Translate

30 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องตายเพราะอหิวาตกโรค เด็กชายตระกูลอุปัฏฐากบรรพชา

search-google ทำบุญ 
   [๑๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลหนึ่งได้ตายลง เพราะอหิวาตกโรค. ตระกูลนั้นเหลืออยู่แต่พ่อกับลูก.
   คนทั้งสองนั้นบวชในสำนักภิกษุแล้ว เที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน. ครั้นเมื่อเขาถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้เป็นบิดา สามเณรน้อยก็ได้วิ่งเข้าไปพูดว่า พ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง พ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สามเณรน้อยรูปนี้ชะรอยเกิดแต่ภิกษุณี. 
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   [๑๑๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระอานนท์มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ตายลงเพราะอหิวาตกโรค. เหลืออยู่แต่เด็กชายสองคน. เด็กชายทั้งสองเห็นภิกษุทั้งหลาย จึงวิ่งเข้าไปหาด้วยกิริยาที่คุ้นเคยแต่ก่อนมา.
   ภิกษุทั้งหลายไล่ไปเสีย. 
   เด็กชายทั้งสองนั้นเมื่อถูกภิกษุทั้งหลายไล่ก็ร้องไห้ จึงท่านพระอานนท์ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ มิให้บวชเด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ก็เด็กชายทั้งสองคนนี้มีอายุหย่อน ๑๕ ปี ด้วยวิธีอะไรหนอ เด็กชายสองคนนี้จึงจะไม่เสื่อมเสีย ดังนี้ 
   จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ เด็กชายสองคนนั้นอาจไล่กาได้ไหม?
   ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า อาจ พระพุทธเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บวชเด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี แต่สามารถไล่กาได้. 
   [๑๑๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนันทศากยบุตรมีสามเณรอยู่ ๒ รูป คือสามเณรกัณฏกะ ๑ สามเณรมหกะ ๑. เธอทั้งสองประทุษร้ายกันและกัน. ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสามเณรทั้งสองจึงได้ประพฤติอนาจารเห็นปานนั้นเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปเดียว ไม่พึงให้สามเณร ๒ รูปอุปัฏฐาก รูปใดให้อุปัฏฐาก ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   [๑๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์นั้นแล ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน.
   คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ทิศทั้งหลายคับแคบมืดมนแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ทิศทั้งหลายไม่ปรากฏแก่พระสมณะพวกนี้
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ เธอจงไปไขดาล บอกภิกษุทั้งหลายในบริเวณวิหารว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาจะเสด็จจาริกทักขิณาคิรีชนบท ท่านผู้ใดมีความประสงค์ ท่านผู้นั้นจงมา.
   ท่านพระอานนท์รับสนองพระพุทธบัญชาแล้ว ไขดาลแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายในบริเวณวิหารว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาจะเสด็จจาริกทักขิณาคิรีชนบท ท่านผู้ใดมีความประสงค์ ท่านผู้นั้นจงมา.
   ภิกษุทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส อานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติให้ภิกษุถือนิสสัยอยู่ตลอด ๑๐ พรรษา และให้ภิกษุมีพรรษาได้ ๑๐ ให้นิสสัย พวกผมจักต้องไปในทักขิณาคิรีนั้น จักต้องถือนิสสัยด้วย จักพักอยู่เพียงเล็กน้อยก็ต้องกลับมาอีก และจักต้องกลับถือนิสสัยอีก 
   ถ้าพระอาจารย์ พระอุปัชฌาย์ ของพวกผมไป แม้พวกผมก็จักไป หากท่านไม่ไป แม้พวกผมก็จักไม่ไป อาวุโส อานนท์ ความที่พวกผมมีใจเบาจักปรากฏ.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกทักขิณาคิรีชนบท กับภิกษุสงฆ์มีจำนวนน้อย. ครั้นพระองค์เสด็จอยู่ ณ ทักขิณาคิรีชนบทตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จกลับมาสู่พระนครราชคฤห์อีกตามเดิม และพระองค์ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาสอบ
   ถามว่า ดูกรอานนท์ ตถาคตจาริกทักขิณาคิรีชนบท กับภิกษุสงฆ์มีจำนวนน้อย เพราะเหตุไร? จึงท่านพระอานนท์กราบทูล เรื่องนั้นให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ ถือนิสสัยอยู่ ๕ พรรษา และให้ภิกษุผู้ไม่ฉลาด ถือนิสสัยอยู่ตลอดชีวิต.
   [๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ
๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุติ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
๑. ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
๒. ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ
๓. ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ประกอบด้วยกองวิมุตติ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๕. ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้ไม่มีหิริ
   ๓. เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้เกียจคร้าน และ
   ๕. เป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้มีหิริ
   ๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร และ
   ๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย และ
   ๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้มีหิริ
   ๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร และ
   ๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย และ
   ๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก และ
   ๕. เป็นผู้มีปัญญา
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่รู้จักอาบัติ
   ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ
   ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา
   ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดีโดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี คล่องแคล่วดี วินิจฉัยเรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่รู้จักอาบัติ
   ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ
   ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา
   ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   [๑๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
   ๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุติ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   [๑๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
   ๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุติ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
   ๒. ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๓. ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ประกอบด้วยกองวิมุติ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๕. ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้ไม่มีหิริ
   ๓. เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้เกียจคร้าน
   ๕. เป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้มีหิริ
   ๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร
   ๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย
   ๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน (ไม่ครบ) ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้ไปไม่วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก
   ๕. เป็นผู้มีปัญญา และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่รู้จักอาบัติ
   ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ
   ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา
   ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดีโดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อยโดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี คล่องแคล่วดี วินิจฉัยเรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
เรื่องถือนิสสัย จบ
อภยูวรภาณวาร จบ.
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
เรื่องตายเพราะอหิวาตกโรค
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ
   บทว่า อหิวาตกโรเคน ได้แก่ มารพยาธิ. 
   จริงอยู่ โรคนั้นเกิดขึ้นในสกุลใด สกุลนั้นพร้อมทั้งสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าย่อมวอดวายหมด. ผู้ใดทำลายฝาเรือนหรือหลังคาหนีไป หรือไปอยู่ภายนอกบ้านเป็นต้น ผู้นั้นจึงพ้น.
    ฝ่ายบิดากับบุตรในสกุลนี้ ก็พ้นแล้วด้วยประการอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า บิดากับบุตรยังเหลืออยู่ ดังนี้. 
   บทว่า กากุฑฺฑปกํ 
   มีความว่า เด็กใดถือก้อนดินด้วยมือซ้ายนั่งแล้ว อาจเพื่อจะไล่กาทั้งหลายซึ่งพากันมาให้บินหนีไปแล้วบริโภคอาหารซึ่งวางไว้ข้างหน้าได้ เด็กนี้จัดว่าผู้ไล่กาไป จะให้เด็กนั้นบวช ก็ควร.
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ จบ. 
เรื่องถือนิสสัย
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ
   บทว่า อิตฺตโร มีความว่า การอยู่ประมาณน้อย คือ ๒-๓ วันเท่านั้น จักมี.    บทว่า โอคเณน ได้แก่ มีพวกลดไป. อธิบายว่า ภิกษุสงฆ์มีประมาณน้อย. 
ในข้อว่า อพฺยตฺเตน ยาวชีวํ นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ถ้าภิกษุผู้ไม่ฉลาดนี้จะไม่ได้อาจารย์ที่แก่กว่าไซร้, เธอจะเป็นผู้มีพรรษา ๖๐ หรือมีพรรษา ๗๐ ด้วยอุปสมบท เธอพึงนั่งกระโหย่งประณมมือกล่าว ๓ ครั้งอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าๆ จักอาศัยท่านอยู่ ดังนี้ 
   ถือนิสัยในสำนักของภิกษุแม้อ่อนกว่า แต่เป็นผู้ฉลาด ภิกษุนั้นแม้เมื่อจะลาเข้าบ้าน พึงจะนั่งกระโหย่งประณมมือกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ผมลาเข้าบ้าน. 
ในการอำลาทุกอย่างก็นัยนี้. 
   ก็ในหมวด ๕ และหมวด ๖ ในอธิการนี้ สูตรเท่าที่ภิกษุผู้พ้นนิสัยแล้วพึงปรารถนา ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในวรรณนาแห่งภิกขุโนวาทกสิกขาบท บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นอัปปสุตบุคคล เพราะข้อที่สูตรนั้นไม่มี และเป็นพหุสุตบุคคล เพราะข้อที่สูตรนั้นมี. 
คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
อรรถกถาเรื่องให้ภิกษุถือนิสัย จบ. 

ไม่มีความคิดเห็น: