลี ผู้เกี่ยวข้องกับบุรุษ ผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่ม ผู้ดุร้าย ผู้ยังชายให้ระทมโศก จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้บวชสิกขมานาชื่อจัณฑกาลี ผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษ ผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่ม ผู้ดุร้าย ผู้ยังชายให้ระทมโศกเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ ๑๓๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังสิกขมานาผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่มผู้ดุร้าย ผู้ยังชายให้ระทมโศก ให้บวช ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๔๓๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า บุรุษ ได้แก่ ชายผู้มีอายุถึง ๒๐ ปี.
ที่ชื่อว่า เด็กหนุ่ม ได้แก่ ชายผู้มีอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี.
ที่ชื่อว่า ผู้เกี่ยวข้องหรือคลุกคลี คือ สังสรรค์กันด้วยความเกี่ยวข้องกันทางกายและวาจาอันไม่สมควร.
ที่ชื่อว่า ผู้ดุร้าย ได้แก่ ที่เรียกกันว่า ผู้มักโกรธ.
ที่ชื่อว่า ผู้ยังชายให้ระทมโศก คือ ผู้ก่อทุกข์ นำความโศกมาให้แก่ชายอื่น.
ที่ชื่อว่า สิกขมานา ได้แก่ สตรีผู้ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปีแล้ว.
บทว่า ให้บวช คือ ให้อุปสมบท.
ตั้งใจว่า จักให้อุปสมบท แล้วแสวงหาคณะก็ดี อาจารย์ก็ดี บาตรก็ดีจีวรก็ดี สมมติสีมาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว จบกรรมวาจาครั้งสุด ภิกษุณีผู้อุปัชฌาย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์ คณะและอาจารย์ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร [๔๓๑] ไม่รู้ ให้อุปสมบท ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
กุมารีภูตวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์กุมารีภูตวรรคสิกขาบทที่ ๙
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า โสกวสํ มีความว่า นางสิกขมานาใด ทำการนัดหมายแล้ว (ไม่ไปตามนัด) ยังความโศกให้เข้าไปภายในใจของพวกบุรุษ เพราะฉะนั้น สิกขมานานั้นจึงชื่อว่าผู้ยังชายให้ระทมโศก. บวชให้สิกขมานาผู้ยังชายให้ระทมโศกนั้น.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ที่ชื่อว่าผู้ยังชายให้ระทมโศก คือก่อทุกข์ให้เกิดแก่ชายอื่น.
อีกอย่างหนึ่ง นางสิกขมานาแม้นี้ เมื่อไม่ได้สมาคมกับบุรุษย่อมเข้าสู่ความโศกเศร้าเสียเอง ดุจหญิงเจ้าของเรืองเข้าสู่เรือนฉะนั้น. นางสิกขมานาเข้าสู่ความโศกใด ด้วยอาการอย่างนี้
ความโศกนั้นเป็นที่อยู่แห่งสิกขมานานั้น เหตุนั้น สิกขมานานั้นจึงชื่อว่ามีความโศกเป็นที่อยู่. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ย่อมนำความโศกมา.
บทว่า อชานนฺตี ได้แก่ ไม่รู้ว่า ผู้นี้ เป็นเช่นนี้.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น