Translate

19 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๘ กุมารีภูตวรรค สิกขาบทที่ ๑๑ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

     [๔๓๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
   ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทานิมนต์พระเถระทั้งหลายมาประชุมกันด้วยกล่าวว่า ดิฉันจักบวชสิกขมานา ครั้นเห็นอาหารของเคี้ยวของฉันมากมาย จึงส่งพระเถระทั้งหลายกลับด้วยกล่าว
   ว่า ดิฉันจักยังไม่บวชสิกขมานาก่อน แล้วนิมนต์พระเทวทัต พระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ และพระสมุทททัตตะ ผู้โอรสของพระนางขัณฑเทวี มาประชุมกันบวชสิกขมานา.
   บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้บวชสิกขมานาด้วยให้ฉันทะค้างเล่า
ทรงสอบถาม
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาบวชสิกขมานาด้วยให้ฉันทะค้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้บวชสิกขมานาด้วยให้ฉันทะค้างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ   ๑๓๖. ๑๑. อนึ่ง ภิกษุณีใดยังสิกขมานาให้บวชด้วยให้ฉันทะค้างเป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
   [๔๓๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
   บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   บทว่า ด้วยให้ฉันทะค้าง คือ เมื่อที่ประชุมเลิกไปแล้ว.
   ที่ชื่อว่า สิกขมานา ได้แก่ สตรีผู้ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปีแล้ว.
บทว่า ให้บวช คือ ให้อุปสมบท.
   ตั้งใจว่า จักให้อุปสมบท แล้วแสวงหาคณะก็ดี อาจารย์ก็ดี บาตรก็ดี จีวรก็ดี สมมติสีมาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ 
   จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจา สองครั้ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว จบกรรมวาจาครั้งสุด ภิกษุณีผู้อุปัชฌาย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ คณะและอาจารย์ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร   [๔๓๗] ให้อุปสมบทในเมื่อที่ประชุมยังไม่เลิก ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
กุมารีภูตวรรค สิกขาบทที่ ๑๑ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์กุมารีภูตวรรคสิกขาบทที่ ๑๑
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๑ พึงทราบดังนี้ :- 
   บทว่า ปริวาสิยฉนฺททาเนน คือ โดยให้ฉันทะค้าง. 
   ในคำว่า การให้ฉันทะค้างนั้น การค้างมี ๔ อย่างคือ ค้างโดยที่ประชุม ๑ ค้างโดยราตรี ๑ ค้างโดยฉันทะ ๑ ค้างโดยอัธยาศัย ๑. 
   ที่ชื่อว่า ค้างโดยที่ประชุม คือ พวกภิกษุกำลังประชุมกันด้วยวกรณียกิจบางอย่าง. คราวนั้น เมฆฝนตั้งเค้าขึ้นก็ดี
   ถูกเขาทำการขับไล่ก็ดี พวกชาวบ้านมามุงดูกันก็ดี ภิกษุทั้งหลายยังไม่ทันสละฉันทะเลย พากันลุกไปโดยอ้างว่า ไม่ใช่โอกาส พวกเราจงไปที่อื่นเถอะ. นี้ชื่อว่า ค้างโดยที่ประชุม. 
   ก็การค้างโดยที่ประชุม ควรจะทำกรรมได้ เพราะภิกษุทั้งหลายยังไม่ได้สละฉันทะ แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ตกกลางคืนพวกภิกษุประชุมกันอีก ด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักทำกรรมมีอุโบสถเป็นต้น จึงเชื้อเชิญภิกษุรูปหนึ่ง ด้วยตั้งใจว่า จักฟังธรรมจนกว่าภิกษุจะมาประชุมกันทั้งหมด. 
   เมื่อภิกษุนั้นกำลังแสดงธรรมกถาอยู่นั่นแหละ อรุณขึ้นเสีย. ถ้าพวกภิกษุนั่งประชุมกันด้วยตั้งใจว่า จักทำจาตุทสีอุโบสถ 
   แล้วทำด้วยตกลงกันว่า ปัณณรสีอุโบสถ ก็ได้. ถ้านั่งประชุมกันเพื่อทำปัณณรสีอุโบสถ วันแรมค่ำ ๑ ไม่ใช่วันอุโบสถ จะทำอุโบสถ ไม่ควร แต่จะทำสังฆกิจอย่างอื่น ควรอยู่. นี้ชื่อว่า ค้างโดยราตรี. 
   พวกภิกษุประชุมกันอีกด้วยตั้งใจว่า จักทำสังฆกรรมมีอัพภานเป็นต้นบางอย่างนั่นแล. ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นนักโหราศาสตร์ กล่าวอย่างนี้ว่า วันนี้ฤกษ์ร้าย (ฤกษ์ทารุณ)
   พวกท่านจงอย่าทำกรรมนี้. ภิกษุพวกนั้นสละฉันทะตามคำของภิกษุนั้นแล้ว ยังนั่งประชุมกันอยู่อย่างนั้นแหละ.
   ทีนั้น ภิกษุรูปอื่นมาพูดขึ้นว่า ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ที่มัวถือฤกษ์ยามอยู่ แล้วกล่าวว่า พวกท่านจะทำอะไรด้วยดาวฤกษ์. 
   นี้ชื่อว่าค้างโดยฉันทะ และค้างโดยอัธยาศัย. 
   ในการค้างนั่น จะไม่นำฉันทะและปาริสุทธิมาใหม่ทำกรรม ย่อมไม่ควร. 
   สองบทว่า วุฏฺฐิตาย ปริสาย ความว่า เมื่อที่ประชุมสละฉันทะ แล้วเลิกประชุมไปด้วยกายก็ดี ด้วยอาการเพียงสละฉันทะเท่านั้นก็ดี. 
   ข้อว่า อนาปตฺติอวุฏฺฐิตาย ปริสาย มีความว่า เมื่อที่ประชุมยังไม่สละฉันทะ ยังไม่เลิกประชุม ไม่เป็นอาบัติ. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
   สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.

ไม่มีความคิดเห็น: