Translate

30 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อภยูวรภาณวาร ห้ามบวชทาส

     [๑๐๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ทาสคนหนึ่งหนีไปบวชในสำนักภิกษุ. พวกเจ้านายพบเข้าจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือทาสของพวกเราคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.
   เจ้านายบางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้ทาสบวชเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนเป็นทาส ภิกษุไม่พึงบวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@ ทรงอนุญาตการปลงผม
   [๑๑๐] ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรช่างทองศีรษะโล้นคนหนึ่ง ทะเลาะกับมารดาบิดา แล้วไปอารามบวชในสำนักภิกษุ. ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาสืบหาเขาอยู่ ได้ไปอารามถามภิกษุทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทั้งหลายเห็นเด็กชายมีรูปร่างเช่นนี้บ้างไหม.
   บรรดาภิกษุพวกที่ไม่รู้เลยตอบว่า พวกอาตมาไม่รู้ พวกที่ไม่เห็นเลยตอบว่า พวกอาตมาไม่เห็น
   ครั้นมารดาบิดาของเขาสืบหาอยู่ ได้เห็นเขาบวชแล้วในสำนักภิกษุ จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ ช่างไม่ละอาย เป็นคนทุศีล พูดเท็จ รู้อยู่แท้ๆ บอกว่าไม่รู้ เห็นอยู่ชัดๆ บอกว่าไม่เห็น เด็กคนนี้บวชแล้วในสำนักภิกษุ. ภิกษุทั้งหลายได้ยินมารดาบิดาของบุตรช่างทองศีรษะโล้นนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อปโลกน์ต่อสงฆ์ เมื่อการปลงผม 
&@พวกเด็กชายสัตตรสวัคคีย์บวช
   [๑๑๑] ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์มีเด็กชายพวกหนึ่ง ๑๗ คน เป็นเพื่อนกันเด็กชายอุบาลีเป็นหัวหน้าของเด็กพวกนั้น.
   ครั้งนั้น มารดาบิดาของเด็กชายอุบาลีได้หารือกันว่าด้วยวิธีอะไรหนอ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีจะอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก.
   ครั้นแล้วหารือกันต่อไปว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงเรียนหนังสือ ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลี จะพึงอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก 
   แล้วหารือกันต่อไปอีกว่า
   ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนหนังสือ นิ้วมือก็จักระบม ถ้าเจ้าอุบาลีเรียนวิชาคำนวณ ด้วยอุบายอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีจะพึงอยู่เป็นสุข และไม่ต้องลำบาก. 
   ครั้นต่อมาจึงหารือกันอีกว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชาคำนวณเขาจักหนักอก ถ้าจะพึงเรียนวิชาดูรูปภาพ ด้วยอุบายอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีก็จะพึงอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก
   ครั้นต่อมา จึงหารือกันอีกว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชาดูรูปภาพ นัยน์ตาทั้งสองของเขาจักชอกช้ำ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล มีปกติเป็นสุข มีความประพฤติเรียบร้อย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีก็จะอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก.
   เด็กชายอุบาลีได้ยินถ้อยคำที่มารดาบิดาสนทนาหารือกัน ดังนี้ จึงเข้าไปหาเพื่อนเด็กเหล่านั้น ครั้นแล้วได้พูดชวนว่า มาเถิดพวกเจ้า พวกเราจักพากันไปบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร. เด็กชายเหล่านั้นพูดว่า ถ้าเจ้าบวช แม้พวกเราก็จักบวชเหมือนกัน.
   เด็กชายเหล่านั้นไม่รอช้า ต่างคนต่างก็เข้าไปหามารดาบิดาของตนๆ แล้วขออนุญาตว่า ขอท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้ข้าพเจ้า ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด. มารดาบิดาของเด็กชายเหล่านั้นก็อนุญาตทันที ด้วยคิดเห็นว่า เด็กเหล่านี้ต่างก็มีฉันทะร่วมกัน มีความมุ่งหมายดีด้วยกันทุกคน.
   เด็กพวกนั้นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายให้พวกเขาบรรพชา อุปสมบท. ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุใหม่เหล่านั้นลุกขึ้นร้องไห้ วิงวอนว่า ขอท่านทั้งหลาย จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว.
   ภิกษุทั้งหลายพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย จงรอให้ราตรีสว่างก่อน ถ้าข้าวต้มมี จักได้ดื่ม ถ้าข้าวสวยมี จักได้ฉัน ถ้าของเคี้ยวมี จักได้เคี้ยว ถ้าข้าวต้ม ข้าวสวย หรือของเคี้ยวไม่มี ต้องเที่ยวบิณฑบาตฉัน. ภิกษุใหม่เหล่านั้นอันภิกษุทั้งหลายแม้กล่าวอยู่อย่างนี้แล
   ก็ยังร้องไห้วิงวอนอยู่อย่างนั้นแลว่า จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย <i>จงให้ของเคี้ยว ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง</i> ซึ่งเสนาสนะ.
   พระผู้มีพระภาคทรงตื่นบรรทมในปัจจุสสมัยแห่งราตรี ทรงได้ยินเสียงเด็ก ครั้นแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ นั่นเสียงเด็ก หรือ?   จึงท่านพระอานนท์กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายรู้อยู่ให้บุคคลผู้มีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบท จริงหรือ?
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบุรุษพวกนั้นรู้อยู่ จึงได้ให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบทเล่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี เป็นผู้ไม่อดทนต่อเย็น ร้อน หิว ระหาย เป็นผู้มีปกติไม่อดกลั้นต่อสัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี 
   ต่อทุกขเวทนาทางกายที่เกิดขึ้นแล้วอันกล้าแข็งกล้า เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อันอาจนำชีวิตเสียได้ ส่วนบุคคลมีอายุ ๒๐ ปี ย่อมเป็นผู้อดทนต่อเย็น ร้อน หิว ระหาย เป็นผู้มีปกติอดกลั้นต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด 
   สัตว์เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนาทางกายที่เกิดขึ้นแล้ว อันกล้าแข็งเผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อันอาจนำชีวิตเสียได้ 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
   ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ ไม่พึงให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปีอุปสมบท รูปใดให้อุปสมบท ต้องปรับตามธรรม.
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
ห้ามบวชทาส
อรรถกถาทาสวัตถุ
   วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว ทาโส นี้ว่า ทาสมี ๔ จำพวกคือ ทาสเกิดภายใน ๑ ทาสที่ช่วยมาด้วยทรัพย์ ๑ ทาสที่เขานำมาเป็นเชลย ๑ บุคคลที่ยอมเป็นทาสเอง ๑. 
   ในทาส ๔ จำพวกนั้น ลูกนางทาสีในเรือนเป็นทาสโดยกำเนิด ชื่อว่าทาสเกิดภายใน. บุตรที่เขาช่วยมาจากสำนักมารดาก็ดี ทาสที่เขาช่วยมาจากสำนักนายเงินก็ดี บุคคลที่เขาใช้ทรัพย์แทนแล้วยกขึ้นสู่จารีตแห่งทาสถ่ายเอาไปก็ดี 
   ชื่อว่าทาสที่ช่วยมาด้วยทรัพย์. ทาสทั้งสองจำพวกนี้ไม่ควรให้บวช เมื่อจะให้บวช ต้องทำให้เป็นผู้มิใช่ทาสด้วยอำนาจจารีตในที่ชนบทนั้นๆ แล้ว จึงควรให้บวช. 
   ทาสที่ชื่อว่าเขานำมาเป็นเชลย คือ พระราชาทั้งหลายทรงทำการรบนอกแว่นแคว้น หรือรับสั่งให้เกลี้ยกล่อมกวาดต้อนเอาทั้งหมู่มนุษย์ซึ่งเป็นไททั้งหลาย มาจากภายนอกแว่นแคว้นก็ดี พระราชารับสั่งให้ริบบ้านบางตำบล 
   ซึ่งกระทำผิดภายในแว่นแคว้นนั่นเอง ราชบุรุษทั้งหลายกวาดต้อนทั้งหมู่มนุษย์มาจากบ้านตำบลนั้นก็ดี ในหมู่มนุษย์เหล่านั้น ผู้ชายทั้งหมดเป็นทาส ผู้หญิงทั้งหมดเป็นทาสี บุคคลเห็นปานนี้จัดเป็นทาสซึ่งเขานำมาเป็นเชลย.
   ทาสนี้ เมื่ออยู่ในสำนักชนทั้งหลายผู้นำตนมา หรือถูกขังไว้ในเรือนจำ หรืออันบุรุษทั้งหลายควบคุมอยู่ ไม่ควรให้บวช. 
   แต่เขาหนีไปแล้ว พึงให้บวชในที่ซึ่งเขาไปได้.
   ครั้นเมื่อพระราชาทรงพอพระหฤทัย ทรงทำการปลดจากจำโดยตรัสว่า จงปล่อยพวกทาสที่นำมาเป็นเชลย หรือโดยนัยเป็นสรรพสาธารณ์ พึงให้บวชเถิด. 
   บุคคลที่ยอมตัวเป็นทาสเองทีเดียวว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของท่าน ดังนี้ เพราะเหตุแห่งชีวิตก็ตาม เพราะเหตุแห่งความคุ้มครองก็ตาม ชื่อว่าผู้ยอมเป็นทาสเองเหมือนคนเลี้ยงช้าง ม้า โคและกระบือเป็นต้นของพระราชาทั้งหลาย ทาสเช่นนั้นไม่ควรให้บวช. 
   บุตรทั้งหลายของเหล่านางวัณณทาสีของพระราชา เป็นเช่นดั่งบุตรอำมาตย์. ถึงบุตรเหล่านั้นก็ไม่ควรให้บวชเหมือนกัน.
เหล่าหญิงซึ่งเป็นไท แต่ไม่มีใครคุ้มห้าม 
จึงเที่ยวไปกับพวกนางวัณณทาสี 
   จะให้บุตรทั้งหลายของหญิงเหล่านั้นบวชก็ควร. หากพวกหญิงเหล่านั้นขึ้นทะเบียนเสียเอง ไม่สมควรให้บุตรทั้งหลายของหญิงเหล่านั้นบวช ถึงพวกทาสของคณะทั้งหลายมีคณะภัททิปุตตกะเป็นต้น ซึ่งคณะชนเหล่านั้นไม่ยอมให้ก็ไม่ควรให้บวช. 
   ขึ้นชื่อว่าทาสสำหรับอาราม ซึ่งพระราชาพระราชทานไว้ในวัดทั้งหลาย บรรดามี จะให้ทาสแม้เหล่านั้นบวช ย่อมไม่สมควร แต่ช่วยให้เป็นไทแล้วให้บวช สมควรอยู่. 
   ในมหาปัจจรีอรรถกถาแก้ว่า ชนทั้งหลายนำทาสเกิดภายในและทาสที่ช่วยมาด้วยทรัพย์ มาถวายแก่ภิกษุสงฆ์ว่า ข้าพเจ้าถวายอารามิกทาส ทาสเหล่านั้นย่อมเป็นเช่นกับทาสที่เขาราดเปรียงบนศีรษะนั่นแหละ จะให้บวชก็ควร. 
   ส่วนอรรถกถากุรุนทีแก้ว่า เขาถวายด้วยกัปปิยโวหารว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายถวายอารามิกทาส ทาสนั้นอันเขาถวายแล้วด้วยโวหารอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที ไม่ควรให้บวชแท้. พวกคนเข็ญใจคิดว่า จักอาศัยพระสงฆ์เลี้ยงชีพ จึงเป็นกัปปิยการกอยู่ในวัดที่อยู่ จะให้คนเข็ญใจเหล่านั้นบวช ควรอยู่.
   บิดามารดาของบุตรใดเป็นทาส หรือมารดาเท่านั้นเป็นทาสี บิดาไม่เป็นทาส ไม่ควรให้บุรุษนั้นบวช. ญาติหรืออุปฐากของภิกษุถวายทาสว่า ขอท่านจงให้บุรุษนี้บวช เขาจักทำความขวนขวายแก่ท่าน หรือว่า ทาสส่วนตัวของภิกษุนั้นมีอยู่ ทาสนั้นภิกษุทำให้เป็นไทเสียก่อนแล้วจึงควรให้บวช. 
   ในอรรถกถากุรุนทีแก้ว่า พวกนายถวายทาสว่า ขอท่านจงให้บุรุษนี้บวช ถ้าเขาจักยินดียิ่งในศาสนา, เขาจักไม่เป็นทาส ถ้าเขาจักสึก เขาจักคงเป็นทาสของพวกข้าพเจ้า ดังนี้
   ชื่อว่า ทาสยืมไม่ควรให้เขาบวช. บุรุษใดเป็นทาสไม่มีนาย บุรุษแม้นั้นอันภิกษุให้เป็นไทก่อนจึงควรให้บวช. ภิกษุไม่ทราบให้บรรพชาหรืออุปสมบทแล้ว จึงทราบภายหลัง ควรทำให้เป็นไทเหมือนกัน. และเพื่อประกาศเนื้อความข้อนี้ 
พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวเรื่องนี้ว่า :- 
   ดังได้ยินมา นางกุลทาสีคนหนึ่งกับบุรุษคนหนึ่ง หนีจากอนุราธบุรีไปอยู่ในโรหนชนบท มีบุตรคนหนึ่ง. บุตรนั้นในเวลาที่บรรพชาอุปสมบทแล้ว เป็นภิกษุลัชชีมักรังเกียจ. 
   ภายหลังวันหนึ่ง เธอถามมารดาว่า อุบาสิกา พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงของท่านไม่มีหรอกหรือ? ฉันจึงไม่เห็นญาติไรๆ เลย มารดาตอบว่า พ่อคุณ ฉันเป็นกุลทาสีในอนุราธบุรี หนีมาอยู่ที่นี่กับบิดาของคุณ. 
   ภิกษุผู้มีศีลได้ความสังเวชว่า ได้ยินว่าบรรพชาของเราไม่บริสุทธิ์ จึงถามมารดาถึงชื่อและโคตรของสกุลนั้นแล้วมายังอนุราธบุรี ได้ยืนที่ประตูเรือนของสกุลนั้น. เธอถึงเขาบอกว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดเจ้าข้า? ก็ยังไม่เลยไป. 
   พวกเขาจึงพากันมาถามว่า มีธุระอะไรขอรับ? เธอจึงถามว่า นางทาสีชื่อนี้ของพวกท่านซึ่งหนีไปมีไหม? มีขอรับ ฉันเป็นบุตรนางทาสีนั้น ถ้าพวกท่านอนุญาตให้ฉัน ฉันจะบวช 
   พวกท่านเป็นนายของฉัน. พวกเขาเป็นผู้รื่นเริงยินดี ยกเธอเป็นไทว่า บรรพชาของท่านบริสุทธิ์ขอรับ แล้วนิมนต์ให้อยู่ในมหาวิหารบำรุงด้วยปัจจัย ๔ พระเถระอาศัยสกุลนั้นอยู่เท่านั้น ได้บรรลุพระอรหัต.   อรรถกถาทาสวัตถุกถา จบ.
ทรงอนุญาตการปลงผม
อรรถกถาภัณฑุกัมกถา     บทว่า กมฺมารภณฺฑุ ได้แก่ ลูกช่างทองซึ่งมีศีรษะโล้นไว้แหยม. มีคำอธิบายว่า เด็กรุ่นมีผม ๕ แหยม.๑- 
        ข้อว่า สงฺฆํ อปโลเกตุํ ภณฺฑุกมฺมาย มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุบอกเล่าสงฆ์เพื่อประโยชน์แก่ภัณฑุกรรม. 
         อาปุจฉนวิธี ในภัณฑุกรรมาธิการนั้น ดังนี้. 
    พึงนิมนต์ภิกษุทั้งหลายผู้นับเนื่องในสีมาให้ประชุมกันแล้ว นำบรรพชาเปกขะไปในสีมานั้นแล้ว บอก ๓ ครั้งหรือ ๒ ครั้งหรือครั้งเดียวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าบอกภัณฑุกรรมของเด็กนี้กะสงฆ์. 
    อนึ่ง ในอธิการว่าด้วยการปลงผมนี้ จะบอกว่า ข้าพเจ้าบอกภัณฑุกรรมของเด็กนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ข้าพเจ้าบอกสมณกรณ์ของทารกนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ทารกนี้อยากบวช ดังนี้ก็ดี ควรทั้งนั้น. 
   ถ้าสถานแห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกันมีอยู่ คือโอกาสเป็นที่กำหนดปรากฎว่า ภิกษุ ๑๐ รูปหรือ ๒๐ หรือ ๓๐ รูปอยู่ด้วยกัน จะไปสู่โอกาสที่ภิกษุเหล่านั้นยืนแล้ว หรือโอกาสที่นั่งแล้วบอกเล่าโดยนัยก่อนนั้นเองก็ได้. 
     แม้จะวานพวกภิกษุหนุ่มหรือเหล่าสามเณรแต่เว้นบรรพชาเปกขะเสีย ให้บอกโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านเจ้าข้า มีบรรพชาเปกขะอยู่คนหนึ่ง พวกผมบอกภัณฑุกรรมของเขา ดังนี้ก็ควร. 
    ถ้าภิกษุบางพวกเข้าสู่เสนาสนะ หรือพุ่มไม้เป็นต้น หลับอยู่ก็ดี ทำสมณธรรมอยู่ก็ดี ฝ่ายภิกษุสามเณรผู้บอกเล่า แม้เที่ยวตามหาก็ไม่พบ จึงมีความสำคัญว่า เราบอกหมดทุกรูปแล้ว ขึ้นชื่อว่าบรรพชาเป็นกรรมเบา เพราะเหตุนั้น บรรพชาเปกขะนั้นบวชแล้ว เป็นอันบวชด้วยดีแท้ ไม่เป็นอาบัติแม้แก่อุปัชฌาย์ผู้ให้บวช. 
   แต่ถ้าวัดที่อยู่ใหญ่เป็นที่อยู่ของภิกษุหลายพัน ถึงจะนิมนต์ภิกษุทั้งหมดให้ประชุมก็ทำได้ยาก ไม่จำต้องกล่าวถึงบอกเล่าตามลำดับ ต้องอยู่ในขัณฑสีมา หรือไปสู่แม่น้ำ หรือทะเลเป็นต้นแล้วจึงให้บวช.
    ฝ่ายผู้ใดเป็นคนโกนผมใหม่ หรือสึกออกไป หรือเป็นคนใดคนหนึ่ง ในพวกนักบวชมีนิครนถ์เป็นต้น มีผมเพียง ๒ องคุลี หรือหย่อนกว่า ๓ องคุลี กิจที่จะต้องปลงผมของผู้นั้นไม่มี เพราะเหตุนั้น แม้จะไม่บอกภัณฑุกรรม ให้บุคคลเช่นนั้นบวช ก็ควร. 
               ฝ่ายผู้ใดมีผมยาวเกิน ๒ องคุลี โดยที่สุดแม้ไว้ผมเพียงแหยมเดียว ผู้นั้น ภิกษุต้องบอกภัณฑุกรรมก่อนจึงให้บวชได้ อุบาลิวัตถุมีนัยดังกล่าวแล้วในมหาวิภังค์นั่นแล. 
๑- ตามนัยโยชนา ภาค ๒ หน้า ๒๐๒ ควรจะแปลว่า
 บทว่า กมมารภณฺฑุ ได้แก่ ชายศีรษะโล้นลูกนายช่างทอง.  มีคำอธิบายว่า เด็กรุ่นบุตรนายช่างทองมีผมอยู่๕ แหยม. (ตุลาธาโร ก็คือ สุวณฺณกาโร). 
ส่วนปาฐะว่า กมฺมารภณฺฑุ ในพระบาลีนั้น แปลเอาความว่า บุตรนายช่างทองศีรษะโล้น (วินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ หน้า ๑๕๖)

ไม่มีความคิดเห็น: