Translate

22 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ มุจจลินทกถา เรื่องมุจจลินทนาคราช

     [๕] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้อชปาลนิโครธ เข้าไปยังต้นไม้มุจจลินท์   แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจจลินท์ตลอด ๗ วัน.
ครั้งนั้น เมฆใหญ่ในสมัยมิใช่ฤดูกาลตั้งขึ้นแล้ว
ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาว ตลอด ๗ วัน. 
   ครั้งนั้น มุจจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตน ได้แวดวงพระกายพระผู้มีพระภาคด้วยขนด ๗ รอบ ได้แผ่พังพานใหญ่เหนือพระเศียรสถิตอยู่ด้วยหวังใจว่า ความหนาว ความร้อน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค. 
   ครั้นล่วง ๗ วัน มุจจลินทนาคราชรู้ว่า อากาศปลอดโปร่งปราศจากฝนแล้ว จึงคลายขนดจากพระกายของพระผู้มีพระภาค จำแลงรูปของตนเป็นเพศมาณพ ได้ยืนประคองอัญชลีถวายนมัสการพระผู้มีพระภาค   ทางเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถา
ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้สันโดษ 
   มีธรรมปรากฏแล้ว เห็นอยู่ ความไม่พยาบาท คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัด คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก การกำจัดอัสมิมานะเสียได้นั่นแล เป็นสุขอย่างยิ่ง.
มุจจลินทกถา จบ
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
อรรถกถา มุจจลินทกถา
   หลายบทว่า อถ โข มุจฺจลินฺโท นาคราชา มีความว่า พระยานาคผู้มีอานุภาพใหญ่ เกิดขึ้นที่สระโบกขรณีใกล้ต้นไม้จิกนั่นเอง. 
   หลายบทว่า สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา มีความว่า เมื่อพระยานาคนั้นวงรอบพระกายด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พังพานใหญ่ปกเบื้องบนพระเศียรอยู่อย่างนั้น 
   ร่วมในแห่งวงขนดของพระยานาคนั้น มีประมาณเท่าห้องเรือนคลังในโลหปราสาท เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็นเหมือนประทับนั่งในปราสาทอันอับลม มีประตูหน้าต่างปิด. 
   คำว่า มา ภควนฺตํ สีตํ เป็นต้น แสดงเหตุที่พระยานาคนั้นทำอย่างนั้น. 
   จริงอยู่ พระยานาคนั้นทำได้อย่างนั้น ก็ด้วยตั้งใจว่า หนาวอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า. ร้อนอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า และสัมผัสเหลือบเป็นต้นอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า 
   อันที่จริง เมื่อมีฝนตกพรำตลอด ๗ วัน ในที่นั้น ไม่มีความร้อนเลย. ถึงอย่างนั้น ก็สมควรที่พระยานาคนั้นจะคิดอย่างนี้ว่า ถ้าเมฆจะหายไปในระหว่างๆ ความร้อนคงจะมี แม้ความร้อนนั้นอย่าได้เบียดเบียนพระองค์เลย. 
   บทว่า วิทฺธํ ได้แก่ หายแล้ว. อธิบายว่า เป็นของมีไกลเพราะหมดเมฆ. 
บทว่า วิคตวลาหกํ ได้แก่ ปราศจากเมฆ. 
บทว่า เทวํ ได้แก่อากาศ. 
บทว่า สกวณฺณํ ได้แก่ รูปของตน. 
   สองบทว่า สุโข วิเวโก มีความว่า อุปธิวิเวก กล่าวคือ นิพพานเป็นสุข. 
   บทว่า ตุฏฺฐสฺส มีความว่า ผู้สันโดษด้วยความยินดีในจตุมรรคญาณ. 
   บทว่า สุต๑- ธมฺมสฺส ได้แก่ ผู้มีธรรมปรากฏแล้ว. 
   บทว่า ปสฺสโต มีความว่า ผู้เห็นอยู่ซึ่งวิเวกนั้น หรือธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะพึงเห็นได้ทั้งหมด ด้วยดวงตาคือญาณ ซึ่งได้บรรลุด้วยกำลังความเพียรของตน. 
   ความไม่เกรี้ยวกราดกัน ชื่อว่าความไม่เบียดเบียนกัน. 
   ธรรมเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งเมตตา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า ความไม่เบียดเบียนนั้น. 
   สองบทว่า ปาณภูเตสุสญฺญโม มีความว่า และความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย. อธิบายว่า ความที่ไม่เบียดเบียนกัน เป็นความสุข. 
   ธรรมเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งกรุณา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า ความสำรวมนั้น. 
   บาทคาถาว่า สุขา วิราคตา โลเก มีความว่า แม้ความปราศจากกำหนัด ก็จัดเป็นความสุข. 
ถามว่า ความปราศจากกำหนัดเป็นเช่นไร? 
ตอบว่า คือความล่วงกามทั้งหลายเสีย. 
   อธิบายว่า ความปราศจากกำหนัดอันใด ที่ท่านเรียกว่าความล่วงกามทั้งหลายเสีย แม้ความปราศจากกำหนัดอันนั้น ก็จัดเป็นความสุข. อนาคามิมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยบทว่า ความปราศจากกำหนัดนั้น. 
   ส่วนพระอรหัต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยคำนี้ว่า ความกำจัดอัสมิมานะเสีย. 
   จริงอยู่ พระอรหัตท่านกล่าวว่าเป็นความกำจัดด้วยระงับอัสมิมานะ. ก็ขึ้นชื่อว่าสุขอื่นจากพระอรหัตนี้ไม่มี เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ข้อนี้แลเป็นสุขอย่างยิ่ง. 
๑- สุต ศัพท์ในที่นี้ ท่านให้แปลว่า ปรากฏ.เช่น
อ้างไว้ใน สุมงฺคลวิลาสินีภาค ๑ หน้า ๓๗.

ไม่มีความคิดเห็น: