Translate

22 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อชปาล นิโครธกถา เรื่องพราหมณ์หุหุกชาติ

     [๔] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้โพธิพฤกษ์ เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ แล้ว   ประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้อชปาลนิโครธตลอด ๗ วัน.
   ครั้งนั้น พราหมณ์หุหุกชาติคนหนึ่ง ได้ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว 
   ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พราหมณ์นั้นได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลคำนี้แด่ผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ 
   ก็แล ธรรมเหล่าไหนทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์?
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถา
   พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว ไม่ตวาดผู้อื่นว่า หึ หึ ไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาด มีตน
   สำรวมแล้ว ถึงที่สุดแห่งเวท มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว พราหมณ์นั้นไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น ในอารมณ์ไหนๆ  ในโลก ควรกล่าวถ้อยคำว่า ตนเป็นพราหมณ์โดยธรรม.
อชปาลนิโครธกถา จบ
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
อรรถกถา อชปาลนิโครธกถา
   ในคำว่า อถ โข ภควา ตสฺส สตฺตาหสฺส อจฺจเยน ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฏฺฐหิตฺวา โพธิรุกฺขมูลา, เยน อชปาลนิโคฺรโธ เตนุปสงฺกมิ นี้
ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จเข้าไปที่ต้นอชปาลนิโครธ จากโคนโพธิพฤกษ์ ในทันทีทีเดียวหามิได้ เหมือนอย่างว่าในคำที่พูดกันว่า ผู้นี้กินแล้วก็นอน 
   จะได้มีคำอธิบายอย่างนี้ว่า เขาไม่ล้างมือ ไม่บ้วนปาก ไม่ไปไกล้ที่นอน ไม่ทำการเจรจาปราศรัยอะไรบ้าง อย่างอื่นแล้วนอน หามิได้ แต่ในคำนี้มีความหมายที่ผู้กล่าวแสดงดังนี้
   ว่า เขานอนภายหลังแต่การรับประทาน เขาไม่ได้นอนหามิได้ ข้อนี้ฉันใด แม้ในคำนี้ก็ฉันนั้น จะได้คำอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จหลีกไปในทันทีทีเดียวหามิได้ ที่แท้ในคำนี้มีความหมายที่ท่านผู้กล่าวแสดงดังนี้ ว่า พระองค์เสด็จหลีกไปภายหลังแต่การออก ไม่ได้เสด็จหลีกไปหามิได้. 
   ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จหลีกไปในทันทีแล้ว ได้ทรงทำอะไรเล่า? 
   ตอบว่า ได้ทรงให้ ๓ สัปดาห์แม้อื่นอีกผ่านพ้นไปในประเทศใกล้เคียงโพธิพฤกษ์นั่นเอง. 
ในข้อนั้นมีอนุปุพพีกถาดังนี้ :- 
   ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ประทับนั่งด้วยการนั่งขัดสมาธิอันเดียว สัปดาห์ ๑ เทวดาบางพวกเกิดความแคลงใจขึ้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จลุกขึ้น ธรรมที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้า แม้อื่นจะมีอีกละกระมัง? 
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากสมาบัติในวันที่ ๘ ทรงทราบความแคลงใจของเหล่าเทวดา เพื่อตัดความแคลงใจจึงทรงเหาะขึ้นไปในอากาศ แสดงยมกปาฏิหาริย์ 
   กำจัดความแคลงใจของเหล่าเทวดาเหล่านั้นแล้ว ประทับยืนจ้องดูด้วยพระเนตรมิได้กระพริบ ซึ่งพระบัลลังก์และโพธิพฤกษ์ อันเป็นสถานที่บรรลุผลแห่งพระบารมีที่ทรงสร้างมา
   ตลอด ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ ให้สัปดาห์ ๑ ผ่านพ้นไปทางด้านทิศอุดรเฉียงไปทางทิศปราจีนหน่อยหนึ่ง (ทิศอีสาน) แต่พระบัลลังก์ สถานที่นั้นชื่ออนิมมิสเจดีย์. 
   ลำดับนั้น เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรมอันยาวยืดไปข้างหน้าและข้างหลังระหว่างพระบัลลังก์กับที่เสด็จประทับยืน (อนิมมิสเจดีย์) สัปดาห์ ๑ ผ่านพ้นไป. สถานที่นั้นชื่อรัตนจงกรมเจดีย์. 
   ต่อจากนั้น เทวดาทั้งหลายนิรมิตเรือนแก้วขึ้นทางด้านทิศประจิม พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จนั่งขัดสมาธิ ณ เรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาอภิธรรมปิฎกคือสมันตปัฏฐาน ซึ่งมีนัยไม่สิ้นสุดในอภิธรรมปิฎกนี้ โดยพิสดารให้สัปดาห์ ๑ ผ่านพ้นไป. 
สถานที่นั้นชื่อรัตนฆรเจดีย์. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ ๔ สัปดาห์ผ่านพ้นไป ในประเทศใกล้เคียงโพธิพฤกษ์นั่นเอง จึงในสัปดาห์คำรบ ๕ เสด็จจากโคนโพธิพฤกษ์เข้าไปที่ต้นอชปาลนิโครธ ด้วยประการฉะนี้ 
   ได้ยินว่า คนเลี้ยงแพะไปนั่งที่ร่มเงาแห่งต้นนิโครธนั้น เพราะเหตุนั้น ต้นนิโครธจึงเกิดชื่อว่าอชปาลนิโครธ. 
   สองบทว่า สตฺตาหํ วิมุตฺติสุขปฏิสํเวที มีความว่า เมื่อทรงพิจารณาธรรมอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธแม้นั้นนั่นแล ชื่อว่าประทับเสวยวิมุตติสุข ต้นไม้นั้น อยู่ด้านทิศตะวันออกจากต้นโพธิ. 
   ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอย่างนั้นที่ต้นอชปาลนิโครธนี้ พราหมณ์คนหนึ่งได้มาทูลถามปัญหากะพระองค์. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าว
คำว่า อถ โข อญฺญตโร เป็นต้น. 
   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หุํหุํกชาติโก มีความว่า ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นชื่อทิฏฐมังคลิกะ เที่ยวตวาดว่า หึหึ ด้วยอำนาจความถือตัวและด้วยอำนาจความโกรธ 
 เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกแกว่า พราหมณ์หุงหุงกะชาติ บางอาจารย์ก็กล่าวว่า พราหมณ์หุหุกชาติบ้าง.
   สองบทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบใจความสำคัญแห่งคำที่แกกล่าวนั้น จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น. 
   เนื้อความแห่งอุทานนั้นว่า พราหมณ์ใดชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว จึงได้เป็นผู้ประกอบด้วยบาปธรรมมีกิเลสเป็นเครื่องขู่ผู้อื่นว่า หึหึ และกิเลสดุจน้ำฝาดเป็นต้น เพราะค่าที่มาถือว่า สิ่งที่เห็นแล้วเป็นมงคล 
   ปฏิญาณข้อที่ตนเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุสักว่าชาติอย่างเดียว หามิได้, พราหมณ์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีบาปธรรมอันลอยแล้ว เพราะเป็นผู้ลอยบาปธรรมเสีย 
   ชื่อว่าผู้ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องขู่ผู้อื่นว่า หึหึ เพราะมาละกิเลสเป็นเครื่องขู่ผู้อื่นว่า หึหึ เสียได้ ชื่อว่าผู้ไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาด เพราะไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาดมีราคะเป็นต้น ชื่อว่ามีตนสำรวมแล้ว เพราะเป็นผู้มีจิตประกอบด้วยภาวนานุโยค 
   อนึ่ง ชื่อว่าผู้มีตนสำรวมแล้ว เพราะเป็นผู้มีจิตสำรวมแล้วด้วยศีลสังวร ชื่อว่าผู้จบเวทแล้ว เพราะเป็นผู้ถึงที่สุดด้วยเวททั้งหลาย กล่าวคือจตุมรรคญาณ หรือเพราะเป็นผู้เรียนจบไตรเพท ชื่อว่าผู้จบพรหมจรรย์แล้ว เพราะพรหมจรรย์คือมรรค ๔ อันตนได้อยู่เสร็จแล้ว. 
   บาทพระคาถาว่า ธมฺเมน โส พฺรหฺมวาทํ วเทยฺย มีความว่า กิเลสเครื่องฟูขึ้น ๕ อย่างนี้คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ในเพราะอารมณ์น้อยหนึ่ง คือว่า แม้ในเพราะอารมณ์อย่างหนึ่งในโลกทั้งมวลไม่มีแก่พราหมณ์ใด พราหมณ์นั้นโดยทางธรรม ควรกล่าววาทะนี้ว่า เราเป็นพราหมณ์. 
   เมฆที่เกิดขึ้นในเมื่อยังไม่ถึงฤดูฝน ชื่อว่า อกาลเมฆ ก็แลเมฆนี้เกิดขึ้นในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน. 
   บทว่า สตฺตาหวทฺทลิกา มีความว่า เมื่ออกาลเมฆนั้นเกิดขึ้นแล้วได้มีฝนตกพรำตลอด ๗ วัน. 
   บทว่า สีตวาตทุทฺทินี มีความว่า ก็แลฝนตกพรำตลอด ๗ วันนั้นได้ชื่อว่า ฝนเจือลมหนาว เพราะเป็นวันที่ลมหนาวเจือเม็ดฝนพัดวนไปโดยรอบโกรกแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น: